Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

Noname Legend - ตำนานไร้ชื่อ : The Lost Alphabet Santuary


Version5

Recommended Posts

คู่นี้หวานซะจนคู่ไหนๆก็สู้ไม่ได้เลยแฮะ แต่แอบสับสนอยู่หน่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าตอนไหนฟรีเซียร์เป็นร่างไหนอยู่...

Link to comment
Share on other sites

  • Replies 387
  • Created
  • Last Reply

Top Posters In This Topic

  • Version5

    164

  • Loveless Nova

    93

  • SKYNET

    66

  • Tym

    34

Top Posters In This Topic

คู่นี้หวานซะจนคู่ไหนๆก็สู้ไม่ได้เลยแฮะ แต่แอบสับสนอยู่หน่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าตอนไหนฟรีเซียร์เป็นร่างไหนอยู่...

หลังจากตอนกลับมาปราสาทแล้ว อยู่ในร่างนกครับ แต่ลดขนาดให้เท่ากับบอส

Link to comment
Share on other sites

รู้สึกว่าคู่บอสกับฟรีซเซียร์นี่จะหวานแซงคู่เบต้ากับมิวทูไปแล้วนะเนี่ย :pika01:

Link to comment
Share on other sites

บทที่ 98

        เช้าวันต่อมา...  ควรจะเป็นเช้าที่สดใส...  มันควรจะเป็นอย่างนั้น...  แต่บอสที่แม้ตอนหลับก็ยังเปิดประสาทสัมผัสไว้สูงสุดกลับลุกขึ้นจากเตียงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก  รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็หายไปจากห้องของบอสโดยทิ้งกระดาษไว้ข้างๆฟรีซเซียร์

        หลังจากที่บอสหายไปจากห้องของตนแล้วโผล่มาที่มิติแห่งเทพ  บอสก็พูดขึ้นมาเบาๆเหมือนกำลังเรียกใครบางคน  “พี่มิสซิ่งโน อยู่ไหมครับ…”

        หลังจากที่บอสพูดออกมา  เงารูปคนก็โผล่มาตรงหน้าบอส

      “อือ... ข้าสัมผัสได้เมื่อสักครู่...”  มิสซิ่งโนพูดอย่างรู้สถานการณ์ว่านี่มันเกือบเข้าขั้นวิกฤตแล้ว

      “ผมว่าป้องกันได้อยู่  แต่คงป้องกันไม่ทั่วถึงแน่ๆ เพราะที่ผมสัมผัสได้เมื่อสักครู่ พวกฟากนั้นเล่นโผล่ทีสิบกว่าแห่ง...แถมโผล่มาเยอะอีกต่างหาก จะให้ผมตามไปเก็บไหมครับ”  บอสถามเสียงเครียด

      “อย่าเลย ให้คนอื่นไปกันดีกว่า ถ้ามัวแต่กันละก็พวกนั้นก็โผล่มาเรื่อยๆแน่ และเราก็ไม่รู้ว่าศัตรูมีจำนวนเยอะขนาดไหน สู้เข้าไปถล่มพวกมันในดาวนู้นดีกว่า โลกชินวะจะได้ไม่ต้องเกิดความเสียหายด้วย”  มิสซิ่งโนเริ่มวางแผน(บอส : อันแสนจะมั่ว)

      “แล้วให้ผมเข้าไปในดงศัตรูโดยที่ไม่รู้เนี่ยนะว่าศัตรูเยอะแค่ไหน”  บอสตอกกลับด้วยเสียงหน่ายๆ

      “แล้วใครบอกให้บอสไปคนเดียวหละ ก็ให้เบต้า มิวทู หรือคนอื่นไปด้วยสิ เห็นว่าเทรนให้เบต้าจนเบต้ารับเวทย์หนักๆได้แล้วหนิ”  มิสซิ่งโนพูดต่อ

      “แล้วจะให้ใครป้องกันโลกชินวะหละครับ ถ้าไปเยอะขนาดนั้น”  บอสชักเป็นห่วงโลกชินวะมากกว่าตนเอง

      “เดี๋ยวข้ากับเฟียร์ห้องกันเอาก็ได้”  มิสซิ่งโนบอก  แต่บอสรู้แน่ๆว่ามิสซิ่งโนกับเฟียร์ต้องฝืนพลังแน่ๆ  ถึงบอสมั่นใจว่ามิสซิ่งโนกับเฟียร์สามารถป้องกันได้  แต่จะให้ทั้งสองคน(?)ตามเก็บให้หมดคงเหนื่อยพอดี

      “เอางี้ เดี๋ยวผมขอพี่เบต้า พี่มิวทู พี่ฟรีซเซียร์ พี่ไดอัลก้า พี่เรควาซ่า แค่นี้พอครับ ส่วนพี่พัลเกียก็ใช้ผ่าจักรวาล(Spacial Rend) คอยลดจำนวนศัตรูที่มาบุกโลกชินวะก็น่าจะไหวนะครับ”  บอสเริ่มวางแผน

      “ถ้างั้น ที่เหลือก็คอยตามเก็บพวกที่มาบุกโลกชินวะสินะ... แล้วถ้าพวกมันมีการโจมตีที่ทำให้เข้าถึงยากละ จะทำไง”  มิสซิ่งโนซักถามต่อ

      “ไม่ต้องห่วงครับ ผมเรียกคนมาช่วยไว้หนึ่งคนแล้ว...”  บอสพูดอย่างไม่คิดมาก

      “หืม... ใครกันละนั่น”  มิสซิ่งโนถาม  เพราะไม่ค่อยอยากให้คนจากโลกอื่นมาป้วนเปี้ยนโลกชินวะมาก

      “แล้วใครละครับ ที่สู้กับผมได้สูสีหละ”  บอสถามกลับเพื่อเป็นคำตอบให้มิสซิ่งโนคิด  แล้วมิสซิ่งโนก็อ้อขึ้นมา

      “ถ้างั้นก็ขอบใจมาก จะได้เหนื่อยน้อยหน่อย”  มิสซิ่งโนโล่งอกบ้างเล็กน้อย

      “แต่คนนั้นบอกว่า ถ้าเสร็จงานแล้วของานเลี้ยงขนมหวาน เนื่องจากผมเอารูปภาพงานแต่งงานของพี่เรซิรั่มกับพี่เซคร่อมไปให้ดู แล้วเกิดการยั่วน้ำลายอยากกิน”  บอสบอกแบบหน่ายๆ  แต่ก็ทำให้มิสซิ่งโนเหนื่อยใจแทน

      “โอเค ถ้างั้นคงให้อาเซฟล์ อุซี่ กับเมสปริตท์ กับตระกูลของซีไลเนอร์ด้วย เพื่อทำให้ชาวเมืองไม่เกิดความวุ่นวาย และต้องทำให้เนียนด้วย”  มิสซิ่งโนขยายแผนการต่อ

      “…เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะวางแผนกันแค่สองคนทำไมฮึ?”  เสียงดังจากข้างหลังบอสดังขึ้น  ทำให้บอสหันขวับไปมองก็เห็นบรรดาคนที่ถูกพูดถึงอยู่กันเต็ม

      “อ่า... ตื่นกันหมดแล้วเหรอครับ ; w ;”  บอสพูดแบบธรรมชาติ  แต่จริงๆกำลังหาทางเผ่นอยู่

      “เฮ้อ... ทีหลังถ้าจะคุยเรื่องสำคัญมากๆตอนเช้าก็ไม่ต้องกลัวว่าเสียมารยาทหรอก ปลุกมาเถอะ”  มิวทูพูดสั่งสอน

      “คร้าบ...”  จำเลยคนที่หนึ่งสำนึกผิด  แต่จำเลยคนที่สองผิวปากอย่างเมามันส์

      “แล้ว(ไอ้)คุณมิสซิ่งโน เลิกผิวปากแล้วมาวางแผนต่อ(สิฟระ)”  อัลเซอุสรำคาญเสียงผิวปากของมิสซิ่งโนจึงสั่ง(?)ให้เลิกทำ

      “ก็ได้ๆ... คือทางเราจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกจะเป็นคนบุกฐานศัตรู ซึ่งถ้าได้ยินข้ากับบอสวางแผนตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องบอกละมั้งว่าล็อคใครไปแล้วบ้าง...”  มิสซิ่งโนพูดอย่างเป็นงาน...  แต่มันก็ไม่ค่อยช่วยทำให้กระจ่างเลย

      “เอ่อ... ผมหมายถึง คนที่จะอยู่กลุ่มบุกมี ผม พี่เบต้า พี่มิวทู พี่ฟรีซเซียร์ พี่ไดอัลก้า พี่เรควาซ่า ส่วนถ้าใครอยากมาด้วยก็ได้นะฮะ แต่ขอคนที่โจมตีเร็วและแรง  แต่เดี๋ยวให้พี่มิสซิ่งโนอธิบายก่อนละกัน”  บอสอธิบายต่อจากมิสซิ่งโนเพื่อให้กระจ่างมากยิ่งขึ้น  แต่ก็ยังโยนงานให้มิสซิ่งโนเป็นคนพูดอยู่ดี

      “กลุ่มสองจะเป็นกลุ่มป้องกัน คอยไล่เก็บพวกที่เข้ามาบุกโลกชินวะ ซึ่งตอนนี้ก็ขอให้เฟี... มีคนช่วยแล้ว แต่ถ้าใครอยากช่วยก็ได้”  มิสซิ่งโนพูดแล้วเกือบหลุดปากเรื่องหนึ่งออกมา  ทำให้บอสแปลกใจที่ทำไมถึงไม่พูดชื่อคนๆนั้น  แต่ก็เก็บเอาไว้ในใจ

      “ส่วนกลุ่มที่สาม คอยให้ชาวเมืองอยู่ในความสงบ แล้วกลบเรื่องที่ศัตรูเข้ามาบุกให้มิดที่สุด ซึ่งขอล็อคตัวอาเซฟล์ อุซี่ กับเมสปริตท์ แล้วก็คนของตระกูลซีไลเนอร์ด้วย ซีไลเนอร์เป็นตระกูลใหญ่และเก่าแก่ที่สุด น่าจะช่วยเรื่องนี้ได้มาก”  มิสซิ่งโนพูดอย่างมีหลักการ(บอส : เคยมีหลักการกับคนอื่นบ้างด้วยหรอ= =”)

      “อืม ถ้างั้นให้ฉันกับเซคร่อมบุกด้วยไหม ถ้าฝั่งนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมากก็น่าจะพอจำทางได้บ้าง”  เรซิรั่มเสนอ  ส่วนเซคร่อมก็เงียบตามปกติ

      “ก็ดีนะครับ เผื่อฝั่นนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงไปมากจะได้บุกได้สะดวก”  บอสออกความเห็น  แต่จริงๆก็เอะใจบ้าง

        ‘คือ... ห่างเป็นร้อยๆปียังจำได้อยู่อีกหรอครับนั่น’

      “ถ้างั้นฝ่ายบุกแค่นี้ก็พอแล้วมั้ง”  มิสซิ่งโนสรุป

      “ทำไมหละ บุกเยอะๆก็ดีนะ จะได้ช่วยกัน”  ฟรีซเซียร์แย้งความคิดมิสซิ่งโน

      “บุกเยอะๆไม่ได้หรอกครับ เพราะจะทำให้เคลื่อนไหวลำบาก”  บอสตอบเหตุผลแทนมิสซิ่งโน

      “ถ้างั้นก็รีบบุกเถอะ ถ้ามัวแต่ชักช้าพวกมันจะตั้งรับทัน”  มิสซิ่งโนเตือนสติ  ทำให้บอสเรียกคฑาออกมา  จากนั้นก็นั่งท่าขัดสมาธิแล้วถามว่า

      “พี่เรซิรั่มครับ ยังพอจำได้ว่าศัตรูอยู่ทางทิศไหนได้ไหมครับ”

      “...ทางทิศ 10 นาฬิกา…”  เซคร่อมตอบแทนเรซิรั่มให้  ทำให้บอสพยักหน้า  แล้วก็หลับตาโดยทื่อคฑาตั้งฉากกับพื้นเพื่อหาพิกัดของฐานศัตรู

      “ไกลเหมือนกันแหะ...”  บอสบ่นเบาๆหลังจากผ่านไปราวๆห้านาที  แต่หลังจากบ่นไม่นานก็รีบพูดขึ้นมา

      “ฝ่ายบุกมาอยู่ใกล้ๆผมไว้ครับ จะเทเลพอร์ทไปฐานศัตรูแล้ว สถานที่ที่จะโผล่น่าจะปลอดภัย”  บอสพูดเสร็จ  ฝ่ายบุกก็รีบอยู่ข้างๆบอสทันที  จากนั้นคฑาที่บอสถือก็เปล่งแสงสีฟ้าออกมา  วงเวทย์สีเดียวกับเวทย์ที่เคยพาเรซิรั่มกับเซคร่อมมาโลกชินวะ  ทำให้เรซิรั่มสั่นเล็กน้อย  แต่เซคร่อมก็ลูบหลังเรซิรั่มคอยปลอบประโลม  แล้วหลังจากนั้นวงวเทย์ก็เปล่งแสงมากขึ้นจนทุกคนหลับตา  แล้วฝ่ายบุกที่อยู่รอบๆบอสก็หายไปพร้อมกับบอส

      “เอาละ ฝ่ายบุกก็ไปแล้ว ฝ่ายตั้งรับเองก็ต้องทำหน้าที่แล้วสินะ”  พัลเกียพูดอย่างอารมณ์ดี  เพราะนานๆทีจะได้อาละวาดแบบสะใจ

      “ถ้างั้น... ก็ขอตัวไปกลบข่าวก่อนละ”  เชสต้าขอตัวแล้วเดินจากไป  แต่ก่อนที่จะหันหลัง  ทุกคนที่ยังไม่ไปทำหน้าที่ก็ได้เห็นรอยยิ้มสังหารของเชสต้า  และหลังจากที่มั่นใจว่าเชสต้าไปแล้ว  ทุกคนต่างก็คิดเสียงเดียวกัน

        ‘นี่จะไปกลบข่าว หรือจะไปฆ่าคนปล่อยข่าวละเนี่ย...’

Link to comment
Share on other sites

เป็นผู้นำที่ขอไปทีจังนะมิชซิ่งโน...และบอส...ยังอุตส่าห์ดึงฟรีเซียร์ไปร่วมเดินทางด้วย คิดไรป่าวเนี้ย  :pika01:

Link to comment
Share on other sites

ในที่สุด ก็ใช้เน็ตได้ซักที (หลังจากที่คอมใช้เน็ตไม่ได้อยู่นาน)

บทที่ 99

      “โอเค... คนที่สองร้อยยี่สิบแปด”  พัลเกียพูดอย่างหน่ายๆหัลงจากตามล่าอยู่พักหนึ่ง  ตอนแรกก็ดีใจอยู่หรอกที่ได้อาละวาด  แต่มันชอบกระจายกันหนีทำให้ตามตัวยากขึ้น  แถมบางคนยังอึดอีกทำให้เริ่มเปลี่ยนจากดีใจเป็นน่ารำคาญแทน

      “พัลเกียยังดีที่มีผ่ามิติไว้คอยไล่เก็บ แต่ฉันต้องไล่ตามนะ กว่าจะเก็บได้...”  ซุยคุนที่อยู่ในกลุ่มป้องกันก็บ่นด้วย  เพราะจำนวนศัตรูที่มาบุกก็ใช่ว่าจะน้อย...

      “แต่เธอก็ใช้ลำแสงแช่แข็ง(Ice Beam)เวลาไล่ไม่ทันอยู่ดีไม่ใช่หรอ”  มิสซิ่งโนพูดโดยที่ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเหมือนคนอื่น (ก็คนอื่นเคยเห็นตัวตนจริงๆด้วยหรอ)  ทำให้ซุยคุนงอนเล็กน้อย

      “แต่ข้าคิดว่า นี่มันแค่เพิ่งเริ่ม...”  พัลเกียเริ่มพูดเสียงเครียด

      “ทำไมคิดอย่างนั้นละ”  ซุยคุนถาม

      “ก็เพราะเจ้าพวกนี้ไม่โต้ตอบเลย นอกจากจะหนีอย่างเดียว บางทีพวกนี้อาจเป็นแค่ตัวล่อก็ได้...”  พัลเกียพูดเสร็จ  ทุกคนก็เครียดขึ้นมาทันที  พร้อมกับได้ยินเสียงระเบิดจากที่ไกลๆ

      “ข้าว่าแบ่งกันไปเถอะ ให้คนเฝ้าจุดนี้คนนึง แล้วที่เหลือไปช่วยเถอะ”  มิสซิ่งโนพูดเสียงเครียด

      “งั้นฉันเฝ้าเอง พวกนายไปเถอะ”  ซุยคุนอาสาอยู่เฝ้า

      “ไปกันเถอะ”  มิสซิ่งโนพูดกับพัลเกีย  แต่ก็มีมิติของกิราติน่าแทรกขึ้นมา

      “ถ้างั้นก็รีบเข้ามา ทางนั้นกำลังมันส์”  กิราติน่าโผล่ออกมาจากมิติ  แล้วบอกให้มิสซิ่งโนกับพัลเกียเข้าไป

      “โอเค ถ้างั้นก็คงได้ถล่มยับละ”  พัลเกียพูดอย่างดีใจ  แล้วรีบพุ่งเข้าไปยังมิติเลยแล้วตามด้วยมิสซิ่งโน

      “เธอเองก็มาด้วยสิ”  กิราติน่าพูดกับซุยคุนโดยที่ซุยคุนหันหน้าหนีเล็กน้อย

      “นายไปเถอะ ฉันเฝ้าที่นี่เอง”  ซุยคุนพูดโดยที่กิราติน่าไม่รู้ว่าเธอกำลังหน้าแดงอยู่

      “...”  กิราติน่าไม่พูดอะไร  แต่เดินเข้าไปใกล้ๆแล้วพูดเบาๆ

      “ทำไมเรา... ไม่ลองคบกันดูหน่อยละ”  กิราติน่าพูดเสร็จ  ซุยคุนก็หน้าแดงกว่าเดิม

      “ร...รู้ตอนไหน...”  ซุยคุนถามอย่างอายๆ

      “พวกเรารู้จักกันมานานแล้วนะ เรื่องแค่นี้ยังไงก็ต้องรู้...”  กิราติน่าตอบอย่างไม่คิดมาก

      “ล...แล้วนาย...กับฉัน...รึเปล่า”  ซุยคุนพูดออกมาไม่เป็นประโยค  แต่กิราติน่าก็รู้ว่าซุยคุนต้องการถามเรื่องอะไร

      “...ชอบสิ...”  กิราติน่าพูดอย่างมั่นใจ  จนซุยคุนหันหน้าหนีแต่จริงๆกำลังยิ้มอยู่

      “ถ...ถ้างั้น ค่อยคุยกันหลังจบเถอะ...”  ซุยคุนพูดเสร็จ  กิราติน่าก็พยักหน้ารับแล้วเดินเข้ามิติ...  แต่ก่อนเข้ามิติก็บอกกับซุยคุน

      “ระวังตัวด้วยนะ”  แล้วมิติก็หายไปพร้อมกับกิราติน่า  ซุยคุนที่ยังหน้าแดงจางๆก็ยิ้มอย่างดีใจแล้วพูดกับตัวเองเบาๆ

      “แน่อยู่แล้วละ...นายเองก็ระวังด้วยนะ”  แล้วเธอก็พุ่งไปโจมตีศัตรูอย่างไม่รีรอ...

_____________________________________________________________

        ทางด้านฟากที่เสียงระเบิดดังสนั่น  หลังจากที่พัลเกียกับมิสซิ่งโนออกมาจากมิติแล้ว  เสียงแรกที่ได้ยินชัดแจ๋วเลยก็คือ...

      “แสงพิพากษา(Judgment)!!!”

        หลังจากที่ได้ยินเสียงปุ๊บ  ก็ตามมาด้วยแสงหลากสีที่อัลเซอุสปล่อยออกมาพุ่งตรงไปยังเหล่าศัตรูที่เริ่มมีการโจมตีกลับ  แล้วก็หลังจากที่เห็นแสงหลากสีแล้ว  ก็ต้องตามด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นไม่กลัวมีใครรู้ว่าฝีมือใคร  ทำให้พัลเกียเห็นแล้วถอนหายใจ

      “ข้าว่า ไปป้องกันตำแหน่งอื่นเถอะ ไงๆตรงนี้ก็คงเสร็จเงื้อมมือของอัลเซอุสอยู่แล้ว”  พัลเกียพูดแล้วก็ตามด้วยเสียงอัลเซอุส

      “ถ้างั้นก็ไปรีบซะสิ มามัวยืนไรแถวนี้”  อัลเซอุสพูด(หรือไล่) แล้วพัลเกียกับมิสซิ่งโนก็ต้องเดินกลับไปยังมิติของกิราติน่าอีกรอบ...

      “ไหนเมื่อสักครู่ยังบ่นว่าไม่มีใครมาช่วยเลยนะ อัลเซอุส”  เชมี่ที่นั่งอยู่บนหัวของอัลเซอุสพูดอย่างล้อๆขึ้นมา  ส่วนอัลเซอุสก็เงียบๆไม่พูดอะไรต่อ

      “ก็... ข้าอยากอยู่กับเธอแบบสองต่อสองมากกว่า”  อัลเซอุสพูดล้อกลับ  แต่ก็ทำให้เชมี่หน้าแดงได้

      “ย...อย่ามาพูดอะไรตอนนี้สิ อีกฝ่ายจะโจมตีเราแล้วนะ”  เชมี่รีบเปลี่ยนเรื่องทันที

      “ก็ได้ๆ... แสงพิพากษา!!!”

_______________________________________________________________

        หลังจากที่พัลเกียเข้ามิติไปอีกรอบ  คราวนี้โผล่มาอีกทีก็อยู่กลางวงอยู่เหล่าศัตรู

      “...โผล่มากลางวงก็ดีอยู่หรอก... แต่อยู่ท่ามกลางศัตรูที่(โครต)เยอะมันก็ยังไงอยู่นะ...”  พัลเกียบ่นกับตัวเองเบาๆ  แล้วก็ใช้ท่าที่ถนัดที่สุดทันที

      “ผ่ามิติ(Spacial Rend)!!”  เสียงพัลเกียดังสนั่น  ทำให้เกิดรอยแยกของมิติบริเวณด้านหน้าของพัลเกียขึ้น  และศัตรูที่โดนรอยแยกก็จะเกิดบาดแผล แล้วถูกดูดเข้าไปในห้วงมิติ

      “อ๊าก~~!”  เสียงแห่งความเจ็บปวดดังขึ้นจากเหล่าศัตรูที่โดนการโจมตีของพัลเกียที่พัลเกียได้ยินจนชิน  แล้วพัลเกียก็ใช้ผ่ามิติอีกหลายครั้งเพื่อให้กำจัดศัตรูทั้งหมด

      “หืม... ยังมีคนรอดอยู่อีก...”  หลังพัลเกียใช้ผ่ามิติหลายครั้ง  ก็เห็นศัตรูที่ยังทนการโจมตีอีกหลายคน  ทำให้พัลเกียทึ่งและดีใจในเวลาเดียวกัน  เพราะศัตรูที่ผ่านมาโดนผ่ามิติทีเดียวก็สลบเหมือดแล้ว  แต่นี่ยังทนการโจมตีได้  และที่ดีใจก็คือได้สู้อย่างมันส์ซักที

      “หึ... เป็นแค่ตัวประหลาดอย่าคิดว่าจะขัดขวางแผนการของพวกข้าได้นะ...”  เสียงจากบุคคลที่รอดจากผ่ามิติพูดขึ้นทำให้พัลเกียจ้องสำรวจของผู้ท้าทาย  เห็นได้ชัดว่าผ่ามิติแทบสร้างความเสียหายไม่ได้เลยโดยพัลเกียก็ไม่รู้สาเหตุ  แต่ก็แล้วไงละ  ได้สู้สนุกๆก็ดีแล้ว

      “โฮกกกกกก~~~~~!”  พัลเกียคำรามเพื่อทำให้อีกฝ่ายเสียขวัญ  ซึ่งก็ทำให้ศัตรูบางคนหวาดกลัว  แต่ผู้ท้าทายก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย  แต่หลังจากคำรามเสร็จ  พัลเกียก็ใช้อีกท่าที่ถนัดไม่แพ้ผ่ามิติ

      “ไฮโดร ปั้มพ์ (Hydro Pump)!!”

_________________________________________________________________

        อีกด้าน  มิสซิ่งโนที่ออกมาจากมิติของกิราติน่าแล้วก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว  เพราะรู้ได้ว่าเธอคนนั้นกำลังลำบากจึงรีบไปช่วยให้เร็วที่สุด

        หลังจากที่กำลังจะพ้นเขตป่าไม้  ภาพแรกที่มิสซิ่งโนเห็นคือภาพของชายวัยกลางคนกำลังใช้คมดาบ  โดยที่เป้าหมายของชายคนนั้นคือหญิงสาวที่กำลังจนมุม  ทำให้มิสซิ่งโนรีบกลับร่างเดิมแล้วพุ่งไปหาทันที

      “ฉึก!!”  เสียงดาบแทงทะลุทำให้หญิงสาวหลับตามิด แต่ก็ค่อยๆลืมตาเพราะไม่มีความเจ็บปวดบริเวณท้อง  และภาพที่เธอเห็นคือร่างของสิ่งมีชีวิตยืนอยู่เบื้องหน้าเธอและคมดาบที่ถูกแทงทะลุสิ่งมีชีวิตนั้น  แต่คมดาบไม่แตะตัวของหญิงสาวเลย

      “มิสซิ่งโน!!”  หญิงสาวพูดอย่างตกใจที่มิสซิ่งโนมารับคมดาบแทนตัวเธอ  ส่วนมิสซิ่งโนที่กลับสู่ร่างเดิมก็เหวี่ยงแขนใส่ชายที่หันคมดาบใส่ตนจนกระเด็นไปหลายร้อยเมตร

      “เฟียร์... ไม่เป็นไรใช่ไหม”  มิสซิ่งโนตอบโดยที่ไม่สนใจแผลจากดาบเลยแม้แต่น้อย

      “ค...คนบ้า ฉันต้องถามอย่างนั้นต่างหาก”  เฟียร์พูดเสียงสั่นเพราะเธอเป็นสาเหตุที่ทำให้มิสซิ่งโนบาดเจ็บ

      “พูดอย่างนี้แสดงว่าไม่เป็นไรสินะ”  มิสซิ่งโนพูดเสียงเรียบ  แต่เฟียร์ก็รู้ว่ามิสซิ่งโนโล่งอกที่เธอไม่มีแผล

      “พวกเรา ร่ายเวทย์ต้องห้ามเลย!!!”  เสียงที่น่าจะมาจากผู้นำกลุ่มของศัตรูดังลั่น  ทำให้ศัตรูทุกคนร่ายเวทย์เพื่อกะจบให้ได้ภายในคราวเดียวโดยใช้โอกาศที่มิสซิ่งโนกำลังคุยกับเฟียร์  แต่มิสซิ่งโนกลับยืนนิ่งๆไม่ขยับ

      “น...นี่ ทางนั้นจะโจมตีแล้วนะ”  เฟียร์พูดเตือนสติมิสซิ่งโน

      “...อย่าลืมสิ ว่าข้าในร่างเดิมทำอะไรได้”  มิสซิ่งโนพูดเตือสสติเฟียร์กลับ  เฟียร์ได้ยินก็ยิ้มขึ้นมา

      “นั่นสินะ...”  เฟียร์ยิ้มอย่างน่ารักพร้อมๆกับศัตรูร่ายเวทย์ต้องห้ามเสร็จ  พื้นที่มิสซิ่งโนและเฟียร์ยืนอยู่ก็มีวงเวทย์รูปดาวห้าแฉกสีแดงปรากฏขึ้นมาหลายสิบชั้น  แต่ในทางกลับกันมิสซิ่งโนก็กำลังจะเปลี่ยนรูปร่าง...

        หลังจากมิสซิ่งโนเปลี่ยนรูปร่างเสร็จ  วงเวทย์ก็เปล่งแสงสีแดงคล้ายเลือดสว่างจนมองไม่เห็นคนที่อยู่ข้างในวงเวทย์แม้แต่น้อย  และทำให้เหล่าศัตรูพอใจกับผลลัพธ์เป็นอย่างมากว่าทำสำเร็จและไม่มีทางรอดออกมาเป็นแน่  แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะหลังจากที่วงเวทย์สีเลือดหายไป  สิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนรูปร่างไปได้โอบกอดหญิงสาวไว้  และดูเหมือนทั้งสองจะไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่น้อย

      “ขอเอาคืนละ”  มิสซิ่งโนพูดขึ้นและทำการเปลี่ยนรูปร่างอีกครั้ง  คราวนี้รูปร่างที่เปลี่ยนไปดูพริ้วและทรงพลังกว่ารูปร่างก่อนที่ดูเหมือนจะทนการโจมตีได้ทุกอย่าง

      “ไซโค บูสต์(Psycho Boost)!!!”

__________________________________________________________

        อีกฟากของโลกชินวะที่ไม่มีใครคุ้มกัน  เหล่าศัตรูที่กำลังได้ใจเนื่องจากผ่านการป้องกันมาที่จุดนี้ก็เท่ากับว่าแผนสำเร็จไปเกือบครึ่งก็เกิดการฮึกเหิม  โดยที่ไม่รู้ว่าความโชคร้ายกำลังมาเยือน...

        เด็กหนุ่มที่มีนัยน์ตาสีแดงข้างขวาราวกับสัตว์ที่ได้ชื่อว่าทรงอำนาจ  ทรงพลังและทรงปัญญามากที่สุดกำลังถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้  แต่เป้าหมายสูงสุดที่มาก็เพื่อมากินของหวานเนี่ยแหละ  เห็นแฝดอีกคนเล่าให้ฟังแล้วโครตยั่วน้ำลายมาก  เลยต้องมาช่วยเพื่อให้ได้กินเนี่ยแหละ

        หลังจากที่เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆก็สัมผัสพลังเวทย์ที่ไม่พึงประสงค์ก็เรียกดาบสองมือคู่โปรดออกมา  เตรียมเชือดใครบางคนที่โชคร้ายเดินผ่านมาทางนี้

      “เฮ้ย แกเป็น... อั่ก!!”  เสียงตะโกนที่เป็นสัญญาณพบศัตรูของอีกฝ่ายเหมือนเป็นสัญญาณล่อเหยื่อของเด็กหนุ่มที่จงใจให้เหยื่อตะโกนก่อนที่จะใช้คมดาบฟันให้สลบ  และก็เป็นไปตามคาดที่สัมผัสศัตรูมายังตนแบบยกโขยง  ซึ่งเจ้าตัวก็พอใจไม่น้อยเพราะไม่ต้องออกไปตามให้เหนื่อย

      “เข้ามาก็ดีแล้ว Wing Blade!!”  เด็กหนุ่มเรียกดาบหกเล่มออกมาลอยอยู่ข้างหลังราวกับปีก  แล้วก็พุ่งไปทางศัตรูที่ยกโขยงมาทันที  ซึ่งหลังจากพุ่งไปยังดงศัตรูเสร็จก็มีเสียงโหยหวนดังอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ...

____________________________________________________________

      “แฮ่ก... แฮ่ก...”  เสียงหอบของซุยคุนดังอย่างต่อเนื่อง  เธอสู้ต่อเนื่องมาไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว  และดูเหมือนศัตรูยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยแทนที่จะลดจำนวน  ตอนแรกเธอคิดจะถอยออกมาตั้งหลัก  แต่ศัตรูกลับมาทุกทิศทางทำให้เธออยู่ท่ามกลางศัตรู  และตอนนี้เธอเองก็ไม่มีพลังพอที่จะฝ่าศัตรูได้  ทำได้แค่เพียงรอความตายเท่านั้น...

        ซุยคุนถอดใจรอความตายแล้ว  แต่สมองกลับคิดถึงใครบางคนขึ้นมาทำให้เธอยังถอดใจไม่ได้  เธอใช้แรงเฮือกสุดท้ายเรียกฝนออกมา  ซึ่งตอนแรกก็ฝนตกปรอยๆซึ่งศัตรูไม่ได้สนใจอะไรมาก  แต่เหมือนศัตรูคิดผิดที่จู่ๆฝนที่ตกปรอยๆ  ตกแรงในเสี้ยววินาที  และทำให้ซุยคุนเพิ่มพลังมากขึ้น(Water Absorb)

      “ไฮโดร ปั้มพ์(Hydro Pump)!!”  ซุยคุนโจมตีครั้งสุดท้าย  ยิงคลื่นน้ำแรงดันสูงใส่พื้น  และทำให้แรงน้ำกระจายออกมาทั่วทิศทาง  และเนื่องจากฝนตกทำให้แรงดันน้ำเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว  ศัตรูที่อยู่ใกล้ซุยคุนมากสุดก็กระเด็นตามแรงน้ำไปหลายกิโลเมตร  ส่วนศัตรูที่อยู่ห่างออกมาก็โดนแรงน้ำน้อยเลยไม่สะทกสะท้านมาก  ส่วนซุยคุนที่แรงแทบไม่มีก็ทรุดลงไปกับพื้น

        สติของซุยคุนเริ่มหายไป  ดวงตาของซุยคุนก็เริ่มปิดลงทีละเล็กน้อย  แต่ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือมังกรตัวใหญ่ที่แผ่ออร่าสีดำที่น่าหวาดกลัว...

_____________________________________________________________

        หลังจากเหตุการณ์ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ  ซุยคุนที่สติเริ่มกลับมาก็ค่อยๆลืมตา  ปรากฏว่าเธอกำลังนอนพิงมังกรที่เธอเห็นเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่เธอจะสลบ  ทำให้ซุยคุนหน้าแดง

      “ก..กิราติน่า...”

      “เตือนแล้วว่าระวังตัว...”  กิราติน่าพูดเสียงดุ  แต่จริงๆแล้วกำลังเป็นห่วง

      “ข...ขอโทษนะ ที่ทำให้เป็นห่วง”  ซุยคุนพูดแล้วก็หันไปมองรอบๆว่าเธออยู่ที่ไหน  แต่กิราติน่าก็ใช้ปีกบังทัศนวิสัยของซุยคุน

      “หลับก่อนเถอะ ไม่ต้องห่วงหรอก...”  กิราติน่าพูดเสียงเรียบ  ทำให้ซุยคุนพยักหน้าแล้วก็ผลอยหลับไปโดยที่พิงกิราติน่าอยู่

        ‘เพราะข้าไม่อยากให้เธอตื่นมาเห็นภาพแบบนี้หรอก’  กิราติน่าพูดต่อในใจ  เพราะภาพที่อยู่รอบๆตัวเขามีแต่กองเลือดแต่ไร้ซากศพ

      “เป็นไงบ้าง”  เสียงดังที่มาแบบไม่มีสัญญาณเตือนก็ไม่ทำให้กิราติน่าตกใจ  เพราะมีอยู่คนเดียวที่มาแบบนี้ได้ก็คงมีแต่มิสซิ่งโน  ซึ่งขณะนี้อยู่ในร่างเดิม

      “...อยู่ในร่างไดโอคิซิส... แสดงว่าสภาพของศัตรูก็คงไม่ต่างกับข้าสินะ”  กิราติน่าเดาขึ้นมา  ซึ่งมิสซิ่งโนก็พยักหน้า

      “แล้วศัตรูที่บุกหละ”  กิราติน่าถามต่อ

      “หมดแล้วละ 90% ของศัตรูสลบอยู่ ถ้าหายจากการสลบเมื่อไหร่ก็ให้จ้องตาอุซี่ที่ลืมตา ตื่นมาคงจำอะไรไม่ได้แล้วหละ ส่วนอีก10% คงรู้ดีนะ...”  มิสซิ่งโนตอบ

      “ขอโทษทีนะ ที่ลืมยั้งมือ”  กิราติน่าพูดเสียงที่เบาลง

      “ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนเข้าใจหมด การยั้งมือมันยากกว่าการลงมือเต็มที่อยู่แล้ว”  มิสซิ่งโนพูดปลอบเพื่อน

      “นั่นสินะ... ฝ่ายบุกของพวกเราจะเป็นไงบ้าง”  กิราติน่าถามด้วยความไม่มั่นใจ

      “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก นายเองก็พักเถอะ”  มิสซิ่งโนพูดแล้วก็หายไป

        ‘นั่นสิ ข้าก็ควรพักได้แล้ว’  กิราติน่าคิดในใจแล้วก็หลับตาลง  โดยที่ปีกของกิราติน่าคลุมตัวซุยคุนราวกับเป็นผ้าห่ม  จากนั้นกิราติน่าก็หลับไปเนื่องจากเหนื่อยมาทั้งวัน

Link to comment
Share on other sites

ช...ชอบสร้างคู่ที่คาดไม่ถึงได้เรื่อยๆเลยสินา =A="  :pika07:

ไดโอคิซิส.....เหรอ?  :pika04:

Link to comment
Share on other sites

กิราติน่ากับซุยคุนงั้นเหรอ.. :pika07:

มีคู่ที่คาดไม่ถึงเพิ่มมาอีกแล้วสิ

Link to comment
Share on other sites

  • 2 months later...

ในที่สุด......... ก็แต่งจนลงได้ซะที (ฮิ้ววว :pika10:)

หลังจากที่ดองมานานแสนนาน (มาก) เหตุีที่ดองเพราะตอนแรกกะจะมีลูกเล่นหน่อยๆ แต่มันดันยากเกินไปมาก จนทำใจแต่งแบบปกติ

(และอีกเหตุผล... อู้หงะlllorz)

บทที่ 100 (1/2) [บทจบ]

        หลังจากที่บอสเทเลพอร์ทมาพร้อมกับฝ่ายบุกแล้ว  สถานที่แรกที่มาถึงคือป่ารอบนอก  ซึ่งถ้าเดินอีกนิดก็จะถึงหน้าฐานศัตรูที่เป็นลานกว้างไม่มีที่หลบซ่อน  ซึ่งถ้าหากจะเข้าไปแล้วก็ต้องใช้เวทย์หายตัวหรือไม่ก็บุกเข้าไปตรงๆ  ซึ่งบอสบอกไว้แล้วว่าช้อยแรกตัดทิ้งไปได้เลย  เพราะศัตรูเป็นเหล่าจอมเวทย์  สำหรับการใช้เวทย์ตรวจจับวัตถุล่องหนเป็นเรื่องง่ายไปเลย  ทำให้เหลือแค่ช้อยข้อหลังคือ  บุกเข้าไปตรงๆ

      “แล้วจะบุกยังไงละครับ”  บอสถามเพื่อเปิดประเด็น

      “เดี๋ยวข้าจะหยุดเวลาให้ แต่นี่ไม่ใช่โลกชินวะอาจจะหยุดได้ไม่เกินห้าวินาที คิดว่าทันไหม”  ไดอัลก้าพูดขึ้น

      “ทันหนะ ทันแน่ แต่พอเข้าไปแล้วรับรองได้เลยว่าศัตรูจะยกโขยงมาต้อนรับอย่างดีเลยครับ”  บอสพูดอย่างหน่ายๆ

      “ถ้างั้นต้องมีคนถ่วงเวลาสินะ”  เรควาซ่าพูดต่อ

      “งั้นผมถ่วงให้ ไงๆซะเวทย์ผมก็เหมาะกับศัตรูเยอะๆอยู่แล้ว จะได้ลดจำนวนศัตรูภายในตัวด้วย”  บอสยอมให้ตนเองเป็นตัวล่อเพื่อให้ฝ่ายบุก  บุกอย่างเต็มที่โดยที่ไม่มีอะไรมารบกวน

      “แต่ถึงบอสจะถ่วงยังไง ถ้าพวกมันรู้ก็ตามมาอยู่ดีนะ”  ฟรีซเซียร์พูดขัด  แต่จริงๆเธอไม่อยากให้บอสเสี่ยง

      “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมร่ายเวทย์ล่องหนให้ฝ่ายบุก แล้วผมจะปั่นป่วนด้านหน้าฐานพร้อมกางอาณาเขตไม่ให้ศัตรูเข้าไปในฐานได้ แค่นี้คงพอสำหรับถ่วงเวลาแล้วครับ”  บอสพูดขึ้นมา  แต่จริงๆทุกคนกำลังปฏิเสธแผนนี้  เพราะมันเสี่ยงเกินความจำเป็น  แต่มันก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วเลยต้องยอม

      “แล้วไหนบอกว่าเวทย์ล่องหนใช้กับศัตรูไม่ได้ไงละ”  เบต้าเริ่มข้องใจ

      “ที่ตอนนี้ใช้ได้ก็เพราะเวลาผมเข้าไปกลางดง ศัตรูจะสนใจแต่ผมและลืมตรวจจับไงครับ”  บอสยกเหตุผลให้เบต้า

      “ถ้างั้นก็พร้อมนะครับ”  บอสพูดเพื่อเตรียมความพร้อมและร่ายเวทย์พรางตัวให้ทุกคนยกเว้นบอสทันที

        เวทย์พรางตัวของบอสไม่เหมือนเวทย์พรางทั่วๆไป  เพราะบอสเสริมพลังมังกรเข้าไปด้วยทำให้ลบประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ศัตรูควรรับรู้คือ รูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส  แต่คนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับบอสกลับไม่รู้สึกว่าหายตัวแม้แต่น้อย

      “แน่ใจนะว่านี่คือหายตัว ทำไมยังเห็นกันเองอยู่เลยละ”  เบต้าชักไม่มั่นใจ

      “ก็ถ้าไม่เห็นเพื่อนแล้วจะรู้หรอครับ ว่าตอนนี้เพื่อนอยู่ไหน คงไม่ใช่ว่าใช้เชือกมัดแล้วเล่นรถไฟกันนะครับ”  บอสพูดแล้วทุกคนก็นึกภาพได้เลย  ก็ลองนึกดูสิ  เหล่าบรรดาเทพทั้งหลายผูกเชือกบริเวณเอว(?) แล้วไม่ใช้มือก็เป็นขาหน้า ไม่ก็ปีกแตะไหล่คนหน้า แล้วเดินแบบเด็กเล่นรถไฟ  ทำให้ทุกสายตาค้อนมาทางบอสที่ยกตัวอย่างได้ห่วยแตก

        บอสที่รู้ตัวว่าโดนเพ่งเล็งก็รีบเปลี่ยนเรื่อง  “สรุป พี่ไดอัลก้าจะเริ่มหยุดเวลาได้รึยังครับ ผมจะได้เตรียมร่ายเวทย์”  บอสพูดเสร็จก็ร่ายเวทย์เพื่อหน่วงการใช้เวทย์ไว้  และจะได้ใช้เวทย์โดยที่ไม่ต้องร่าย

      “ถ้างั้นก็...เริ่มละนะ”  ไดอัลก้าพูดแล้วก็หลับตาลงเพื่อรวมสมาธิ

      “คำรามกาลเวลา! (Roar of Time)”  เสียงคำรามของไดอัลก้าดังสนั่น  ก่อให้เกิดคลื่นสีฟ้ารอบกลุ่มของฝ่ายบุก  แล้วไดอัลก้าก็เงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมยิงลำแสงสีฟ้าขึ้นฟ้า  แล้วไดอัลก้าก็รีบบอกกับทุกคน

      “วิ่ง!!!”  สิ้นเสียงของไดอัลก้า  ทุกคนยกเว้นบอสก็วิ่งเข้าฐานศัตรู  แต่ฟรีซเซียร์ที่วิ่งมาได้ครึ่งทางแล้วก็หันหลังเห็นบอสเดินไปยังใจกลางของหน้าฐานศัตรูก็หยุดวิ่ง  ทำให้เรควาซ่ารีบเตือนสติ

      “ฟรีซเซียร์ อย่าหยุดวิ่ง ตรงนี้เป็นหน้าที่ของบอสนะ”  เสียงเรควาซ่าทำให้ฟรีซเซียร์ได้สติเล็กน้อย

        ถึงแม้ว่าจะเป็นห่วงบอสแค่ไหน  แต่เธอก็ไม่อยากขัดขวางหน้าที่ของบอส  เพราะหากเธอเข้าไปหาละก็  อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็ได้  เธอเลยรีบบินกลับเข้ากลุ่มบุกฐาน  แล้วทั้งหมด(ยกเว้นบอส) ก็รีบเข้าฐานศัตรูก่อนที่พลังหยุดเวลาของไดอัลก้าหมดลงอย่างเฉียดฉิว  แล้วบอสก็รีบร่ายเวทย์กำแพงน้ำแข็ง  ปิดทางเข้าฐานศัตรูทุกด้านเพื่อไม่ให้ศัตรูจากด้านนอกเข้าไปได้  แล้วรีบร่ายเวทย์เพลิงขนาดใหญ่ลงพื้นเพื่อสร้างความโกลาหลทันที

      “ตู้ม!!!”  เสียงระเบิดดังสนั่นทำให้ประตูฐานศัตรูปิดทันทีโดยที่ไม่รู้ว่าฝ่ายบุกของโลกชินวะได้เข้าไปเรียบร้อยแล้ว  แล้วศัตรูก็ล้อมรอบบอสทันที

        บอสที่ยิ้มเล็กน้อยเพราะนานๆทีจะได้อาละวาดแบบไม่กลัวโดนมิสซิ่งโนบ่น  เพราะหลายๆภารกิจที่บอสทำสำเร็จ  จะโดนมิสซิ่งโนบ่นทุกรอบเนื่องจากฝีมืองานประติมากรรมของบอสที่แต่ละครั้งไม่เคยเหลืออะไรดีๆนอกจากซากปรักหักพังจนมิสซิ่งโนปวดหัวกับบิลค่าเสียหาย  แต่ตอนนี้ไม่ใช่ในโลกชินวะแล้ว  แถมยังเป็นศัตรูอีกบอสจึงคิดร่ายเวทย์หนักๆเพื่อเปิดเกมเร็ว  แต่จู่ๆปีกของบอสก็งอกโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ทำอะไรทำให้บอสรู้ทันทีว่าโดนอะไรจึงรีบใช้เวทย์ปัดคำสาปทันที

        เมื่อบอสใช้เวทย์ปัดคำสาปเสร็จ  ศัตรูที่อยู่ใกล้รอบๆบอสสุดก็โดนคำสาปทันที  บางคนแขนบวม  บางคนขาบวม  ทำให้กลุ่มศัตรูที่อยู่ใกล้ๆบอสแตกตื่นเล็กน้อย  แต่

ศัตรูที่อยู่ไกลๆก็ร่ายเวทย์ชุดใหญ่กะเก็บบอสทันที  ซึ่งบอสเองก็รอจังหวะนี้อยู่แล้วจึงกางบาเรียไว้  เมื่อเวทย์ศัตรูร่ายเสร็จ  เวทย์หลากหลายธาตุหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นไฟ น้ำ สายฟ้า ก็พุ่งตรงที่บอส  แต่บาเรียของบอสกันได้หมดแถมยังดูดพลังมาเป็นของบอสอีกด้วย  บอสไม่รอช้ารีบร่ายเวทย์กินวงกว้างทันที

      “Absolute Zero!!!”

__________________________________________________

        ทางด้านพวกเบต้าก็รีบหาทางเข้าถึงห้องหัวหน้าของสัตรูให้เร็วที่สุดโดยที่เรซิรั่มและเซคร่อมคอยบอกทาง  แต่บางครั้งต้องหยุดเป็นระยะๆเนื่องจากกับดักตามทางมันเยอะเหลือเกินซึ่งมิวทูก็ใช้พลังจิตตรวจสอบทางเดินเพื่อคอยบอกว่าจุดไหนมีกับดักและทำลายทิ้ง

        หลังจากบุกฐานมาได้ซักพักก็ถึงห้องโถงที่กว้างพอสมควร  ซึ่งสร้างความแปลกใจให้แก่ผู้มาใหม่ทุกคน  แต่ความแปลกใจก็เริ่มหายไปเพราะบรรดาศัตรูชุดจอมเวทย์บ้าง  ชุดนักรบบ้างเริ่มทยอยกันเข้ามาในห้องโถงที่เดิมกว้างมาก  แต่พอศัตรูเข้ามาทีทำให้ห้องโถงแคบลงอย่างเห็นได้ชัด

      “ตรงนี้ข้าจัดการเอง พวกเธอไปก่อนได้เลย”  ไดอัลก้าพูดแบบไม่คิดมากเพราะอยากต่อสู้แล้ว

      “ถ้างั้นข้าขอด้วยคน”  เรควาซ่าเองก็อยากจะสู้เหมือนกัน  เพราะห้องโถงก็ใหญ่พอควร(ถ้าไม่นับจำนวนคนที่อยู่ในห้อง)  ทำให้อยากทำลายขึ้นมา

        ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ไดอัลก้าและเรควาซ่าก็รวมพลังแล้วยิงคลื่นออกมา

      “คลื่นมังกร!!(Dragon Pulse)”  ลำแสงมังกรจากไดอัลก้าและเรควาซ่าพุ่งออกเป็นเส้นตรง  ทำให้ศัตรูที่อยู่ในเส้นทางลำแสงต้องหลบทันที  ซึ่งเป็นจังหวะที่พวกเบต้าสามารถบุกต่อไปได้  พวกเบต้าจึงรีบไปทันทีเพื่อไม่ให้ไดอัลก้ากับเรควาซ่าคอยกังวลเรื่องลูกหลง

        “ถ้างั้น... ถล่มแหลกเลยดีกว่า”  ไดอัลก้าพูดขึ้น  แล้วยิ้มที่มุมปากเนื่องจากจำนวนศัตรูเยอะ  เหมาะแก่การถล่มอย่างยิ่ง(?)

        “ไม่ต้องบอก ข้าก็รู้”  เรควาซ่าพูดแล้วก็พุ่งไปโจมตีศัตรูที่ใกล้ที่สุดทันที

        “มังกรคลั่ง!!(Outrage) / แฟลช แคนน่อน!!(Flash Cannon)”

______________________________________________________

        พวกเบต้าก็บุกต่อไปอย่างไม่มีหยุดพัก  ซึ่งระหว่างทางพวกศัตรูก็โผล่มาเป็นระยะๆให้พวกเบต้าได้ยืดเส้นยืดสายบ้างหลังจากที่วิ่งมานาน  แต่ก็เป็นการออกกำลังกายที่เรียกเลือดและเหงื่อออกมาเล็กน้อย  ซึ่งแต่ละคนก็ได้แผลเล็กน้อย  มิวทูที่โดนเวทย์ลมเฉือนแขนแต่แผลตื้น  ฟรีซเซียร์ที่โดนเวทย์เลเซอร์ที่ปลายปีก  เรซิรั่มที่มีรอยช้ำเล็กน้อยบริเวณลำตัว  และเซคร่อมที่มีรอยไหม้ที่ขาแต่เจ้าตัวก็เฉยๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ส่วนเบต้าไม่มีรอยแผลจากเวทย์เลยเพราะร่างกายต้านเวทย์เยอะจากการฝึกของบอส(ที่ลงเวทย์แต่ละทีกะว่าไม่อยากให้เบต้ามีชีวิตอยู่)  จะมีก็เพียงเหงื่อเท่านั้นก็ไหลเป็นหยดติ๋งๆ  แต่ทั้งหมดก็ยังมุ่งหน้าต่อไปเพื่อหาหัวหน้าของเหล่าศัตรู

        แต่ระหว่างทาง  กลับมีทางแยกที่เรซิรั่มและเซคร่อมไม่รู้จัก  และมิวทูสัมผัสได้ถึงพลังในทางแยกแห่งนั้น  แต่เรซิรั่มก็โพล่งขึ้นมา

        “ความรู้นี้... พลังแบบนี้... พลังเวทย์ของอาจารย์...”  เรซิรั่มพูดด้วยสีหน้าดีใจที่ปิดไม่มิด  แต่เมื่อเรซิรั่มทำท่าเหมือนจะบินไปทางแยก  มิวทูก็จับปีกรั้งไว้

        “ไปทางนั้นจะดีหรอ... ฉันว่าอย่าเลยดีกว่านะ”  มิวทูพูดด้วยความเป็นห่วง  เรซิรั่มก็หันไปทางเซคร่อมเพื่อขอความเห็น

        “...”  เซคร่อมไม่ตอบ  แต่มองไปทางมิวทูเหมือนจะบอกกลายๆว่า  แล้วแต่เธอว่าอยากให้ไปรึไม่ไป

        มิวทูถอนหายใจเล็กน้อย  แล้วก็พูดยิ้มๆ

        “ถ้างั้นก็ไปด้วยกัน...”  คำตอบของมิวทูทำให้เรซิรั่มยิ้มขึ้นมา  ส่วนเซคร่อมที่เงียบๆก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย  มิวทูหันไปทางเบต้าเพื่อขอโทษที่ตัดสินใจด้วยตัวเอง  แต่เบต้าก็ส่ายหน้าบอกไม่เป็นไร  ส่วนฟรีซเซียร์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่ามิวทูต้องทำแบบนี้  ทุกคนพยักหน้าพร้อมๆกันแล้วมุ่งหน้าไปที่ทางแยกทันที

        ทางที่ฝ่ายบุกเข้ามานั้น  เป็นทางที่แปลกประหลาดกว่าที่ผ่านๆมา  เพราะทางเป็นเส้นตรงไม่มีทางแยกให้เลี้ยว  ซึ่งเรซิรั่มกับเซคร่อมที่ไม่รู้จัเส้นทางนี้ก็เบาใจไปบ้าง  แต่มิวทูกลับแปลกใจกับเส้นทาง  เพราะเส้นทางนี้เหมือนถูกทำขึ้นเพื่อไม่ให้มีใครเดิน  กับดักแต่ละครั้งล้วนหมายถึงชีวิตยิ่งกว่าที่ผ่านมาราวกับไม่ยอมให้ใครผ่านเส้นทางนี้เด็ดขาด  แต่แน่นอนว่าทุกกับดัก  มิวทูก็รู้หมดและทำลายทิ้งด้วยพลังจิตเรียบร้อย  ซึ่งมาเวลาผ่านไป  ทุกคนก็กลับคิดว่าเริ่มรู้สึกแปลกๆจากด้านหลังตามสัญชาตญาณ  แต่พอหันหลังกลับไม่มีอะไรเหมือนคิดไปเอง  เมื่อพวกเบต้าจะเดินหน้าต่อ  พื้นห้องก็เริ่มสั่นแล้วได้ยินเสียงมาจากทางด้านหลัง

      “กับดักหรอ ทำให้ฉันสัมผัสไม่ได้หละ”  มิวทูพูดด้วยความตื่นตระหนก  แล้วเมื่อบางสิ่งบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา  และเมื่อทั้งหมดเห็นบางสิ่งบางอย่างนั้นกำลังกลิ้งมา

ทางพวกตน  ต่างก็ตกใจแล้วรีบวิ่ง(??)ต่อทันที

      “ทำให้ก้อนหินมีหนามถึงมาได้ละ”  ฟรีซเซียร์เห็นหนามแหลมๆจากก้อนหินที่กำลังกลิ้งมาทับพวกเธออยู่แล้วสยอง  เพราะหนามใหญ่และเยอะขนาดนี้  ถึงจะเป็นเซ

คร่อมก็เถอะ  ถ้าโดนก้อนหินนี่ทับก็คงมีพรุนแน่ๆ  เธอจึงลองสร้างกำแพงน้ำแข็งขึ้นมาบังทางเอาไว้

      “ตึง!!!”  เสียงดังสนั่นของก้อนหินที่ชนกำแพงน้ำแข็งเข้าอย่างจัง  ทำให้ทุกคนโล่งอก  แต่ฟรีซเซียร์กลับไม่ใช่  เธอตื่นตระหนกมากกว่าแล้วรีบเตือนทุกคนทันที

        “รีบหนีเร็วเถอะ กำแพงนี้ทนได้ไม่นาน ก้อนหินมีพลังทำลายมากกว่าที่คิดอีก”  หลังสิ้นเสียงฟรีซเซียร์  ก้อนหินก็พังกำแพงน้ำแข็งลงแบบไม่มีชิ้นดี  ทำให้ทุกคนต่างได้

วิ่งกันอีกรอบ  ซึ่งระหว่างวิ่งทุกคนก็ลองใช้พลังไปทำลายก้อนหินบ้าๆ  แต่มันกลับไม่มีแม้กระทั่งรอยข่วนเลย

        “หรือก้อนหินลงเวทย์ที่จะถูกทำลายต่อเมื่อตรงกับเงื่อนไข”  ฟรีซเซียร์พูดด้วยน้ำเสียงตกใจ  ที่เธอรู้จักเวทย์นี้เพราะตอนนอนในห้องบอส  เธอเห็นบอสกำลังใช้เวทย์นี้

กับคฑาที่ทำจากน้ำแข็งของบอส  บอสอธิบายไว้ว่า

        ‘เมื่อใช้เวทย์นี้แล้ว สิ่งที่ถูกเลือกจะไม่มีวันถูกทำลายหากไม่ตรงตามเงื่อนไขที่เราตั้งไว้ อย่างคฑาผม ผมตั้งเงื่อนไขว่าต้องกัดคฑาถึงจะถูกทำลาย และต้องกัดคฑาให้

แรงพอที่จะทำให้คฑาแตกด้วย…’  แต่นี่เป็นก้อนหิน  ศัตรูคงไม่ได้เหมือนบอสที่ตั้งเงื่อนไขว่าต้องกัดก้อนหินถึงจะถูกทำลายได้แน่ๆ  ทุกคนจึงวิ่งหนีกัน

        แต่ดูเหมือนยิ่งทุกคนวิ่งมากเท่าไหร่  ก้อนหินที่กลิ้งลงมาก็ยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้นราวกับทุกๆอย่างเพียงแค่รอเวลาทุกคนเหนื่อย  แต่พวกเบต้าเองก็ไม่ยอมถอดใจง่ายๆ  วิ่งต่อ

ไปเรื่อยๆ  แต่เรซิรั่มกลับรู้สึกบางอย่าง

        “พลังนี้... ของอาจารย์นี่”

        “ทางไหน”  มิวทูเองก็เริ่มรู้สึกว่ามีกลไกที่กำลังจะถึง  ถึงแม้ว่าจะเป็นกลไกที่ไม่น่าทำอันตรายแต่ก็นึกเสียวอยู่เหมือนกัน

        “ด้านขวา... หลังกำแพง...”  เซคร่อมที่พูดน้อยตอบ

        คำพูดของเซคร่อม  ทำให้ทุกคนมองทางด้านขวา  แต่ไม่เห็นทางแยกเลย

        “จะเลี้ยว... หรือจะตรงต่อ”  เซคร่อมเหมือนรู้บางอย่างจึงพูดขึ้นมาให้ทุกคนคิด

        ทุกคนยกเว้นเรซิรั่มกับเซคร่อมออกความเห็นเป็นเสียงเดียวว่าให้เลี้ยว  เซคร่อมจึงเรียกสายฟ้าออกมาแล้วพุ่งชนกำแพงด้านขวาทันที(Fusion Bolt)

        หลังจากที่เซคร่อมชนกำแพงแล้ว  ฟรีซเซียร์จึงสร้างกำแพงน้ำแข็งกั้นทางก้อนหินไว้อีกรอบเพื่อถ่วงเวลา  เรซิรั่มก็รีบเรียกบอลไฟขนาดใหญ่ออกมาทันที

      “Fusion Flare!!”  เรซิรั่มบังคับบอลไฟ  พุ่งไปชนกับจุดที่เซคร่อมชนกำแพง  ทำให้เกิดอานุภาพมากขึ้นจนพังกำแพงได้ในที่สุดพร้อมกับกำแพงน้ำแข็งพังทลายพอดี  แล้วทั้งหมดก็รีบเลี้ยวขวาซึ่งเบต้าที่เลี้ยวเป็นคนสุดท้ายก็เฉียดโดนทับไปนิดเดียว

        เมื่อทุกคนปลอดภัยจากก้อนหินหนามแล้วก็สำรวจทางเดินรอบๆ  เพราะเป็นทางตรงคล้ายๆกับทางเมื่อสักครู่  แต่ทางนี้กลับมีอักขระแปลกๆที่กำแพงยาวไม่รู้จบ  ซึ่งเรซิแรมที่มองอักขระดูแล้วทำหน้าสงสัย  แต่เซคร่อมเห็นแล้ว  สีหน้าที่ปกติดูเครียดก็เครียดกว่าเดิมทันที

      “ภาษานี้... ใช่ภาษาของชาว ‘ดิ ดาร์ค’ ใช่ไหม เซคร่อม”  เรซิรั่มถามเซคร่อมเพื่อความแน่ใจ  เพราะเธอคิดว่าภาษาที่เต็มไปด้วยเวทย์มนตร์ดำ  ก็มีแค่ ‘ดิ ดาร์ค’  เท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่

      “ภาษาสำหรับกักขัง...”  เซคร่อมเอ่ยเสียงเครียดขึ้น  ทำให้ทุกคนรีบมุ่งหน้าต่อไป  เพราะจากที่เซคร่อมบอกว่า ‘กักขัง’  มันคงจะไม่ใช่กักขังมาเร็วๆนี้แน่...  แต่มันคงโดนกักขังนานนับร้อยปีหรือพันปีเลยก็ได้

        เมื่อมุ่งหน้ามาถึงห้องที่มีลายอักขระเต็มไปหมด  และมีแท่นอยู่สองแท่น  แท่นสีขาวบริสุทธิ์ที่โดนแช่ในผลึกคริสตัลสีฟ้าใสขนาดยักษ์  และแท่นสีดำรัตติกาลที่อยู่ในคริสตัลสีอัฐิ  ซึ่งเรซิรั่มก็โพล่งขึ้นมา

      “สัมผัสของอาจารย์เต็มเปี่ยมเลย... อาจารย์ต้องอยู่ในนั้นแน่ๆ”

      “ข้าก็รู้สึก... พลังของอาจารย์...”  เซคร่อมพูดหลังจากสิ้นสียงของเรซิรั่ม  น้ำเสียงเนิบนาบแต่แฝงด้วยความดีใจที่คงมีเพียงเรซิรั่มเท่านั้นที่รู้

      “ถ้างั้น จะทำลายยังไงละ”  มิวทูถามเล็กน้อย  เพราะเธอรู้แน่ๆว่าผลึกนี้คงทำลายไม่ได้ง่ายๆ

      “ขอลองดูละกันนะ...”  เรซิรั่มพูดแล้วค่อยๆเดินเข้าใกล้ผลึก แล้วค่อยๆใช้เล็บที่ปีกข้างขวา แตะผลึกคริสตัลเบาๆ  แต่แล้ว ร่างของเรซิรั่มก็กระเด็นออกมาหลายเมตรราวกับถูกพลังบางอย่างผลักออกมา

      “เรซิรั่ม!!”  ฟรีซเซียร์พูดขึ้นอย่างตกใจจึงรีบบินมาดูพร้อมกับมิวทู  แต่เซคร่อมก็มาถึงก่อนจึงถามอาการอย่างห่วงๆ

      “เป็นอะไรรึเปล่า...”

      “ไม่เป็นไรจ้ะ...”  เรซิรั่มตอบไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามบอกว่าไม่ได้บาดเจ็บ  แต่น้ำเสียงนั้นก็ถูกเซคร่อมรู้ทัน

      “พักก่อนเถอะ...”  เสียงเซคร่อมพูดอย่างนุ่มนวลให้กับเรซิรั่มเพียงคนเดียว  ทำให้ทั้งฟรีซเซียร์ มิวทูและเบต้าที่กำลังรีบมาดูอาการค่อยๆถอยห่างจากสองคนนั้นทันที

      “คงต้องขอลองกันซักตั้งมั้ง”  เบต้าไม่พูดเปล่าๆ  ยกมือขวาขึ้นตั้งฉากกับพื้นแล้วฟาดมือที่มีคมดาบพลังจิต ลงดาบไปที่คริสตัลสีอัฐิก่อน

      “ตู้ม!!!”  เสียงดังสนั่นจากคมดาบพลังจิตที่เบต้าฟาดเข้าใส่คริสตัลโดยตรง ทำให้เกิดหมอกควันเล็กน้อย  แต่เมื่อหมอกควันหายไป  คริสตัลกลับไร้รอยขีดข่วน

      “แข็งเป็นบ้าเลยแหะ...”  เบต้าบ่นเล็กน้อย

      “แล้วจะเอายังไงละ จากที่ดูเมื่อสักครู่ ถึงร่วมกันพังคริสตัล แต่คงไม่สลายง่ายๆแน่”  มิวทูพูดเสียงเครียดเล็กน้อย  เพราะบุคคลที่ถูกผนึกในคริสตัลน่าจะรู้อะไรบ้างแน่ๆ  แต่กลับออกมาไม่ได้  และช่วยก็ไม่ได้ด้วย  ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

      “โฮก!!!”  เสียงเล็กน่ารักดังขึ้นมาขัดความเงียบขึ้นทำให้ทุกคนมองไปยังต้นเสียง  ซึ่งเห็นมังกรสีเขียวตัวน้อยกำลังยิ้มและวิ่งร่าอยู่

      “นี่... ใช่ลูกมังกรที่บอสเลี้ยงไว้...อืม...ชื่อ ราเทียน รึเปล่า”  มิวทูถามฟรีซเซียร์อย่างไม่แน่ใจ  ฟรีซเซียร์ก็พยักหน้า แล้วถามราเทียน

      “ราเทียน มาที่นี่ได้ยังไงจ๊ะ...”

      “พี่บอสพามาด้วยฮะ แล้วพี่บอสก็บอกให้ผมใช้เวทย์พรางตัว แล้ววิ่งตามพวกพี่มาฮะ”  ราเทียนตอบอย่างเสียงใส  แต่ทุกคนกำลังด่าบอสในใจ  จะพาลูกมังกรมาไม!!! มันอันตรายนะ

        แต่ระหว่างที่ทุกคนกำลังคิดในใจ(บ่น)  ราเทียนเหลือบไปเห็นคริสตัลสองสีก็วิ่งถลาเข้าไป

      “ว้าว ผนึกมนตรา ผนึกมนตราของจริงด้วย”  ราเทียนพูดไป วิ่งวนคริสตัลไปอย่างน่ารัก  ทำให้หลายคนเริ่มหายจากความตึงเครียดลงมาก

      “ราเทียนรู้จักด้วยหรอ”  มิวทูเดินเข้าไปหาราเทียน แล้วนั่งยองๆเพื่อให้คุยกับราเทียนสะดวก

      “รู้จักสิ แถมคนในผนึกมีพลังเวทย์สูงด้วย พี่บอสเคยบอกว่า ยิ่งคนในผนึกมีพลังเวทย์สูง ผนึกก็ยิ่งแข็งแกร่งฮะ”  ราเทียนพูดอย่างสนุกสนาน  แต่ทุกคนกลับเครียดหนักยิ่งขึ้น  โดยเฉพาะเซคร่อมกับเรซิรั่มเพราะทั้งสองรู้ดี ว่าอาจารย์มีพลังเวทย์สูงขนาดไหน

        “ล...แล้วไม่มีวิธีทำลายเลยหรอ ราเทียน”  เรซิรั่มค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปถามราเทียน

        “มีสิๆ พี่บอสเลยส่งผมมาไง ^A^”  ราเทียนพูดอย่างสดใสต่อ  แต่ทุกคนทำหน้าฉงน

        “พี่บอสบอกว่า เปลวเพลิงของผมสามารถทำลายผนึกได้ หากเก็บพลังไว้เพียงพอ”  ราเทียนพูดเสร็จก็วิ่งเล่นบริเวณนั้น จนเบต้าต้องจับราเทียน แล้วเอามาอุ้ม

        “ถ้าบอสพูดอย่างงั้น คงต้องลองเชื่อละ”  ฟรีซเซียร์พูดอย่างเชื่อมั่น  ทำให้เบต้าวางลง  แล้วมิวทูก็พูดขึ้นมา

        “งั้นช่วยหน่อยนะ ราเทียน ถ้าสำเร็จจะทำเสต็กให้กินเลย”  ราเทียนได้ยินแล้วก็พยักหน้ารัวๆ เหมือนมีของรางวัลมาล่อเด็ก

        “ได้ฮะๆๆ เดี๋ยวจะทำสุดความสามารถเล้ยยย”  ราเทียนพูดแล้ววิ่งแจ้นไปยังคริสตัลทั้งสอง  โดยที่ราเทียนยืนอยู่ตรงกลาง  จากนั้นก็พ่นไฟออกมาซึ่งมันดูเหมือนเบามากๆ  เพราะสัมผัสถึงความร้อนได้นิดเดียว  แต่เมื่อเปลวเพลิงกระทบกับคริสตัลทั้งสอง  คริสตัลก็เริ่มมีรอยร้าว...มากขึ้นเรื่อยๆ  จนในที่สุดคริสตัลก็แตกออกด้วยการระเบิดที่รุนแรงมหาศาวซึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้

        “แค่ก แค่ก...”  เสียงไอเพราะควันที่มาจากบริเวณคริสตัล ทำให้ฟรีซเซียร์รีบใช้ปีก  พัดควันให้ออกไป

        หลังจากควันที่หายไปหมดแล้ว  ก็พบกับชายหญิงวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบต้นๆที่เรซิรั่มและเซคร่อมรู้จักกันดี  เรซิรั่มจึงรีบบินเข้าไปหาด้วยความคิดถึง  ส่วนเซคร่อมที่ดูนิ่งๆ  ก็ยังเข้าไปหาแต่ช้ากว่าเรซิรั่มเหมือนกัน

        “อาจารย์ จำฉันได้ไหมคะ”  เรซิรั่มโพล่งถามหญิงสาวขึ้นมา  แต่หญิงสาวกลับยกมือราวกับอย่าเพิ่งถาม  ราเทียนจึงเสกแก้วที่มีน้ำอยู่สองใบ

        “นี่ฮับ น้ำ”  ราเทียนยื่นแก้วน้ำทั้งสองให้อาจารย์ทั้งสอง  ซึ่งทั้งสองก็พยักหน้าเหมือนขอบคุณแล้วค่อยๆดื่มน้ำเนื่องจากไม่ได้ดื่มมานาน  จนในที่สุดก็ดื่มหมดแก้ว  และอาจารย์ของเรซิรั่มก็เอ่ยขึ้นมา

        “ไม่ได้เจอกันนาน...อืม...จำไม่ได้เหมือนกันว่าผ่านมากี่ปีแล้วนะ...”  อาจารย์ของเรซิรั่มดูเหมือนยังมึนๆเล็กน้อย  แต่อาจารย์ของเซคร่อมกลับพูดออกมา

        “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์มหาศาล...ห่างจากที่นี่ไกลพอควร...”

        “นั่นคงเป็นพลังเวทย์ของบอสแน่ๆ”  เบต้าพูดขึ้นมา  เพราะโดนฝึกมากับมือเลยรู้ว่าบอสมีพลังเวทย์เยอะแค่ไหน

        “ถ้านั่นคือเพื่อนของพวกเจ้า ข้าว่าเพื่อนของเจ้าคงอันตรายแล้วหละ เพราะข้าจับได้ถึงพลังชีวิตที่ริบหรี่เต็มที่แล้ว!!”

ปล.

ยาวมาก lllorz

Link to comment
Share on other sites

ศึกใหญ่ดุเดือนเลยนะเนี้ย บอสก็บู๊เกิน  :pika02:

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.

×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.