Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

Original Fiction:Magic of Fortune ชะตาแห่งเวทมนต์ [Beta]


Kimur@

Recommended Posts

บทนำ ดินแดนที่แยกเป็นสาม

จุดเริ่มต้นของสงครามสองเผ่าพันธุ์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อสี่ร้อยปีก่อน ประวัติศาสตร์ของทวีปซิโรมิก้าบันทึกเอาไว้ ว่าจอมเวทนั้นคือเจ้าชีวิต ส่วนมนุษย์คือข้ารับใช้ ผู้ใดที่ไร้ซึ่งเวทมนต์ มันผู้นั้นก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง

หลังจากราชวงศ์มนุษย์สูญสิ้นอำนาจ และโดนกวาดล้าง เหล่าจอมเวทได้เข้ายึดครองดินแดน ปกครองมนุษย์นานถึงสี่ร้อยปี โดยใช้กำลังเวทมนต์บังคับให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ยอมจำนน มนุษย์คนใดที่ขัดขืนคำสั่ง มักจะพบกับจุดจบที่แย่ยิ่งซะยิ่งกว่าตาย

ในภายหลัง การปกครองแบบกดขี่นี้ไม่ได้ใช้กับเฉพาะมนุษย์ แต่ยังมีผลบังคับใช้กับจอมเวทที่มีความรักกับมนุษย์ รวมถึงพวกลูกครึ่งที่เกิดการจากการผสมข้ามสายพันธ์ด้วย

แต่ไม่มีบ้านเมืองใด และอาณาจักรใดอยู่ค้ำฟ้า เมื่อมีเริ่มต้นก็ต้องมีสิ้นสุด สิ้นสุดด้วยการปกครองที่กดขี่และเสื่อมโทรม กลุ่มจอมเวทเริ่มแตกคอกันเอง เมื่อมีการตั้งกฎที่ลามมาถึงอภิสิทธิชนอย่างพวกตน รวมทั้งก้าวก่ายความรักที่ตนเองนั้นมีให้กับมนุษย์

ยุคของจอมเวทได้นับถอยหลังสู่กาลอวสาน เมื่อมีการฆ่าล้างตระกูลจอมเวทระดับชนชั้นปกครองตระกูลหนึ่ง เพียงเพราะสืบประวัติต้นตอ แล้วพบว่าย่าทวดของตระกูลนี้เป็นมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น  รวมถึงมีคำสั่งจากราชวงศ์ให้กวาดล้างพวกลูกครึ่ง เพราะถือเป็นความอับอายของชนชั้นปกครอง

เนื่องจากการปกครองที่กดขี่เกินไปนี้เอง ทำให้ยุคที่ปกครองโดยจอมเวทถึงกาลอวสานในที่สุด เมื่อกลุ่มจอมเวทบางส่วน และพวกลูกครึ่ง ได้ทำการทรยศเข้าร่วมกับมนุษย์ และบอกความลับของเวทมนต์ที่มนุษย์ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน ความลับที่ทำให้จอมเวทมีชัยชนะเหนือกว่ามนุษย์มานานถึงสี่ร้อยปี ไม่ใช่เวทมนต์ ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ แต่เป็น แกนกลาง ที่ฝังอยู่ในคฑา ไม้กายสิทธิ รวมทั้งเครื่องประดับของจอมเวทนั่นเอง

เมื่อความลับเรื่องแกนกลางถูกเปิดเผย จอมเวทกบฏได้มอบแกนกลางจำนวนหนึ่งพันชิ้นให้กับมนุษย์ เพื่อฝังลงในอาวุธของตน ก่อให้เกิดเป็นอาวุธมหาประลัยที่มีไว้เพื่อสังหารเหล่าจอมเวทโดยเฉพาะ

ด้วยระยะเวลาเพียงแค่สามปี มนุษย์ที่ติดอาวุธมหาประลัยโดยมีจอมเวทและลูกครึ่งช่วยเหลือ ก็สามารถขับไล่กลุ่มจอมเวทชนชั้นปกครองไปจากแผ่นดินของตนได้ และก่อตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ อาณาจักรที่จอมเวทและมนุษย์จะเท่าเทียม ทุกอย่างดูเหมือนจะลงเอยด้วยดี แต่ทว่า...

มนุษย์ที่พึ่งได้รับชัยชนะจากจอมเวทไม่นานนั้น แตกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มที่อยากอยู่ร่วมกับจอมเวทอย่างสันติ สนับสนุนการรวมเผ่าพันธุ์ เพื่อจะได้ไม่ต้องแบ่งแยกอีกต่อไป ในขณะที่มนุษย์อีกกลุ่มไม่คิดเช่นนั้น

อีกฝ่ายถึงแม้จะต้อนรับพวกลูกครึ่ง แต่พวกเขาต้องการจะกวาดล้างจอมเวทให้หมดสิ้นไป เพราะพวกเขามองว่าที่จอมเวทกลุ่มทรยศช่วยเหลือพวกเขา เพียงเพราะสูญเสียผลประโยชน์จากกลุ่มเดียวกัน ไม่ได้มีความจริงใจกับพวกเขาแต่อย่างใด และสุดท้ายพวกจอมเวทก็จะกลับมาปกครองมนุษย์อีกครั้งจนได้

ด้วยเหตุนี้ แผ่นดินบนทวีปซิโรมิก้าจึงแตกแยกออกเป็นสาม หนึ่ง อาณาจักรซอร์ติค ดินแดนที่ต้องการให้มีแต่มนุษย์เท่านั้น สอง อาณาจักรมากาเร็ตต้า ดินแดนที่มนุษย์และจอมเวทอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม และสุดท้าย แคว้นอาร์เนีย ดินแดนที่รอวันเข้าปกครองมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง...

และทั้งสามดินแดนนี้ ก็ยังคงทำทุกวิถีทาง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน...

Link to comment
Share on other sites

แกนกลางที่1 การรุกรานอีกครั้ง

เสียงค้อนกระทบเหล็กดังสนั่นเคร้งคร้างไปทั่วโรงงานผลิตอาวุธไม่ขาดสาย และเสียงเหล็กร้อนโดนน้ำเย็นสัมผัสดังซู่เป็นระยะ อาวุธที่ทำเสร็จแล้วถูกวางไว้บนที่พักอย่างดี ก่อนจะถูกแยกออกมาเพื่อทดสอบในขั้นตอนถัดไป ขั้นตอนในการนำ แกนกลาง ไปติดตั้งอีกทีหนึ่ง เพื่อให้อาวุธพวกนี้ กลายเป็นอาวุธมหาประลัยสำหรับทำลายล้างศัตรูคู่อริ

ตั้งแต่มีข่าวลือเรื่องจอมเวทลึกลับลอบเข้ามาภายในอาณาจักร จำนวนอาวุธมหาประลัยต่างถูกสั่งทำขึ้นไม่ขาดสาย สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับสมาคมพลังอาวุธ อย่างถล่มทลายในรอบสิบปี

สมาคมพลังอาวุธ คือหน่วยงานวิจัยเรื่องแกนกลาง สิ่งของสำคัญที่เป็นเสมือนหัวใจหลักของอาวุธในยุคนี้ แม้ว่าอาวุธที่ทำออกมากนั้นจะดีสักเพียงใด หากแต่ขาดแกนกลาง ก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องประดับชั้นดีเท่านั้น

แกนกลาง เป็นที่รู้กันดีว่ามันคือมนตราประดิษฐ์ชนิดหนึ่ง เป็นต้นกำเนิดพลังเวทมนต์ของผู้ใช้ อยู่ในรูปแบบของวัตถุ แกนกลางแต่ละอันนั้น ล้วนแล้วแต่มีชิ้นเดียวในโลก ตลอดระยะเวลาที่มนุษย์รู้เรื่องของแกนกลาง ก็ไม่เคยพบว่ามันมีรูปร่างหน้าตา หรือคุณสมบัติซ้ำกันเลยแม้แต่ชิ้นเดียว จะยกเว้นก็เพียงแต่ แกนกลางเทียม

และหน้าที่หลักของสมาคมพลังอาวุธนั้น ก็คือการสร้างแกนกลางเทียมขึ้นมานั่นเอง เพื่อใช้ทดแทนแกนกลางแท้ ซึ่งเป็นของที่หายาก และมีเพียงจอมเวทเท่านั้น ที่รู้วิธีค้นหา รวมถึงวิธีสร้าง

แกนกลางเทียม มีคุณสมบัติและพลังแฝงใกล้เคียงกับแกนกลางแท้ จะต่างกันก็ตรงที่แกนกลางเทียมใช้ได้จำกัดจำนวนครั้ง ในขณะที่แกนกลางแท้จะใช้ได้อย่างถาวร

การทำอาวุธยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โดยมีคนตรวจงานอย่างเข้มงวด ชายวัยฉกรรจ์หัวหงอกไว้หนวดเครา สวมแต่กางเกงขาสั้น เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งทุกสัดส่วน เพราะใช้แรงงานทำอาวุธมาชั่วชีวิต เขากำลังเดินตรวจตราอาวุธภายในโรงงานอย่างตั้งใจ กล่าวตักเตือนเด็กฝึกหัดตีดาบคนหนึ่ง ที่ตีดาบผิดวิธี ก่อนจะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

“โอ้โห!! ทำงานกันเคร่งเครียดเชียว”

เสียงตะโกนด้วยความประหลาดใจ ทำเอาชายวัยฉกรรจ์ ที่กำลังสอนตีดาบให้กับเด็กอายุสิบห้า หันมองหาต้นเสียงก่อนจะลงมือตีดาบต่อ เขารู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร จึงตอบกลับไปโดยไม่มอง

“เจ้าชอง ถ้าแกว่างนักก็ไปช่วยคุณทอมสันเขาตรวจนับจำนวนอาวุธหน่อย ลูกค้าเราคราวนี้ไม่ใช่เล่นๆ เกิดผิดพลาดขึ้นมาเดี๋ยวจะโดนปลดออกจากสมาคม”

“คร้าบๆ ไว้ผมจะไปช่วย” มีเสียงลากยาวตอบกลับมาอย่างสบายอารมณ์ และเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้บริเวณ “เห็นคุณลุงบิลทำหน้าเครียดแล้วอดห่วงไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”

ชายฉกรรจ์ที่ชื่อบิลแอบยิ้มน้อยๆ ก่อนจะนำดาบที่ตีวางไว้ให้ช่างคนเดิมตีต่อ เขาทำหน้าขรึมให้เป็นปกติ ก่อนจะหันไปมองต้นเสียง

ชองนั้นเป็นเด็กหนุ่มผมบลอนด์น้ำตาลเข้ม ดวงตาสีเขียวมะกอก ใบหน้ารูปไข่ รูปร่างเก้งก้างแบบวัยรุ่นทั่วไป ความจริงเขาจะดูดีกว่านี้ หากไม่สวมเสื้อเก่าๆ ขาดๆ เสื้อผ้าของคนงานนั่นเอง

“คุณลุงบิล ใครที่สั่งทำอาวุธจำนวนมากขนาดนี้ครับ” ชองเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ น้ำเสียงนุ่มทุ้มของเขาทำให้คนแก่อย่างบิลชื่นชอบเขายิ่งกว่าใคร ตลอดระยะเวลาที่ทำงานร่วมกันมาตลอด

“ท่านดยุคเฮนรี่น่ะ ใต้เท้าท่านกังวลเรื่องจอมเวท” คุณลุงบิลตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในขณะที่เด็กหนุ่มอย่างชองหรี่ตาลง เขาไม่ค่อยถูกกับคำว่าจอมเวทมากนัก เขามีความหลังกับคำนี้

“แกเองก็ทราบข่าวที่ว่าจอมเวทบุกเข้าเมืองแล้วใช่มั้ย!!”ลุงบิลเอ่ยถามเขาด้วยท่าทีเคร่งเครียด “ล่าสุดเมื่อคืน...เอ่อ ทหารลาดตระเวนประจำเมืองโดนสังหารยี่สิบห้าคน ตามตัวจอมเวทไม่ได้ตามเคย --  ชอง!!แกรู้ว่าทหารลาดตระเวนฝีมือเป็นยังไง แกเคยประดาบกับพวกเขานี่”

“งั้นๆครับ” ชองตอบเสียงเรียบเฉย “ให้พูดตามตรง เอาพวกมันไปเป็นคนทำนายังจะดีซะกว่า ประลองกันไม่ถึงห้ากระบวน ดาบพวกมันก็หลุดมือแล้ว”

คำตอบของเด็กหนุ่มตรงหน้า ทำเอาลุงบิลกุมขมับ พรสวรรค์ด้านการใช้อาวุธมหาประลัยของชองนั้นสูงมาก จนทหารที่ประดาบด้วยถึงขนาดบอกว่า นี่ไม่ใช่ฝีมือของเด็กอายุสิบเจ็ดปีแน่นอน และยังเคยชักชวนชองให้เข้ามาทำงานเป็นทหารด้วยซ้ำ

แต่มีหรือ รายได้ทหารระดับล่างถึงกลางจะสู้ช่างทำอาวุธมหาประลัยได้...ชองปฏิเสธอย่างไม่ลังเล

“ไม่ต้องให้ใครบอกก็รู้” ลุงบิลพูดพร้อมถอนใจ “ฉันเดาว่าเป้าหมายของพวกมันครั้งนี้คือสมาคมพลังอาวุธแน่นอน เฮ้อ...”

“แล้วไงหรือครับ!” ชองถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่คำพูดมีน้ำหนักมากขึ้น แววตาแข็งกร้าวของเขาทำเอาคุณลุงบิลชะงัก “จอมเวทคงไม่เข้าเมืองมาเพื่อเดินเล่นเฉยๆแน่นอน พวกมันมีเป้าหมาย...และหน้าที่ของสมาคมพลังอาวุธอย่างพวกเรา ก็คือกำจัดพวกมัน”

บรรยากาศในโรงผลิตอาวุธดูร้อนขึ้นทันตา เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนใบหน้าของคุณลุงบิล  เด็กหนุ่มตรงหน้าเขาที่ดูมีมารยาทและสุภาพเปลี่ยนไป กลายเป็นเด็กที่ดูเคร่งเครียดในบัดดล

ชองเดินไปหยิบดาบในส่วนที่ทำเสร็จแล้ว ของช่างฝึกหัดมาถือไว้ในมือ เขาติดแกนกลางสีแดงซึ่งหยิบออกมาจากกระเป๋า ใส่ลงในโกร่งดาบที่กรวงโบ๋ แกนกลางสีแดงส่องแสงสว่างจ้า ตอบรับผู้ที่กำลังใช้มันทันที

ดาบธรรมดาส่องแสงสีแดงทั่วทั้งใบ พลางสั่นสะเทือนน้อยๆ พลังเอ่อล้นออกมาจากตัวดาบจนคนรอบบริเวณรู้สึกร้อนไปตามๆกัน แกนกลางนี้เปลี่ยนดาบธรรมดา ให้กลายเป็นดาบเพลิงที่สามารถใช้มนต์ของธาตุไฟได้

เขาเงื้อดาบจนสุดมือแล้วฟาดมันลงไปที่แท่นลองดาบอย่างสุดแรง พลางพูดออกท่าโจมตี

“เบลด อินเฟอร์โน!! (Blade Inferno)”

เพล้ง!!

แต่ผลที่ได้ไม่น่าพอใจ ใบดาบหักออกเป็นสองท่อนทันทีที่ปะทะกับแท่นลองดาบ แสงของแกนกลางดับวูบ ก่อนร่วงลงจากโกร่งดาบที่มันฝังอยู่ อาวุธชิ้นนี้ยังไม่ดีพอ ชองหันไปมองเจ้าของผลงานอย่างตำหนิ

“เด็กฝึกหัด!! นายทำมีดดายหญ้ามาฆ่าจอมเวทหรือไงกัน!!” ชองตะโกนลั่น เมื่อผลงานตรงหน้าไม่เป็นที่พอใจ ในขณะที่เด็กตีดาบตัวสั่นเทิ้ม

“จงอย่าลืมว่าเราทำดาบ...ดาบที่ฆ่าจอมเวท ไม่ใช่ดาบสำหรับดายหญ้า”

ดาบหักครึ่งถูกเขวี้ยงลงกระบะสำหรับใส่ของคัดทิ้ง ก่อนที่ชองจะสาวเท้าออกไปข้างนอก เพื่อสงบสติอารมณ์

เด็กฝึกหัดตีดาบก้มหน้านิ่ง ความพยายามอย่างเต็มที่ของเขาล้มเหลว เขาก้มลงเก็บแกนกลางที่ชองทิ้งไว้ให้ พร้อมกำมันไว้แน่น เขาเก็บมัน เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงความล้มเหลวครั้งนี้

“เออ...ฉันลืมสนิทเลยละ ว่าอย่าพูดถึงจอมเวทให้มันได้ยิน” คุณลุงบิลกล่าวพลางทอดถอนใจ ก่อนจะไล่เด็กฝึกงานให้ไปพักผ่อน และลงมือตีดาบด้วยตัวเอง

ชองถึงแม้จะดูเป็นเด็กร่าเริงและสุภาพ แต่เขาก็มีข้อเสีย ข้อเสียของเขานั้นเป็นบุคลิกที่ตรงกันข้ามกับตอนปกติ เมื่อเขาโกรธ เขาจะกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนและแสดงท่าทีหยาบคาย โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร บ่อยครั้งที่เขามีเรื่องชกต่อยกับเด็กละแวกใกล้เคียง ไปจนถึงท้าประลองกันด้วยอาวุธมหาประลัย และด้วยสถิติชนะรวดของเขา จึงทำให้ทุกคนเกรงกลัว และไม่กล้ายุ่งกับเขาอีกเลย...จนเขากลายเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนไปในที่สุด

ชองไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิด เขามาอยู่ที่โรงงานผลิตอาวุธได้แค่สามปีเท่านั้น ภัยสงครามจากอาณาจักรอื่นทำให้เขาต้องมาอพยพมาที่นี่

สงครามจากการปฏิวัติอาณาจักรมากาเร็ตต้า อาณาจักรที่เป็นบ้านเกิดของเขา อาณาจักรเพียงแห่งเดียวในโลก ที่มีอุดมการณ์ที่จะทำให้จอมเวทและมนุษย์ อาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข แต่นั่นก็เป็นแค่อุดมการณ์เพ้อฝันเท่านั้น

หลังจากกษัตริย์และราชินีของมากาเร็ตต้า โดนโค่นล้มอำนาจโดยกลุ่มคณะปฏิวัติซึ่งเป็นจอมเวท มากาเร็ตต้าก็เจริญสัมพันธไมตรีกับอาร์เนีย จอมเวทกลับมาอยู่บนจุดสูงสุดของสังคมอีกครั้ง ในขณะที่มนุษย์และลูกครึ่งสูญเสียเสรีภาพหลายๆอย่างไป บางกลุ่มถูกจับเป็นทาสอีกครึ้งหนึ่ง

และภัยจากสงครามยังลามมาถึงซอร์ติค เมืองซึ่งยินดีต้อนรับผู้อพยพจากมากาเร็ตต้าให้มาหลบภัย อาร์เนียประกาศสงคราม และเริ่มโจมตีซอร์ติคก่อน สงครามที่หมดไปเกือบร้อยปีจึงเริ่มต้นอีกครั้ง

ชองเองก็เป็นหนึ่งในผู้อพยพดังกล่าว และผลจากภัยสงครามทำให้ความทรงจำของเขาขาดช่วง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนที่เขาอยู่ที่มากาเร็ตต้า พ่อแม่ของเขามีหน้าตายังไง ทำอาชีพอะไร เขามีญาติพี่น้องหลงเหลืออยู่ที่นั่นอีกหรือเปล่า

นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาเกลียดพวกจอมเวทเข้าไส้ จอมเวทได้พรากทุกอย่างไปจากเขา

...เมื่อชองอารมณ์สงบ เขากลับมายังโรงตีอาวุธอีกครั้ง และเริ่มตีดาบชดเชยที่เขาทำพังไป ในโรงตีดาบตอนนี้เหลือเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ในขณะที่คนอื่นออกไปพักยามบ่าย

........................

เวลาตกเย็น ท้องฟ้ามืดไวกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ลมพัดกรรโชกแรงซะจนต้นไม้ใหญ่เอนเอียง เม็ดฝนกระหน่ำอย่างหนัก จนผู้คนในตัวเมืองต้องรีบเข้าที่พักเพื่อหลบฝน เมฆสีดำส่งฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างมากกว่าที่ควรจะเป็น สายฟ้าที่ทอดผ่านลงมายังก้อนเมฆหมอกเทานั้นเป็นสีแดง บ่งบอกให้รู้ว่ามันไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ หากแต่เป็นฝีมือของจอมเวท

ถนนคอนกรีตที่ไร้ผู้คนเพราะฝนตกหนักนั้น ปรากฏร่างของคนๆหนึ่ง เดินทอดยาวไปตามหนทาง มุ่งสู่คฤหาสน์ของเจ้าหญิงโจแอนนา พระธิดาคนโตของดยุคเฮนรี่ และคู่หมั้นของรัชทายาทแห่งซอร์ติค

ร่างที่กำลังทอดเดินนั้นไม่อาจระบุได้ว่าเป็นชายหรือหญิง เพราะผ้าคลุมสีดำที่บดบังตั้งแต่หัวจรดเท้า และใบหน้าที่ถูกซ่อนเอาไว้ในเงามืด และสิ่งที่หน้าประหลาดใจนั้นก็คือ เม็ดฝนทุกเม็ด ล้วนไม่ถูกผ้าคลุมสีดำแม้แต่น้อย

เขาเดินมาจนถึงรั้วปราสาทของเจ้าหญิงที่เป็นเป้าหมาย กลุ่มทหารองครักษ์นับสิบ ต่างเตรียมพร้อมต่อสู้ อาวุธทุกชิ้นของทหารเรืองแสงสีต่างๆออกมา บ่งบอกให้รู้ว่าพวกเขาใช้อาวุธมหาประลัย

การต่อสู้กันระหว่างจอมเวทและมนุษย์กำลังจะเริ่มขึ้น ท่ามกลางสายฝนและพายุที่โหมกระหน่ำ โดยมีคฤหาสน์ของเจ้าหญิงเป็นฉากหลัง...

...ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น หากแต่ในสายตาของจอมเวท พวกมนุษย์ตรงหน้านั้นกระจอกเกินไป

“แค่จับนังลูกสุนัขพันธุ์ดีตัวเดียวก็พอสินะ...ส่วนหมาจรจัดที่เหลือ ให้มันกลายเป็นผงละกัน”

เสียงบ่นเบาๆของจอมเวทในชุดคลุมลึกลับ ก่อนที่เขาจะสะบัดมือขวาออกไปตรงหน้า นิ้วโป้งของเขาเรืองแสงสีน้ำเงิน ส่วนนิ้วกลางเรืองแสงสีแดง ในขณะที่อาวุธมหาประลัยของทหารทุกคนต่างสิ้นแสงลง เมื่ออีกฝ่ายซึ่งเป็นจอมเวทใช้พลังงานจากแกนกลางของตน

สีหน้าตื่นเต้น โกรธเกลียด หรือมุ่งมั่น ได้หายไปจากทหารทุกนาย กลายเป็นสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ทหารทุกนายที่ตั้งท่าต่อสู้นั้นหยุดนิ่ง ไม่เคลื่อนไหวใดๆราวกับเป็นรูปปั้น แกนกลางทุกอันจากอาวุธของพวกเขาร่วงหล่นสู่พื้น ก่อนแตกสลายไป ริมฝีปากซึ่งซ่อนอยู่ในเงามืดภายใต้ผ้าคลุมฉีกยิ้มน้อยๆ

“แกนกลางปลอมของพวกสุนัข...ไม่มีวันสู้อาวุธเวทมนต์ของฉันได้หรอก”

ประตูรั้วถูกผลักเข้าไปได้อย่างง่ายดาย โดยที่กลุ่มทหารยามผู้เฝ้าประตูไม่ขัดขวาง เพราะว่าพวกเขาทุกคนเหลือเพียงแต่ร่างกาย หากแต่ไร้ลมหายใจ

แค่เพียงจอมเวทปริศนาดีดนิ้วหนึ่งที ร่างของทหารยามทุกนายแตกสลายร่วงลงสู่พื้น อวัยวะทุกชิ้นและลิ่มเลือดแหลกละเอียดราวกับเศษกระจกที่โดนบดเป็นผง

“มนุษย์เอ๋ย” เสียงเย็นชาเรียบเฉยดังออกมาจากจอมเวทปริศนา พลางมองเศษแก้วมากมายกองอยู่กับพื้น ที่ครั้งหนึ่ง พวกมันเคยเป็นคนมาก่อน “บ้านน่ะ เขาไว้ให้จอมเวทอยู่ ไม่ใช่ที่สำหรับพวกสุนัขอย่างแก”

โดยไร้ซึ่งผู้ใดขัดขวาง จอมเวทลึกลับก้าวเข้าไปในบริเวณสวนได้อย่างสบายๆ ราวกับกำลังเดินอยู่ในสวนของตัวเอง สิ่งที่ทำให้เขาต้องเหนื่อยมีเพียงอย่างเดียว นั่นคือกำจัดมนุษย์ที่ไร้ทางสู้ภายในบริเวณ

“เวลาที่สุนัขจรจัดเล่นบทปกครองตัวเองได้หมดลงแล้ว...” จอมเวทลึกลับกล่าวพลางดีดนิ้วเรื่อยเปื่อย ในขณะที่เสียงแก้วแตกก็ดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย ร่างมนุษย์หลายร่างแหลกสลายลง ราวกับจะเข้าจังหวะเพลงดีดนิ้ว

“...นายของพวกเจ้าออกตามหา เพื่อเอาปลอกคออันมีค่าของพวกเรา มาสวมให้กับเจ้า ทำไมไม่รีบกระดิกหางออกมารับด้วยความยินดี”

เมื่อมาถึงหน้าคฤหาสน์สีขาวเรือนงาม ซึ่งดูมั่นคงและแข็งแรงมากจนมิอาจทำลายด้วยอาวุธใดๆ เพราะแกนกลางเวทมนต์ ซึ่งทำจากเหล็กกล้าฝังอยู่กลางคฤหาสน์ แกนกลางเหล็กป้อมปราการ เมื่อมันปิดผนึก จะไม่มีผู้ใดสามารถฝ่าเข้าไปในที่แห่งนี้

...แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่อาจกั้นให้สายฝนชโลมจนทั่วทุกบริเวณได้ จอมเวทลึกลับหัวเราะลั่นด้วยความยินดี ก่อนจะกล่าวอารัมภบทประจำตัวของตัวเองต่อ

“แต่ที่อยู่อันน่ารังเกียจของพวกแก ขวางนายของเจ้าอย่างพวกเราเอาไว้...”

จอมเวทลึกลับปรบมือจนดังสนั่นหนึ่งที คฤหาสน์ก็ถูกน้ำแข็งเกาะ และความเย็นก็ซึมเข้าไปทุกสัดส่วนของตัวบ้าน จนรวมเป็นเนื้อเดียว ด้วยอำนาจของแกนกลางสีฟ้าบนมือเขา อำนาจในการแทรกซึม

“ข้าขอบัญชาในนามแห่งผู้วิเศษ!! ปราการขวางกันสุนัขจากนายของมันจงพินาศสิ้น!!”

แกนกลางเหล็กป้อมปราการเกิดรอยร้าว ก่อนจะแตกสลายไป คฤหาสน์สีขาวเรือนงามพังทลายลงมาจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมหลังจากนั้น ด้วยอำนาจของแกนกลางสีแดง ซึ่งส่องสว่างบนมือของจอมเวทนี้อีกอัน อำนาจในการสลาย

“และนังสุนัขตัวเมียขนทอง จงวิ่งรี่เข้ามา!! เลียมือและรองเท้าของผู้เป็นนายมันซะ!!” จอมเวทลึกลับตะโกนออกคำสั่งด้วยอารัมภบทประจำตัว แต่ดูเหมือนคราวนี้จะไม่เป็นไปตามที่เขาคาด

สายตาในเงามืดที่ซ่อนใต้ผ้าคลุมของเขา พลันเหลือบเห็นผู้รอดชีวิตกลุ่มหนึ่งหลบหนีเข้าไปในป่า หญิงสาวผมบลอนด์ทอง ในชุดกระโปรงสีฟ้ามีลูกไม้ประดับ กำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต โดยมีแม่บ้าน และทหารอีกสองคนตามไปอย่างติดๆ

ใบหน้าที่ซ่อนในเงามืดฉายแววเกรี้ยวกราด เขาเหวี่ยงมือออกข้างลำตัวอย่างฉุนเฉียว จนต้นไม้รอบตัวเขาระเบิด และหักโค่นลง

“นังหมาเลว!! ไม่คิดแม้แต่จะกระดิกหางรับ”จอมเวทลึกลับสาวเท้าตามอย่างรวดเร็ว”..ดูเหมือนว่าพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ของแก จะไม่ได้อบรมสั่งสอนสินะ ว่าเวลาเจ้านายมาหาแล้วต้องทำยังไง”

จอมเวทเลิกกล่าวอารัมภบทประจำตัว แต่คำพูดที่เต็มไปด้วยการเหยียดหยามและแบ่งชนชั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยน

.........................................

ภายในโกดังเก็บอาวุธที่ทำเสร็จแล้วนั้น ล้วนเต็มไปด้วยอาวุธหลากหลายชนิด ตั้งแต่ดาบยุคโบราณอย่างบาสตาร์ด จนถึงดาบสมัยใหม่อย่างเรเปีย หอกยาวสำหรับแทงอย่างเดียว ไปจนถึงง้าวที่มีขวานสับและขอเกี่ยว และอาวุธที่รูปร่างพิศดารจนไม่ทราบวิธีใช้งาน

รวมทั้งอาวุธระยะไกลอย่างธนู หน้าไม้ ไปจนถึงปืนไฟ และปืนใหญ่ก็ถูกเก็บไว้ภายในโกดังแห่งนี้ สมาคมพลังอาวุธนั้น รับทำอาวุธทุกชนิด ที่สามารถติดแกนกลางได้นั่นเอง

แกนกลางนั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่สิ่งที่ดูเหมือนชิ้นไม้เล็กๆ ก้อนหินดำๆ ไปจนถึงหินมีค่าระดับกลาง อย่างทับทิม ไพลิน หยก พลอย ซึ่งการดูแลรักษา และการบริการก็จะต่างกันไป ตามแต่ระดับความมีค่าของแกนกลาง

ประตูโกดังถูกเปิดออก พร้อมกับเสียงหวีดหวิวของพายุ และเม็ดฝนที่กระหน่ำอย่างแรงเข้ามาภายในบริเวณ ชองซึ่งเปียกโชกไปด้วยฝนรีบวิ่งเข้ามาในโกดัง สองมือของเขาอุ้มลังไม้เล็กๆสีดำเอาไว้

ชายที่ตามเข้ามาอีกคนรีบปิดประตูโกดังอย่างรวดเร็ว เขามีอายุมากกว่าชองไม่มากนัก เป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ชื่อว่าทอมสัน ผู้ดูแลฝ่ายบัญชีของสมาคมพลังอาวุธนั่นเอง

ทอมสันนั้นเหมือนนักวิชาการ ผมบลอนด์ทองเข้มหวีเป็นระเบียบ สวมแว่นสายตาซึ่งมีราคาแพง และชุดสูทสีดำ ซึ่งนั่นคือภาพลักษณ์เมื่อก่อน ตอนนี้สภาพเขาเองก็ไม่ต่างอะไรกับชอง หยดน้ำไหล่เอ่อนองจากกางเกงขายาวของเขาไม่ขาดสาย

ทอมสันคว้าผ้าเช็ดทำความสะอาด ซึ่งวางไว้บนปืนใหญ่อันหนึ่ง มาเช็ดมือให้แห้งสนิท ระหว่างเดินเขาก็นับจำนวนปืนใหญ่ ซึ่งมีก้อนหินสีดำหม่นติดอยู่กลางตัวปืน พลางพยักหน้าเพื่อบอกตัวเองว่าเรียบร้อย ก่อนจะไปดูปืนไฟ ซึ่งแกนกลางที่ติดมีตั้งแต่ไม้ จนถึงหยกสีเขียว

...ท่ามกลางความเงียบ ประตูโกดังที่น่าจะถูกทอมสันปิดลงแล้วนั้น กลับปรากฏรอยแง้มเล็กๆ ขนาดพอให้คนเข้ามาได้ และรอยแง้มประตูนั้นก็ปิดลงเหมือนเดิม พร้อมกับเสียงฝีเท้าซึ่งไร้เจ้าของ เสียงเงียบเชียบมากจนสองคนก่อนหน้านั้น ไม่มีวันรู้ตัว เพราะเสียงฟ้าฝนที่ตกลงมาอย่างหนักช่วยกลบทับเอาไว้

“ฉันจะทดสอบอาวุธที่ผลิตขึ้นใหม่” ทอมสันกล่าวขณะยกปืนไฟขึ้นมา เทดินปืนที่บรรจุในห่อกระดาษและเม็ดกระสุนใส่ลงตรงปากกระบอก

“ระวังด้วยละครับ” ชองกล่าวเตือน ก่อนจะนำกล่องไม้ซึ่งใส่แกนกลางไปเก็บเข้าที่อย่างรวดเร็ว เพื่อดูสาธิตการยิงปืนของคุณทอมสัน

“เชื่อหรือเปล่า ว่าตอนฉันอายุเท่าเธอ ฉันเป็นทหารเสือมือหนึ่งเลยละ” ทอมสันอวดอ้างด้วยน้ำเสียงที่ภูมิใจกับอดีต ก่อนจะดึงเหล็กกระทุ้งที่ติดแนบตัวปืนออกมา และสอดมันลงไปในปากกระบอกปืน กระทุ้งสิ่งของที่ใส่ลงไปก่อนหน้าอยู่หลายที ราวกับตำข้าว

ชองพยักหน้ารับอย่างสุภาพ ตัวเขาซึ่งมาทำงานได้แค่สามปี ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนๆนี้มากนัก แต่ในใจก็แอบไม่เชื่อถือ เพราะงานปัจจุบันของเขามันดูไม่เกี่ยวข้องกับอดีตเลยแม้แต่น้อย

แต่แล้วเขาก็ต้องถอนความคิดดูแคลนนั้นทิ้ง ทอมสันยกปืนขึ้นประทับบ่าอย่างรวดเร็ว!! ลำกล้องปืนไม่ได้เล็งไปที่เป้าซ้อมยิง หากแต่เล็งไปยังประตูที่พวกเขาพึ่งเข้ามา หยกบนตัวปืนส่องแสงสีเขียวสว่างจ้า

ปัง!!

กระสุนที่ลั่นออกไปยิงโดนร่างของสิ่งมีชีวิต ร่างล่องหนซึ่งอยู่ไกลจากพวกเขาไม่ถึงสามเมตร เลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากจุดที่น่าจะเป็นหัวของร่างที่มองไม่เห็น เสียงดังตุบของร่างที่ร่วงหล่นนั้น บ่งบอกว่าเป้าหมายตายแล้ว

“ผ้าคลุมล่องหนแบบนั้น พวกจอมเวท!! มันแอบเข้ามาพร้อมกับพวกเรา” คุณทอมสันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก่อนจะเลิกตั้งท่าปืนประทับบ่า วิ่งเข้าไปใกล้เป้าหมายล่องหนนั่น

เขาดึงสิ่งที่เสมือนผ้าออกจากร่างล่องหน ผ้าคลุมล่องหน เผยให้เห็นว่าภายใต้ผ้าคลุมนั้น เป็นหญิงสาว

ร่างอ้อนแอ้นของหญิงสาวผมบลอนด์เงิน เส้นผมทุกเส้นยาวเป็นประกายดั่งไข่มุก สวมชุดคลุมสีขาวสะอาดขลิบทองนอนแน่นิ่ง ร่างนี้คงจะดูงดงามไม่แพ้เจ้าหญิง หากกลางหน้าผากเธอไม่มีรอยโดนกระสุนเจาะ

“ผู้หญิงนี่” ชองกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เขารู้สึกเสียใจ และสงสารเธอขึ้นมาฉับพลัน หญิงสาวที่ดูอ่อนแอไร้ทางสู้ กลับต้องมาตายโดยไม่ทันเตรียมใจ

ร่างที่นอนแน่นิ่งถือคฑาสีทองในมือขวา ความสุกปลั่งและความเปล่งประกายนั้นราวกับทองคำแท้ บนยอดคฑามีทับทิมสีแดงเม็ดโตประดับไว้ บ่งบอกว่ามันคืออาวุธที่ติดแกนกลาง

ความรู้สึกคุ้นเคยและโหยหา เอ่อล้นออกมาจากจิตใต้สำนึกของชอง เมื่อจ้องมองคฑาเล่มนี้ ภาพในหัวเขาแล่นเข้าสู่สมองราวกับถูกฟ้าผ่า ภาพตัวของเขาเอง กำลังคุกเข่าหน้าบัลลังค์ และรับคฑาที่จอมเวทหญิงคนนี้ถือไว้ จากคนที่มีศักดิ์สูงกว่าเขา

“นี่มันอะไรกัน!!” ชองกุมหน้าผากแน่น เส้นเลือดในสมองเต้นตุบๆจนเขารู้สึกหน้ามืด

“เธอคงคิดเหมือนฉันสินะ” ทอมสันกล่าวขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศ เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีของชอง“เธอดูอ่อนแอ และไร้ทางสู้ แต่มนุษย์เราเสียท่าให้กับสิ่งสวยงามเช่นนี้มากว่าสี่ร้อยปีแล้วละ และสิ่งที่อยู่ภายในของจอมเวทพวกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นปีศาจโสโครก และน่ารังเกียจ...”

...ไม่ทันให้สองคนได้คุยอะไรกันไปมากกว่านี้ สัญญาณขอความช่วยเหลือจากโบสถ์ก็ดังสนั่น

เสียงระฆังดังสนั่นเป็นสัญญาณ ซึ่งแม้ในยามที่พายุฝนซัดโหมกระหน่ำเช่นนี้ ก็ยังได้ยินกันแทบทั้งเมือง ระฆังสัญญาณตีรัวต่อเนื่องไม่เป็นจังหวะ เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงว่าเมืองถูกโจมตี โจมตีโดยสิ่งที่มนุษย์ไม่ได้เจอมากว่าหลายสิบปีแล้ว จอมเวท!!

คบไฟถูกจุดขึ้นภายในบ้าน จนเมืองทั้งเมืองส่องสว่าง ชาวบ้านส่วนมากซึ่งมีอาวุธติดแกนกลางต่างออกมาล่าจอมเวท ไม่เว้นแม้แต่สมาคมพลังอาวุธ สายฝนที่พัดโหมกระหน่ำไม่ใช่อุปสรรคของพวกเขา

ประตูโกดังถูกเปิดอีกรอบ หัวหน้าช่างบิล และลูกมือนับสิบทยอยกันมายังโกดังเก็บอาวุธ ทอมสันพยักหน้ารับ ก่อนจะใช้ปืนชี้ไปยังร่างที่แน่นิ่งต่างนิ้ว

“มีหนึ่งตัวบุกเข้ามาในโกดังนี้” ทอมสันรายงาน “ผมคิดว่าควรจะกระจายกำลังเฝ้าทุกทางของโรงงานแห่งนี้ รวมทั้งเกณฑ์ชาวบ้านบางส่วนมาช่วยด้วย”

“ฉันเห็นด้วย” ลุงบิลกล่าวตอบรับ “ดูจากที่มันลักลอบเข้ามาในโกดังที่มีคนเข้าออก พวกมันคงยังไม่รู้ ว่าของสำคัญที่พวกมันต้องการ อยู่ที่ไหน”

ทอมสันพยักหน้ารับ พลางมองกลุ่มคนที่เหลือ พวกเขาทุกคนมีสีหน้าตื่นเต้น บ้างก็ดูหวาดกลัว เพราะบางคนตั้งแต่เกิดมา ก็พึ่งจะได้สู้กับจอมเวทเป็นครั้งแรก รวมทั้งตัวเขาเองด้วย

“หัวหน้าของฉันได้สอนมา!! ตำราพิชัยสงครามทั่วไป ใช้กับจอมเวทไม่ได้” ทอมสันประกาศก้อง “เพราะพวกมันทั้งล่องหน บินบนฟ้า หรือแม้กระทั่งดำดินได้ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเรา ก็คือตั้งรับภายในอาณาเขตของเราเอง เอาละ เริ่มสู้ตายกันได้!!”

ทุกคนเข้ามาในโกดังเหมือนรู้งาน ลุงบิลหยิบขวานศึกต่อด้ามยาวขนาดใหญ่ ซึ่งมีแกนกลางเป็นหินสีดำ ฝังลงในใบขวาน ส่วนอีกหลายคนกระจายกันทั่วทั้งโกดังเพื่อเลือกอาวุธที่ตัวเองถนัด

“ชอง แกเลือกอาวุธแล้วคอยเป็นผู้ช่วยของคุณทอมสัน เฝ้าในนี้เอาไว้ ห้ามออกไปไหน” ลุงบิลตะโกนก้อง ทำเอาชองที่กำลังสับสนฟื้นคืนสติ ส่วนทอมสันพยักหน้ารับคำสั่งต่อจากนี้ “ทอมสัน ฉันจะทิ้งลูกน้องไว้ให้สามคน สั่งการตามเห็นสมควร”

เมื่อทุกอย่างพร้อม ทุกคนได้ไปเฝ้าทุกจุดตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้ กำลังของสมาคมอาวุธเวลานี้ ไม่พอที่จะไปสมทบกับทหาร หรือชาวบ้านภายนอก พวกเขาต้องป้องกันตัวเองก่อน

เสียงระเบิดกัมปนาทดังต่อเนื่องจนแก้วหูแทบแตก แผ่นดินไหวเป็นระยะๆจนทุกคนแทบทรงตัวไม่อยู่ ดูท่าจอมเวทจะเปิดฉากโจมตีมนุษย์อย่างจริงจัง ทิศทางการต่อสู้อยู่ห่างจากสมาคมอาวุธไม่มากนัก

ทอมสันวางปืนไว้ที่เดิม หยิบดาบเรเปียเหน็บเข้าที่เอว พร้อมทั้งถือหน้าไม้และสะพายซองลูกศรไว้ข้างหลัง ถึงแม้ฝนจะตกเบาลงไปมาก แต่ความชื้นในอากาศก็เป็นอุปสรรคต่อการเผาไหม้ของดินปืน

“เก็บคฑาของหล่อนซะ” ทอมสันตะโกนทิ้งท้ายก่อนวิ่งออกไป “ฉันจะไปซุ่มบนหลังคา แกดูข้างในนี้ให้ดี ใครเข้ามาฆ่ามันได้ทันที!!”

“ครับ” ชองรับคำเสียงแข็ง ก่อนจะมองไปทั่วทั้งโกดังเพื่อเลือกอาวุธ จริงอยู่ที่เขาตื่นกลัว กับเหตุการณ์สงครามจริงๆในช่วงแรก แต่เมื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ความชิงชังจอมเวท เข้ามาในหัวเขาอีกครั้ง

...เป็นโอกาสที่เขาจะได้สังหารมันจริงๆ อย่างที่เขาพูดเอาไว้

ดาบเรเปียซึ่งติดหยก อันเป็นเป็นแร่ที่ดีที่สุดในโกดังนี้ ถูกดึงออกจากที่เก็บ ชองสะพายมันเอาไว้ที่เอว ก่อนจะเดินไปยังร่างของจอมเวทสาวที่นอนอยู่ แม้จะรู้ว่าตรงหน้าเขาคือศพ แต่เขาก็ยังอดกลัวว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาตอนใดตอนหนึ่ง  แล้วจู่โจมตอนเขาไม่ทันตั้งตัว เขารีบคว้าคฑามาอย่างรวดเร็ว แล้วถอยห่างจากร่างนั้น

เปรี้ยง!!

ฟ้าผ่าดังสนั่นจนแก้วหูอื้ออึง ราวกับมันมาผ่าข้างหู แสงจากสายฟ้าสว้างจ้าจนเขาต้องปิดตา ยิ่งรู้ว่ามันไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติด้วยแล้ว ทำให้เขายิ่งระวังตัว

เมื่อทั้งเสียงและแสงหยุดลง เขาก็ต้องพบกับสิ่งที่เขากลัวว่ามันจะเป็นจริง ร่างที่เคยนอนแน่นิ่งไม่อยู่ที่เดิม

จอมเวทหญิงที่นอนเป็นศพหายไปแล้ว!!

“คิดว่าฉันตายไปจริงๆสินะ...เจ้าหมาตัวผู้”

น้ำเสียงไม่สบอารมณ์ดังมาจากด้านข้าง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าของเด็กหนุ่ม เขาพยายามกัดฟันให้แน่น เพื่อไม่ให้มันสั่นกระทบกันไปมากกว่านี้

สาเหตุที่เขากลัว ไม่ใช่เพราะเธอฟื้นคืนจากความตาย หรือดวงตาสีเงินใสบนใบหน้าได้รูป ที่กำลังจ้องมองเขาด้วยท่าทีเคียดแค้น หากแต่เป็นมีดสั้นในมือซ้าย ซึ่งเธอถือมันจ่อคอของเขาเอาไว้ แกนกลางที่ติดตรงหัวด้ามจับส่องแสงสีทอง บ่งบอกว่าเธอเอาจริง

ในเวลานี้ ขณะที่ข้างนอกกำลังวุ่นวายกับการป้องกันการรุกรานจากจอมเวท พวกเขาไม่รู้เลย ว่ามีจอมเวทหนึ่งคน ทำความประสงค์ของพวกพ้องให้เป็นจริงแล้ว...

Link to comment
Share on other sites

เขาเงื้อดาบจนสุดมือแล้วฟาดมันลงไปที่แท่นลองดาบอย่างสุดแรง พลางพูดออกท่าโจมตี

“เบลด อินเฟอร์โน!! (Blade Inferno)”

เพล้ง!!

  แต่ผลที่ได้ไม่น่าพอใจ ใบดาบหักออกเป็นสองท่อนทันทีที่ปะทะกับแท่นลองดาบ แสงของแกนกลางดับวูบ ก่อนร่วงลงจากโกร่งดาบที่มันฝังอยู่ อาวุธชิ้นนี้ยังไม่ดีพอ ชองหันไปมองเจ้าของผลงานอย่างตำหนิ

 

“เด็กฝึกหัด!! นายทำมีดดายหญ้ามาฆ่าจอมเวทหรือไงกัน!!” ชองตะโกนลั่น เมื่อผลงานตรงหน้าไม่เป็นที่พอใจ ในขณะที่เด็กตีดาบตัวสั่นเทิ้ม

“จงอย่าลืมว่าเราทำดาบ...ดาบที่ฆ่าจอมเวท ไม่ใช่ดาบสำหรับดายหญ้า”

อุ ชองแรงส์

เมนต์ชื่อเรื่องนิดหน่อย มีให้เปลี่ยน 2 แบบนะ

ถ้าไม่ใช่ Magic Fortune ก็ Fortune of Magic เลือกเอาเองนะ

Link to comment
Share on other sites

ขอบใจมากเน้อ  :pika01:  ดูท่าผมต้องกลับไปเรียนอังกฤษใหม่ละ แหะๆ

Link to comment
Share on other sites

Magic of Fortune ก็ถูกแล้วนี่

เวทย์มนต์แห่งโชคชะตา

Fortune of Magic โชคชะตาแห่งเวทย์มนต์ มันฟังดูเหมือนการ์ตูนโชโจตาโตมากกว่านะ

สำหรับความรู้สึกผม

Link to comment
Share on other sites

Magic of Fortune ก็ถูกแล้วนี่

เวทย์มนต์แห่งโชคชะตา

Fortune of Magic โชคชะตาแห่งเวทย์มนต์ มันฟังดูเหมือนการ์ตูนโชโจตาโตมากกว่านะ

สำหรับความรู้สึกผม

เอางั้นเรอะ

ตามสบายจ๊ะ แค่แนะนำเฉยๆ เอง

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.
×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.