Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

Dawn of Breath II : Nightmare


shadow_of_ching

Recommended Posts

เกริ่นนำ คุยกับเจ้าของเรื่อง

ชื่อเรื่อง : Dawn of Breath II (แปลแบบเข้าใจง่ายๆ : จุดเริ่มต้นแห่งลมหายใจ..(ลิเกโคตร))

ชื่อภาค : Nightmare

ชนิดของฟิคชั่น : Original Fiction

ผู้แต่ง : Shadow_of_ching

เพราะเป็นฟิคที่เป็น Original และนี่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติ OC ของผม..

ผมจึงตัดใจ ไม่รับสมัครตัวละคร....

(แต่ถ้าสมมติใครอยากให้ตัวละครมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่มีประวัติร่วมกัน สามารถบอกได้นะครับ อย่างเรื่องนี้(แต่เป็นภาค 1) ตัวละครผมจะมีประวัติร่วมกับตัวละครของคิมูระ ค่อนข้างเยอะอยู่..)

โอเค ฟิคนี้มันอาจจะงงนิดนึงตรงเนื้อเรื่อง อาจจะเป็นเพราะการบรรยายด้วย

การบรรยาย ผมจะใช้การบรรยายแบบมุมมองบุคคลตัวเอกเป็นหลัก (บุคคลที่ 1)  ดังนั้นมันจะเป็นเรื่องของความคิดตัวละครซะเป็นส่วนใหญ่

eb2ad7b4.gif

Updated : 11/01/10

(แผนที่นี้ใช้ร่วมกับคิมูระ)

Edit1 : ผมเขียนแผนที่ผิดนิดนึงอ่ะครับ

ตรง vibraria ที่ซ้ำกัน  เมืองเล็กตรงกลางชื่อว่า Directrixครับ

แผนที่อันนี้เป็นดินแดนทั้งหมดที่อาจจะเจอในฟิคนี้  ดังนั้นถ้าผมไม่ทำแผนที่ไว้ก่อน อาจจะทำให้คนอ่านงงและไม่ประติดประต่อ

ผมจะให้คำศัพท์ไว้นะครับ ที่อาจจะเจอ

ชนเผ่า(Clan) : ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ใน อาณาจักร แคว้น หรืออยู่บริเวณชายแดนของอาณาจักรต่างๆ  หรืออยู่อย่างอิสระ

สหพันธ์(Leauge) : กลุ่มของบุคคลไม่ใหญ่มากซึ่งไม่อยู่ไต้อำนาจของใคร  โดยมากกลุ่มสหพันธ์จะเป็นการรวมกลุ่มของพวกขุนนางต่างๆ หรือชุมนุมต่างๆ

แคว้น (Region) : เป็นดินแดนที่สามารถปกครองได้ด้วยตัวเอง ในแคว้นก็แบ่งเป็นอีกหลายๆเมือง(เปรียบเทียบกับภาคแล้วกัน ก็แบ่งเป็นหลายๆจังหวัด)

อาณาจักร(Kingdom) : เป็นดินแดนที่สามารถปกครองได้ด้วยตัวเอง และแคว้นหลายๆแคว้นสามารถรวมตัวกันเพื่อเป็นอาณาจักรได้ (เปรียบเทียบอาณาจักรเป็นประเทศนะ ก็จะมีหลายๆแคว้นก็คือหลายๆภาค อะไรอย่างนี้)

จักรวรรดิ(Empire) : เป็นดินแดนที่สามารถปกครองได้ด้วยตนเอง ต่างจากอาณาจักรที่การปกครอง

(ขอบคุณคิมูระเรื่องข้อมูลครับ)

Character

ผู้แต่งบอกไว้ก่อนนิดหนึ่ง  ว่าผู้แต่งวาดรูปไม่เป็นจึงใช้วิธีเตรี๋ยน(เกรียน) อย่างนี้

Enillus Archoaevanea

พระเอกของเรานี่เอง

33ce588.png  f7b3708.png

Shadow Leonmaster

ท่านน้าชาโดว์ของเอนิลลัสนั่นเอง(เป็นรูปเมื่อ 17 ปีที่แล้ว)

558f742.pngeaa6607.png

Mnosuk Veterio

แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองกอเดีย (รูปเืมื่อ 17 ปีที่แล้ว)

7814166.png

Zenberd E.N. Nanoesper

ราชฑูตแห่งแคว้นดาวิเอ็น ผู้เป็นครูฝึกสอนวิชาป้องกันตัวด้วยเวทมนต์ให้กับจอมเวทย์ฝึกหัดในแคว้น(รูปเมื่อ 17 ปีที่แล้ว)

8d81956.png

ติดรูปคนอื่นไว้ก่อนนะครับ

หลายคนถาม  เอ๋ ภาคสองเหรอ

และภาคหนึ่งล่ะ...

มันจะคลอดออกมาทีหลังครับ  รับรอง ดุ โหด มัน เร้าใจ  พอๆกัน (จริงๆคือ แม่งอยู่ในฮาสก์ดิสต์เก่า= =) :pika01:

Link to comment
Share on other sites

บทนำ : จุดเริ่มต้นแห่งฝันร้าย

ฺBefore Chapter 1 : THE begin of Nightmare

ไอร้อนถูกพัดพามากระทบหน้าชายหนุ่มผมสีกรมท่า นัยน์ตานิ่งสงบไม่รู้สึกรู้สาอะไรต่อเหตุการณ์ข้างหน้า

เปลวเพลิงยังโหมกระหน่ำ ทำบ้านเรือนซึ่งดอนนี้แทบจะกลายเป็นทะเลแห่งเพลิง  

ทหารหนึ่งนายภายไต้การบัญชาการของชายหนุ่ม หอบบางสิ่งฝ่าเปลวไฟที่ร้อนระอุออกมา

สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสิ่งนั้น  ร่างเล็กหลับสนิทในอ้อมกอดของทหาร ภายไต้ผ้าคุมสีเขียวอยู่ในนิทราที่แสนสุขตามภาษาทารก...

“นำเขากลับไปกับเราด้วยแล้วกัน” ชายหนุ่มคนนั้นพูดพรางมองทารกซึ่งอยู่เบื้องหน้า...

เวลา.... ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

สิบเจ็ดปีผ่านไป.....

Link to comment
Share on other sites

บทที่ 1  : คำท้าทายจากกอเดีย

เกร้ง เกร้ง!

“เฮ้อ” ผมถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงนี้อีกครั้งหลังจากที่พักเที่ยง เสียงของดาบหลายคู่ซึ่งฝึกซ้อมการรบอยู่ในลานประลอง ทั้งที่ตั้งแต่ผมเกิดมา สงครามมันไม่เคยเกิดแท้ๆ ทำไมต้องมาฝึกอะไรบ้าๆนี้ด้วย

ร่างกายของผมค่อยๆนั่งลงในพื้นสนามหญ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตาแต่งนี้โดยความเหนื่อยล้าและเบื่อ  แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อผมเกิดมาในสกุลของนักรบ สกุลของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่  ในขณะที่ผมกำลังล้มตัวลงเพื่อที่จะนอนลงบนพื้นหญ้านั้นเอง

“องค์ชายเอนิลลัสขอรับ” ทหารที่ฝึกซ้อมการรบวิ่งเข้ามาเรียกผมพร้อมกับยืนตรงด้วยความเคารพ ผมมองหน้าเขาแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตรอย่างทุกครั้งเพื่อไม่ให้เขาเกร็งมากเกินไป

“ท่านมีอะไรรึ” ผมพูดกับทหารคนนั้น แม้ผมจะเป็นองค์ชายก็ตามแต่ผมก็ต้องเคารพเขาด้วยในฐานะที่เขามีอายุมากกว่า

“องค์กษัตริย์ต้องการพบตัวขอรับ” ผมเพียงพยักหน้าให้เขาเป็นนัยว่าขอบใจ ก่อนที่เขาจะคำนับแล้วเดินออกไป

ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปสู่พระราชวังอันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ทันที

***********************************************************************************

บัลลังก์ตั้งกระการตายกสูงจากระดับเล็กน้อย พรมสีแดง ทอดยาวตั้งแต่บัลลังก์ จนไปถึงประตูของโถงแห่งนี้  พระราชาผู้ทรงชุดสีฟ้าเข้มประดับด้วยเพชรนิลจินดามากมายบ่งบอกถึงอำนาจของตนกำลังมองมาที่ผม  ผมซึ่งแต่งกายแค่เสื้อคลุมสีเขียวกับกางเกงขายาวซึ่งเป็นชุดสำหรับฝึก เท่านั้น แม้ว่าสภาพของผมมันไม่น่าดูสักแค่ไหน พระราชายังต้อนรับผมด้วยท่าทางที่ยิ้มแย้ม

“ขอเดช--”

“เหมือนเดิมก็ได้เอนิลลัส” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ พระราชาก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน จริงๆแล้วพระราชาผู้นี้คือน้าของผมเอง

“ครับท่านน้า” ท่านค่อยๆเดินลงมาจากพื้นยกระดับของบัลลังก์มาหาผมที่ยืนอยู่ใกล้ๆประตูหน้าห้องโถง แม้มันจะดูไม่เหมาะที่ให้ผู้ใหญ่เป็นฝ่ายเดินมาหา แต่ผมเองก็ปรามท่านไว้ไม่ทันเหมือนกัน “ท่านมีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่า”

“เรื่องการรบเจ้าไปถึงไหนแล้ว” ผมรู้สึกอึ้งกับคำถาม แม้ว่าท่านน้าจะถามผมบ่อยแค่ไหนก็ตาม แต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะตอบไป

“เรื่อยๆครับ”

“ก็ดี เอาล่ะถามกันตรงๆ” ท่านเริ่มมีสีหน้าและแววตาจริงจัง “เบื่อกับการรบบ้างเปล่า”

ผมรู้สึกว่าผมตอบคำถามไม่ถูก ใจจริงมันก็คือเบื่อ เบื่อเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะใช้ที่เราฝึกซ้อมไปทุกวันทำอะไรได้ การรบจริงมันก็ไม่มีแล้ว ปัจจุบันแคว้นเราก็สงบสุขดี แต่อีกใจหนึ่งก็เบื่อไม่ได้ด้วยความที่เป็นหน้าที่ของผม

“นิดหน่อยครับ”

“เอนิลลัส แค่มองตาเจ้าเราก็รู้แล้วว่าเจ้านั้นคิดอะไร เราเป็นเป็นเด็กอย่างเจ้ามาก่อน แต่เราต่างจากเจ้าแค่ว่า สถานการณ์ตอนนั้นมันบังคับให้เราต้องฝึกสู้รบ”เขาหยุดเว้นช่วง “สู้เพื่อทวงความเป็นธรรมกับแผ่นดินไงล่ะ” แม้ว่าผมยังไม่เห็นความสำคัญของการสู้รบเลย แต่ผมก็ยังตั้งใจฟังอยู่ “ตาของเจ้าตายตั้งแต่เรายังเด็ก ตอนนั้นเรายังเด็กมาก แม่ของเจ้าจำเป็นต้องออกรบแทนเรา แม่ของเจ้าเกือบไม่รอด เคราะห์ดีที่พ่อของเจ้าช่วยไว้ได้  แต่ถึงแม้ว่าเราจะกำจัดคนชั่วออกไปได้ แต่เราก็ไม่ได้ตาของเจ้ากลับคืนมา”

ผมนั่งเงียบพิจารณาคำพูดของท่านน้า ท่านน้าคงต้องการจะบอกแค่ “ดังนั้น ท่านน้าต้องการจะฝึกพวกเราไม่ให้เสียท่าใครง่ายๆ” เขาได้แต่พยักหน้าตอบ

“ตาของเจ้าเป็นผู้ที่มีความสามารถชนิดยากที่ยากจะหาคนต่อกรได้ แต่ก็พลาดท่า เจ้าอาจจะยังไม่ได้ใช้วิชาพวกนี้ตอนนี้ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งมีคนที่ลุ่มหลงในอำนาจและใช้มันในทางที่ผิด คนที่ไม่มีความสามารถอย่างชาวบ้านจะรอให้เจ้าช่วยอยู่”

ท่านน้าสอนผมตรงๆอีกเรื่องคือ เราเป็นชนชั้นกษัตริย์ เราควรต้องปกป้องชาวบ้านได้

ตู้มม!

เสียงระเบิดดังขั้นทำให้พื้นที่ผมยืนอยู่สั่นไปหมด จากเสียงทำให้ผมพอจะรู้ว่าระเบิดดังในเมืองที่ไม่ไกลมาก..

“ทหารทุกนาย จัดขบวนเร่งด่วนพร้อมรบ” เสียงแม่ทัพบันชาการกองทหารอย่างเข้มแข็ง “เคลื่อนพล”

ทหารบางส่วนเคลื่อนพลไปยังจุดที่เกิดการระเบิดทันทีโดยการนำทีมของแม่ทัพแห่งกองทัพ ท่านน้ารีบไปยังหอสังเกตการณ์ที่อยู่ใกล้กับท้องพระโรงทันที  ทันทีที่เขากลับมา เขามองหน้าผมด้วยสายตาจริงจัง

“เอนิลลัส อยากไปไขข้อข้องใจหรือเปล่าล่ะ” ผมเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย “งั้นตามมา”

ท่านน้าพาไปยังพระคลังอาวุธโดยให้ผมเลือกเอาอันที่ชอบใจที่สุด ผมหยิบดาบสั้น 1 ข้าง ยาว 1 ข้าง แล้วเก็บเข้าฝักทันที ส่วนท่านน้าของผม หยิบเพียงแค่ดาบประจำตัวของท่านไปเท่านั้น

พวกเราอ้อมไปที่ข้างหลังห้องโถงพระราชา และลัดไปยังโรงม้า ก่อนที่พวกเราจะขี่และมุ่งหน้าสู่จุดที่เกิดระเบิด แม้ว่าจะมีทหารบางส่วนห้ามปรามท่านน้าเรื่องที่ไม่สบายอยู่  แต่ก็ไม่มีใครสามารถขัดใจท่านได้

ยี่สิบนาทีถัดมา เราเดินทางอ้อมกำลังทหารเพื่อให้มาถึงก่อนพวกเขา  เรามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเล็กๆของแคว้นเรา ถูกเผาทำลายจนย่อยยับ ผู้คนล้มตายมากมาย  ผมตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาก แต่ท่านน้าของผมยังคงนิ่งเฉยอยู่

“ถึงเร็วดีนิ พระราชาแห่งแคว้นไลอัน” ผมมองหาต้นเสียงอย่างลุกลี้ลุกลน แต่ท่านน้าทรงยิ้มน้อยๆ

“ออกมาดีๆ เถิด อย่าให้ต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อกันเลย” ฉับพลัน กองทหารกองหนึ่งเดินออกมาจากหมู่บ้านที่ถูกทำลาย เกราะสีแดงถือดาบยาวตั้งทัพพร้อมลุย บางส่วนมีธนูเป็นอาวุธเสริม กับแม่ทัพซึ่งขี่ม้าอย่างองอาจอยู่หน้าทหารทั้งปวง แม่ทัพคนนั้นใช้หอกเป็นอาวุธ แต่ปลายอีกด้านหนึ่งของหอก มีลูกตุ้มสีทองติดอยู่ด้วย

“สวัสดี ชาโดว์” แม่ทัพคนนั้นเรียกชื่อท่านน้าผม ตั้งแต่เกิดมาเลยนอกจากท่านแม่แล้วยังไม่มีใครเคยเรียกชื่อท่านเลย “ฉันแค่มาส่งสาส์นจากกอเดีย”

แม่ทัพลงจากม้าแล้ว เดินเข้ามาใกล้ท่านน้าของผมที่ลงจากม้าพอดี แม่ทัพคนนั้นยื่นม้วนกระดาษให้ ท่านน้ากำลังจะยื่นมือไปรับ ฉับพลัน เขาชักม้วนกระดาษออกก่อนที่จะเหวี่ยงลูกตุ้มในทิศทางทวนเข็มนาฬิกากลับมาเต็มแรง เคราะห์ดีที่ท่านน้าหลบได้

ท่านน้ากระตุกดาบขึ้นจากกลางหลัง ดาบลอยเคว้งคว้างกลางอากาศชั่วครู่ก่อนที่จะถูกรับด้วยมือข้างขวาอย่างชำนาญ  ดาบยักษ์ที่ยาวเกือบจะเท่าตัวผู้ใช้ แม้ว่ามันจะแลดูเก่า แต่มันเปร่งไปด้วยรัศมี สัญสักษณ์ของเมืองถูกสลักไว้ใกล้ๆกับส่วนด้ามจับของดาบ ถ้าผมจำไม่ผิด ดาบนี้คือดาบเลออนมาสเตอร์ ดาบประจำตระกูลและดาบประจำแคว้นของแคว้นไลอัน

ท่านน้าง้างดาบยักษ์นั้นด้วยมือขวาข้างเดียวก่อนที่จะฟันออกไปเต็มแรง ผมเหลือบไปเห็นพวกทหารบางส่วนกำลังเล็งธนูมาทางผม บ้าจริงถ้าผมขยับไปช่วยท่านน้ามันยิงผมตายแต่ ผมจึงได้แต่ดูเหตุการณ์นี้เฉยๆ

ทั้งสองกำลังสู้กันอย่างดุเดือด ท่านน้าของผมง้างดาบอีกครั้ง แต่เขาพลาดท่าโดนลูกตุ้มขนาดยักษ์ซัดจนดาบกระเด็นหลุดมือไป ท่านน้าล้มลงด้วยความเจ็บปวด ผมเริ่มมองซ้ายมองขวาเพื่อหาทางช่วย แต่มันก็เปล่าประโยชน์

มันใช้โซ่ลูกตุ้มรัดคอของท่านน้า ก่อนที่จะถีบท่านน้าออกมาสุดแรงพร้อมโยนม้วนกระดาษไว้ข้างๆ

“จำไว้ ครั้งนี้แค่การส่งสาส์น แต่ถ้าเจอกันครั้งต่อไป ไม่ใช่แค่ล่งสาส์นแน่” แม่ทัพคนนั้นประกาศกร้าว ก่อนที่จะนำทัพกลับไป

หลังจากนั้นไม่นาน ทัพทหารของเราก็เพิ่งมาถึง ทุกคนต่างเคียดแค้นที่พระมหากษัตริย์ที่เข้มแข็งของเขาโดนโจมตีเละซะไม่เป็นท่า ส่วนท่านน้าของผมได้แต่บอกให้ใจเย็นเท่านั้น

Link to comment
Share on other sites

มาเจิมยามดึก

อ่านแล้วเพลินดี คำผิดเล็กน้อย(นิดเดียว)

รอดูเหตุการ์ณต่อไป - .-

Link to comment
Share on other sites

โน๊ตเริ่มลงออริละ ^^ เด๋วเรื่องของผมจะตามมาแน่นอนครับ อีกอึดใจ

Link to comment
Share on other sites

บทที่ 2  การตัดสินใจ

สามวันถัดมาหลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น เหล่าทหารทุกนายต่างฝึกฝนมากขั้นเพื่อเตรียมพร้อมรบกับอาณาจักรกอเดีย  ตามที่ผมรู้มาจากท่านน้า ในสาส์นนั้น อาณาจักรกอเดีย  ประกาศท้ารบกับแคว้นไลอันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ในขณะนี้เป็นเวลาประมาณสองทุ่ม ท่านน้า ท่านพ่อ และท่านแม่กำลังพูดคุยเกี่ยวกับปัญหานี้ภายในห้องประชุมส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ ผมได้แต่คิดว่า เพราะอะไร กอเดียจึงต้องประกาศสงครามกับแคว้นเล็กๆอย่างเรา

เวลาล่วงเลยมาอีกครึ่งชั่วโมง มีทหารนายหนึ่งมาตามผมเพื่อให้ไปพบท่านน้า ผมเดินเข้ามาสู่ห้องประชุมส่วนพระองค์อย่างรีบร้อน และตรงไปยังที่ที่พวกเขานั่งอยู่ทันที

“นั่งก่อน” ท่านน้าเชิญผมนั่งเพราะเห็นว่าผมยืนอยู่ ผมโค้งคำนับก่อนที่จะนั่ง โต๊ะที่พวกท่านน้าใช้คุย เป็นโต๊ะประชุมขนาดเล็กนั่งได้ 4 คนพอดี ผมนั่งอยู่ตรงข้ามกับท่านพ่อ ส่วนท่านน้านั่งตรงข้ามกับท่านแม่ ภายในห้องใหญ่ที่มีโต๊ะยาวเยอะแยะมากมาย  ห้องนี้คงเป็นห้องสำหรับการประชุมเหล่าทหารด้วยล่ะมั้ง

“เอนิลลัส ลูกโตแล้วลูกคงรู้ใช่ไหม ว่าบ้านเมืองของเราตอนนี้กำลังเข้าสู่ภาวะสงคราม” บุรุษอายุประมาณสี่สิบ ผิวขาว ผมสีฟ้า ใบหน้ารูปไข่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผมพูดขึ้น

“ครับ”

“เท่าที่คุยกันไว้นะ เรายังไม่มั่นใจว่าทางนู้นมีจุดประสงค์อะไรกันแน่” ท่านพ่อพูดต่อ

“ดังนั้นงานแรกของลูก” สตรีอายุราวๆเกือบสี่สิบ ใบหน้ากลม ตาโตส่งสายตามาทางผมแล้วพูดแทรกขึ้นมา นัยน์ตาสีนิลมองผมอย่างจริงจัง “แม่อยากให้ลูกเดินทางไปสืบที่กอเดีย แล้วเดินทางกลับมารายงานภายในสี่สิบห้าวัน”

ผมรู้สึกตกใจอย่างบอกไม่ถูก ในใจของตอนนี้มีแต่คำว่าไม่เอา ไม่ว่าจะเพราะมันเสี่ยงเกินไป กลัว หรือไม่กล้า แต่ผมก็ไม่ค่อยอยากทำงานนี้เท่าไร แต่ดูเหมือนจะมีคนรู้ทันผม

“ไม่อยากไปก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก” ท่านน้าพูดขึ้นมา พระราชาแห่งแคว้นไลอัน นัยน์ตาสีดำสนิทในใบหน้ารูปไข่ มองผมอย่างอ่อนโยน ผมสีแดงส้มตั้งขึ้นนิดหน่อยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว “พรุ่งนี้จะมีการประลองรบของทหาร งานนี้เอนิลลัสต้องเป็นหนึ่งในผู้ประลองด้วย เราอยากเห็น” ท่านน้าทิ้งข้อความสั้นๆ แต่ได้ใจความไว้ให้ผม

“ครับ” ผมได้แต่ต้องยอมทำไปเพื่อความสบายใจของพวกเขา ก่อนที่ผมจะเดินออกมา ทั้งสามยังประชุมต่อไป

ผมเดินมาเรื่อยๆ มานั่งในที่ที่ผมชอบนั่งมากที่สุด  สนามหญ้าใกล้ กับจุดที่ฝึกอาวุธที่กำลังจะเป็นลานประลองในวันพรุ่งนี้

ต่อสู้อีกแล้วเหรอ ผมได้แต่คิดในใจพลางมองดูดวงดาวบนฟ้า ดวงดาวที่ระยิบระยับอยู่ภายไต้แสงจันทร์

“ดวงดาวนั่นก็เหมือนประชาชน”  เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหลังผม ผมหันไปมอง ท่านน้ากำลังเดินเข้ามาหาผมและนั่งข้างๆกับผม

“เห็นดวงจันทร์นั่นไหม” ผมมองไปที่ดวงจันทร์เสี้ยวที่ส่องสว่างอยู่กลางท้องฟ้าตามทิศทางการชี้ของท่านน้า “แสงของดวงจันทร์นั้นเปรียบดั่งผู้นำ ยิ่งผู้นำเข้มแข็งมากเท่าไร ยิ่งสามารถปกป้องประชาชนไม่ให้ศัตรูเห็นจุดอ่อนได้เท่านั้น”  เขาเว้นช่วงให้ผมคิดตาม “เราอยู่ในฐานะผู้นำ ยิ่งเราอ่อนแอให้ใครเห็นเท่าไร ประชาชนยิ่งตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น จำคำของเราไว้นะ”  ก่อนที่ท่านจะลุกแล้วเดินออกไป

ยิ่งเราอ่อนแอ ประชาชนยิ่งอันตราย.. ผมคิดในใจ เพราะอย่างนี้ท่านน้าจึงอยากให้เราฝึกฝนสินะ..

**************************************************************************************

สายๆวันถัดมา ทหารทุกนายพร้อมหน้ากันที่ลานประลอง กองทหารภายไต้เสื้อเกราะสีฟ้าเข้มยืนเข้าแถวเรียงรายโดยแบ่งเป็นกองทัพ รวมแล้วทั้งสิ้น 17 กองทัพ กองทัพละเกือบหนึ่งพันคน ทุกคนต่างยืนตรงอย่างเป็นระเบียบต่อหน้าท่านหน้าของผมซึ่งเป็นเชิงสูงขึ้นมา โดยผมนั่งอยู่ด้านหลังของท่านน้า

ลานประลองเป็นแบบมีอัฒจรรย์ล้อมรอบ อัฒจรรย์นี้จุคนได้ประมาณสองหมื่นคนโดยสายตา โดยจุดที่เป็นจุดของพระราชาจะยกสูงกว่าจุดอื่นเล็กน้อย แม่ทัพใหญ่สั่งให้ทหารทั้งหมดเข้าไปนั่งที่อัฒจรรย์ ยกเว้นตัวแทนในการสู้ กองพันละหนึ่งคน

ตอนนี้ใจผมไม่ได้อยู่กับการต่อสู้เลยแม้แต่น้อย  ผมอยากให้วันนี้จบไปโดยเร็วด้วยซ้ำ

การประลองของที่นั้น เป็นการประลองเพื่อทดสอบว่า กองทัพไหนแข็งแกร่งที่สุด  และเป็นการตรวจสอบจุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง โดยจะใช้ดาบที่ไม่คม ฟันให้โดนร่างกาย ถ้าฟันโดนก็จะได้แต้ม จะประลองกี่แต้มขึ้นอยู่กับการตกลงของทั้งสองฝ่าย  ในตอนนี้คู่แรกได้เริ่มไปแล้ว

เวลาล่วงเลย ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งการประลองสิ้นสุด ท่านน้าของผมได้ลุกขั้นแล้วประกาศกร้าว

“ในวันนี้ ผู้ร่วมประลองทุกคนทำได้ดีมาก ข้าพเจ้าชื่นชม” ทหารทุกคนต่างมองมายังท่านน้าของผม “สำหรับผู้ชนะ ข้าพเจ้าขอเชิญที่ลานประลองอีกครั้ง”

สิ้นสุดคำพูด ผมสังเกตเห็นสีหน้าทหารจำนวนไม่น้อยที่มีสีหน้างงตามกันไป ผมรู้ดีว่าท่านน้าหมายถึงอะไร ถึงจะบอกว่าไม่อยากทำแต่ก็คงเลี่ยงไม่ได้แล้วสินะ

“เอนิลลัส” ท่านน้าเรียกผม ผมพยักหน้าก่อนที่ผมจะลุกแล้วเดินลงไปทางบันใดข้างหลัง แล้วเดินเข้าสู้อัฒจรรย์อย่างช้าๆ ผมมองดูรอบๆ  มันกว้างใหญ่มากกว่าที่ผมคิดไว้มากๆ จากจุดที่ผมยืนอยู่แทบจะมองไม่เห็นท่านน้าเลย “เราต้องการให้ท่านผู้ชนะ ประลองกับองค์ชายเอนิลลัส สามในห้าแต้มเท่านั้น เชิญผู้ประลองเลือกอาวุธด้านข้างของท่านได้ตามใจ”

รอบๆตัวผมตอนนี้มีอาวุธซึ่งทำด้วยไม้เยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นดาบสั้น ขวาน หอก กระบอง ดาบยาว ผมเลือกที่จะใช้ดาบสั้นและดาบยาวตามที่ผมถนัดที่สุด ดูเหมือนทหารที่ผมต้องประลองด้วยจะเลือกกระบองยาวออกมา

“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” ผมตะโกนก้องบอกทหารเพื่อให้เขาได้ยิน  สนามนี้ใหญ่มากจนผมต้องเปลี่ยนวิธีการคุยเป็นการตะโกน

“เช่นกันครับ องค์ชาย” ทหารผู้นั้นคำนับผม เขาถือกระบองในลักษณะขนานกับพื้นโลกด้วยมือซ้ายเพียงมือเดียว ส่วนผมถือดาบยาวในมือขวา และดาบสั้นในมือข้างซ้าย

“เริ่มประลอง” สิ้นเสียงของแม่ทัพ  ผมวิ่งเข้าไปหาทหารคนนั้นทันที เราอยู่ห่างกันเกือบห้าสิบเมตรเห็นจะได้ ทหารคนนั้นยิ้มที่มุมปากพร้อมควงกระบองแล้วถือปลายกระบองในลักษณะจับดาบ ดอนนี้ผมเข้าใกล้ตัวเขาแล้ว  ผมสูดลมหายเข้าอย่างเต็มที่ ก่อนที่จะ

“ย้ากกกกกกกกกกกก” ผมเหน็บดาบสั้นไว้ข้างตัวตรงเข็มขัดของผม ก่อนที่จะใช้สองมือจับดาบยาวแล้วกระโดดตัวฟันอย่างแรงทหารคนนั้นยกกระบองขึ้นมากันแล้วดันผมกลับอย่างง่ายดาย ผมเซถอยหลังออกมาตั้งหลัก  ผมควรจะใจเย็นกว่านี้สินะ

ผมเริ่มถือดาบแล้วเดินวนขวาของเขา เพื่อหาจังหวะที่เหมาะสมที่สุด แต่ดูเหมือนว่าฝั่งตรงข้ามไม่ต้องการให้ผมทำเช่นนั้น เขาลากไม้กระบองในแนวเรียดไปกับพื้น ด้วยสัญชาติญาณ ผมจึงกระโดดหลบ แต่ว่ากระบองนั้นนั้นถูกเหวี่ยงมากระแทกหลังของผมเต็มๆ จนผมกระเด็นล้มไป 

“บ้าจริง” ผมเผลออุทานออกไป ดูเหมือนเขาจะรู้อยู่ก่อนว่าผมน่าจะกระโดดเลยเหวี่ยงไม้พลองกลับมาทันทีสินะ

“ผู้ชนะได้หนึ่งแต้ม ขอเชิญกลับเข้าประจำที่” แม่ทัพทำการแยกผมออกจากทหาร เพื่อทำการแข่งในแต้มต่อไป

“เริ่มประลอง”

ผมยังเลือกที่จะใช้วิธีวิ่งเข้าไปหาศัตรูตรงหน้าผมตอนนี้อีกครั้ง แม้ว่าผมจะไม่อยากสู้ แต่ด้วยศักดิ์ศรีเอง ผมก็แพ้ไม่ได้เช่นกัน ตอนนี้ผมวิ่งมาประจันหน้ากับทหารนายนั้นอยู่ตรงกลางสนามประลอง  ผมใช้มือขวาจับดาบและเหวี่ยงเฉียงล่าง  เขาแค่เอี้ยวตัวหลบแล้วใช้กระบองตีผมทันที ผมจำเป็นต้องดึงดาบสั้นเพื่อมารับกระบองอันนั้น และผมก็รีบถอยออกห่างทันที    ตอนนี้ผมอยู่กับเขาในระยะห่างกันประมาณไม่ถึงห้าเมตร  ฉับพลันเข้าพุ่งมาแล้วเหวี่ยงกระบองใส่ผมอีกครั้ง

“เฮ้ย” ผมอุทานด้วยความตกใจก่อนที่จะกระโดดถอยหลังมาให้พ้นรัศมีกระบอง แล้วใช้ดาบสั้นปาเข้าสู่เป้าหมายทันที

เป็นผล ดาบสั้นผมหมุนไปโดนที่ไหล่ซ้ายก่อนที่จะร่วงสู่พื้น

“ผู้ท้าชิงได้หนึ่งแต้ม ขอเชิญกลับเข้าที่” ผมเดินไปหยิบดาบแล้วเดินไปสู่จุดของผมอีกครั้ง

  “พอก่อน” ท่านน้าตะโกนก้อง ทำเอาทุกคนรวมทั้งผมเองงงไปหมด  “สองคนสู้ได้ดีมาก ตอนนี้เราได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วล่ะ” คราวนี้ผมงงเข้าไปใหญ่เลย อะไรคือสิ่งที่ท่านน้าต้องการกันแน่

“สิ่งที่ต้องการเหรอครับท่านน้า” ผมแหงนมองหน้าของท่านน้า เขาพยักหน้าหนึ่งครั้ง

“ฉันตัดสินใจแล้วเอนิลลัส ฉันอยากให้เธอเดินทางไปกอเดียเพื่อไปสืบ เราจำเป็นต้องส่งเจ้าไปจริงๆ หากเราส่งคนอื่นไป  อาจจะไม่ปลอดภัยกลับมาก็เป็นได้”

“ทำไมถึงไม่ปลอดภัยล่ะ”

“ไม่มีใครเก่งได้เท่าเจ้าแล้ว คนอื่นเขามีแค่วิชาต่อสู้ แต่เจ้าก็รู้ตัวนิว่าเจ้ามีมากกว่านั้น ถือว่าทำเพื่อไลอันเถอะนะ”

ผมกำลังจนมุมด้วยคำพูดของท่านน้า จริงอย่างที่เขาพูดทุกอย่าง ผมมีพร้อมเพียงมากที่สุดในตอนนี้  ทั้งวิชาการต่อสู้หรืออื่นๆ ผมควรจะไปจริงๆ แต่ทั้งๆที่ผมไม่ชอบการต่อสู้แท้ๆ  หรือว่าผมจะคิดไปเองอ้างไปเองว่าไม่ชอบ ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างนั้นสินะ

“ตกลง ผมจะไป” ท่านน้าพยักหน้าให้ผมเล็กน้อย ทหารทุกคนต่างปรบมือจนเสียงดังกระหึ่มไปทั่วลานประลอง  ผมตัดสินใจอย่างนี้ มันคงดีแล้วล่ะ  ดีที่ได้ช่วยเหลือบ้านเมืองที่ผมอาศัยอยู่ ได้ทำในสิ่งที่ชาวไลอันควรกระทำ

***********************************************************************************

  “จำไว้นะเอนิลลัส สิ่งที่เจ้าของเผชิญต่อไป มันจะไม่สะดวกสบายอีกต่อไป” ท่านน้าพูดกับผม ตอนนี้ผมอยู่บริเวณป่าซึ่งเป็นชายแดนระหว่างไลอันกับเอฟฟอร์ต “แต่ขอให้จงจำไว้ จงทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุด”

“แม่จะรออยู่ที่นี่นะ โชคดี” ท่านแม่พูดกับผม  ก่อนที่ทั้งสองจะหันหน้ากลับแล้วเดินเข้าเมืองไป ทีนี้ก็เหลือแต่ผม  ผมเพียงคนเดียวเท่านั้น

ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าโดยประมาณ ในมือของผมตอนนี้มีแผนที่ของทวีปนี้อยู่ในมือ พร้อมกับดาบสองเล่มที่ถูกเหน็บไว้ที่เอวเท่านั้น ผมมองกลับเข้าไปในเมืองครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะหันหลังกลับไปหาป่าซึ่งเป็นชายแดนระหว่างแคว้นไลอัน กับแคว้นเอฟฟอร์ต

“ลาก่อน ไลอัน”  ผมพูดคนเดียวเบาๆ ก่อนที่จะเดินเข้าสู่ความมืดมิดในป่านี้

Link to comment
Share on other sites

:pika10:

ตามมาอ่านตอน2 การบรรยายทำได้ดีเลยครับ เท่าที่ดูไม่มีอะไรที่ต้องติ

Link to comment
Share on other sites

  • 2 weeks later...

บทที่ 3  การเดินทางที่อันตราย

ป่าใหญ่ที่มืดมิดสุดลูกหูลูกตามันช่างน่ากลัวยิ่งนัก หากเป็นผมในเมื่อก่อนคงจะวิ่งกลับไลอันไปแล้ว แต่ว่าวันนี้มันต่างกัน... ผมไม่สามารถกลับไปได้แล้วด้วยภาระหน้าที่ของแผ่นดิน  ถ้าผมทำงานพลาด หมายถึง ผมจะไม่มีแผ่นดินให้อยู่อีก

แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ยามเช้า ทำให้ความน่ากลัวของป่าแห่งนี้ลดลงไป เสียงนกที่ต่างบินออกหากินยามเช้าต่างดังอยู่ในป่านี้อย่างไม่ขาดสาย ผมเดินทางมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาสิ้นสุดเขตป่าทึบ  ทางข้างหน้าที่ผมเห็นคือหญ้ารกๆ ที่ขึ้นมาสูงเกือบถึงคอ ผมมองซ้ายขวา และถอนหายใจยาวๆ ก่อนที่จะต้องจำใจเดินฝ่าดงหญ้านั่นไป

ผมหยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ที่เอว ก่อนที่จะค่อยๆฟันและเดินผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมเข้าเขตชายแดนแคว้นเอฟฟอร์ต มีเพียงหลักเล็กๆ ตอกไปเป็นทางยาวเพื่อบอกอาณาเขต ก่อนที่จะบรรจงกางแผนที่ออก  จุดนี้ เป็นจุดบอดทางทหารในวันนี้ตามที่สายของท่านน้าชาโดว์รายงานมา  ผมคงต้องรีบออกจากจุดนี้ไปก่อนที่พวกทหารจะมาเจอ

“เฮ้อ..” ผมถอนหายใจยาวพรางคิดอะไรเล่นๆในใจ  ให้ตายสิ เหมือนพวกต่างด้าวหนีเข้าเมืองยังไงก็ไม่รู้แฮะ

ผมบรรจงกางแผนที่ออกอีกครั้ง  แคว้นเอฟฟอร์ต เป็นแคว้นที่มีอาณาเขตไม่ค่อยกว้างขวางเท่าไร  เป็นเพียงแคว้นเล็กๆ ที่คั่นอาณาจักรสเต็ปแลนด์ กับอาณาจักรแกรนเลเซียที่ผมอาศัยอยู่  คิดว่าเวลาไม่ถึง 2 วันน่าจะเดินทางไปถึงอาณาจักรเสต็ปแลนด์  

สายตาผมเหลือบไปมองข้างหลัง  รู้สึกว่าผมจะไม่ได้เดินทางง่ายอย่างที่คิด  มีทหารตระเวนชายแดนสองนายกำลังเดินเข้ามาทางผมพร้อมด้วยอาวุธสำหรับการลาดตระเวน เกราะสีน้ำเงินเข้มดูแข็งแรงและเป็นสง่า โชคดีที่มันยังไม่เห็นผม  ผมวิ่งไปหลบหลังต้นไม้เพื่อรอให้มันเดินผ่านไป  เพราะถ้าเกิดการต่อสู้  สิ่งที่ซวยไม่ใช่ผมคนเดียว  แต่มันยังส่งผลไปยังแคว้นของผมอีกด้วย

“เฮ้ย มีคนบุกรุก” อ้าวงามไส้  ไอ้สองคนนั้นไม่เห็น  แต่คนที่เห็นกลับเป็นอีกคนที่เดินตามหลังสองคนนั้นมา  ผมวิ่งหนีเข้าป่าด้านหน้าของผม ซึ่งเป็นอาณาเขตของเอฟฟอร์ต  บริเวณนี้คงหนีรอดได้ไม่ยากเท่าไรเพราะเป็นป่าค่อนข้างหนา

ผมวิ่งหนีเข้ามาทางป่าทิศเหนือ ซึ่งเป็นทางไปหมู่บ้านเล็กๆ ของแคว้นนี้  ทหารทั้งสามยังคงวิ่งตามผมอยู่ไม่ลดละ  ผมเห็นทหารคนหนึ่ง หยิบลูกธนู ก่อนจะทาบกับคันธนู และบรรจงเล็งมาทางผม  แม้ว่าต้นไม้แถวนี้จะค่อนข้างทึบ  แต่ถ้าผมไม่หลบคงจะได้เรื่องเหมือนกัน ทหารผู้นั้นง้างสายเชือกรั้งลูกธนู เตรียมปล่อยทันที

มันปล่อยมือออก  ลูกธนูพุ่งมาอย่างรวดเร็ว  ผมกระโดดเข้าพุ่มไม้ข้างๆทันที

ฟับ...

ลูกธนูปักต้นไม้อย่างจัง  ผมรู้สึกโชคดีที่สามารถหลบลูกธนูได้  แต่ผมรู้สึกว่า เหมือนมันจงใจยิงให้โดนต้นไม้มากกว่า

ผมค่อยๆยืนขึ้นอย่างเงียบๆ แต่สัญชาติญาณมันสั่งให้ผมก้มลงทันที

ฟับ ฟับ ฟับ....

ลูกธนูสามลูก ปักเข้ากับต้นไม้ด้านหลังของผม  นี่มันกะเล่นผมถึงตายเลยเหรอนี่  ทันใดนั้น  ผมได้ยินเสียงเหมือนอะไรบางสิ่งเบาๆ ร่วงลงมากระทบกับพื้นดิน

ก้นของลูกธนู นี่คือสิ่งที่ผมเห็น  ก้นธนูทั้งหมด ร่วงลงมา ผมเริ่มเอะใจกับสิ่งที่เกิด  ผมแหงนขึ้นไปดูลูกธนู  มีผงละอองเล็กๆ ค่อยๆปลิวออกมาจากส่วนของลูกธนูที่ปักอยู่กับต้นไม้ ผมแทบจะไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคืออะไร  

ผมตัดสินใจพุ่งออกจากพุ่มไม้และวิ่งออกไป ละอองที่ผมพบเจอเมื่อสักครู่คือผงชาหรือผงสลบ หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง  ทางเดียวที่ยังมีโอกาสรอดสำหรับผม คือหนีไปไห้ไกลที่สุด

แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างมันจะสายไปแล้ว  ขาของผมอยู่ดีๆก็หมดแรงเอาซะดื้อๆ  ผมแทบจะล้มลงไปนอนจากท่าวิ่งทันที

“บ้าเอ้ย..” ผมสบถ  ผมรู้สึกได้เลยว่ามันหนักหัวเอามากๆ  ตอนนี้ร่างกายผมนอนแน่นิ่งสนิทแล้ว  สติสัมปชัญญะค่อยๆหายไป  ดวงดาที่เคยลืม ค่อยๆหรี่ตาลงจนหลับสนิท

...

ผมลืมตาขึ้นมาช้าๆ บ้าจริง ผมรู้สึกได้เลยว่ามือของผมทั้งสองข้าง ถูกพันธนาการด้วยโซ่  

รอบตัวของผมตอนนี้คือห้องมืดๆเล็กๆ  มีบันไดสำหรับใช้ขึ้นไปด้านบน  แต่ก่อนถึงบันได มีเหล็ก เป็นซี่ๆ กั้นทางอยู่  พูดง่ายๆคือคุกนั่นล่ะ  ตอนนี้ผมถูกมัดมือไว้ด้านหลังด้วยโซ่  เท่าที่จำความได้ล่าสุดคือตอนที่ผมโดนละอองลูกดอกยาสลบเข้าไป

ผมพยายามสะบัดมือเพื่อให้โซ่มันหลุดออก แม้รู้ว่ามันจะไม่เป็นผลก็ตาม ผมเลิกสะบัดมือและถอนหายใจยาว

“นายน่ะ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากห้องมืดนี้ เขาพูดด้วยภาษาของแคว้นเอฟฟอร์ต แต่ผมพอจะแปลออก “นายไม่ใช่คนของเมืองนี้ใช่มั้ย”  

“อืม” ผมเพิ่งสังเกตเห็นคนที่โดนมัดคล้ายๆผม แต่ผมดูไม่ออกจริงๆว่าลักษณะของเขาเป็นอย่างไร “ว่าแต่นายเถอะ ทำไมถึงโดนจับมาล่ะ”

“ทะเลาะกับไอ้พวกหมากฎหมายเล็กน้อย” เขาเว้นช่วงให้ฉันคิด “ฆ่าไปแค่สามคนเอง ถึงฉันไม่โดนจับ ฉันก็อยู่แคว้นนี้ไม่ได้อยู่แล้ว” เขาพูดด้วยเสียงที่เบาลงอย่างเห็นได้ชัด เขาคงสลดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “แล้วนายล่ะ ทำไมถึงโดนไอ้พวกหมานั่นลากมาได้”

“ฉันจะเดินทางไปกอเดีย บังเอิญต้องผ่านทางนี้—” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ เขากลับหัวเราะดังลั่นคุก “หัวเราะอะไร”

“เอางี้มั้ย ไว้หลังจากออกไปจากที่บ้าๆได้ ฉันจะพาไปทางเร็วๆ”

คำถามคือ เราจะออกจากคุกกันได้ยังไง

“แล้วเราจะออกจากคุกกันได้อย--”

ตู้ม!!

เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด  ห้องที่มืดมิดบัดนี้ถูกฉายมาด้วยแสงแดดอ่อนๆ บันใดที่อยู่ตรงหน้า บัดนี้กลายเป็นดั่งซากปรักหักพังของบันไดเท่านั้น คงเป็นเพราะแรงระเบิดเมื่อครู่  ผมมองไปรอบตัวผม ทำให้ผมเห็นชายที่สนทนากับผมเมื่อสักครู่

ใบหน้าเรียวดั่งฟองไข่ ผมสีเงินที่ถูกมัดด้วยผ้าสีขาวเป็นหางยาวจรดแผ่นหลัง ดวงตาสีดำสนิทดูนิ่ง และแหลมคม ร่างกายสีเหลืองนวลอยู่ในเสื้อสีดำซึ่งถูกคลุมทับด้วยแจ็กเก็ตสีขาวหิมะ กางเกงขายาวสีเงินวาวชวนผู้พบเห็นหลงใหลในรัศมีของเขายิ่งนัก

ตอนนี้โซ่และกรงขังเราหายไปแล้ว คงเป็นเพราะคุกนี้เป็นคุกที่ทำด้วยเวทมนต์ คงมีใครสักคนที่ทำลายพลังเวทมนต์นั่น ถ้าเดาไม่ผิดก็คงเป็นคนที่ระเบิดคุกนี้แหละ

“ท่านเคซ” เสียงบุรุษนิรนามอีกคนดังขึ้นจากเบื้องบน

“นายชื่ออะไรเหรอ” บุรุษที่ถูกเรียกว่าเคซถามผม ผมไม่รีรอที่จะตอบไป

“เอนิลลัส ยินดีที่ได้รู้จัก”

“เช่นกัน”

ก่อนที่เขาจะกระโดดขึ้นไปเบื้องบนของคุกนี้อย่างชำนาญ  ผมได้แต่ถอนใจ ก่อนที่จะต้องใช้ซากบันใดที่พังทลาย ปีนขึ้นไปสู่เบื้องบน

เบื้องหน้าผมมีบุรุษสามคนรวมทั้งเคซยืนประจันหน้ากับทหารนับร้อยที่ค่อยๆเดินล้อมรอบพวกเราเข้ามา บรรยากาศแถวนี้คล้ายๆกับเมืองขนาดกลาง ที่แลดูเล็กไปถนัดตาเพราะทหารที่เยอะเกินไป ชายหนุ่มคนหนึ่งถือดาบกับมีดแล้วส่งมาให้ผม เขาคงจะไปเอามันคืนจากที่ไหนซักที่  เพราะตอนนี้สิ่งที่เคซถืออยู่คือคันธนูสีทองซึ่งยาวประมาณหนึ่งเมตรครึ่ง พร้อมกับลูกธนูที่สะพายอยู่ข้างหลัง ผมกล่าวขอบคุณเรียบๆง่ายๆ  

“นายน่ะ” ชายอีกคนหันมาพูดกับผม เขาอยู่ในชุดเกราะครึ่งตัวบนสีเงินหนา  ใบหน้ากลมผมสีเหลืองเข้มถูกถักเปียสั้นๆทั้งหัว ในมือขวาของเขากำหอกไว้แน่น “สี่ต่อร้อย ไหวมั้ย”

“คนละประมาณยี่สิบห้าคนเอง” ชายผู้ที่นำอาวุธไปมาให้ผมพูดเสริม  ชุดสีดำซึ่งคลุมเรื่อนร่างเขาไว้แทบทั้งตัวยกเว้นส่วนใบหน้า “เฮ้ย”

เขาเรียกลูกไฟลูกเล็กๆและสะบัดไปข้างหลังผม เมื่อผมหันไปดู ก็พบว่าลูกไฟนั้น กำลังเผาลูกธนูของทหารที่ยิงมาทางผม

“ขอบคุณ”

“ไม่มีเวลาแล้ว ลุยเลยดีกว่า”

ผมมองทรรศนะรอบๆตัว บ้านเมืองที่ถูกปลูกสร้างด้วยปูน ถูกปลูกขึ้นเรียงเป็นแถว  ถ้าไม่ติดว่าทหารพวกนั้นบัง ผมคงได้เห็นบ้านเรียงตัวกันเยอะกว่านี้มากๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นของผมตอนนี้

ผมค่อยๆนึกถึงวิชาที่ผมเรียนมาขณะอยู่ในไลอัน ก่อนที่จะตัดสินใจ ค่อยๆดึงดาบเล่มยาวออกจากฝัก  ดาบสีเงินเปร่งประกายเล่นกับแสงของดวงอาทิตย์

เบื้องหน้าของผมคือ ทหารเกาะสีน้ำเงิน ซึ่งกำลังเล็งธนูมาที่ผมแทบทุกคน

“ยิง!!” เพียงผู้บัญชาการสั่งทหารเหล่านั้น  ลูกธนูทุกดอก ต่างพุ่งออกจากคันธนูเพื่อไปหาเป้าหมายที่ถูกเล็งไว้ซักครู่ แน่นอน ลูกธนูนับสามสิบดอกกำลังพุ่งมาทางผม

“ไซโคลน วอลล์ (Cyclone Wall!)” เพียงผมวาดดาบไปครั้งหน้า เกิดสายลมดุจพายุก่อตัวเป็นกำแพงด้านหน้าของผม ลูกธนูทั้งหมดลอยละลิ่วไปตามลมที่ถูกสร้างขึ้น

“อโหสิแล้วกันนะ” ผมดึงมีดเล็กที่อยู่ในฝักขึ้นมา ก่อนที่จะถือให้ดาบและมีดของผม ถือไขว้กันในรูปกากบาท “เซโร่ ครอส เรย์ (0 Cross ray)”

เกิดแสงสีฟ้าอ่อน ขึ้นที่อาวุธทั้งสองของผม ผมรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นที่ถูกรวบรวมไว้ที่อาวุธทั้งสองของผม ก่อนที่ผมจะฟันมันออกไปให้ลำแสงมันพุ่งออกไปในลักษณะกากบาท  ทหารกว่าสามสิบคนข้างหน้าของผมกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมดทันที โดยทียังไม่ทันได้ร้องขอความช่วยเหลือ

“น้ำแข็งสวยดีนะ” เคซเดินมาพูดกับผมพร้อมกับพาดคันธนูไว้ที่หลัง ผมดูบรรยากาศโดยรอบ  นอกจากผมและสามคนนี้ ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเหลืออยู่แล้ว  ทหารทั้งหมดอยู่ในสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก  บ้างก็ถูกไฟคอกตาย บ้างก็โดนฟันหรือแทงตาย บ้างก็เป็นน้ำแข็งตาย

“อืม”

ฉับพลัน ขาของผมก็หมดแรงไปดื้อๆ ผมทรุดตัวนั่งลง   ทั้งสองคนที่เหลือที่เพิ่งมาถึงตกใจเล็กน้อย

“นายคงไม่ค่อยได้ใช้มันบ่อยๆสินะ” เขาหมายถึงเวทมนต์ของผม ผมได้แต่พยักหน้า ก่อนที่จะค่อยๆพยายามยืน แต่มันก็ไม่เป็นผล ผมทรุดตัวลงไปนั่งทันที

เคซมองคนของเขาทั้งสองให้มาช่วยพยุงผม  ก่อนที่พวกเราจะเดินทางออกจากเมืองเพื่อเข้าสู่ชายป่าระหว่างเอฟฟอร์ตกับไลอัน

********************************************************************

ตอนนี้พวกเรานั่งตั้งวงจุดไฟกินอาหารคุยกันสามคน โดยมีเคซหรือคาซาน  ลาฟิเอล เป็นคนวางแผนการเดินทาง และมีนักรบที่ใส่ชุดเกาะที่ชื่อสเปียร์คอยเล่นมุขแทรกตลอดเวลา  เขาบอกว่าปกติเขาจะตบมุขกับคริเอโน่สองคน  แต่วันนี้ดันชิงหลับไปก่อน เราคุยกันจนดึก ก่อนที่จะแยกย้ายกันนอน..

วันแรกของการเดินทาง  เจอแต่เรื่องวุ่นๆ  วันแรกของการนอนป่า  มันหนาวอย่างนี้นี่เอง วันแรกของ...

แกร็บ  แกร็บ

ความคิดในพวังค์ของผมหลุดออกทันทีเมื่อได้ยินเสียงย่ำใบไม้ที่ใกล้เข้ามา  ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่ง..

“ไดม่อนดัสต์ โบว์(Diamond Dust Bow)” เคซลั่นวาจาขึ้นก่อนที่จะซัดลูกธนูไปปักกับต้นไม้  ฉับพลัน  เกิดแสงสว่างเป็นบริเวณกว้าง  “เราสะเพร่าเองที่ไม่ได้ดับไฟ”

ทุกคนตอนนี้อยู่ในท่าพร้อมต่อสู้ มีเพียงทหารไม่ถึงสิบนายล้อมรอบเราอยู่  แต่ไม่ทันจะถึงอึดใจ คริเอโน่ก็เก็บมันหมดอย่างรวดเร็วด้วยพลังไฟ “บังอาจมารบกวนเวลานอนของฉัน”

“ไอ้พวกนี้คงเป็นพวกลาดคระเวน แต่คิดว่าบางส่วนคงหนีกลับไปรายงานข่าวแล้วล่ะ” สเปียร์พูดเสริม

“แต่อีกไม่นานก็เช้าแล้วล่ะ”เคซพูดขึ้น “เราออกเดินทางไปเลยก็ดีเหมือนกัน”

“ตามนั้น” สเปียร์พูดก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายไปเก็บของ เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางไปสู่กอเดีย

Link to comment
Share on other sites

ตามมาอ่านแล่วนะครับ  :pika01: ฟิคออรินี่เงียบเหงาจริงๆ สำหรับบอร์ดนี้  :pika02:

Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 4  : สุสาน

ดวงจันทร์ที่เกือบสมบูรณ์ส่องสว่างลงมา แสงจากดวงจันทร์มีประโยชน์อย่างมากในการเดินทางของพวกผม นี่ก็เป็นวันที่หกของการเดินทางของผมแล้ว

เท่าที่คุยกับเคซ เขาบอกว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปยังจุดที่เชื่อมต่อกันระหว่างสี่อาณาจักร

และจุดนั้นเท่าที่ผมทราบมา เขาเรียกว่าสุสานอะไรซักอย่าง  สุสานอะไรกันนะ.....

ช่างมันเหอะ เอาเป็นว่ามันคือสุสานแล้วกัน

“เฮ้ย เดินเหม่ออยู่ได้” คริเอโน่ที่เดินข้างหลังผมตะโกนแขวะผม  ให้ตาย อยู่ในป่าเงียบๆดันตะโกนซะลั่น  ดีที่อยู่ไกลเมืองแล้ว

“เออน่า” ผมตัดบททิ้งก่อนที่จะเนียนคุยเรื่องใหม่กับคนอื่น “เฮ้ยไอ้สเปียร์ แถวนี้มันแถวไหนวะ”

“ลาสเวกัสมั้ง  ป่าดิถามได้” มันพูดพรางหยิบเสบียงที่พวกเราอุตส่าห์หามาเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจคำถามผม ใครเป็นคนออกไอเดียให้ไอ้สเปียร์มันถือเสบียงวะ

“เออ ขอบใจ” ผมขอบใจเพื่อตอบแทนน้ำใจและไมตรีของมันอย่างประชด ให้ตายดิ มันเห็นผมโง่ขนาดไม่รู้ว่านี่คือป่าแล้วหรือไงกัน

“ฉันว่าพักก่อนดีกว่า” เคซเอ่ยขึ้นก่อนที่จะวางสัมภาระทั้งหมดลง “ไกล้จะถึงแล้ว อีกไม่กี่วันคงถึง”

ผมสงสัยอะไรบางอย่าง นีก็ยังไม่มืดเท่าไรทำไมไม่เดินทางต่อกันนะ

“ทำไมไม่เดินทางต่อล่ะ ยังไม่มืดเท่าไรนิ” ผมเสนอความคิดเห็นออกไป

“ไออนเอียวเออะ(ไปคนเดียวเถอะ)” คริเอโน่พูดขึ้นมาในขณะที่เสบียงที่ทุกคนหามาได้อยู่ในปากมัน ที่ร้ายไปกว่านั้น สเปียร์ก็นั่งกินกับมันด้วย

“ไอ้สุสานบ้าบอนั่น ขนาดผ่านตอนกลางวันยังน่ากลัวเลย”เคซพูดเสริมขึ้นมาพลางยกน้ำจากกระบอกน้ำของตัวเองขึ้นมากระดก

ผมบรรจงวางของของตัวเองไว้ข้างต้นไม้ที่ไกล้ที่สุด ก่อนที่จะเข้าไปล้อมกองไฟที่คริเอโน่จุดเพื่อย่างอะไรซักอย่าง

“อ่ะลองดู” เขาโยนสิ่งๆนั้นมาให้ผม “ชาวไลอันอย่างนายไม่น่าจะรู้จัก” ผมค่อยๆแกะห่อใบตองออก ผมค่อยๆกินจนหมดห่อ

“อร่อยดี มันคืออะไรอ่ะ”

“ขี้ม้าสดย่าง”

“ฮะ?”

“ขี้ม้าสดย่าง”

หลังจากที่ได้ยินคำตอบ  ผมแทบอยากจะอ้วกทันที  นี่พวกมันให้กินอะไรลงไปวะครับเนี่ย อยากจะอ้วก 

อุแหวะ!!

“หลอกควายสบายใจจัง หลอกกี่ครั้งก็ยังเป็นควาย” สเปียร์ร้องเพลงนี้แทรกขึ้นมา “ฮะๆ  อร่อยดี มันคืออะไรอ่ะ” มันย้อนคำพูดผม

และคืนนี้ผมก็โดนล้อไอ้ขี้ม้าสดย่างทั้งคืนจนกระทั่งผมเผลอหลับไป

*******************************************************

“เฮ้ยตื่นได้แล้ว” เสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของสเปียร์ดึงผมให้หลุดจากภวังค์แห่งความฝัน กลับมาสู่โลกแห่งความจริงที่แสนโหดร้ายอีกครั้ง ทุกวันมันก็ปลุกผมอย่างนี้ล่ะ

ผมงัวเงียไปเก็บของแล้วออกเดินทางต่อไป พลางหยิบแผนที่ขึ้นมาดู ก่อนที่จะตกตะลึง

“แผนที่ภาพหาย”

เปรี้ย !

เสียงศีรษะโดนลั่นอย่างแรง  ผมหายง่วงในทันที ครีเอโน่เข้ามาและพลิกแผนที่กลับมาอีกด้านหนึ่ง

“มุกปัญญาอ่อน”

ผมสาบานได้ว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้เล่นมุกจริงๆ  แต่พูดไปคงไม่มีใครเชื่อหรอก

เคซเดินมาดูแผนที่ของผม และชี้ลงไปบริเวณเส้นระหว่างเมือง ไกล้จุดที่เชื่อมระหว่างสี่อาณาจักร

“ตรงนี้คือจุดที่พวกเรายืนอยู่” เขาเลื่อนนิ้วไปตรงบริเวณจุดที่เชื่อมกันระหว่างสี่อาณาจักร “ไอ้ตรงนี้ล่ะ สุสานที่ว่า”

“ครึ่งวันโดยประมาณมั้งกว่าจะถึงสุสานนั่น” ครีเอโน่พูด “ถึงจะน่ากลัวหน่อยแต่มันก็เร็วแหละ”

ผมได้แต่เพียงพยักหน้า ป่านนี้ถ้าไม่ได้พวกนี้ช่วยไว้ตอนนั้น คงจะโดนล่ามอยู่ในคุกล่ะมั้ง

พลันค่อยๆ ม้วนแผนที่เก็บไว้ในเสื้อคลุมสีเขียวของตัวเอง และสาวเท้าเก้าเดินไปสู่เป้าหมายต่อไป

หลายชั่วโมงผ่านมา  เรามาถึงสุสานที่ว่านั่นจนได้  บริเวณนี้ เป็นที่ราบเตรียน ผิดกับโดยรอบที่เป็นป่า

และที่น่าแปลกใจ  มันไม่เหมือนสุสานสักนิดเดียว  แม้แต่ป้ายหลุมศพหรืออะไรก็ไม่มี

“เอ๋ ทำไมไม่มีป้ายหลุมหรืออะไรบ้างเลยล่ะ” ผมสะกิดถามเคซ เขาคงคิดไว้แล้วล่ะว่าผมคงถามแน่ๆ

“ที่เรียกว่าสุสาน เพราะบริเวณนี้มันน่ากลัวมากๆยังไงล่ะ”

แม้ว่าจะเป็นช่วงกลางวัน  แต่บรรยากาศกับเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่ลมพัด เสียงสัตว์เล็กร้อง หรือเสียงเคลื่อนไหวของสิ่งอื่น

นอกจากพวกเราสี่คน

“นำไปต่อดิท่าน” สเปียร์พูดพลางดันตัวเคซไป  แม้ว่าเขาจะฝืนขาอยู่ในช่วงแรก แต่ก็ต้องยอมเดินไปในทีสุด

เราก้าวเท้าจนเข้ามาอยู่ในบริเวณสุสานเต็มตัว  สัมผัสได้เลย ว่าเคยมีคนตายที่นี่เป็นจำนวนมาก

ผมรู้สึกกลัวนิดๆ แล้วสิ

“ครีเอน่า”

จู่ๆ ครีเอโน่ก็พูดขึ้นมา ครีเอน่า คืออะไรกัน?

“เกิดอะไรขึ้น” เคซหันกลับมาถามครีเอโน่ทันที  ดูเหมือนว่า คงเป็นใคร หรืออะไรที่สำคัญต่อครีเอโน่มากๆ

“ตั้งสติก่อนสิ” สเปียร์เสริมขึ้นมา “นายรู้สึกอะไร”

“ฉันเห็น” เขาเว้นช่วง “ฉันรู้สึกได้ว่าครีเอน่าอยู่แถวนี้”

“แต่น้องสาวนาย--”สเปียร์พยายามจะพูดแทรก

“ยัง ฉันรู้สึกได้ว่าเธอยังไม่ตาย” ครีเอโน่หลับตาไปพักหนึ่งก่อนที่จะลืมตึ้นมา “ในเอ็กซ์โซเดียม”

ครีเอโน่วิ่งนำไปทันที ตามด้วยสเปียร์ ผมกำลังจะวิ่งตาม

“เดี๋ยวก่อน” เคซสั่งห้ามผม พลันจับไหล่ผมไว้ “ฉันรู้สึกได้ว่ามันแปลกๆ”

“หมายความว่า”

เขาเพียงพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าสิ่งทีคิดถูกต้อง  ที่ผมคิดคือ ครีเอโน่พลาดท่าโดนลวงเข้าให้แล้ว

“เพราะครีเอโน่จิตใจอ่อนแอมากในช่วงนี้  พ่อ แม่ น้องสาวเขาตายทั้งหมดเพราะพวกกอเดีย”

“ครีเอน่า  นั่นชื่อน้องสาวของเขาสินะ”

เคซพยักหน้าเพียงเล็กน้อย

ใครที่ทำกับเพื่อนผม ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้หน้าไหนมันทำ  หรือมันเป็นแค่เพียงพลังของสุสานนี่

แต่ถ้าผมโดนเล่นกับความรู้สึกอย่างนี้...

ผมยอมไม่ได้!!!

“เคซ  ไปช่วยเพื่อนของพวกเรากันเถอะ”

ผมและเคซกำลังจะวิ่งตามไปทางครีเอโน่ แต่ดูเหมือนว่า จะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

“พวกนายหนีฉันไม่พ้นหรอกคาซาน”

เสียงหนึ่งดังขึ้นตามหลังมาบ่งบอกว่าเจ้าของเสียงไม่ได้มาดี  เคซหยิบธนูและลูกธนูเตรียมพร้อมยิงทันที

“สวัสดีเพื่อนรัก”

พลันเจ้าของเสียงเดินออกมาจากป่าทางที่เราเคยเดินออกมา  สายตาของเคซในตอนนี้ดั่งเจออริร้าย เขาตั้งธนูเล็งไปทางชายผู้มาเยือนทันที

ใบหน้ากลมราวสตรี ผมตั้งชี้สีดำนิล  อยู่ในชุดคลุมสีเขียวขี้ม้า ธนูสีแดงเลือดพาดหลังเขา สายตาที่โหดเหี้ยมผสมกับรอยยิ้มที่เกิดจากการเสแสร้ง

สรุปคือ หมอนี่เลวครบสูตร

“ไปตายซะไอ้นรก” คาซานไม่รอช้าง้างสายธนู

“ฉันเตือนว่าอย่าดีกว่ามั้ย”

ฉับพลัน กองทหารของเอฟฟอร์ตปรากฏขึ้นหลังชายผู้นั้นพร้อมนานาอาวุธยิงไกล  เกราะสีฟ้าอย่างนั้น ผมยังจำได้ดี....

ก็ไอ้พวกที่จับผมเข้าคุกนั่นแหละ

“เคซ” ผมมองหน้าเขาเป็นเชิงว่าจะเอายังไงต่อ

ในกรณีที่ทหารนับร้อยหรืออาจจะมากกว่า มารุมก็เคยฝ่ามาแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีจุดสำคัญเพิ่มขึ้นในกระดานแห่งสนามรบของเรา บุรุษคนนั้น...

ผมควรจะทำอย่างไรดี ถ้าเลือกต่อสู้ ในกรณีนี้มันมากเกินไป แต่ถ้าคิดจะหนี เราก็รอดยากอยู่ดี

“ไทเกอร์ เอ็กซ์พลอชั่น (Tiger Explosion)” แสงสีเหลืองส่องประกายมาจากด้านหลังพุ่งเข้ามาหาพวกเรา พลันปรากฏร่างของสเปียร์ตรงหน้า...

เส้นทางที่แสงสีเหลืองเคยผ่าน บัดนี้ค่อยๆระเบิดอย่างต่อเนื่อง หลายคนที่รู้ตัวก็หลบหนีอย่างไม่เป็นท่า รวมทั้งชายคนนั้นด้วย พวกเราจึงใช้ช่วงที่วุ่นวายหลบหนีมา

ตอนนี้พวกเราสามคนวิ่งหนีไปทางที่ครีเอโน่มุ่งหน้าไปอย่างไม่คิดชีวิต

“ไม่น่าเชื่อว่าไอ้ระยำไกอาจะตามมาได้” เคซพูดกับสเปียร์ “แต่นายรู้ได้ไงว่ามันจะมา”

“จริงๆรู้ตัวตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้บอก”

“หมายความว่าเรื่องที่เกิดกับครีเอโน่” ผมพูดแทรกไป เพราะคิดว่าเรื่องของครีเอโน่เป็นแผนการ

“เปล่า มันเป็นเรื่องจริง ตอนนี้คงกำลังมุ่งหน้าไปสู่เอ็กซ์โซเดียม เขาบอกว่าจะล่วงหน้าไปก่อนน่ะ”

“นายไม่คิดเหรอว่าครีเอโน่จะโดนหลอกน่ะ” ผมถามสเปียร์ไป

“ฉันเชื่อใจหมอนั่น คงไม่เป็นอันตรายง่ายๆหรอกน่า อีกอย่าง ฉันเตือนเขาให้ระวังโดนหลอกไว้แล้ว”

พวกเราเปลี่ยนจากการวิ่งเป็นการเดิน  เราวิ่งกันมากว่าสิบนาที ตอนนี้เราคงทิ้งห่างไกอาได้บ้าง แต่ก็ไม่ไกลนัก

Link to comment
Share on other sites

ตามมาอ่านตอนนี้แล้วนะครับ รู้สึกเหมือนโน๊ตเร่งรีบยังไงไม่รูแฮะ  :pika01:

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.
×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.