Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

[นิยาย] จอมคนขุนพลชั่ว - ก่อเกิดพยัคฆ์ประจิม


ท่านลุงในตำนาน

Recommended Posts

บทที่สิบ เงื่อนไขได้กระบอง

ฮ่ะๆๆๆ

เสียงหัวเราะหวานๆ ที่คุ้นเคย ดังขึ้นทันทีที่เหมาเซี่ยวู่ปาดเอาเศษซาลาเปาที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าออก เห็นว่าเป็น จ้าวหอฟางฟาง

ตอนนี้นางนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง ตัวเดิมกับตอนครั้งที่เจอกันครั้งแรก แต่ว่าคราวนี้นางนั่งอยู่เพียงคนเดียว ไม่พบชายขี้เมาที่อยู่กับนางก่อนหน้านี้ร่วมอยู่ด้วย บนโต๊ะของนางนั้นมีจานซาลาเปาจำนวนหนึ่งวางอยู่ด้วย แสดงว่า ผู้ที่ซัดซาลาเปามาก็คือนางนั่นเอง

เหมาเซี่ยวู่ฝืนยิ้ม เอ่ยว่า

แค่นี้พอให้ท่านพึงพอใจได้หรือไม่?

ใบหน้าครึ่งล่างของจ้าวหอฟางฟางเผยรอยยิ้ม นางเอ่ยตอบว่า

ไม่หรอก เจ้ากระบอง แค่นี้ยังไม่พอหรอก

เมื่อได้ยินว่ายังทำให้นางพึงพอใจไม่ได้ กำลังใจในการได้รับกระบองดั่งจิตท่อนที่หกของเหมาเซี่ยวู่ก็ถูกบั่นทอนลงส่วนหนึ่ง

รอยยิ้มของจ้าวหอฟางฟางยังคงสภาพเช่นเดิม นางเอ่ยต่อว่า

แต่ว่าอีกเดี๋ยวข้าจะบอกเงื่อนไขที่จะทำให้ข้าพึงพอใจให้ฟัง ดังนั้น ตอนนี้เจ้ามาร่วมวงสนทนากับข้าก่อน อ้อ...รวมถึงเจ้าด้วย แม่นางคังอ้ายเหนียง

เหมาเซี่ยวู่รู้สึกสบายใจขึ้น รีบเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะทันที ส่วนคังอ้ายเหนียงได้แต่เดินมานั่งร่วมโต๊ะอย่างงงๆ

ทันทีที่คังอ้ายเหนียงลงนั่ง นางก็สะดุ้งเฮือก เพราะเถ้าแก่เฉินก็ยกน้ำชามาวางลงตรงหน้าทันที พอวางเสร็จ เขาก็ก้าวมานั่งที่เก้าอี้ตัวที่เหลือข้างๆ นาง

เถ้าแก่เฉิน รินชาใส่แก้ว ส่งให้คังอ้ายเหนียง พร้อมเอ่ยว่า

ก่อนอื่น ข้าต้องขอชื่นชมในความกล้าหารของเจ้า ที่กล้าบุกรุกป่าทางเหนือของเจ้าพยัคฆ์ร้าย และขอยินดีที่เจ้าเอาชีวิตรอดกลับมาได้

อ่า...ขอบคุณ

คังอ้ายเหนียงรับแก้วมาชามาดื่มรวดเดียวหมดตามมารยาท แล้วเอ่ยถามกลับว่า

เอ่อ....แล้วท่านทราบได้ยังไงว่า ข้าเอาชีวิตรอดจากเจ้าพยัคฆ์ร้ายจากป่าทางเหนือ?

เถ้าแก่เฉินหัวเราะหึๆ เอ่ยตอบว่า

ข้าพอรู้จักกับหลีชิงเซี่ย อาจารย์ของเจ้าอยู่บ้าง แต่ทว่าเรื่องของเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกว่า เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะนั่งที่ชั้นสองของร้านน้ำชาของข้าแล้ว

คังอ้ายเหนียงไม่ค่อยเข้าใจกับประโยคหลังของเถ้าแก่เฉินนัก แต่ว่าเหมาเซี่ยวู่ชิงถามก่อนว่า

คุณสมบัติอะไรกัน แล้วข้าล่ะ มีคุณสมบัติอะไรนี่บ้างหรือเปล่า?

เถ้าแก่เฉินหันมาทางเหมาเซี่ยวู่ เอ่ยว่า

พวกเจ้าก็คงรู้สึกบ้างแล้วสินะว่าร้านน้ำชาของข้าไม่เหมือนร้านน้ำชาของอื่นๆ

เหมาเซี่ยวู่และคังอ้ายเหนียงคิดตามทันที ร้านน้ำชาของเถ้าแก่เฉิน ดูแปลกๆ หลายอย่าง โดยปกติแล้วร้านน้ำชาเปรียบได้ดั่งที่พักแรกของนักเดินทาง และเป็นที่ร่วมสังสรรค์สุราบ้าง ซึ่งร้านแบบนี้มักจะเปิดให้บริการแต่เช้ามืด และปิดในยามดึก เพื่อให้เหล่านักเดินทางทั้งหลายได้เข้ามาพัก แล้วก็ร้านประเภทนี้มักจะใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด หากมีพื้นที่เป็นอาคารหลายชั้น ก็จะเปิดรับแขกทุกชั้นไป

คังอ้ายเหนียงเอ่ยสั้นๆ เพียงว่า อ่า....ใช่

เถ้าแก่เฉินเอ่ยต่ออีกว่า

สำหรับร้านน้ำชาของข้า ไม่ได้ต้อนรับนักเดินทางทั่วไป แต่จะตอนรับชาวยุทธ์ด้วย ยิ่งชั้นสองแห่งนี้จะรับเฉพาะชาวยุทธ์ที่มีทั้งฝีมือและชื่อเสียงเท่านั้น

คังอ้ายเหนียงรีบแย้งทันทีว่า

แต่ว่าข้ามีฝีมือเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเองนะ แล้วก็ข้าก็เป็นเพียงแพทย์บ้านๆ ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรด้วย

เถ้าแก่เฉินหัวเราะร่า พลางเอ่ยว่า

เจ้าพยัคฆ์ร้ายที่เจ้าพบแล้วเอาชีวิตรอดกลับมาได้น่ะ มันไม่ใช่เป็นแค่เสือร้ายทั่วๆ ไปนะ ชื่อของมันคือ เจ้าเขี้ยวนิล เป็นเสือร้ายที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับทหารกล้าถึงหนึ่งร้อยนาย มีชาวยุทธ์และชาวบ้านหลายคนที่สังเวยชีวิตที่ป่าแห่งนั้นมาแล้วนับไม่ถ้วน แค่เจ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ ก็ถือว่ามีฝีมือพอตัวแล้ว ส่วนด้านชื่อเสียง เจ้าเป็นบุตรีคนโตของคังฉินเอ๋อ หญิงงามอันดับหนึ่งของซวนเฉิง เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับทางด้านชื่อเสียง

คังอ้ายเหนียงตะลึงงัน เจ้าพยัคฆ์ร้ายที่นางเจอเมื่อวันก่อนร้ายกาจสมคำเถ้าแก่เฉินจริงๆ แต่ที่ร้ายยิ่งกว่าคือหูตาของเถ้าแก่เฉินเจ้าของร้านน้ำชาผู้นี้ ตัวนางเองก็เพิ่งเข้ามาอยู่ที่เมืองซวนเฉิงมาแค่สองปีกว่า ไม่เคยเล่าเรื่องของตนให้ใครฟังเลย นอกจากหลีชิงเซี่ย ผู้เป็นอาจารย์

ท่านแม่ข้าเป็นถึงหญิงงามอันดับหนึ่งของซวนเฉิงเลยหรือนี่?

เถ้าแก่เฉินหยุดหัวเราะ แต่ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้ม เอ่ยต่อว่า

ดูเหมือนว่าหน้าตาเจ้าจะไม่ค่อยคล้ายแม่ของเจ้านะ แต่ว่านิสัยใจกล้าบ้าบิ่น เรื่องทำเพื่อช่วยคน โดยไม่คำนึงถึงชีวิตนี่ เป็นนิสัย คังฉินเอ๋อ อย่างแน่นอน

คังอ้ายเหนียงหน้าแดงวาบ รู้สึกอายนิดๆ แต่ท่านพ่อของนางก็มักว่านาง ว่ามีนิสัยใจกล้าบ้าบิ่นเหมือนแม่ของนางไม่มีผิด

เหมาเซี่ยวู่ที่นั่งเงียบอยู่ เอ่ยขึ้นบ้างว่า

แล้วข้าล่ะ? มีคุณสมบัติเพียงพอหรือเปล่า?

จ้าวหอฟางฟางหัวเราะหึหึ เอ่ยหวานแทรกขึ้นว่า

อืม....นั่นสินะ ฝีมือเจ้าก็ไม่เอาไหน ชื่อเสียงก็ไม่ได้เด่นดังอะไร แถมยังเป็นแค่ลูกบุญธรรมสกุลเหมา สกุลช่างเหล็กต่ำต้อย จะมีคุณสมบัติอะไรอีกเล่า?

เหมาเซี่ยวู่มองตาขวางมายังจ้าวหอฟางฟาง เอ่ยเสียงเครียดว่า

ถึงข้าจะเป็นแค่ลูกบุญธรรมของสกุลเหมาที่ต่ำต้อย แต่คนของสกุลเหมา ก็รักข้ามาก ข้ามีชีวิตใหม่ก็เพราะสกุลเหมา ดังนั้นข้าไม่ยอมให้ท่านดูถูกสกุลเหมาแน่!!

ร่างของคังอ้ายเหนียงสั่นสะท้าน เพียงชั่ววูบหนึ่งที่นางเกิดรู้สึกหวาดกลัวเหมาเซี่ยวู่ขึ้นมา จนไม่กล้าแม้แต่มองหน้า ส่วนเถ้าแก่เฉินที่อยู่ด้านตรงข้ามเลี่ยงสายตารินน้ำชา มีเพียงจ้าวหอฟางฟางที่กล้ามองหน้าตรงๆ

ถึงจะปล่อยออกมาได้ไม่มาก แต่ก็ถือว่าทำได้ดี

เถ้าแก่เฉินเอ่ยขึ้น พร้อมส่งแก้วน้ำชาที่เพิ่งรินเมื่อครู่ให้แก่เหมาเซี่ยวู่

สภาพของเหมาเซี่ยวู่กลับมาเป็นปกติ รับแก้วน้ำชาอย่างงงๆ จนเถ้าแก่เฉินเอ่ยขึ้นอีกว่า

ยังจะสงสัยอะไรอีก เมื่อครู่เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว ดื่มเถอะ

ถึงเหมาเซี่ยวู่จะยังงงๆ แต่ก็ยกแก้วชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ก่อนเอ่ยถามว่า

การทดสอบอะไร? แล้วเมื่อครู่ท่านว่าถึงเรื่องอะไร?

จ้าวหอฟางฟางยิ้มกว้าง เอ่ยเสียงหวานว่า

ก่อนอื่นต้องขอโทษด้วย ที่ต้องต่อว่าเจ้าเมื่อครู่ ที่ข้าทำไป ก็เพื่อทดสอบว่าเจ้าจะปล่อย จิตกดดัน ได้มากน้อยเพียงใด ถึงแม้ว่าเจ้าจะปล่อยออกมาได้ไม่มาก แต่สำหรับคนที่ยังไม่รู้ ก็ถือได้ว่าทำออกมาได้ดี

เถ้าแก่เฉิน รีบเอ่ยอธิบายต่อทันทีว่า

สิ่งที่เรียกว่า จิตกดดัน คือ การปลดปล่อยจิตอย่างหนึ่ง เป็นการทำให้ผู้คนหวาดกลัว ปกติแล้ว มันมักจะแฝงมากับอารมณ์โกรธของมนุษย์ ซึ่งเหล่าชาวยุทธ์ ที่มีฝีมือสูงๆ จะสามารถควบคุมมันและปลดปล่อยมันได้อย่างใจคิด เป็นการจู่โจมอย่างหนึ่ง ใช้เป็นการหยั่งเชิง หรือทดสอบฝีมือของอีกฝ่าย

ทั้งเหมาเซี่ยวู่ทั้งคังอ้ายเหนียงต่างก็รู้สึกตื่นเต้น ที่ได้รับความรู้ใหม่ด้านการต่อสู้ของชาวยุทธ์

เหมาเซี่ยวู่เล็งเห็นซาลาเปาที่อยู่ด้านหน้า จึงฉวยโอกาสช่วงนี้ ยื่นมือไปหยิบทาน แต่จู่ๆ ก็มีมือเรียวงาม ก็ไหววูบผ่านจานไป ทั้งซาลาเปาทั้งจานหายไปหมดสิ้น

ใจเย็นก่อน เจ้ากระบอง

ที่แท้จ้าวหอฟางฟางเป็นผู้หยิบจานซาลาเปาขึ้นหลบนั่นเอง นางค่อยๆ วางจานลงพลางเอ่ยว่า

เรื่องทานนี่ เก็บไว้ก่อน ให้ข้าแจ้งเงื่อนไขที่ทำให้ข้าพึงพอใจให้จบเสียก่อน

เหมาเซี่ยวู่สะดุ้งเฮือก รีบเอ่ยเร่งรัดว่า

ข้าต้องทำอย่างไร!!

จ้าวหอฟางฟางหันไปทางคังอ้ายเหนียง พลางเอ่ยถามขึ้นว่า

ได้ยินว่าตอนนี้ท่านรับผิดชอบรักษาอาการป่วยของฉงฮูหยินอยู่ ไม่ทราบว่าตอนนี้อาการของนางเป็นอย่างไรบ้าง?

คังอ้ายเหนียง กำลังนั่งฟังเรื่องของเหมาเซี่ยวู่อยู่ดีๆ ไม่นึกว่าจะมาเกี่ยวข้องกับนางด้วย จึงงุนงงอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบว่า

เอ่อ...ตอนนี้ อาการของนางไม่สู้ดีนัก

จ้าวหอฟางฟางพยักหน้ารับช้าๆ ส่วนเหมาเซี่ยวู่ พอได้ยินถึงเรื่องอาการของมารดาบุญธรรมที่มีพระคุณยิ่ง ถึงกลับหันควับมาทางคังอ้ายเหนียงทันที พร้อมเอ่ยว่า

ฮ่ะๆ โกหกน่าพี่สาว เมื่อตอนเช้านี้ ตอนข้าเข้าไปเยี่ยมท่านแม่ นางก็ดูสดใสแข็งแรงดีอยู่นี่

ได้ฟังคำของเหมาเซี่ยวู่ คังอ้ายเหนียงถึงกับถอนหายใจยาว พลางเอ่ยว่า

ยาระงับอาการที่ข้าทิ้งให้ไว้ก่อนเข้าป่า คงมีผลอีกราวสามวัน หลังจากนี้ ถ้าหากไม่ได้ ตัวยาที่ข้าต้องการ ยาระงับอาการที่ให้ไปจะส่งผลให้อาการนางทรุดหนักกว่าเดิมแน่นอน

เถ้าแก่เฉินเอ่ยแทรกขึ้นว่า

นี่คงเป็นเหตุผลที่ ทำให้ท่านหมอเข้าป่า จนไปพบกับเจ้าเขี้ยวนิลกระมัง?

คังอ้ายเหนียงพยักหน้าช้าๆ เอ่ยต่ออีกว่า

ถ้าได้ตัวยาที่ว่านี้ การรักษาฉงฮูหยินให้หายขาดก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้

ได้ฟังคำของคังอ้ายเหนียง เหมาเซี่ยวู่ถึงกับหัวเราะไม่ออก นึกถึงสภาพตอนที่ฉงจินเฟย ตอนที่อาการของนางกำเริบในช่วงที่อยู่ดูแลกับเขา แค่เห็นก็รู้ได้เลยว่า มันเจ็บปวดทรมานเพียงใด เขาไม่อยากเห็นภาพนั้นอีก

พี่สาว!! ตัวยาที่ท่านต้องการคืออะไร!! อยู่ที่ไหน!! บอกมาเถอะ!! ข้าจะรีบไปหามาให้เดี๋ยวนี้เลย!!

คังอ้ายเหนียงถึงกับทำอะไรไม่ถูก สมุนไพรที่นางต้องการนั้น ดันไปอยู่ในป่าของเจ้าพยัคฆ์ เขี้ยวนิล ซึ่งแม้แต่นางก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งอีก

ดี!!

เสียงของจ้าวหอฟางฟาง ดึงเอาสายตาทุกคู่กลับมายังนาง รอยยิ้มหวานที่ทรงเสน่ห์ของจ้าวหอฟางฟาง ทำเอาเหมาเซี่ยวู่รู้สึกใจสั่นไปชั่วครู่ ไม่เว้นแม้แต่คังอ้ายเหนียงที่เป็นหญิงด้วยกัน

จ้าวหอฟางฟางยิ้มกว้างขึ้น พลางล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบกระบองดั่งจิตท่อนที่หกออกมา เอ่ยว่า

เจ้ากระบอง เจ้านี่ช่างใจกล้าบ้าบิ่นเสียจริงๆ เอาเป็นว่า ถ้าเจ้าสามารถช่วยแม่นางคังอ้ายเหนียง หาตัวยาที่นางต้องการได้ และช่วยรักษามารดาบุญธรรมของเจ้าได้ กระบองดั่งจิตท่อนนี้ ก็จะเป็นของเจ้า

จบตอนที่สอง พยัคฆ์ร้ายเขี้ยวนิล

--------------------------------------------------------------------------------------

บทที่หนึ่ง กำหนดการงานแต่ง

บทที่สอง พิษแฝงแรงรัก

บทที่สาม แสงลาลับ

บทที่สี่ เข้าป่าหาตัวยา

บทที่ห้า หญ้าพิษ หญ้าถอนพิษ

บทที่หก เผชิญหน้าพยัคฆ์ร้าย

บทที่เจ็ด พยัคฆ์ยอมถอย

บทที่แปด รอดพ้นคมเขี้ยวพยัคฆ์

บทที่เก้า เชิญเข้าร้านน้ำชา

บทที่สิบ เงื่อนไขได้กระบอง

บุคคลที่อาจหาญพอจะบุกฝ่าทะเลรัก จำเป็นต้องมีจิตใจที่รักการผจญภัยและไร้ความหวาดเกรง ไม่หวั่นต่อเภทภัยอันไร้จุดจบ จึงจะสามารถทุ่มสุดหัวใจได้

ส่วนเสริม

ขอกล่าวถึงคนในการใช้แซ่เล็กน้อย ตามธรรมเนียมของคนในนิยายเรื่องนี้แล้ว ส่วนใหญ่ลูกที่เกิดมาจะยึดถือสกุลตามผู้เป็นพ่อ แต่จะมีน้อยครั้ง ที่ลูกยึดถือสกุลตามผู้เป็นแม่ หรือถือสกุลอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของพ่อ ซึ่งก็มีเหตุผลหลายๆ อย่างเช่น บรรดาลูกๆ ของหลีอิงฮุ่ย เดิมใช้สกุลซู ตามผู้เป็นพ่อ ซูหลางจิ้น แต่ภายหลังจาก ซูหลางจิ้น เสียชีวิต หลีอิงฮุ่ย ผู้เป็นภรรยา ได้สร้างชื่อไว้ให้แก่แคว้นซวนเป็นอันมาก ซวนอ๋องเห็นว่า แซ่หลีแกล้วกล้าแต่ไม่มีผู้สืบต่อ ถือจึงแต่งตั้งให้ลูกๆ ของหลีอิงฮุ่ย ยึดถือสกุลเดิมของผู้เป็นแม่แทน หรือในส่วนของเหมาเซี่ยวู่ เดิมเป็นไม่ได้สกุลเหมา แต่เนื่องเป็นลูกบุญธรรมของสกุลเหมา จึงได้สกุลนี้ ส่วน คังอ้ายเหนียงแตกต่างออกไป ที่นางยึดสกุลคังตามแม่นั้น เป็นเหตุผลส่วนตัว ซึ่งจะขอเล่าในโอกาสหน้า

Link to comment
Share on other sites

  • 3 weeks later...

ตอนที่สาม ตะวันตกพยัคฆ์ขาว

บทที่หนึ่ง ห้ามผ่าน

ดวงตาของเหมาเซี่ยวู่ลุกวาว มองท่อนกระบองดั่งจิตที่อยู่ภายในมือของจ้าวหอฟางฟาง หากเขาเหลือให้คังอ้ายเหนียง ค้นหาตัวยาได้ มารดาบุญธรรมของเขาก็จะหลุดพ้นความทรมาน ทั้งเขาก็จะยังได้กระบองดั่งจิตท่อนที่หกท่อนนี้จากจ้าวหอฟางฟางอีกด้วย

เหมาเซี่ยวู่ หันกลับไปทางคังอ้ายเหนียง

“พี่สาว!! เวลาทุกนาทีนั้นมีค่า!! บอกมาเถอะ ตัวยาที่ท่านต้องการคืออะไร? ข้าจะได้รีบไปหามาให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย”

คังอ้ายเหนียงรู้สึกจนด้วยใจ เวลาทุกนาทีนั้นมีค่าอย่างที่เหมาเซี่ยวู่ว่าจริงๆ

“จะรีบร้อนไปไหนล่ะ? เจ้ากระบอง”

เสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านบันไดทางขึ้น เจ้าของเสียงก็คือ หลีฮันหลง นั่นเอง เขาไม่ได้มาเพียงคนเดียว ยังมีหลีเม่ยหลิน น้องสาว และผู้เป็นบิดา หลีเฟยหลาง เดินตามมาติดๆ

“โปรดรอสักครู่”

เถ้าแก่เฉินลุกขึ้นขยับเก้าอี้ที่นั่งออก แล้วเดินไปยกโต๊ะอีกตัวมาต่อ ตามด้วยการจัดเรียงเก้าอี้อย่างรวดเร็ว

“เชิญนั่งก่อน”

พอทั้งหมดนั่งร่วมโต๊ะ เถ้าแก่เฉินก็จัดการรินชาส่งให้ทุกคน พลางเอ่ยว่า

“โปรดรอสักครู่ สุราอาหารกำลังมา”

จบคำก็เดินจากไป เพียงไม่กี่ก้าว ร่างของชายแก่ผู้นี้ก็หายไปเสียแล้ว

“จะรีบร้อนไปไหนล่ะ? เจ้ากระบอง เกิดเรื่องอะไรขึ้นเรอะ?”

หลีฮันหลงทวนซ้ำเดิม พร้อมเพิ่มคำถามใหม่ไปด้วย

เหมาเซี่ยวู่รีบเอ่ยตอบว่า

“ท่านแม่ข้าอาการหนัก ข้าต้องรีบไปช่วย แต่ว่าพี่สาวไม่ยอมให้ความช่วยเหลือเลยสิ”

หลีฮันหลงรู้นิสัยของเพื่อนคนนี้ดี คงจะถามอะไรเพิ่มอีกไม่ได้ เขาจึงเลื่อนสายตามาทางคังอ้ายเหนียงเป็นเชิงถาม

คังอ้ายเหนียงสายหน้าถอนหายใจยาว เอ่ยให้คำตอบมาว่า

“มันอันตรายเกินกว่าเด็กๆ อย่างพวกเจ้าจะเข้าไปเสี่ยง ขนาดตัวข้าเอง ก็เกือบเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว”

เหมาเซี่ยวู่รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย เขาทราบแล้วว่า ถ้าเขาจะช่วยพี่สาวคนนี้ เขาก็ต้องตามนางเข้าไปหาสมุนไพรในป่าของเจ้าพยัคฆ์ร้ายเขี้ยวนิล แต่จิตใจที่ต้องการช่วยเหลือผู้มีพระคุณมีอำนาจเหนือยิ่งกว่าความหวาดกลัว

“เพื่อท่านแม่แล้ว ข้าไม่กลัว!!”

สิ้นประโยค คังอ้ายเหนียงมีสีหน้าตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นางไม่รู้จะหาคำพูดอะไรตอบกลับไปดี ภายในใจรู้สึกชื่นชมที่เขามีใจกตัญญู แต่ว่าอีกใจก็รู้สึกหวาดหวั่นที่หากไปแล้วไม่รู้ว่าจะได้กลับออกมาได้หรือไม่

หลีฮันหลงสังเกตได้จากใบหน้าว่า คังอ้ายเหนียง มีความลำบากใจจนพูดอะไรไม่ออก จึงเอ่ยปากว่า

“ใจเย็นๆ ก่อนสิ เจ้ากระบอง” แล้วหันไปทาง คังอ้ายเหนียง เอ่ยถามว่า “พี่อ้ายเหนียง เรื่องราวมันเป็นอย่างไร?”

คังอ้ายเหนียงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง รวมถึงเรื่องที่นางเข้าป่าไปพบกับเจ้าพยัคฆ์ร้ายเขี้ยวนิล แต่ก็ยังปกปิดเรื่องสาเหตุที่ฉงจินเฟยป่วยเพราะพิษ พอสามพ่อลูกได้ฟังต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน ยิ่งหลีเฟยหลางที่เคยได้สูญเสียทหารจำนวนมากไปเจ้าพยัคฆ์ร้ายตัวนี้มาแล้ว ยิ่งตกตะลึกมาก

พอเล่าจบ ก็เป็นจังหวะพอดีที่เถ้าแก่เฉินและ เฉินเหมยเหลียนหลานสาวตัวน้อยกลับขึ้นมาพร้อมกับสุราอาหาร หลังจัดวางเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็ถอยไปยืนด้านหลังของจ้าวหอฟางฟาง

จ้าวหอฟางฟางยิ้มหวาน เอ่ยขึ้นว่า

“เอาล่ะ อาหารมาแล้ว เก็บเรื่องของฉงฮูหยินไว้สักครู่เถอะ”

จบคำนางก็เริ่มทานอาหารอย่างสบายใจ แต่อีกด้านเหมาเซี่ยวู่เริ่มจะร้อนใจมากยิ่งขึ้น จนทนไม่ไหว ลุกขึ้นเอ่ยว่า

“สำหรับท่านน่ะใช่ แต่สำหรับข้าแล้ว ตอนนี้เรื่องท่านแม่สำคัญกว่า”

“ด...เดี๋ยวก่อนสิ”

เหมาเซี่ยวู่ไม่ฟังคำเหนี่ยวรั้งใดๆ รีบเดินตรงไปยังบันไดทางลง แต่ว่าเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเด็กหนุ่มหน้าตาดี สวมชุดผ้าไหมราคาแพง สีเขียวขนนกยูง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขายืนขวางบันไดไว้

“จะรีบไปไหน อยู่ต่อเถอะ”

ท่าทางของเด็กหนุ่มแปลกหน้าจะไม่ยอมเหมาเซี่ยวู่ให้ผ่านไปโดยดี ไม่ว่าเขาจะขยับหลบยังไง เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ขยับขวางทางตลอด จนเหมาเซี่ยวู่เริ่มหงุดหงิด ออกแรงปัดร่างของคนผู้นั้นให้พ้นทาง

ผิดคาด ร่างของเด็กชายผู้นั้นเลื่อนถอยหลังลอยกลางอากาศแล้วกลับลอยคืนที่เดิม มือของเหมาเซี่ยวู่ปัดอากาศทันที พลันเสียงหวานๆ ของจ้าวหอฟางฟางดังขึ้นมาว่า

“ถ้าเจ้าคิดจะไปจริงๆ งั้นเจ้าก็ลองผ่านคนของข้าไปให้ได้ก่อนสิ”

เหมาเซี่ยวู่หันกลับมามองหน้านางวูบหนึ่ง ก่อนหันกลับมาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มที่ขวางทาง

เด็กหนุ่มกุมหมัดเอ่ยแนะนำตัวว่า

“ข้าชื่อ จิ้นจือหยาง ส่วนเจ้าก็คงเป็น ‘เจ้ากระบอง’ เหมาเซี่ยวู่สินะ”

เหมาเซี่ยวู่มองจิ้นจือหยาง อย่างไม่ค่อยพอใจนัก แล้วพยายามเดินผ่านไปอีกครั้ง แต่ว่ามีประกายแสงสายหนึ่งไหววูบผ่านใบหน้าเขาไป

สัญชาตญาณของเหมาเซี่ยวู่ไวพอที่รับรู้ได้ถึงอันตรายจากประกายแสงนั้น เขารีบกระโดดถอยออกห่าง ตอนนี้ในมือของจิ้นจือหยางปรากฏกระบี่เรียวยาวเล่มหนึ่ง พร้อมฝักกระบี่ไม้สักทองสลักลวดลายดอกไม้สวยงาม

“ท่านจ้าวหอ ให้ข้าลงมือระดับใด?”

เสียงของจ้าวหอดังแว่วมาว่า

“ไม่ให้เจ้านั่นผ่าน แค่ระดับสองก็พอ”

“รับทราบ!! ระวังกระบี่!!”

จิ้นจือหยาง พุ่งตัวฟาดกระบี่ใส่เหมาเซี่ยวู่โดยทันที ด้วยความรวดเร็วเกินกว่าเหมาเซี่ยวู่จะหลบได้ เขาเลือกที่จะยกแขนซ้ายขึ้นรับฝักกระบี่แทน

“เพลงกระบี่นกยูงทอง นายพรานหลงป่า!!

กระบี่ที่ควรจะโดนแขน กลับเลือนหายไป แต่ปรากฏกระบี่อีกเล่มพุ่งตรงเข้าหน้าผากของเหมาเซี่ยวู่แทน

เปรี้ยง~!!***

ร่างของเหมาเซี่ยวู่ ปลิวกระเด็นกลับไปทางเดิม

“เจ้ากระบอง!!”

คังอ้ายเหนียง และสองพี่น้องแซ่หลี รีบลุกเข้ามาดูอาการของเหมาเซี่ยวู่ทันที

จิ้นจือหยางลดกระบี่ลง แล้วสองมือไพล่หลัง พร้อมเอ่ยว่า

“ขอโทษทีที่ต้องลงมือ ยังไงก็ขอให้เจ้าอยู่ต่อเถอะ ท่านจ้าวหอมีเรื่องที่ต้องคุยกับเจ้าอีกเยอะ”

เหมาเซี่ยวู่ดีดกายขึ้นนั่ง พอเขาลองเอามือจับที่หน้าผากดู ก็มีอาการปูมบวม มีเลือดออกเล็กน้อย ดีที่กระบี่ยังคงอยู่ในฝัก หากไม่มีฝักกระบี่ล่ะก็ หน้าผากของเขาคงเป็นรูแล้ว

“บัดซบเอ้ย!!”

เหมาเซี่ยวู่สบถออกมาอย่างอารมณ์เสีย เขาล้วงเอากระบองดั่งจิตที่มีอยู่ออกมาประกอบอย่างรวดเร็ว แล้วเร่งก้าวเท้าหมายจะลงมือ พอใกล้จิ้นจือหยาง หลีฮันหลงก็ยื่นมือมาขวางไว้ แล้วเอ่ยว่า

“เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆ เจ้ากระบอง ใจร้อนไปใช่ว่าจะฝ่าคนผู้นี้ไปช่วย แม่ของได้เจ้าหรอกนะ”

เหมาเซี่ยวู่ มองหน้าของจิ้นจือหยางอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ส่วนอีกฝ่ายได้แต่ยิ้มน้อยๆ จ้าวหอฟางฟางเอ่ยเสริมอีกว่า

“ถูกอย่างเจ้าฮันหลงว่าล่ะนะ ใจร้อนไปใช่ว่าจะช่วยแม่ของเจ้าได้ อยู่รอที่นี่ก่อน”

เหมาเซี่ยวู่หลับตาลง พยายามสงบสติอารมณ์ แต่จิตใจที่ร้อนรน ไม่อาจสงบได้ในเวลาสั้นๆ ชั่วครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นลอยๆ ว่า

“แล้วข้าควรทำเช่นไรดี”

“คนที่ท่านจ้าวหอให้ไปรับ มาถึงแล้ว!!”

เสียงของชายผู้หนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของจิ้นจือหยาง เหมาเซี่ยวู่ลืมตาตื่นขึ้น ภาพที่เขาเห็นก็คือไป๋ซ่งเหลียงที่เดินขึ้นมาพร้อมสตรีแปลกหน้าผู้หนึ่ง

จ้าวหอฟางฟางลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกุมหมัดเอ่ยทักว่า

“เดินทางไปมารวดเร็ว สมกับฉายา ‘เทพอาชาเหิน’ ไป๋ซ่งเหลียงจริงๆ”

ไป๋ซ่งเหลียงกุมหมัดรับ เอ่ยกลับว่า

“เรื่องช่วยเหลือคน ต่อให้เส้นทางนับพันลี้ ข้าก็ไม่รอช้าอยู่แล้ว”

สตรีแปลกหน้าผู้นี้ อายุน่าจะประมาณสามสิบกว่าๆ หน้าไม่สะสวยนัก สวมชุดผ้าไหมลายดอกไม้สีแดงตัดกับสีผิวคล้ำเข้ม ที่แปลกอีกอย่างก็คือ นางไม่ได้มีเส้นผมเป็นสีดำเฉกเช่นคนทั่วไป เส้นผมของของนางสีค่อนข้างจะออกไปทางสีม่วง นอกจากนี้แล้ว เรือนร่างนางยังมีกลิ่นหอมหวานประหลาดออกมาอีกด้วย ท่าทางดูแล้วคงไม่ใช่บุคคลธรรมดา

“กลิ่นหอมแบบนี้ มัน?”

พอได้กลิ่นหอมประหลาดๆ ทำให้คังอ้ายเหนียงถึงสะดุ้งเฮือก มองดูรูปลักษณ์ของสตรีแปลกหน้าอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงตื่นว่า

“หรือว่าท่านคือฮูหยินเจิน!!”

สตรีแปลกหน้าหันมาทางคังอ้ายเหนียง พลางเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า

“แม่นางรู้จักข้าด้วยเหรอ?”

หลีเม่ยหลินขมวดคิ้ว เอ่ยถามขึ้นว่า

“พี่อ้ายเหนียง นางเป็นใครกัน?”

สายตาของคังอ้ายเหนียงมองฮูหยินเจินด้วยสายตาชื่นชม เอ่ยตอบว่า

“กลิ่นหอมหวานประหลาดนี้ ก็คือกลิ่นของหญ้าพิษ ‘ปันฝัน’ หญ้าพิษหลอนประสาทชนิดหนึ่ง มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ใช้มันเป็นเครื่องหอมโดยไม่เป็นอันตราย ชื่อของนางคือ เจินเสี้ยนฮว๋า เป็นภรรยาของ ‘แพทย์ศิลา’ จางผู่เว่ย สองแพทย์อันดับหนึ่งของแคว้นเจียง ผู้คนนิยมเรียกนางว่า ‘ฮูหยินเจิน’ ทั้งนางและสามีต่างก็เป็นหนึ่งในห้าหมอเทวดาแห่งยุคเลยล่ะ”

พอได้ฟังคำตอบของคังอ้ายเหนียง เหมาเซี่ยวู่ และสองพี่น้องแซ่หลี ต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน ฝ่ายฮูหยินเจิน หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า

“ตัวสามีข้านั้นเป็นหนึ่งในห้าหมอเทวดาอยู่แล้ว ส่วนตัวข้านั่นเป็นแค่หมอพิษธรรมดาๆ เท่านั้น พอรักษาผู้คนให้หายเจ็บป่วยได้”

พลันสีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดโดยพลัน

“ถ้าข้าเก่งพอ ก็คงสามารถรักษาฉงฮูหยินให้หายขาดได้แล้ว”

เหมาเซี่ยวู่สะดุ้งเฮือก

“ท่านว่าอะไรนะ?”

ฮูหยินเจินเอ่ยต่อเสียงเครียดต่อว่า

“เมื่อครู่ ข้าได้แวะไปดูอาการของฉงฮูหยินแล้ว อาการของนางถือว่าหนักหนาสาหัสมาก การรักษาก่อนหน้าข้าจะมา ทำให้อาการของนางกำเริบหนักยิ่งขึ้นไปอีก”

ใจของคังอ้ายเหนียงสั่นสะท้าน คำพูดของฮูหยินเจิน เมื่อครู่เท่ากับว่า นางเป็นคนทำให้ฉงฮูหยินทรมานมากยิ่งขึ้น ฮูหยินเจิน หันมาทางคังอ้ายเหนียง พลางเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า

“ดูจากความรู้เรื่องหญ้าหอมเมื่อครู่ ถ้าไม่ใช่คนในวงการแพทย์พิษก็คงไม่รู้จักแน่ เจ้าคงเป็นหมอที่รับหน้าที่เป็นคนรักษานางสินะ เจ้าทำการรักษามาได้ถูกทางแล้ว อาการของฉงฮูหยิน หากไม่ทำให้กำเริบหนักก็จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้”

คำพูดขอนางไม่เพียงไขข้อข้องใจของคนในที่แห่งนั้น ซ้ำยังให้กำลังใจแก่คังอ้ายเหนียงมาก

จ้าวหอฟางฟางเอ่ยถามมาอีกว่า

“แล้วอาการของฉงฮูหยินตอนนี้เป็นอย่างไงบ้าง?”

ฮูหยินเจินเอ่ยตอบกลับว่า

“ก่อนจะมาที่นี่ ข้าได้แวะที่คฤหาสน์สกุลเหมามา และข้าลองใช้วิชาพิษกับนางดูแล้ว พอที่จะยืดเวลาของยาระงับอาการไปได้อีกราวสามเดือน หากไม่ได้ ‘หญ้าน้ำค้าง’ กับ ‘หญ้าเขี้ยวงู’ มารักษา โรคร้ายของนางก็จะไม่มีโอกาสหายอีก”

สิ่งสำคัญในการรักษาของนางไม่ต่างอะไรกับของคังอ้ายเหนียงนัก แต่ด้วยความสามารถด้านการแพทย์ที่เหนือล้ำกว่า นางจึงสามารถยืดเวลาไปได้อีกสามเดือน

จ้าวหอฟางฟางเดินเข้ามาตบบ่าของเหมาเซี่ยวู่พลางเอ่ยว่า

“ข้าเองก็พอช่วยเหลือยืดเวลาได้แค่นี้ หลังจากนี้ชีวิตของฉงฮูหยิน ก็อยู่ที่เจ้าแล้ว”

เหมาเซี่ยวู่หันกลับมาช้าๆ เอ่ยเสียงเบาว่า

“เวลาสามเดือน ข้าพอจะทำอะไรได้บ้าง?”

จ้าวหอฟางฟางยิ้มกว้าง เอ่ยให้คำตอบว่า

“เจ้าต้องแกร่งขึ้น...แกร่งขึ้นเท่านั้น”

|;::::::::::::::::::::::::|‘’|::::::::::::::::::::::::::;|

Link to comment
Share on other sites

เอ่อ... ขอโทดครับ เหนที่ท้อเลย :pika07:

ช่างเป้นฟิคชั่นที่โหดมากมาย

Link to comment
Share on other sites

  • 2 months later...

บทที่สอง บทเรียนแรก

แสงแดดของเช้าวันใหม่ยังคงดูสดใสเช่นทุกวัน

แต่วันนี้เหมาเซี่ยวู่ตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยสดใสนัก เมื่อคืนเขาคิดมากเรื่องของคำพูดของจ้าวหอฟางฟาง จนนอนไม่หลับ จนใกล้รุ่งก็หลับไปเพียงวูบเดียว

‘เจ้าต้องแกร่งขึ้น...แกร่งขึ้นเท่านั้น’

คำพูดของนางยังก้องอยู่ในหูอยู่ตลอด จนต้องสะดุ้งตื่นขึ้น หน้าที่ของเขาในตอนนี้คือ ‘แกร่งขึ้น’ เพื่อที่จะช่วยเหลือฉงจินเฟย ผู้เป็นมารดาบุญธรรม โดยต้องไปที่ร้านน้ำชาดอกบัวน้อยทุกวัน

ก่อนออกไปที่ร้านน้ำชาของเถ้าแก่เฉิน ตามคำสั่งของจ้าวหอฟางฟาง เหมาเซี่ยวู่ถือโอกาสนี้ แวะเข้าไปเยี่ยมผู้เป็นมารดา

พอเดินมาถึงหน้าห้องนอนของนาง เหมาเซี่ยวู่ก็พบกับฮูหยินเจิน ที่ดูเหมือนว่า จะยืนรอเขาอยู่ นางเอ่ยขึ้นว่า

“มาเยี่ยมแม่ของเจ้าสินะ?”

เหมาเซี่ยวู่พยักหน้าแทนคำตอบ แต่ฝ่ายฮูหยินเจินกลับส่ายหน้าช้าๆ พลางเอ่ยว่า

“เสียใจด้วยนะ จนกว่าเจ้าจะสามารถนำสมุนไพรมาให้ข้า ระหว่างนี้ ห้ามเข้าเยี่ยมฉงฮูหยินเด็ดขาด”

เหมาเซี่ยวู่ขมวดคิ้วข้องใจ เอ่ยถามกลับทันทีว่า

“ทำไมท่านถึงต้องห้ามให้ไม่ให้ข้าเข้าเยี่ยมท่านแม่ล่ะ?”

ฮูหยินเจินมีท่าทีลำบากใจอยู่ชั่วครู่ แต่ก็เอ่ยตอบกลับมาว่า

“ตอนนี้ไม่ว่าใคร ก็ห้ามเยี่ยมฉงฮูหยิน เพราะข้าได้ใช้พิษระงับอาการของฉงฮูหยินอยู่ ซึ่งมันเป็นอันตรายต่อคนธรรมดา”

เหมาเซี่ยวู่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจถึงความจำเป็นของการรักษาด้วยพิษ ฮูหยินเจินเอ่ยต่อมาอีกว่า

“ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่ไปที่ร้านน้ำชาแล้วเหรอ?”

พอนึกถึงเรื่องที่ต้องทำในตอนนี้ เหมาเซี่ยวู่ก็รู้สึกเข้มแข็งขึ้น เขากุมหมัดพร้อมเอ่ยขึ้นว่า

“ขอบคุณฮูหยินมาก ถ้าฮูหยินเข้าไปด้านใน ฝากบอกท่านแม่ด้วย ว่าข้าจะต้องทำให้ท่านไม่ต้องทนทรมานอีก แล้วตอนเย็นข้าจะแวะเยี่ยมอีก”

ว่าจบก็เดินจากไป อย่างรีบเร่ง

บนถนนใหญ่ของเมืองซวนเฉิง ในยามเช้านี้ เต็มไปด้วยผู้คนที่ตื่นขึ้นมาทำงานทำการเฉกเช่นทุกวัน เหล่าพ่อค้าแม่ขายทั้งหลายต่างก็เปิดร้านร้องเรียกลูกค้า เหล่าลูกจ้างกรรมกรต่างก็ทำงานแข็งขัน เด็กเล็กอายุหกเจ็ดขวบวิ่งเล่นกันบนถนนอย่างสนุกสนาน ซึ่งมันก็เป็นภาพที่ชินตาของเหมาเซี่ยวู่ไปเสียแล้ว ความสุขสงบเช่นนี้ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน

ไม่นานนักเหมาเซี่ยวู่ก็เดินทางมาถึงร้านน้ำชาดอกบัวน้อยของเถ้าแก่เฉิน ที่ด้านหน้าร้านน้ำชานี่เองเขาก็พบเถ้าแก่เฉิน กับเฉินเหมยเหลียน หลานสาว กำลังยืนรอเขาอยู่แล้ว

เหมาเซี่ยวู่เดินเข้าไปกุมหมัดทักทาย

“อรุณสวัสดิ์เถ้าแก่เฉิน แล้วก็เสี่ยวเหลียนด้วย”

ทั้งปู่และหลานต่างก็ยิ้มรับ ทักทายพอเป็นพิธี เหมาเซี่ยวู่เอ่ยถามต่อทันทีว่า

“เอ่อ...แล้ววันนี้ที่ให้ข้ามา จะให้ข้าทำอะไรบ้างล่ะ?”

เถ้าแก่เฉินเหลียวมองไปยังด้านถนนใหญ่ที่เต็มไปผู้คน ก่อนเอ่ยขึ้นว่า

“ที่นี่ผู้คนเยอะไป ไม่ค่อยเหมาะนัก ไปนอกเมืองกันเถอะ”

จบคำเถ้าแก่เฉินก็ออกเดิน โดยมีหลานสาวเดินตามไปติดๆ เหมาเซี่ยวู่ทอดสายตามองตามอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าเถ้าแก่เฉินจะให้เขาทำอะไร ก่อนจะเดินตามไปช้าๆ

o---][::::::::::::::::>/|<::::::::::::::::][---o

ในยามเช้าที่สดใสเช่นนี้ ไม่ได้มีแค่เพียงเหมาเซี่ยวู่เท่านั้น ที่ตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีที่ไม่สดใสนัก ยังมีคังอ้ายเหนียงด้วยอีกคน เมื่อคืนนางก็นอนไม่ค่อยหลับ ด้วยเหตุผลที่ไม่ต่างกันนัก

ก่อนหน้านี้ นางเคยมั่นใจในฝีมือกระบี่ และท่าร่างการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ถึงแม้จะเทียบกับยอดฝีมือระดับสูงๆ ไม่ได้ แต่ก็เพียงพอสำหรับเอาตัวรอดจากสถานการณ์เลวร้ายต่างๆ ได้ไม่ยาก แต่พอพบกับเจ้าพยัคฆ์ร้ายเขี้ยวนิล ความมั่นใจเหล่านั้นก็สลายไปหมดสิ้น

ตอนนี้ร่างกายของคังอ้ายเหนียงรู้สึกแข็งแรงดีขึ้นมากแล้ว นางจึงเลือกที่จะลงไปช่วยงานหลีชิงเซี่ยผู้เป็นอาจารย์

“อ้าว? ไหวแล้วเหรอ? เจ้าเพิ่งจะหายน่าจะนอนพักต่ออีกหน่อยนะ”

หลีชิงเซี่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นคังอ้ายเหนียงออกมาช่วยงาน

คังอ้ายเหนียงเอ่ยตอบกลับ ขณะที่ทำความสะอาดร้านว่า

“จะนอนๆ นั่งๆ อยู่เฉยๆ มันน่าเบื่อน่ะอาจารย์ ให้ข้าทำงานตามเดิมเถอะ ตัวอาจารย์ก็อายุมากแล้ว แถมช่วงหลายวันมานี่ท่านก็ทำงานคนเดียวมาตลอด ให้อาจารย์พักบ้างเถอะ วันนี้ข้าจะดูแลร้านเอง”

หลีชิงเซี่ยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ที่ได้ศิษย์ดีมีกตัญญู นางจึงปล่อยให้คังอ้ายเหนียงควบคุมหน้าร้าน แต่ระหว่างที่นางจะกลับเข้าไปหลังร้าน นางนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า

“เอ้อ..เมื่อวานได้ยินเจ้าเล่าว่า ฮูหยินเจิน จากแคว้นเจียงมาช่วยรักษาฉงฮูหยิน ตอนนี้นางจะอยู่อีกนานไหมล่ะ?”

คังอ้ายเหนียงหวนนึกถึงเรื่องที่เมื่อวาน นางเอ่ยตอบกลับไปว่า

“ข้าคิดว่า นางจะอยู่อีกอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งเดือนล่ะ”

หลีชิงเซี่ยเดินกลับเข้ามาใกล้คังอ้ายเหนียง นางเผยรอยยิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า

“นับว่าเป็นเวลาที่มากพอดูเลย อืม...ถ้าเช่นนั้น วันนี้เจ้าก็ออกไปหาฮูหยินเจินเถอะ”

“เห? ทำไมล่ะอาจารย์?”

คังอ้ายเหนียงไม่รู้ว่าผู้เป็นอาจารย์ของนางคิดอะไรอยู่ถึงให้นางออกไปข้างนอก ทั้งๆ ที่งานของร้านยาก็มีไม่น้อยเลย ถึงแม้ว่าช่วงตอนที่นางพักฟื้นอยู่นั้น จะได้เหมาเซี่ยวู่มาช่วย อาจารย์ของนางก็ยังดูเหนื่อยล้าอยู่ดี

หลีชิงเซี่ยหัวเราะเบาๆ แล้วเดินเข้าไปจับไหล่ของคังอ้ายเหนียง แล้วเอ่ยว่า

“เจ้าก็รู้นี่ ว่าฮูหยินเจินน่ะ เป็นหนึ่งในห้าหมอเทวดาแห่งยุค วิชาแพทย์ที่นางเชี่ยวชาญคือวิชาพิษ เจ้าเองก็ถือได้ว่าเป็นแพทย์พิษคนหนึ่ง ก็น่าจะไปศึกษาความรู้เพิ่มเติมจากนางนะ”

“แต่ว่างานที่นี่...”

คังอ้ายเหนียงพยายามเถียงด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง แต่หลีชิงเซี่ยกลับยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยมาว่า

“โอกาสที่ดีๆ แบบนี้น่ะ มันจะมีมาไม่บ่อยหรอกนะ เมื่อมันมาถึงตรงหน้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่คิดจะคว้ามันไว้ก็นับว่าตัวเจ้านั้นโง่เต็มทนแล้ว”

คำพูดของผู้เป็นอาจารย์ถูกต้องทั้งหมด โอกาสที่แพทย์พิษเข้าขั้นหมอเทวดาอย่างฮูหยินเจินจะมาเยือนแคว้นซวนทั้งทีนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นนานๆ จะมีสักครั้งจริงๆ

คังอ้ายเหนียงเข้าใจถึงความหวังดีของอาจารย์ โค้งศีรษะ พร้อมเอ่ยว่า

“ศิษย์เข้าใจแล้ว!!”

จบคำ นางก็รีบก้าวเท้าออกจากร้านทันที

o---][::::::::::::::::>/|<::::::::::::::::][---o

เหมาเซี่ยวู่เร่งฝีเท้าเดินตามสองปู่หลานร้านน้ำชาอย่างรีบเร่ง เขานึกไม่ถึงเลยว่าเถ้าแก่เฉินและเฉินเหมยหลินหลานสาวจะก้าวเดินได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้กับคังอ้ายเหนียงเลย ไม่นานนัก ก็ออกมาพ้นเขตประตูเมือง และเข้าสู่ป่ากว้างเขตตะวันออก

เถ้าแก่เฉินเดินมาหยุดแล้วหันกลับมาเอ่ยขึ้นว่า

“ที่นี่ล่ะ สถานที่สำหรับฝึกของพวกเจ้า”

เหมาเซี่ยวู่เพิ่งจะสังเกตได้ว่าสถานที่ที่เถ้าแก่เฉินใช้เป็นสถานที่ฝึกฝนของเขา จะเป็นริมธารน้ำตกที่เขาเคยประมือสนุกๆ กับคังอ้ายเหนียงนี่เอง แต่การฝึกจะเริ่มจากอะไรนั้นเขาก็ยังไม่ทราบ จึงเอ่ยแกถามขึ้นว่า

“เอ่อ...แล้วจะให้ข้าเริ่มต้นอย่างไรล่ะ?”

พลันมีเสียงของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้นว่า

“ใจคอไม่คิดจะรอพวกเราเลยหรือไง? เจ้ากระบอง?”

“อ๊ะ? พวกเจ้า!!”

เจ้าของเสียงก้าวเดินตามมาทันทีที่สิ้นคำพูด ผู้ที่เดินเข้ามาก็คือ หลีฮันหลง เพื่อนสนิทของเขานั่นเอง

“ขอร่วมฝึกด้วยคน เจ้ากระบอง”

หลีฮันหลงไม่ได้มาเพียงคนเดียว ยังมีเด็กหนุ่มอีกสองคนที่มาพร้อมกับเขา เตียวฟูฉือ และจิ้นจือหยาง สองเด็กหนุ่มผู้มาเยือนจากต่างแดน

พอได้เห็นหน้าของจิ้นจือหยาง เหมาเซี่ยวู่ก็นึกถึงเรื่องที่ถูกฟาดกระบี่ใส่หน้าเมื่อวานได้ทันที

เหมือนจิ้นจือหยางจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของเขา เดินเข้ามาใกล้ พร้อมเอ่ยว่า

“ก่อนอื่น ในเรื่องเมื่อวาน ข้าพลั้งมือทำให้เจ้าเจ็บตัว ข้าต้องขอโทษเจ้าก่อนล่ะ”

ในตอนแรกเหมาเซี่ยวู่ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจที่จิ้นจือหยางลงมือทำร้ายเขาเมื่อวาน แต่เนื่องจากความเป็นห่วงผู้เป็นมารดา และอาการบาดเจ็บก็ไม่ได้มากอะไร ทำให้เรื่องนี้ถูกลืมเลือนไปโดยง่าย แถมอีกฝ่ายยังกล้าที่จะเอ่ยปากขอโทษอีก เลยทำให้ความรู้สึกโกรธเคืองเลือนหายไป

“ช่างมันเถอะ เรื่องแค่นี้เอง”

“ฮ่ะๆๆ ดี!!”

เสียงหัวเราะของชายชราดึงความสนใจเด็กหนุ่มทั้งสี่มายังต้นเสียงทันที เถ้าแก่เฉินเอ่ยต่อว่า

“ล่วงเกินแล้วกล่าวขอโทษ ไม่ถือสากับเรื่องเล็กน้อย สองอย่างนี้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างมิตร นี่ข้ายังไม่เริ่มฝึกสอน ข้าก็ได้ศิษย์ที่ดีแล้วหรือนี่”

จบคำก็หัวเราะยาว อย่างพึงพอใจ

“ท่านปู่~ เริ่มกันเถอะ~!! ข้าพร้อมมาตั้งนานแล้วนะ”

เสียงใสๆ ของเฉินเหมยเหลียนดังแทรกขึ้นมา ทำให้เถ้าแก่เฉินต้องหยุดหัวเราะแล้วเลื่อนมือมาลูบศีรษะของหลานสาวเบาๆ เอ่ยเสียงเสียงเรียบว่า

“ข้าคงไม่ต้องถามพวกเจ้านะ ว่าพร้อมหรือไม่ แต่ก่อนจะเข้าสู่การฝึกฝน ข้าอยากจะรู้ถึงฝีมือของพวกเจ้าทั้งสี่เสียก่อน วิธีที่จะทดสอบนั้น ข้าจะให้เวลาหนึ่งก้านธูป พวกเจ้าต้องตามจับตัวเสี่ยวเหลียนให้ได้ โดยที่ ไม่ทำให้นางเจ็บตัว”

เถ้าแก่เฉินหยุดคำเพียงชั่วครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า

“ใครจะอาสาเป็นคนแรก?”

จบคำก็กวาดสายตามองดูเด็กหนุ่มทั้งสี่ทีละคน กลับไปกลับมาช้าๆ ด้วยดวงตาแหลมคมดุจดวงตาของอินทรีก่อให้เกิดรู้สึกหวาดความหวาดกลัวในจิตใจของทั้งสี่หนุ่มขึ้นทันทีที่สายตามองผ่าน

จิ้นจือหยางเป็นคนแรกฝืนความกลัวในสายตาของเถ้าแก่เฉินได้ เอ่ยขึ้นว่า

“ข้าเอง”

เถ้าแก่เฉินเบนสายตามายังเขาทันที พลันเอ่ยว่า

“ดี!! เริ่มได้!!”

|;::::::::::::::::::::::::|‘’|::::::::::::::::::::::::::;|

เห็นเจ๊วรรณลง ลงมั่ง

Link to comment
Share on other sites

  • 1 month later...

บทที่สาม ไล่จับเด็กน้อย!!

“ดี!! เริ่มได้!!”

จิ้นจือหยางก้าวขึ้นมาสองก้าว สายตามองมายังเด็กหญิงตัวน้อยที่ท่าทางไม่มีพิษภัยอะไร

ในความคิดของเหมาเซี่ยวู่ คิดว่าการทดสอบฝีมือครั้งนี้ดูเหมือนจะง่าย แค่ไล่จับตัวของเฉินเหมยเหลียน แต่ว่ามันมันจะง่ายจริงหรือ? ท่าทางเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ดูไม่ธรรมดาเลย ถ้าหากลงมือรุนแรงกับนางมีหวังได้มีเรื่องกับเถ้าแก่เฉินแน่

“ลงมือก่อนได้เปรียบ!! เพลงกระบี่นกยูงทอง ก้าวย่างกลางดงพฤกษา!!”

การทดสอบครั้งนี้ไม่อาจใช้อาวุธได้ จิ้นจือหยางจึงเลือกใช้แต่ท่วงท่าเพลงกระบี่เป็นการขยับตัวอย่างรวดเร็ว กวาดฝ่ามือหมายจับตัวของเฉินเหมยเหลียนชั่วพริบตา

“โอ๊ะ โอ๋?”

ก่อนที่มือของเขาจะถึงตัว เฉินเหมยเหลียนก้มตัวมุดหลบวงแขนไปได้อย่างหวุดหวิด ฝ่ามือของจิ้นจือหยางคว้าได้เพียงอากาศ สามหนุ่มถึงกับตะลึงในความว่องไวของเด็กหญิงคนนี้

จิ้นจือหยางไม่หยุดเพียงเท่านั้น หมุนตัวกลับ สลับเท้าก้าวตาม พร้อมกวาดมือเป็นกระบวนท่ากระบี่หมายจะจับตัวเด็กน้อยอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

“เพลงกระบี่นกยูงทอง มายาหางนกยูง!!”

“เอ้า!! ฮึบ!!”

แม้จะถูกจู่โจมเร็วจากด้านหลัง ประสาทสัมผัสของเฉินเหมยเหลียนก็ยังรับรู้ได้ถึงอันตราย กระโดดตีลังกาหลังข้ามศีรษะจิ้นจือหยาง ไปอย่างหวุดหวิด

ร่างของเฉินเหมยเหลียนลงพื้นห่างออกไปหลายก้าวอย่างสบายๆ แต่ทันทีที่ถึงพื้นก็มีมือมาสัมผัสเข้าไหล่ทั้งสองของนางจากด้านหลัง

“อ๊ะ?”

“จับตัวได้แล้ว”

เฉินเหมยเหลียนสะบัดตัวหันกลับมา ก็พบว่าเป็นมือของจิ้นจือหยางนั่นเอง นางเอ่ยเสียงตื่นตะลึงว่า

“พี่ชายมาอยู่ด้านหลังข้าได้ยังไงล่ะนี่!!? เมื่อครู่ข้าข้ามตัวพี่ชายไปได้แล้วนะ?”

เหตุการณ์เมื่อครู่ควรจะเป็นอย่างที่เฉินเหมยเหลียนว่า จู่ๆ กลับแปรเปลี่ยนเป็นอีกอย่างไป แม้แต่เด็กหนุ่มทั้งสามที่มองดูเหตุการณ์อยู่ก็คิดเห็นเช่นเดียวกับเฉินเหมยเหลียน

“จริงคือเท็จ เท็จคือจริง”

เสียงของเถ้าแก่เฉินดึงเอาสายตาของทั้งหมดกลับมายังเขา พลันเอ่ยต่อว่า

“นี่คือหลังพื้นฐานของกระบวนท่าเพลงกระบี่นกยูงทอง แม้จะไม่มีกระบี่ แต่กลับใช้พื้นฐานกระบวนท่ากระบี่เช่นนี้ออกมาได้ สมแล้วที่เป็นผลงานของจ้าวหอฟางฟาง เจ้าไปพักเถอะ”

จริงนั้นเป็นเท็จ เท็จนั้นเป็นจริง เหมาเซี่ยวู่หวนคิดถึงตอนที่เจอจิ้นจือหยางเป็นครั้งแรก กระบวนท่ากระบี่ที่เขารู้สึกว่า เป็นการกวาดโจมตี แท้จริงกลับเป็นการแทง ที่แท้ก็เป็นกระบวนท่าลวงตานี่เอง

จิ้นจือหยางยิ้มรับ กุมหมัดคารวะ พลางเอ่ยสั้นๆ เพียงว่า “ขอบคุณ” แล้วเดินกลับยืนอีกด้านหนึ่ง

เถ้าแก่เฉินกวาดสายตามายังสามหนุ่มที่เหลือ พร้อมเอ่ยขึ้นว่า

“ใครจะเป็นคนต่อไป?”

o---][::::::::::::::::>/|<::::::::::::::::][---o

คังอ้ายเหนียงเดินทางมาหาฮูหยินเจินที่คฤหาสน์สกุลเหมาเพื่อขอความรู้เพิ่มเติมในด้านวิชาแพทย์

แต่เมื่อมาถึงแค่หน้าประตูคฤหาสน์นางก็ได้พบกับฮูหยินเจินพอดี นางจึงเอ่ยทักทายไปว่า

“อรุณสวัสดิ์ ฮูหยินเจิน”

“โฮ่~ มาได้จังหวะพอดีจริง ข้ากำลังคิดจะออกไปตามตัวเจ้าพอดีเลย ซวนเฉิงกว้างใหญ่ แถมเจ้ากระบองก็ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าจะไปตามที่ไหน”

คังอ้ายเหนียงทำหน้างงๆ เอ่ยถามกลับไปว่า

“ฮูหยินเจิน? ตามหาตัวข้า มีเรื่องอะไรเหรอ?”

“ตามข้ามาสิ”

ฮูหยินเจินยิ้มน้อยๆ แล้วหันกลับเข้าไปในคฤหาสน์ คล้ายกับเชื้อเชิญให้ตามนางเข้ามา คังอ้ายเหนียงเดินตามไปติดๆ ฮูหยินเจินเดินนำนางผ่านเรือนใหญ่มายังสวนดอกไม้ด้านหลัง

จะว่าไปแล้ว คังอ้ายเหนียงเคยได้แต่มองสวนดอกไม้แห่งนี้ผ่านหน้าต่างห้องของฉงจินเฟย แต่ไม่เคยก้าวเข้ามาในสวนนี้เลย สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ถูกตัดแต่งอย่างงดงาม ทั้งต้นไม้ใหญ่ดอกไม้น้อยปลูกกระจายกันหลากหลายสี แต่ดูเข้ากันได้ดี มีศาลาหินเก่าแก่ตั้งอยู่ตรงกลางสวน ข้างๆ กันมีบ่อปลาสวยงาม ทั้งนกน้อย ผีเสื้อต่างบินร่อนไปมา รวมเป็นบรรยากาศที่แสนสุขสงบ ราวกับสรวงสวรรค์ก็ว่าได้

ฮูหยินเจินเดินนำเข้ามาภายในศาลาหิน แล้วนั่งลงกับเก้าอี้หินภายในศาลาแห่งนี้เอง พลางเอ่ยเชื้อเชิญว่า

“นั่งก่อนสิ เรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะ”

คังอ้ายเหนียงไม่ปฏิเสธ เข้ามานั่งด้านตรงข้ามกับฮูหยินเจิน ทันทีที่นั่ง ฮูหยินเจินเอ่ยขึ้นว่า

“ได้ยินมาจากฉงฮูหยิน ว่าเจ้าเป็นลูกสาวของ ‘หมื่นพิษ’ คังฉินเอ๋อ เป็นเรื่องจริงหรือ?”

“อา...ใช่แล้ว อ๊ะ?”

พอได้ยินฮูหยินเจิน พูดถึงฉงจินเฟย คังอ้ายเหนียงก็นึกขึ้นได้ทันที เอ่ยว่า

“เอ่อ...ฉงฮูหยินได้รับยาระงับอาการได้จากข้าไปได้หกวัน อาการของนางคงทรุดหนักจนไม่ได้สติ ส่วนฮูหยินท่านเพิ่งเข้ามาถึงและช่วยรักษาเมื่อวาน จากความวิเคราะห์ของข้า ด้วยพิษที่คั่งค้างมานานหลายปี ข้าคิดว่าช่วงเวลาแค่วันเดียว นางคงไม่ได้สติเป็นแน่ ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นถึงหมอเทวดาก็เถอะ”

คำพูดของนางค่อนข้างจะดูถูกฝีมือของหมอเทวดาไม่น้อย แต่ฮูหยินเจินก็ไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคืองอะไร ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า

“วิเคราะห์ออกได้ดีมาก เฉลียวฉลาดช่างสังเกตไม่แพ้ผู้เป็นแม่เลย แต่ก็ยังไม่ถูกต้องทั้งหมดหรอกนะ”

คังอ้ายเหนียง พยายามคิดตามแต่ก็คิดไม่ออก ฮูหยินเจินเอ่ยอธิบายต่อว่า

“จริงอย่างที่เจ้าวิเคราะห์นั่นล่ะ พิษที่คั่งค้างมานาน ทำให้ร่างกายทรุดโทรมหนัก ต่อให้ได้ยาดีสักแค่ไหน ก็คงไม่ฟื้นตัวเร็วถึงขั้นได้สติมาพูดคุยได้ แต่ข้ามีวิธีของข้าก็แล้วกัน ในวงการแพทย์ยังมีเรื่องที่เจ้ายังไม่รู้อีกเยอะ”

คังอ้ายเหนียงขมวดคิ้วสงสัย รีบเอ่ยถามทันทีว่า

“แล้วฮูหยินใช้วิธีใดกัน?”

“ใจเย็นๆ ก่อน”

ฮูหยินเจินมีท่าทีสบายๆ ไม่รีบร้อนอะไร พลางเอ่ยถามว่า

“ก่อนอื่นขอถามหน่อย แม่ของเจ้า สอนวิชาแพทย์พิษให้เจ้ามามากน้อยเพียงใด?”

ถึงจะยังสงสัยกับวิธีการของฮูหยินเจิน แต่คังอ้ายเหนียงก็เอ่ยตอบตามความจริงว่า

“ก็มีสามารถใช้พิษทั้งสี่ของหมู่บ้าน แก้สัตว์พิษร้อยแปด ใช้รักษาด้วยพิษ และก็วิชา ‘ร่างอสรพิษ’ ส่วนการใช้พิษย้อนพิษนั้น ท่านแม่ยังไม่ทันได้สอนได้มากนักท่านก็จากไปเสียก่อน และก็การรักษาโรคทั่วไปก็ได้ศึกษามาจากพ่อ กับอาจารย์ หลีชิงเชี่ย”

“นับว่ามีพื้นฐานเยอะพอสมควร”

ฮูหยินเจินพยักหน้ารับช้าๆ แล้วเงยหน้ามองคังอ้ายเหนียงด้วยใบหน้าอ่อนโยน พลางเอ่ยว่า

“ข้าจะได้ทดแทนบุญคุณของแม่เจ้าเสียที”

“เห?”

o---][::::::::::::::::>/|<::::::::::::::::][---o

คนที่สองที่อาสาทดสอบฝีมือกับเฉินเหมยเหลียน นั่นก็คือ หลีฮันหลง ทันทีที่การทดสอบเริ่ม เขาเข้าสู่สภาพ ‘มังกรวายุ’ หนึ่งในสุดยอดวิชา ‘จู่โจมร้อยมังกร’ ของตระกูล เร่งจู่โจมด้วยความเร็ว แต่ว่าความเร็วของเขายังตามความว่องไวของเฉินเหมยเหลียนไม่ทันอยู่ดี

“มังกรวายุ ล่องลอยทวนลม!!”

หลีฮันหลงปล่อยหมัดตรงง่ายๆ เข้าใส่เฉินเหมยเหลียน แต่ระยะที่ห่างมากไปหน่อย ทำให้เฉินเหมยเหลียนถอยตัวหลบได้โดยง่าย

“มังกรวายุ ล่องลอยทวนลม!!”

กระบวนท่าเดิมถูกใช้อีก ผลก็ยังเหมือนเดิม

เฉินเหมยเหลียนทำหน้าหน่ายๆ พลางเอ่ยว่า

“นี่พี่ชาย ตั้งใจหน่อยสิ ข้าเบื่อแล้วนะ”

การจู่โจมด้วยกระบวนท่าเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แรกๆ เฉินเหมยเหลียนก็หลบไม่ยากแล้ว พอถูกโจมตีซ้ำๆ นางก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย

หลีฮันหลงไม่ละความพยายาม ตั้งท่าจะปล่อยหมัดแบบเดิมอีกครั้ง

“มังกรวายุ!!....”

เพียงได้ยินเท่านี้ เฉินเหมยเหลียนก็เริ่มขยับตัวถอย หลีฮันหลงยิ้มน้อยๆ

“.....ลมพัดหญ้าเอน!!”

“หว๋า~”

ผิดคาด จู่ๆ หลีฮันหลงก็เปลี่ยนกระบวนท่ากะทันหัน จากหมัดตรงเป็นพุ่งตัวเข้าประชิดตัว เฉินเหมยเหลียนยังคงยึดติดกับการหลบกระบวนท่าแบบเดิม ทำให้ถอยหลบไม่ทัน แถมยังสะดุดขาตัวเองหงายหลังอีก

โชคดีที่หลีฮันหลงโอบคว้าร่างน้อยๆ ของนางไว้ได้ทัน พลันเอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนนุ่มว่า

“ไม่เป็นไร ใช่ไหม?”

“อา....”

ด้วยรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลากว่าใครในบรรดาสี่หนุ่มด้วยกัน แถมยังมีท่าทีที่สุภาพ อ่อนโยน ขนาดเฉินเหมยเหลียนที่ยังเป็นเด็กอยู่ก็ยังรู้สึกหวั่นไหวเขินอายหน้าแดง

“เยี่ยม!!”

แปะ**แปะ**

“สมแล้วกับที่เป็นหลานของ หลีอิงฮุ่ย แผนใช้กระบวนท่าแบบเดิมซ้ำๆ ให้อีกฝ่ายตายใจ แล้วเปลี่ยนกระบวนท่าแบบกะทันหัน ต่อให้รวดเร็วแค่ไหน ยังไงเสี่ยวเหลียนก็ยังเป็นเด็ก ความคิดอ่านคงไม่รวดเร็วพอที่จะตามทันแผนนี้ได้”

เสียงปรบมือของเถ้าแก่เฉินดึงเอาสายตาทั้งหมด กลับมาที่เขา เฉินเหมยเหลียนรีบเดินเข้ามา เอ่ยขอโทษเสียงเบาว่า

“ท่านปู่ ข้าขอโทษ ข้าถูกหลอกอีกแล้ว”

นางรู้สึกสูญเสียความมั่นใจไปมากเลยทีเดียว หลังจากที่ถูกหลอกถึงสองครั้งติด

เถ้าแก่เฉินลูบหัวหลานสาวตัวน้อยเบาๆ พลางเอ่ยปลอบว่า

“เก็บคำขอโทษไว้ขอโทษหลังที่เจ้าหนีอีกสองคนได้เถอะ แค่สองคนแรก ก็ร้ายกาจขนาดนี้แล้ว ที่เหลือเจ้าจะต้องตั้งใจให้มากกว่านี้”

เฉินเหมยเหลียนพยักหน้ารับ กำลังใจนางฟื้นคืนอย่างเปี่ยมล้น แล้วกลับมายืนเผชิญหน้ากับอีกสองหนุ่มที่เหลือ

“เอาล่ะ!! พี่ชายทั้งหลาย!! บุกเข้ามาเลย!!”

|;::::::::::::::::::::::::|‘’|::::::::::::::::::::::::::;|

Link to comment
Share on other sites

  • 3 months later...

บทที่สี่ เคล็ดวิชาดั่งใจ

“เอาล่ะ!! พี่ชายทั้งหลาย!! บุกเข้ามาเลย!!”

เมื่อถูกท้าทายจากเด็กน้อย ทั้งเหมาเซี่ยวู่และเตียวฟูฉือ ก็ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีก ก้าวเข้ามาด้านหน้าพร้อมกัน

“โอ๊ะ?”

สองหนุ่มมองหน้าสะดุ้งพร้อมกัน เถ้าแก่เฉินเอ่ยถามขึ้นว่า

“แล้วใครจะทดสอบก่อน?”

“ข้าเอง!!”

สองหนุ่มหันเอ่ยตอบพร้อมกัน ก่อนจะหันมามองหน้ากันเอง เตียวฟูฉือ เอ่ยต่อทันทีว่า

“ข้าขอก่อนสิ เจ้ากระบอง”

เหมาเซี่ยวู่ขมวดคิ้ว เอ่ยเถียงกลับไปว่า

“เฮ้ๆ พี่เตียว ข้าอายุน้อยกว่านา ขอข้าก่อนสิ”

ท่าทางของฝ่ายเตียวฟูฉือก็ไม่ยอมง่ายๆ เถียงกลับมาว่า

“ไม่ๆ ข้าอาวุโสกว่า ข้าต้องได้ก่อนสิ”

“ข้าก่อนสิ”

“ข้าก่อน”

ทั้งสองเริ่มเถียงกันรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

“พอได้แล้ว!!”

เสียงตวาดของเถ้าแก่เฉิน ทำให้สองหนุ่มหยุดโต้เถียงกัน แล้วหันมาทางต้นเสียง

“ข้ามีความคิดดีๆ แล้ว”

“อะไรเหรอ?”

สองหนุ่มถามพร้อมกัน เถ้าแก่เฉินเดินมาตบบ่าของหลานสาวเบาๆ พลางเอ่ยว่า

“เสี่ยวเหลียน เจ้าพักก่อนเถอะ ปู่จะทดสอบเจ้าสองคนนี้เอง”

สองหนุ่มสะดุ้งเฮือก ทางเฉินเหมยเหลียนหน้าบูดขึ้นทันควัน เอ่ยเสียงงอนว่า

“ไม่เอานะ ท่านปู่ ข้ายังอยากจะเล่นต่อนี่”

เถ้าแก่เฉินเลือนมือมาลูบหัวของนางเบาๆ เอ่ยว่า

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ลองไปแก้มือใหม่กับ สองคนนั่นก่อนก็แล้วกัน”

เฉินเหมยเหลียนหน้าแดงวูบ หันไปทางหลีฮันหลง ซึ่งเขาก็ส่งยิ้มน้อยๆ ตอบกลับมา นางยิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก นางจำต้องหลบหน้าไปอยู่ด้านหลังของท่านปู่ของตนเพื่อปกปิดความเขินอาย

เถ้าแก่เฉินรับรู้ได้ถึงสภาพจิตใจของหลานสาวดี เมื่อเป็นอย่างนี้ คงจะไม่ได้ทดสอบฝีมือต่อได้แน่ เขาหันกลับมาทางสองหนุ่มที่จะทดสอบฝีมือ พลางเอ่ยว่า

“ทางข้าจะขอเปลี่ยนกฎเล็กน้อย คือ จะลงมือยังไงก็ได้ขอแค่สัมผัสตัวข้าให้ได้ก็พอ และก็ไม่ต้องเถียงกันว่าใครจะมาก่อนมาหลัง เข้ามาพร้อมๆ กันได้เลย”

จบคำก็หงายฝ่ามือซ้ายกวักเป็นการเชื้อเชิญให้เริ่มบุก สองหนุ่มหันมามองหน้ากัน ในใจลึกๆ รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย ถึงจะสองแรงร่วมมือ แต่อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือระดับสูงที่ไม่อาจคาดเดา เมื่อถึงขั้นนี้ จะถอยก็คงไม่ได้แล้ว

เตียวฟูฉือยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นก่อนว่า

“อย่ามาขวางทางข้าก็แล้วกันล่ะ”

เหมาเซี่ยวู่เป็นคนไม่ยอมใครง่ายๆ อยู่แล้ว ยิ่งถูกดูหมิ่นขากเตียวฟูฉือ อารมณ์ยิ่งเดือดดาลหนัก เขาฉวยโอกาสลงมือก่อน พุ่งตัวเข้าใส่เถ้าแก่เฉินทันที

“ย้าก~~~!!!”

เถ้าแก่เฉินก้าวขาหลบออกข้างเพียงเล็กน้อย ก็หลบการจู่โจมเร็วของเหมาเซี่ยวู่ได้แล้ว

“เฮ้ย!!”

โครม***

ไม่เพียงแค่หลบหลีก เถ้าแก่เฉินยังยื่นขาไปขัดกับของเหมาเซี่ยวู่ จนล้มหัวคะมำ

เตียวฟูฉือก็เร่งความเร็ว พุ่งตัวเข้าหาเถ้าแก่เฉินต่อ

“ยังมีข้าอีกคน!! อ๊ะ?

ไม่ทันได้เข้าใกล้ มือซ้ายของเถ้าแก่เฉินว่องไวปานสายลม จับคอเสื้อของเตียวฟูฉือ เหวี่ยงไปกองรวมกันกับเหมาเซี่ยวู่

เถ้าแก่เฉินเลือนมือขวาเข้าไพล่หลังสบายๆ ส่วนมือซ้ายก็หงายขึ้นกวักเชื้อเชิญอีกครั้ง

“เข้ามา”

o---][::::::::::::::::>/|\<::::::::::::::::][---o

คังอ้ายเหนียงอุทานออกมาอย่างแปลกใจ นางนึกไม่ถึงเลยว่าผู้เป็นมารดาของนางเป็นที่รู้จักของฮูหยินเจิน อีกทั้งยังเป็นถึงขั้นผู้มีพระคุณอีกด้วย นางเอ่ยปากถามว่า

“เอ่อ เรื่องมันเป็นยังไงล่ะ ฮูหยินเจิน แม่ของข้าไปมีบุญคุณกับท่านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

ฮูหยินเจินยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า

“เจ้าคงไม่รู้สินะ ว่า คังฉินเอ๋อ แม่ของเจ้ามีศักดิ์เป็นศิษย์พี่ของข้าด้วย ถึงแม้ว่าข้าจะอายุกว่านางก็เถอะ”

คังอ้ายเหนียงถึงกับอ้าปากค้าง นึกไม่ถึงอีกว่า มารดาของนางนั้นยังเป็นศิษย์พี่ของฮูหยินเจินอีก แสดงว่าตอนนี้นางได้โอกาสที่จะทำความรู้จักผู้เป็นมารดามายิ่งขึ้นไปอีก

ฮูหยินเจินยิ้มน้อยๆ พลางเล่าต่อไปว่า

“เมื่อราวๆ สี่สิบปีก่อน พ่อแม่ของข้าสนับสนุนให้ข้าได้เรียนวิชาแพทย์ พวกท่านจึงพาข้าไปฝากตัวกับเซียนหมอดั่งจิต”

คังอ้ายเหนียงขมวดคิ้ว เอ่ยถามขึ้นว่า

“เซียนหมอดั่งจิต? ข้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย ท่านผู้นี้เป็นใครกัน?”

ฮูหยินเจินหัวเราะเบาๆ ให้คำตอบว่า

“เจ้าไม่รู้จักท่าน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะว่าท่านเร้นกายไม่เปิดเผยตัวตนสักเท่าไหร่ แถมยังชื่นชอบท่องเที่ยว ไม่มีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง อยากอยู่ที่ใดก็อยู่ อยากไปไหนก็ไป สมกับฉายาดั่งจิต ข้าโชคดีที่พ่อแม่ข้าเป็นหมอที่พอจะทราบจักชื่อเสียงของท่าน ตอนที่ท่านแวะผ่านมาที่หมู่บ้านข้า ข้าจึงได้โอกาสฝากตัวเป็นศิษย์”

คังอ้ายเหนียงพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ ฮูหยินเจินเริ่มเล่าต่อว่า

“พอข้าได้มาเป็นศิษย์ของท่านเซียนหมอ ข้าก็ทราบว่าข้ามีศิษย์ร่วมอาจารย์มากมายนับสิบคน แต่ศิษย์เหล่านั้นก็แยกย้ายไปทั่วแผ่นดินมังกรกันหมดแล้ว มีเพียงข้าที่จะต้องติดตามท่านเซียนหมอเพื่อศึกษาวิชาแพทย์ มีครั้งหนึ่งท่านเซียนหมอ พาข้ามายังหมู่บ้านสี่พิษ เพื่อให้ข้าเรียนรู้วิชาพิษจากศิษย์พี่คนหนึ่ง นั่นก็คือ คังฉินเอ๋อ

ฮูหยินเจินเว้นระยะครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อว่า

“นับว่าข้าได้พบกับคำว่า ‘อัจฉริยะ’ ของจริง ตอนนั้น คังฉินเอ๋ออายุไม่ถึงสิบปีด้วยซ้ำ กลับแตกฉานวิชาแพทย์ อย่างแท้จริง ขนาดข้าเองมีพ่อและแม่เป็นหมอ ได้เรียนวิชาแพทย์มาตั้งแต่จำความได้ ยังเทียบกับนางไม่ได้เลย นางนั้นใช้เวลาร่วมสามปี ถ่ายทอดความรู้ที่มีให้แก่ข้าจนหมดสิ้น นี่ถือเป็นบุญคุณส่วนหนึ่งที่ทำให้ข้ามีความสามารถด้านแพทย์พิษจนทุกวันนี้”

คังอ้ายเหนียงรู้สึกข้องใจในส่วนหนึ่ง จึงเอยถามขึ้นว่า

“ว่าแต่ ทำไมท่านเซียนหมอไม่ถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้ฮูหยินโดยตรงล่ะ กลับให้มาศึกษากับท่านแม่ของข้านี่?”

ฮูหยินเจินยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า

“เมื่อก่อน ข้าเองก็สงสัยในเรื่องนี้เช่นกัน แต่หลังจากนั้น ข้าก็เข้าใจว่าทำไม เพราะแม่ของเจ้า เป็นศิษย์เพียงคนเดียวของท่านเซียนหมอ เข้าใจเคล็ดวิชาหนึ่งที่ทำให้นางเข้าใจ และแตกฉานวิชาแพทย์ เป็นเคล็ดวิชาที่เซียนหมอพยายามถ่ายทอดถ่ายทอดให้แกศิษย์ทุกคน”

“เคล็ดวิชาอะไรเหรอ? ฮูหยิน?”

ใบหน้าของฮูหยินเจินเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม คังอ้ายเหนียงยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปใหญ่ ก่อนที่จะให้คำตอบมาว่า

“เคล็ดวิชานั้น เรียกว่า ‘ดั่งใจ’”

o---][::::::::::::::::>/|\<::::::::::::::::][---o

แฮ่ก***แฮ่ก***แฮ่ก***

สองเด็กหนุ่มกึ่งนั่งกึ่งยืนหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ต่างกับชายชราที่ยังคงยืนรออย่างสบายๆ ตั้งแต่เช้าจนตะวันขึ้นตรงศีรษะ

เถ้าแก่เฉินเห็นว่าทั้งสองหนุ่มคงจะไม่ไหวแล้ว จึงเอ่ยขึ้นว่า

“เอาล่ะ พอแค่นี้ก่อน”

หลังสิ้นเสียง สองเด็กหนุ่มถึงกับหงายหลังลงนอนด้วยความเหนื่อยล้า

ทั้งเหมาเซี่ยวู่ และเตียวฟูฉือ ต่างก็ใช้กำลังฝีมือทั้งหมดแล้ว ก็ยังไม่อาจสัมผัสโดนตัวของเถ้าแก่เฉินได้เลย นี่คือความแตกต่างระหว่างเด็กน้อยด้อยฝีมือกับผู้อาวุโสมากประสบการณ์จริงๆ

เหมาเซี่ยวู่ อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาว่า

“เถ้าแก่เฉินนี่ ไม่ออมมือบ้างเลย แล้วเมื่อไหร่ พวกเราจะผ่านการทดสอบล่ะนี่?”

ซ่า****

พอสิ้นเสียงเหมาเซี่ยวู่ น้ำสายหนึ่ง ราดรดหัวเขาทันที

“เฮ้ย!!”

เหมาเซี่ยวู่ลุกขึ้นมา เห็นเถ้าแก่เฉินยกกระบอกน้ำขึ้นดื่มอย่างสบายใจ

“อะไรกัน? แค่นี้พวกเจ้าก็ถอดใจแล้วเหรอ? เจ้าสองคนเองก็ใช่ว่าจะมีฝีมือด้อยกว่า หลีฮันหลง กับ จิ้นจือหยาง เพียงแต่เจ้าทั้งสองกลับไม่ได้ใช้ฝีมือที่แท้จริงอยู่เลยแม้แต่น้อย”

คำพูดนี้ดูจะตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างยิ่ง ทั้งสองเด็กหนุ่มต่างก็ทุ่มเทใช้กระบวนที่ได้เรียนได้ฝึกมาไปจนหมดสิ้นแล้ว เหตุใดเถ้าแก่เฉินถึงเอ่ยมาได้ว่า ทั้งสองไม่ได้ใช้ฝีมือที่แท้จริง

“ข้าวกลางวันมาแล้วจ้า~~”

เสียงแจ้วๆ ของเฉินเหมยเหลียน ดังขึ้นมาแต่ไกล ก่อนที่ร่างน้อยๆ ของเด็กหญิง จะปลิวข้ามพุ่มไม้ อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มายืนตรงหน้าเถ้าแก่เฉินแล้ว วิชาตัวเบาของนางนั้น เหนือล้ำเกินวัยจริงๆ นี่คงเพราะได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เป็นปู่เป็นแน่แท้

“พวกเจ้าเองก็กินข้าวแล้วพักสักครู่เถอะ เผื่อสมองของพวกเจ้าจะนึกได้ว่า พวกเจ้า มีฝีมือที่แท้จริงเป็นอย่างไร?”

เถ้าแก่เฉินรับห่อข้าวมาโยนให้สองหนุ่ม ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงวาจาชวนให้สองหนุ่มต้องครุ่นคิดอย่างหนัก

o---][::::::::::::::::>/|\<::::::::::::::::][---o

คังอ้ายเหนียงยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก เคล็ดวิชาดั่งใจ คืออะไร แต่ไม่ทันจะเอ่ยปากถามฮูหยินเจินก็เริ่มเล่ามา

“เคล็ดวิชา ‘ดั่งใจ’ คือ เคล็ดวิชาที่ทำให้ทุกสิ่งอย่างเป็นไปได้ดั่งใจคิด เคล็ดวิชานี้ จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แค่เข้าใจหลักพื้นฐานของมันได้ก็สำเร็จได้ไม่ยาก แต่กลับมีน้อยคนเท่านั้นที่เข้าใจพื้นฐานของเคล็ดวิชานี้ ขนาดข้าเอง ยังใช้เวลากว่าค่อนชีวิต ถึงจะเข้าใจแค่หลักพื้นฐาน”

ฮูหยินเจินหยุดเล่าชั่วครู่แล้วยิ้มอย่างอายๆ พลางเอ่ยว่า

“ข้าไม่น่าเล่าความโง่เขลาของตัวเองออกไปเลยนะ ยังไงช่วยเก็บเป็นความลับด้วยล่ะ”

คังอ้ายเหนียงทำหน้างงๆ ก่อนเอ่ยถามว่า

“แล้วฮูหยินถึงว่าตัวเองอย่างนั้นล่ะ?”

“ข้าบอกไปแล้วไง ว่าแม่ของเจ้าถ่ายทอดความรู้ที่นางมีให้แก่ข้าทั้งหมด ร่วมถึงเคล็ดวิชาดั่งใจด้วย แต่ข้ากลับไม่เคยนึกถึงเลยว่า สิ่งที่นางสอนจะแฝงเคล็ดวิชาที่ข้าพยายามจะฝึกฝนกว่าค่อนชีวิตมาด้วย นี่ถือเป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ ที่นางมอบให้เลยล่ะ”

ได้ฟังคำตอบคังอ้ายเหนียงเบิกตากว้างอย่างตื่นเต้น เอ่ยถามอีกว่า

“ไอ้เจ้าเคล็ดวิชาดั่งใจมันง่ายดายขนาดนั้นเชียว?”

ฮูหยินเจินหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยให้คำตอบว่า

“ก็ถ้าเข้าใจแค่หลักพื้นฐาน เคล็ดวิชานี้ ก็ง่ายเสียยิ่งกว่าคว้าซาลาเปาเข้าปาก แต่ผู้คนส่วนใหญ่นั้นไม่เข้าใจ มันจึงดูยากเสียยิ่งกว่าผลักภูเขาด้วยมือเปล่าเสียอีก”

คำพูดของฮูหยินเจินยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของคังอ้ายเหนียงขึ้นไปอีก นางรีบถามต่อทันทีว่า

“แล้วพื้นฐานของมันคืออะไร ฮูหยินบอกให้ข้าฟังได้ไหม?”

ฮูหยินเจินส่ายหน้าช้าๆ ก่อนเอ่ยว่า

“เสียใจด้วย เคล็ดวิชานี้ ข้าบอกให้เจ้าฟังไม่ได้หรอกนะ”

คำตอบของฮูหยินเจิน ทำเอาคังอ้ายเหนียงเงียบไปชั่วครู่ พลันนางคิดได้ว่าเคล็ดวิชาชั้นสูงเช่นนี้คงจะเปิดเผยมากมายอะไรได้ ฮูหยินเจินเอ่ยต่อพร้อมรอยยิ้มว่า

“แต่ข้าจะสอดแทรกไว้ในการเรียนการสอนวิชาแพทย์ แบบที่แม่ของเจ้าเคยสอนข้า ถ้าเจ้ามีวาสนากับเคล็ดวิชาดั่งใจ เจ้าก็คงจะเข้าใจเอง”

o---][::::::::::::::::>/|\<::::::::::::::::][---o

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.
×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.