Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

► [GIJINKA] Pokemon & The Gang ! {Special} ◄


+ Pangtor Girl +

Recommended Posts

# F I C T I O N #

[ GIJINKA ]

 “POKEMON & THE GANG!

{ S P E C I A L  C H A P T E R }


[TALK WITH WRITER]

# 06/09/15

Spoiler

กระทู้นี้รวมเรื่องราวสัพเพเหระต่างๆ เป็นเรื่องราวบทพิเศษของตัวละครแต่ละตัว

ในฟิค PTG อันเก่า (สถานะตอนนี้ดอง รอรีเมค) เนื่องจากผู้แต่งอยากแต่งนิยายแต่

ขี้เกียจเกินไป (?) เลยหันมาแต่งบทพิเศษซึ่งเป็นเรื่องสั้นๆแทน

Enjoy Reading ค่ะ : )

ปล. การอัพไม่แน่นอนน่อ เพราะตั้งเล่นๆ lol

# 12/10/16

Spoiler

ปรับกระทู้ใหม่ ไฉไลกว่าเดิม --- //แต่ที่เหมือนเดิมคือยังดองเหมือนเดิม (?)

การอัพไม่แน่นอนเหมือนกัน แต่ก็นั่นแหล่ะ คิดถึง เลยกลับมา ;w; !

 


[INDEX]

  • "ความหวัง ... สีดำ" (1-2 + บทส่งท้าย)  # หน้าที่ 1 
  • "บทสัมภาษณ์พิเศษ [1]" # หน้าที่ 1 
  • "บทสัมภาษณ์พิเศษ [2]" # หน้าที่ 1 
 

[MAIN FICTION]

Spoiler

 

 

Edited by + Pangtor Girl +
Link to comment
Share on other sites

§ Special Chapter §

ความหวัง สีดำ

3 ปีก่อน

 

เสียงสายลมดังหวีดหวิวยามฤดูร้อน ท้องฟ้าโปร่งไร้เมฆ แสงแดดแรงกล้าเสียจนมิอาจลืมตา

ขึ้นมอง มันร้อนแรงจนทุกสรรพสิ่งไม่อยากเคลื่อนไหว ทว่ากลางที่ราบโล่งนั่น มีร่างของหญิงสาว

วัยรุ่นและชายหนุ่มอีกสองคนยืนตระหง่านอยู่เหมือนไม่ได้สนใจถึงความร้อนจากเบื้องบน

ทั้งสามยืนนิ่งจ้องตากันอย่างไม่ลดละ

                หญิงสาวผมสีเขียวใบไม้จ้องชายทั้งสองไม่วางตา นัยน์ตาสีอำพันสวยฉายแวว

ตื่นเต้น บนผิวขาวอมเหลืองมีหยาดเหงื่อใสๆประดับอยู่ทว่าเจ้าตัวไม่ได้สนใจ บนใบหน้างดงาม

เหมือนมีรอยยิ้มอยู่ แต่เจ้าตัวกำลังพยายามกลั้นเอาไว้

หนุ่มผู้สวมหมวกคาวบอยสีกรมท่ายืนเฉียงไปด้านขวาของหญิงสาวอย่างเว้นระยะห่าง ดวงตาคม

สีแสดฉายแววรักสนุกประกอบกับรอยยิ้มกวนๆบนใบหน้าทำให้ชายคนนี้ดูเป็นคนขี้เล่นโดยปริยาย

ผมสีฟ้าครามยาวปรกใบหน้าเล็กน้อยพร้อมด้วยหยาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามไรผม

ส่วนชายคนสุดท้ายนั้นยืนเฉียงไปทางด้านซ้ายของผู้หญิง แต่ก็เว้นระยะห่างจากชายด้านข้างด้วย

ทำให้ตอนนี้ทั้งสามยืนเป็นรูปสามเหลี่ยมประจันหน้าเข้าหากัน ร่างสูงยิ้มบางๆพร้อมใช้นัยน์ตา

สีน้ำเงินมองเพื่อนทั้งสองของตน ผมซอยสั้นสีเหลืองนวลเป็นเอกลักษณ์ทว่าผมปรกใบหน้ากลับ

มีสีแดงเพลิง เขาสวมชุดโทนสีแดงดูขัดกับสีของดวงตายิ่งนักแต่กลับดูมีเสน่ห์  ผ้าพันคอสีขาวพลิ้ว

ไหวตามสายลม น่าแปลกที่ชายคนนี้ไม่มีหยาดเหงื่อเลย

                เหมือนเวลาช่างผ่านไปเนิ่นนาน จู่ๆทั้งสามคนก็กระโจนเข้าหากันและลงมือโจมตีทันที !

บนที่ราบโล่งเหมือนถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสัน แดง ฟ้า เขียว สีทั้งสามต่างเริงระบำท่ามกลางผืนดิน

สีน้ำตาลและใต้นภาสีฟ้าคราม เสียงหัวเราะดังขึ้นไปพร้อมกับท่วงท่าอันงดงาม ศิลปะชิ้นเอกถูก

ประดิษฐ์ขึ้นด้วยเวทมนตร์ที่ทั้งสามใช้ใส่กันและกัน

...

“วู้ ! สนุกเป็นบ้าเลยแฮะ !” ชายหนุ่มผมฟ้าครามทิ้งตัวบนนอนกับพื้นราบ ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ

แต่ก็มีรอยยิ้มกว้าง

“นั่นสิ !” หญิงสาวสวยทิ้งตัวนอนบ้าง เรือนผมสีเขียวแผ่ลงบนพื้น เจ้าตัวหอบน้อยๆพร้อมใช้ดวงตา

สีอำพันจับจ้องบนท้องฟ้าสีส้มยามเย็น

“พวกเจ้าสองคนนี่จริงๆเลย ... เสื้อผ้าเปื้อนหมดแล้ว” หนุ่มร่างสูงพูดเหมือนตำหนิแต่น้ำเสียง

กลั้วหัวเราะ เขาไม่ได้ล้มตัวลงนอนเหมือนเพื่อนทั้งสอง หญิงสาวทำแก้มป่องก่อนจะฉุดเพื่อนชายมา

นอนข้างๆด้วย เขาถอนหายใจเบาๆแต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ทำให้หญิงสาวยิ้มหวานน่ารัก

เธอคล้องแขนเพื่อนทั้งสองที่อยู่ขนาบตนเองก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่าว่า

“ข้าชอบเบลซกับลีออนที่สุดเลย !!!

“เฮ้ๆ จูเลียต ! พูดแบบนี้เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดหรอก !” ชายผมฟ้านามลีออนพูดขึ้นแทบจะโวยวาย

“อะไรกัน เมื่อก่อนเจ้าไม่เห็นพูดแบบนี้เลย” จูเลียตทำแก้มป่องอีกรอบ

“หน้าแดงไปถึงหูแล้วนะลีออน” เบลซพูดแซวแกมหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าแดงระเรื่อของเพื่อนชาย

ทำเอาลีออนโวยยิ่งกว่าเดิม

“ไม่ได้แดงโว้ยยย !!

 จูเลียตหัวเราะเสียงใสกังวานเหมือนกระดิ่งเงินก่อนจะหยอกล้อลีออนเป็นพักๆ เบลซก็ได้แต่อมยิ้ม

ดูทั้งสองอย่างเงียบๆ

ช่างเป็นวันที่ปกติสุขเสียจริง เบลซคิดเช่นนั้น และหวังให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไป

...

ก๊อกๆ

“ใครมาตั้งแต่เช้ากันล่ะเนี่ย” ลีออนเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับหาววอดๆ ผมสีฟ้าคราม

ยุ่งเหยิงเหมือนคนที่เพิ่งตื่น เขาใส่ชุดนอนเดินออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร

“เช้าอะไรล่ะ นี่ก็ปาเข้าไปเก้าโมงแล้วนะ” เบลซที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทานข้าวพูดขึ้นยิ้มๆ ในมือของเขา

มีแก้วกาแฟสีขาว ผมเผ้าของเขาหวีเรียบร้อยและเสื้อผ้าดูสะอาดสะอ้าน ทำให้รู้ว่าเขาตื่นมานานแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ลีออน อรุณสวัสดิ์เบลซ” จูเลียตเดินบิดขี้เกียจออกมาจากห้องนอนของเธอเช่นเดียวกัน

แถมสภาพยังไม่ต่างจากลีออนเลยสักนิด ผมสีเขียวยาวถึงกลางหลังดูยุ่งๆ ชุดนอนกระโปรงลายลูกไม้

สีขาวพลิ้วไหวตามแรงเดิน เพียงแต่ว่าจูเลียตได้ล้างหน้าแปรงฟันมาก่อนแล้วเท่านั้นเอง

“มีคนมาใช่ไหม งั้นข้าไปเปิดประตูให้นะ” จูเลียตเดินตรงไปทางประตูทันที

นี่เจ้าไม่คิดจะห่วงสภาพตัวเองเลยรึไงกัน  เพื่อนชายทั้งสองคิดในใจเงียบๆ

จูเลียตเปิดประตูออกโดยไม่มองตาแมวตรงประตูเลยด้วยซ้ำ เมื่อเปิดประตูออกมาก็เผยให้เห็น

ชายหนุ่มสง่างามคนหนึ่ง เจ้าของเรือนผมยาวสีเขียวที่ถูกมัดอย่างหลวมๆและดวงตาสีวอลนัทที่

ดูอบอุ่น ใบหน้าเรียวหล่อเหลาประดับรอยยิ้มละมุน เสื้อสูทและกางเกงสีขาวสะอาดขับให้ชายคนนี้

น่ามองยิ่งขึ้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า

“อรุณสวัสดิ์ครับ รุ่นพี่”

“อ๊ะ ฟีแอล!” จูเลียตแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะโผเข้ากอดคนตรงหน้าทันที

“คิดถึงจังเลย! ไม่ได้เจอกันเป็นเดือนแน่ะ !

คนที่ถูกกอดผงะไปนิดหนึ่งก่อนที่จะกอดตอบแบบอิหลักอิเหลื่อน้อยๆ

“ผมก็คิดถึงรุ่นพี่จูเลียตครับ ฮ่ะๆ”

เบลซนั่งดูภาพคนกอดกันตรงหน้าอย่างไม่คิดอะไรพร้อมจิบกาแฟในมือไปด้วย หนึ่ง นิสัย 'ติด

กอด' ของจูเลียตเป็นนิสัยที่แก้ไม่ได้  สอง เขาถือว่าฟีแอลเป็นรุ่นน้องที่ดีคนหนึ่ง ยังไงก็คงไม่คิด

เรื่องเกินเลยหรอกมั้ง ?

อ้อ ได้ข่าวว่าตอนนี้กำลังมีความรักด้วยนี่นา เขาพยักหน้าเบาๆแบบนึกขึ้นได้

ส่วนลีออนก็ยืนนิ่ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีเส้นเลือดปูดขึ้นมาตรงหน้าผาก ดวงตาสีแสดจ้องภาพตรงหน้า

เขม็งอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แถมรอยยิ้มยังกระตุกๆแบบแปลกๆอีกต่างหาก ฟีแอลเหงื่อตก

เล็กน้อยก่อนจะยิ้มแหยๆและผละจูเลียตออกเพราะเกรงว่าจะโดนรุ่นพี่ด้านข้างเขมือบตนเอง

“สวัสดีครับ รุ่นพี่เบลซ รุ่นพี่ลีออน” ฟีแอลทักทายรุ่นพี่ทั้งสองด้วยรอยยิ้ม

“สวัสดียามเช้า” เบลซวางถ้วยกาแฟลงแล้วยิ้มตอบกลับ

“หวัดดี” ลีออนทักบ้าง แต่เป็นรอยยิ้มแปลกๆที่แทบจะแยกเขี้ยวออกมา

จูเลียตผู้ไม่รู้สึกถึงความแปลกประหลาดตรงหน้าก็ได้แต่เอ่ยปากถามรุ่นน้องว่า “มาหาแต่เช้า

มีอะไรรึ คงไม่ใช่คิดถึงรุ่นพี่มากจนกระทั่งถ่อมาถึงนี่หรอกนะ”

จูเลียตแอบพูดแขวะเล็กๆอย่างนึกสนุก เธอรู้อยู่แล้วว่าฟีแอลเคารพพวกเธอมาก แต่คนอย่างเขางาน

ต้องมาก่อนอยู่แล้ว

แน่นอนสิ ก็เขาเป็นถึงหัวหน้าใหญ่ของโปเกโพลิส สเตชั่นเชียวนะ !

แถมเธอกับเพื่อนชายทั้งสองยังเป็นคนปั้นเขาขึ้นมากับมืออีกด้วย จูเลียตลอบยิ้มอย่างภูมิใจ

ฟีแอลหัวเราะแห้งๆ “ก็คิดถึงครับ ช่วงนี้ผมงานยุ่งมาก เลยไม่มีโอกาสแวะมาเยี่ยม” เขาเว้นช่วงนิด

หนึ่งก่อนจะพูดต่อ

“ผมอยากให้พวกรุ่นพี่เข้าร่วมประชุมตอนสิบโมงนี้หน่อยครับ”

“ประชุมเรื่องอะไรหรือ?” เมื่อเป็นเรื่องงาน เบลซก็พูดโพล่งขึ้นมาทันที

จูเลียตเลื่อนเก้าอี้ไม้ตรงโต๊ะทานข้าวเป็นเชิงว่า 'เชิญนั่งก่อน' เพราะรู้ว่าเรื่องนี้ต้องคุยกันอีกยาวแน่ๆ

ฟีแอลกล่าวขอบคุณและนั่งลงช้าๆ จูเลียตหมุนตัวไปชงน้ำชา ส่วนลีออนก็รู้งานเดินไปล้างหน้าแปรง

ฟันเรียบร้อยก่อนจะมานั่งร่วมวงคุยด้วย

“งานประชุมครั้งนี้เกี่ยวกับเรื่องแก๊งแมกม่าครับ”

เมื่อได้ยินคำว่าแก๊งแมกม่า รุ่นพี่ทั้งสามก็ชะงักไปเล็กน้อย ฟีแอลพยักหน้าอีกครั้งและเอ่ยย้ำว่า

“แมกม่า 'อีกแล้ว' ครับ”

“อีกแล้วเหรอ” จูเลียตอดพึมพำเบาๆไม่ได้ คิ้วเรียวขมวดกันเป็นปม

“แก๊งแมกม่ามันทำไมหรอ” ลีออนถามด้วยความอยากรู้

“แก๊งแมกม่าได้ทำการตั้งฐานทัพใหม่ขึ้นอย่างลับๆ และสายสืบของเราก็ได้ทราบมาว่า แก๊งแมกม่า

ได้ขโมยข้อมูลบางส่วนจากรัฐบาลไป เกรงว่าข้อมูลนั้นอาจเป็นข้อมูลลับสุดยอด” ฟีแอลทำหน้า

เคร่งขรึม “เราต้องการทำลายฐานทัพนั้นทิ้งซะ ก่อนที่เรื่องจะบานปลายกว่านี้”

รุ่นพี่ทั้งสามต่างขมวดคิ้วกันมุ่นพร้อมทำสีหน้าครุ่นคิด พักหนึ่งจูเลียตก็พูดขึ้นมาว่า

“พวกเราจะไปร่วมงามประชุมด้วย”

ฟีแอลถอนหายใจอย่างโล่งอก เขายิ้มละมุนพร้อมกล่าวว่า “ขอบคุณครับ”

“เฮ่อ ทำไมมันถึงกลับตาลปัตรแบบนี้หว่า” ลีออนพูดขึ้นลอยๆ “ปกติฝ่ายอควาต้องเป็นพวกบ้าระห่ำ

ก่อเรื่องตลอดเวลาไม่ใช่หรอ ทำไมตอนนี้แมกม่าถึงได้ก่อเรื่องต่อๆกันแบบนี้นะ ....”

เบลซกับจูเลียตเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆฝ่ายอควาถึงเงียบไป แล้วแมกม่ากลับกลาย

เป็นตัวก่อเรื่องแบบติดต่อกัน แบบนี้มันก็รู้สึกทะแม่งๆ ... ใครๆก็รู้ว่าหัวหน้าแก๊งอควาโรคจิตแค่ไหน

ถ้าเทียบกับหัวหน้าแก๊งแมกม่าแล้ว คนๆนั้นดูขรึมกว่าเยอะ

คิดถึงตรงนี้ทั้งสองก็ได้แต่ถอนหายใจ เบลซเอ่ยขึ้นว่า “ประชุมสิบโมงใช่ไหม?”

“ครับ”

เบลซเงยหน้ามองนาฬิกา ฟีแอลเองก็ด้วย

9.40 ...

ฟีแอลกับเบลซก็หันไปมองสภาพของจูเลียตกับลีออนโดยไม่ได้นัดหมาย

ทั้งสองมองหน้ากันและพูดว่า

“อย่างแรกเลยก็ต้องอาบน้ำก่อนล่ะนะ”

“เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ ...”

...

ผ้าพันคอสียาวขยับตามแรงเคลื่อนไหว ดวงตาสีน้ำเงินของเบลซเข้มขึ้นดูน่าเกรงขาม มุมปากของ

เขาเหยียดเป็นเส้นตรงไม่เผยให้เห็นรอยยิ้มเหมือนปกติ คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน ใบหน้าดูโกรธเคือง

เล็กน้อย ... แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น

ทว่าเพื่อนทั้งสองของชายหนุ่มกลับเห็นความผิดปกติได้อย่างชัดเจน

“รอก่อนสิ เบลซ !” จูเลียตร้องขึ้น เธอวิ่งเหยาะๆเพราะตามการก้าวขายาวๆของเบลซไม่ทัน

“โฮ้ย ! นับวันนายจะยิ่งเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้นแล้วนะเฟ้ย !!” ลีออนตะโกนตามหลังมา

เบลซได้แต่ถอนหายใจเบาๆ คิ้วที่เคยขมวดกันคลายออกเมื่อเพื่อนสาวคว้าข้อมือเขาเอาไว้ด้วย

แววตาอ้อนวอน เมื่อเบลซกับจูเลียตหยุดลง ลีออนที่ตามมาหลังสุดก็วิ่งตามทันจนได้

เขาหอบเล็กน้อยก่อนจะมองเบลซด้วยแววตาอีกอย่างหนึ่ง

“เจ้าโกรธข้าหรอ” จูเลียตถามเบลซด้วยน้ำเสียงอึกอัก

“...” เบลซเงียบไม่ตอบ ซึ่งนั่นหมายความว่า 'ใช่'

ลีออนที่เห็นเพื่อนสาวคอตกแบบหงอยๆก็อดพูดไม่ได้ว่า “เจ้าก็นะ ยกโทษให้จูเลียตเถอะน่า”

“เจ้าก็เหมือนกันแหละ ลีออน” เบลซหันมาพูดตำหนิทันที

“ทำไมถึงได้นั่งบื้ออยู่ได้ ทำไมไม่ช่วยกันห้ามบ้าง”

ดันกลายเป็นโดนด่าไปด้วยเลยวุ้ย... ลีออนคอตกไปด้วย

เมื่อเห็นสภาพจูเลียตกับลีออนที่คอตกเป็นโรคอนหงอยเบลซก็มีสีหน้าที่อ่อนลงนิดหนึ่ง แล้วเขาก็

ถอนหายใจออกมา จะไม่ให้เขาโกรธได้ยังไงล่ะ ก็จูเลียตเล่นเข้าไปประกาศในห้องประชุมว่า

'เราจะช่วยถล่มแก๊งแมกม่าชาติชั่วนั่นด้วย ! รับประกันฝีมือได้เลย !!' โดยที่ยังไม่ทันฟัง

รายละเอียดด้วยซ้ำ เขากับลีออนก็ได้แต่เหวอแบบค้างๆ แถมเจ้าตัวยังพูดอีกว่า

'ให้พวกเราสามคนเป็นแนวหน้าเอง รับรองสำเร็จผล' โดยที่ยังไม่ถามความเห็นจากพวกเขาเลยซักคำ

เบลซทำได้แค่ใช้ศอกกระทุ้งแขนของลีออนเบาๆเป็นเชิงว่าให้เตือนจูเลียต แต่ลีออนกลับ

อ้ำๆอึงๆไม่พูดซะงั้น คงเพราะเห็นแววตาและท่าทางเด็ดเดี่ยวของจูเลียตเข้าเลยไม่อยากพูดอะไร

เบลซอยากจะไมเกรนขึ้นตรงนั้นทันที ทั้งไม่รู้ว่าภารกิจยากแค่ไหน แถมยังสัญญาไว้ดิบดีขนาดนั้น

ถ้าเกิดไม่สำเร็จขึ้นมาจะทำยังไง คิดถึงตรงนี้เบลซก็ปวดหัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ข้าขอโทษจริงๆนะเบลซ” จูเลียตพูดเสียงอ่อย

“ก็คิดแล้วมันโกรธนี่นาเลยพูดแบบนั้น แต่ยังไงเราก็ควรช่วยไม่ใช่หรอ”

เบลซถอนหายใจอีกรอบ “ก็ใช่ แต่มันก็อันตรายเกินไป พวกเรามีกันแค่สามคน จะไปเป็นแนวหน้าลุยเดี่ยวได้ยังไง”

จูเลียตที่เถียงไม่ได้เบะปากก่อนจะมองไปยังลีออน คนหลังที่ถูกมองก็อิหลักอิเหลื่อ แต่ก็พูดว่า

“ที่เบลซพูดมามันก็ถูก พวกเรามีกันแค่สามคนเอง ...” ประโยคหลังของลีออนเบาลงเรื่อยๆเมื่อเห็น

แววตาออดอ้อนของจูเลียตเข้าให้ ไม่ทันไรเขาก็เอ่ยว่า “เอิ่ม ข้าว่าเราก็น่าจะทำได้นะเบลซ...”

โดนลูกอ้อนเต็มๆแล้วเพื่อนข้า... ! เบลซได้แต่คิดในใจ

“เห็นมั้ย ! ลีออนยังเห็นด้วยเลย !” จูเลียตโพล่งทันที “นะๆๆ ขอร้องล่ะเบลซ ช่วยเถอะนะ !

เบลซถอนหายใจหน่ายๆเป็นรอบที่ล้าน เขาไม่ค่อยชอบลูกอ้อนของจูเลียตเลย

เพราะเขากับลีออนต้องใจอ่อนทุกที ...

และครั้งนี้ก็เช่นกัน

“เอาล่ะๆ ช่วยก็ช่วย” เบลซพูดอย่างหมดแรงเถียง

“เย้ !” จูเลียตตะโกนอย่างเริงร่า “งั้นเราไปเก็บของกันเถอะ ! ต้องเดินทางเย็นนี้แล้วนี่นา !

พูดจบ จูเลียตก็ทำการคล้องแขนเพื่อนชายทั้งสองและลากพวกเขาออกไปอย่างรวดเร็ว

...

แกรก ... เสียงเปิดประตูดังขึ้น

จูเลียตเดินนำเข้าไปก่อน ตามด้วยลีออนและเบลซที่เดินมาหลังสุด สีหน้าของเขากำลังครุ่นคิด

อะไรบางอย่าง ชายหนุ่มร่างสูงยืนนิ่งมองเพื่อนทั้งสองที่กำลังจัดกระเป๋าเป้ของตัวเอง

นัยน์ตาสีน้ำเงินบ่งบอกถึงความกังวล จูเลียตเงยหน้าขึ้นการจากจัดกระเป๋า เธอยิ้มบางๆ

“ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะเบลซ พวกเราน่ะไม่มีทางเป็นอะไรง่ายๆอยู่แล้ว

พวกเราคือกลุ่มเดอะโฮปผู้โด่งดังเชียวนะ”

เบลซนิ่งเงียบไป กลุ่มเดอะโฮปของเขามีสมาชิกเพียงสามคนเท่านั้น คือจูเลียต เดอะ จูไคน์ ,

ลีออน เดอะ ลากุราจและเขา เบลซ เดอะ บาชาโม่เท่านั้นเอง พวกเขาทั้งสามคนเป็นเพื่อนกัน

มาตั้งแต่เด็ก ด้วยสายสัมพันธุ์บางๆอย่าง 'เชื้อสายสตาร์ทเตอร์' ทำให้พวกเขาสนิทกันอย่างรวดเร็ว

แถมยังก่อตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาอีกด้วย รู้ตัวอีกทีกลุ่มเดอะโฮปนี่ก็โด่งดังเข้าไปแล้ว ด้วยความที่ว่าฝีมือของ

พวกเขาเก่งกาจ แข็งแกร่ง หน้าตาก็จัดได้ว่าไร้ที่ติ ทั้งสามจึงเป็นที่รู้จักกันอย่างรวดเร็วและล้นหลาม

พร้อมๆกับกลายเป็นคนที่มีอิทธิพลไปแล้วด้วย

นับเป็นทีมที่เพอร์เฟ็คที่สุดจริงๆ หลายคนว่าอย่างนั้น

“...” เบลซนิ่งเงียบไม่ตอบ เพราะว่าถึงจะพูดเถียงมากเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ต้องไปอยู่แล้ว

เมื่อเห็นเบลซยังคงทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ลีออนก็เป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง

เขาเดินไปตบบ่าเพื่อนชายเบาๆและกล่าวว่า

“เราเชื่อใจเจ้า และเจ้าก็ต้องเชื่อใจเราด้วยเหมือนกัน” ลีออนยิ้มกว้าง “ไม่ต้องห่วงน่า พวกเรา

ปลอดภัยอยู่แล้ว ! แล้วการที่นายทำหน้าไม่ยิ้มแบบนี้รู้สึกสยองชะมัด !” ลีออนทำท่าขนลุกแบบ

โอเว่อร์ ทำให้เบลซปล่อยยิ้มบางออกมา

“เข้าใจแล้ว” เขาว่าพร้อมเดินไปจัดกระเป๋าตนเองเช่นกัน

สายลมพัดเข้ามาผ่านหน้าต่างบานกว้างที่เปิดค้างไว้เหนือโต๊ะเตี้ยๆ ผ้าม่านสีขาวบางพลิ้วไหว

โบกสะบัดขณะที่ทั้งสามกำลังจะเดินออกนอกประตู จูเลียตหันกลับมามอง

“ลืมปิดหน้าต่างแฮะ” เธอพูดขึ้นและเดินตรงเข้าไปหวังจะปิดหน้าต่าง ...

เพล้ง !

เสียงกระจกแตกดังขึ้นท่ามกลางห้องเงียบสงัด เรียกความสนใจจากเบลซและลีออนทันที

“เกิดอะไรขึ้น?” ลีออนถามพร้อมเดินเขามาหาจูเลียตที่ยืนค้างอยู่ตรงหน้าต่าง เบลซเองก็เดินตามไปด้วย

“ระ ... รูปภาพหล่นน่ะ แฮ่ะๆ” เจ้าตัวหัวเราะแห้งๆ

“สงสัยลมพัดแรงไปหน่อย ว้า รูปนี้เป็นรูปเดียวที่พวกเราเคยถ่ายด้วยสิ”

จูเลียตพูดด้วยน้ำเสียงล้อเล่นกลั้วหัวเราะ มือเรียวบางเอื้อมลงไปเก็บกรอบรูปภาพสีน้ำตาลขึ้นมา

ทันใดนั้นเธอก็ผงะ ลีออนเบิกตากว้างขึ้น เบลซกลั้นหายใจไปชั่วขณะ

รูปนี้เป็นรูปเดียวที่พวกเขาเคยถ่ายร่วมกัน เป็นรูปภาพตั้งแต่ปีที่แล้ว ในรูปจูเลียตยืนอยู่ตรงกลาง

เธอยิ้มกว้างตาหยีเหมือนกำลังหัวเราะเสียงดังพร้อมกอดคอเพื่อนชายทั้งสอง ลีออนยิ้มยิงฟันขาว

อย่างทะเล้น มือข้างหนึ่งจับหมวกคาวบอยไว้ส่วนมืออีกข้างก็เกาะไหล่จูเลียต เบลซก็มีรอยยิ้มกว้าง

ประดับบนใบหน้า ผ้าพันคอสีขาวพลิ้วกลางอากาศ รูปภาพใส่กรอบสีน้ำตาลเคลือบกระจก

ที่ชวนดูอบอุ่นขณะนี้ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆตามแรงที่โดนกระแทก ทว่า ...

ส่วนที่กระจกแตก ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเบลซเท่านั้น

จูเลียตพลิกรูปภาพคว่ำแทบทันทีเมื่อเห็นสภาพของรูปนั้น เธอมองเบลซอย่างกล้าๆกลัวๆ ใบหน้า

สวยนั้นประดับความหวาดหวั่น ดวงตาสีอำพันฉายแววกังวลใจ ลีออนเองก็เลิ่กลั่กเมื่อได้เห็น

สภาพรูปนั้น เขาเองก็มองเบลซด้วยเช่นกัน ทว่านัยน์ตาสีน้ำเงินของเบลซสงบนิ่ง

ใบหน้าตกใจในตอนแรกมลายหายไปแล้ว และแทนที่ด้วยรอยยิ้มดังเดิม

“น่าเสียดายนะ ไว้เราไปถ่ายรูปใหม่ก็แล้วกัน” เบลซพูดพร้อมยิ้มละมุน

จูเลียตกลืนน้ำลายอย่างหนืดคอ ทำไมเธอถึงรู้สึกกังวลแบบนี้นะ เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย

ลีออนใช้ดวงตาสีแสดมองเพื่อนชายอย่างครุ่นคิด ใบหน้าแสดงถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ไปกันเถอะ” เบลซไม่พูดอะไรไปมากกว่านี้ เขาเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ

“ลีออน ข้ารู้สึกไม่ดีเลย” จูเลียตพูดขึ้นเบาๆ สีหน้าย่ำแย่

“มันก็แค่เรื่องบังเอิญ อย่าคิดมากเลยน่า” ลีออนพูดปลอบพร้อมลูบหัวหญิงสาวอย่างอ่อนโยน

แต่ทำไม ... ข้าถึงมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเอาซะเลย ลีออนอดไม่ได้ที่จะคิดในใจอย่างเงียบๆ

 

END Part 1 : To Be continue…

Edited by + Pangtor Girl +
  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

อ่านแล้วรู้สึกใจเต้นระทึกไปตามบรรยากาศของเนื้อเรื่องเลยแฮะ ตอนแรกอ่านแล้วนึกว่าจะมาแนวบรรยากาศเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ แต่ไปๆมาๆ ฉากรูปตกนี่ชวนบีบหัวใจไม่น้อยเลย

 

ช่างน่าติดตามอะไรเช่นนี้!! //ปูเสื่อนั่งรออ่าน :pika03:

Link to comment
Share on other sites

โอ้ สนุกมากเลย

อ่านแล้วรู้สึกได้ถึงความน่ารักและขี้อ้อนของจูเลียต lol

 

ตกใจกับฉากรูปตกเหมือนกันแหะ อ่านแล้วใจหวั่นตามสองคนนั้นไปด้วยเลย

 

รออ่านต่อเน่อ 'w'/

Link to comment
Share on other sites

 

 ...

หลังจากที่จูเลียต เบลซ และลีออนเดินออกมาจากบ้านพักเล็กๆของพวกเขาที่ตั้งอยู่ในคินเซทสึ ซิตี้แล้ว

พวกเขาก็เดินตรงดิ่งไปยังโปเกโพลิส สเตชั่นทันที เนื่องจากที่นั่นไม่ได้ไกลจากบ้านพักของ

พวกเขาเท่าไหร่นัก เพียง 20 นาทีก็สามารถไปถึงได้โดยไม่ต้องพึ่งแมกเน็ต แมชชีนเลยสักนิดเดียว

ระหว่างทางที่เดินนั้นทั้งสามไม่มีใครพูดอะไรเลยซักคำ ทว่าจู่ๆจูเลียตก็เอ่ยขึ้นมาอย่างแผ่วเบาว่า

“ข้าไม่อยากไปแล้ว”

เบลซกับลีออนที่เดินอยู่ข้างหน้าชะงัก ก่อนที่จะหันหน้ามามองหญิงสาวพร้อมกัน นัยน์ตาสีอำพัน

ของเธอตอนนี้ดูสั่นไหว

“เบลซ ลีออน เรากลับกันเถอะนะ เดี๋ยวข้าจะบอกฟีแอลเอง” เธอพูด

“ทำไมล่ะ” เบลซเป็นฝ่ายถามอย่างไม่เข้าใจ

จูเลียตนิ่งไป เธอไม่อยากที่จะพูดเรื่องรูปนั่นเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าเบลซจะอ่านใจเธอได้

เขาทำแค่ยิ้มแล้วขำ

“เจ้าขำอะไร” จูเลียตถามหน้านิ่ว

“ก็มันตลกน่ะสิ” เบลซพูดพร้อมยิ้มกว้างกว่าเดิม “เจ้าเป็นห่วงเรื่องรูปนั่นน่ะหรอ ฮ่าๆ มันก็แค่เรื่อง

บังเอิญ อย่าบอกนะว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้เจ้าหวั่นไหวได้น่ะ แม่จูเลียตผู้เข้มแข็ง” เขากล่าว

จากนั้นก็ยื่นมือมายีผมสีเขียวของจูเลียตจนยุ่ง

“พอแล้วน่าเบลซ !” จูเลียตปล่อยหัวเราะออกมาพร้อมเอามือเรียวไปจับข้อมือของเพื่อนชายเพื่อหยุดเอาไว้

แต่ดูเหมือนเบลซจะไม่ยอมง่ายๆ เขาเอามือหนายีผมยาวจนยุ่งกว่าเดิม

ลีออนมองเพื่อนสองคนที่หยอกล้อกันด้วยสีหน้าโล่งใจ เหมือนเบลซกับจูเลียตเองก็ไม่ได้คิดอะไรแฮะ นึกคิดตรงนี้

ลีออนก็ยิ้มบางๆออกมา เขาเงยหน้ามองท้องฟ้ายามบ่าย แต่ทว่า ในนัยน์ตาสีแสดนั้นกลับมีบางอย่างซ่อนอยู่ ...

เหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นสินะ

ว่ารูปภาพนั่น ... ก็มีรอยร้าวตรงหน้าเขาเหมือนกัน

ลีออนละสายตาจากท้องฟ้าคราม ก่อนจะก้าวเดินตามเพื่อนทั้งสองไป

...

“แผนจะเป็นแบบนี้นะครับ” ฟีแอลที่อยู่ในชุดเครื่องแบบเต็มยศสีขาวสะอาดที่มียศตราประดับ

เต็มเสื้อยืนพูดกับรุ่นพี่ทั้งสามด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก แววตาเย็นสุขุม ในมือของเขาถือแผนที่แบบคร่าวๆ

เอาไว้ด้วย ข้างกายของเขามีผู้หญิงร่างบางอยู่คนหนึ่ง มัดผมมวยสูงผูกโบอันใหญ่เรียบร้อย

สวมเครื่องแบบของผู้หญิงสีฟ้าอ่อน ดวงตากลมโตสีม่วงสุกใสมองชายผู้เป็นนายข้างกาย

ในอ้อมแขนเต็มไปด้วยเอกสารและรูปภาพต่างๆ คาดว่าน่าจะเป็นเลขานุการของฟีแอล

“สายสืบของเราได้ให้ข้อมูลมาว่า ระหว่างทางเดินไปเมืองฟูเอ็น ทาวน์ จะมีถ้ำถูกซ่อนไว้

ในที่ราบวังเวงแห่งหนึ่งใกล้ๆทะเลทราย คาดว่าเป็นฐานทัพที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่”  เขาพูดพลางชี้นิ้ว

ไปยังแผนที่ที่มีวงกลมสีแดงล้อมรอบ รุ่นพี่พยักหน้า

“หลังจากนั้น รุ่นพี่สามคนก็บุกฝ่าเข้าไปเลยครับ ในถ้ำจะมีห้องควบคุมอยู่ เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด

และอยู่ลึกที่สุด หน้าตาเป็นแบบนี้” ชายหนุ่มผมเขียวหยิบรูปภาพจากร่างบางข้างกาย

แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะตอบรับอย่างสุภาพ

“ขอบคุณครับ เอเมลี่”

เจ้าของชื่อยิ้มรับอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะจัดแจงเตรียมเอกสารในอ้อมแขนต่อไป

ในมือของฝีแอลเป็นรูปห้องควบคุมขนาดใหญ่ มีแป้นพิมพ์และปุ่มต่างๆมามากจนตาลาย หน้าจอใหญ่ยักษ์

หลายอันตั้งอยู่เหนือแป้นพิมพ์เหล่านั้น ให้ความรู้สึกถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย รุ่นพี่ทั้งสามก็พยักหน้ารับอีกที

“แล้วไงต่อ?” ลีออนถามกระชับ

ฟีแอลยื่นแมชชีนอันเล็กๆให้จูเลียตสี่อัน มีสีเหลือง ฟ้า เขียว แดง ตามลำดับเล็กไปใหญ่ เขากล่าวต่อว่า

“แมชชีนพวกนี้คือระเบิดเวลา หากรุ่นพี่เข้าถึงปากถ้ำแล้ว มันจะมีประตูเหล็กกั้นอยู่ ให้ทำลายเข้าไป

จากนั้นติดระเบิดทุกๆ 5 เมตรจนครบสามอันนะครับ เริ่มจากสีเหลืองที่เล็กที่สุดก่อน แล้วตามด้วย

สีฟ้าและเขียว ส่วนสีแดงให้เข้าไปติดที่ห้องควบคุม ระเบิดอันนี้จะมีอานุภาพร้ายแรงที่สุด ถ้าติด

ระเบิดแล้ว ให้ออกมาทันทีเลยนะครับ” ฟีแอลเน้นย้ำคำว่า 'ทันที' อย่างชัดเจน

“ระเบิดสีเหลืองจะตั้งเวลาไว้ที่ 30 นาที สีฟ้าจะตั้งไว้ที่ 20 นาที สีเขียวจะตั้งไว้ที่ 10 นาที

หมายความว่ารุ่นพี่ต้องทำเวลาติดระเบิดให้ประจวบเหมาะพร้อมกันให้ได้ รุ่นพี่มีเวลาติดระเบิดอัน

ใหม่ภายใน 10 นาทีที่ห่างกันเท่านั้นนะครับ ถ้าสายไปกว่านี้จะแย่เอา... แล้วอย่าลืม ติดระเบิดสีแดง

เสร็จให้รีบออกมาเลยนะครับ”

“รู้แล้วล่ะน่า ย้ำซะจริง” ลีออนบ่นงึมงำ ทำเอาฟีแอลได้แต่ยิ้มแหยๆ ไม่ถือสาคำพูดของรุ่นพี่เลยแม้แต่น้อย

“กองกำลังของผมจะรออยู่ด้านนอก คอยจัดการลูกน้องที่หลุดรอดออกมาไม่ให้เหลือ...” เขาเอ่ยแล้วเว้นช่วงนิดหนึ่ง

“ระวังตัวด้วยนะครับ”

“ไว้ใจพวกเราเถอะ” จูเลียตยิ้มพร้อมตบบ่ารุ่นน้องเบาๆ ฟีแอลพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มละไม

“ผมขอตัวไปจัดการเรื่องกองกำลังต่อก่อนนะครับ” ชายหนุ่มน้อมตัวเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปเคียงข้างเอมิลี่

จูเลียตหันไปมองเพื่อนชายทั้งสองด้วยแววตาลึกซึ้ง นัยน์ตาสีอำพันนั้นเปล่งประกายถึงความมุ่งมั่น

“เบลซ ลีออน พวกเราต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้ ... ด้วยกันนะ”

ชายหนุ่มทั้งสองพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงตอบรับ นัยน์ตาสีแสดส้มและสีน้ำเงินเปล่งประกายไม่แพ้กัน

...

ตรงหน้าของทั้งสามคือปากถ้ำที่ซ่อนอยู่ในที่ลับตา ปากถ้ำนั้นกว้างพอสมควร และมีประตูเหล็กกั้นอยู่

เพื่อนทั้งสามคนมองหน้ากัน ไม่ต้องเอื้อนเอ่ย ก็สามารถเข้าใจกันได้ ... จูเลียตกำแมชชีนในมือแน่น

“ลุย !

โครม !

เบลซยกขาเรียวยาวขึ้นทันที ฝ่าเท้าของเขามีแสงสีขาวคลุมไปทั่วดูแสบตา ชายหนุ่มตวัดขาถีบไปที่

ประตูเหล็กอย่างแรงจนมันบุบยู่ยี่ แต่ก็ไม่พอเท่านั้น  เขายกขาข้างที่เหลือเหวี่ยงตัวขึ้นไปในอากาศ

และถีบอย่างแรงอีกทีจนประตูเหล็กพังทลาย

ลีออนพุ่งตัวเข้าไปแทบจะทันทีเมื่อประตูเหล็กพัง น้ำโคลนจำนวนมากพุ่งออกมาจากฝ่ามือ

ทั้งสองข้าง ด้วยความรวดเร็ว

จูเลียตก็กระหน่ำเหวี่ยงลีฟเบลดใส่พวกลูกน้องหมาป่าที่ไม่ทันตั้งตัว เพียงครู่เดียวระเบิดสีเหลืองก็ถูกฝังไว้ในผนังถ้ำ

เวลาของมันเริ่มนับถอยหลังจาก 30 นาทีทันที ...

ทั้งสามสีเริงระบำอีกคราท่ามกลางฝูงหมาป่ามากมายนับไม่ถ้วน เมื่อสีแดงโจมตีเสร็จ สีฟ้าก็ไม่อยู่นิ่ง โจมตีกระหน่ำ

อย่างต่อเนื่อง สีเขียวพุ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วพร้อมฝังระเบิดไว้ข้างผนังถ้ำอย่างฉับไว

เหตุการณ์ที่แสนราบรื่นและน่าตื่นเต้นดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย

ช่วงที่จูเลียตฝังระเบิดสีเขียวลงในผนังถ้ำและมาถึงห้องเป้าหมาย !

ห้องควบคุม ...

เบลซทำการถีบประตูเหล็กนั่นอีกครั้งเหมือนกับที่ทำตอนเข้ามาในฐานครั้งแรก น่าเสียดายที่ประตูเหล็กแข็งแกร่งนั้น

ดูบอบบางซะเหลือเกินเมื่อมาเทียบกับชายหนุ่มร่างสูงที่ถีบมันออกอย่างเรียบง่ายและไม่ไยดี

ภายในห้องนั้นมืดมิดและดูอับเหมือนอุณหภูมิในห้องจะเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อทั้งสามเดินเข้าไป

ห้องควบคุมจะเป็นห้องขนาดใหญ่ เป็นศูนย์กลางของฐานทัพ เมื่อก้าวเข้ามาด้านหน้า

จะเป็นจอขนาดใหญ่ที่ถ่ายทอดภาพจากกล้องวงจร แผงควบคุมทอดยาว มีปุ่มหลากหลายน่าสับสน

เก้าอี้หลายตัววางเรียงกัน ภายในห้องมืดสนิทเพราะหลอดไฟแตกจากแรงกระแทกด้านนอก

             จูเลียตขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะให้แขนยาวกั้นเพื่อนทั้งสองไว้ไม่ให้เข้าไป ส่วนตัวเธอนั้นตรงดิ่ง

ไปยังกลางห้องทันที ในมือที่กำแมชชีนสีแดงแน่นสั่นระริก ทำไมเธอถึงสั่นกันล่ะ? จูเลียตแปลกใจ

จู่ๆใบหน้าน่าหวาดผวาก็พุ่งเข้าใส่หญิงสาวแบบไม่ทันตั้งตัวทำเอาเธอสะดุ้งเฮือกและทรุดลงไปนั่งกับพื้น

“จูเลียต !” ลีออนและเบลซตะโกนขึ้นพร้อมกัน

ทว่าก้าวแรกที่เหยียบเข้ามาในห้องนี้ ทั้งสองก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาแบบกะทันหัน ในหัวของพวกเขากำลัง

หมุนเป็นวงกลมทุกอย่างดูกลับตาลปัตรไปหมด ทำให้เบลซและลีออนเซไปเล็กน้อย

เบลซเริ่มวิเคราะห์ทันที ในห้องนี้มีคนอยู่ ! เป็นไปได้ยังไงกัน ฟีแอลไม่เห็นเคยบอกเรื่องนี้มาก่อนนี่นา ...

เขาสะบัดความคิดนั้นทิ้ง ไม่สิ เป็นไปได้อยู่แล้วที่จะมีคนอยู่ในห้องนี้ แต่ว่าสถานการณ์แบบนี้

ถ้าเป็นคนปกติก็ต้องออกไปดูเหตุการณ์ข้างนอกสิ ... ช่างเถอะ ! ท่าเมื่อกี้นี้มันคือท่า 'หน้าสยองขวัญ' 

ที่จูเลียตโดนไป ส่วนที่เราโดนก็คือท่า 'ยั่วโมโห' งั้นหรอ ? ใครกัน ...

“อืม ใครกันนะที่จะทำแบบนี้ เป็นคำถามที่ดีเหมือนกัน” เสียงหนึ่งกล่าวขึ้นขัดความคิดของเบลซ ทั้งสมาชิกทั้งสาม

เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงปริศนาทันที

ชายหนุ่มร่างสูงเดินออกมาจากมุมมืดอับด้านหนึ่ง เนื่องจากมุมนั้นเป็นมุมที่มืดที่สุดและอับที่สุด

จนจนแทบไม่อยู่ในสายตา ผมยาวยุ่งเหยิงสีดำขลับของชายหนุ่มและเสื้อผ้าโทนเทาดำก็กลืนไปกับ

ความมืดเป็นอย่างดี ดวงตาสีเลือดหมูจ้องมองผู้มาเยือนด้วยแววตาเหยียดหยาม มุมปากขยับยิ้มเหยียดชวนโมโห

ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตาของสมาชิกเดอะโฮปไม่ใช่ดวงตาสีแดงหรือรอยยิ้มกวนประสาท แต่เป็น...

“ผ้าผูกคอสีแดง ... สัญลักษณ์นั่น ... หนึ่งในสามของหัวหน้าแก๊งแมกม่า !” ลีออนเบิกตากว้างและโพล่งออกมา

“หืม รู้ด้วยหรอเนี่ย นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง” ชายหนุ่มผมดำแกล้งน้อมตัวลงรับ อากัปกิริยากวนประสาทของเขา

ทำเอาอารมณ์ของลีออนเริ่มเดือด

“ข้ามีนามว่า 'รูดอล์ฟ' รูดอล์ฟ เดอะ กราเอน่า หมาป่าผู้เลื่องชื่อ และเป็นสมุนฝ่ายขวาของแก๊งแมกม่า”

รูดอล์ฟเอ่ยปากพูดด้วยรอยยิ้ม

“แกจะชื่ออะไรก็ช่างเหอะ ข้าไม่คิดจะจำอยู่แล้วล่ะ” ลีออนพูดพร้อมตั้งท่าสู้ ทั้งๆที่อาการเวียนหัวยังไม่หายดีนัก

“สมกับเป็นลีออนแห่งกลุ่มเดอะโฮปจริงๆ เลือดร้อนเหมือนอย่างที่บอสว่า ... อืม ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็คงจะเป็น

จูเลียต แล้วเจ้าก็เป็นเบลซสินะ” ชายหนุ่มผมดำพูดอย่างไม่แยแส เขายักไหล่ก่อนจะพูดต่อว่า

“ช่างเหอะ บทสนทนาควรจะจบได้แล้วล่ะนะ” รูดอล์ฟยกข้อมือซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกา

จูเลียตสะดุ้งเฮือก ระเบิดเวลา ! แย่แล้ว !!

หญิงสาวลุกขึ้นแล้วพุ่งไปยังผนังถ้ำเพื่อจะฝังระเบิดลงไปทันที ทว่ากรงเล็บหมาป่าสีดำทะมึนก็ขวางเธอเอาไว้

พร้อมกับฉวยสิ่งในมือไปอย่างรวดเร็ว จูเลียตเบิกตากว้าง “ท่าขโมย !

“เล่นระเบิดมันน่ากลัวนะ อย่าเลยดีกว่าน่า” รูดอล์ฟยักคิ้วแล้วยิ้มน้อยๆ

บ้าเอ๊ย ! ถ้ายังเสียเวลาอยู่อย่างนี้ ระเบิดข้างนอกก็จะ ... จูเลียตเผลอกลั้นหายใจ ไม่สิ ใจเย็นๆก่อนจูเลียต

เธอต้องทำได้ ! เราทำเวลาเร็วกว่ากำหนด เพราะฉะนั้นเรามีเวลาพอที่จะจัดการหมอนี่ !

“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกนะครับคุณผู้หญิง” หนุ่มหมาป่ากล่าวราวกับอ่านใจเธอได้ นัยน์ตาสีเลือดหมูฉายแววประหลาด

“แต่ก็อย่างว่าแหละ สามรุมหนึ่งมันไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่แฮะ เพราะงั้น ... ขอเล่นสกปรกหน่อยแล้วกันนะ”

ว่าแล้ว รูดอล์ฟก็ปาระเบิดสีแดงทิ้งไป ก่อนจะควักอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงและปาลงพื้นทันที !!

ฟู่ว !!!

ควันสีขาวฟุ้งกระจายออกมา เพียงครู่เดียวหมอกหนาสีขาวก็ปกคลุมห้องมืดทั้งหมด จูเลียตสบถออกมา “บ้าจริง !

“หึๆๆ...”  มีเพียงเสียงหัวเราะทุ้มดังกังวานในห้องใหญ่นี้ที่ตอบกลับมาเท่านั้น จูเลียตรู้สึกเหมือนตาบอด

เพราะเห็นเพียงสีขาว ตอนนี้ทั้งสามคนหลงกันอยู่ เบลซและลีออนที่หลุดจากอาการเวียนหัวต่างก็

ตั้งท่าขึ้นมาเพื่อรับมือทันที

ฉลัวะ !

จู่ๆเสียงดาบฟันเข้ากับเนื้อก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของลีออน “อ๊ากกก !!!

“ลีออน !

เบลซกับจูเลียตตะโกนขึ้นพร้อมกันขัดกับเสียงร้องของลีออน เลือดสีแดงฉานค่อยๆเปรอะพื้นห้องอันเย็นเยียบ

โดยที่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเจ้าของเลือดอยู่ไหน ทั้งเบลซและจูเลียตเองก็ร้อนใจเหมือนมีไฟกำลังเผาไหม้

หัวใจของพวกเขาอยู่ เบลซทนไม่ไหว ตอนนี้ข้อมือทั้งสองของชายหนุ่มมีเพลิงสีแสดลุกรอบ เขาตวัด

หมัดไปมั่วๆจนหมอกสีขาวหายไปบางส่วน ถึงแม้วิธีการนี้จะเสี่ยงต่อการทำให้มนุษย์หมาป่ารู้ที่อยู่

ของเขา แต่อย่างน้อยก็แค่โดนฟันไม่กี่ทีหรอก เบลซคิดเช่นนั้น

จูเลียตเองก็ไม่ได้อยู่นิ่ง เธอคลำหาแมชชีนสีแดงที่รูดอล์ฟปาทิ้งไปเพื่อนำไปติดกับพนัง เธอรู้สึกเหมือนงมเข็ม

ในมหาสมุทรเพราะหมอกขาวเต็มไปทั่วทำให้มองไม่ชัด บวกกับความที่แมชชีนอันเล็กกระจิดริด

ทำเอาหญิงสาวอยากจะร้องบ่นออกมาดังๆ ทว่าเหมือนฟ้าประทาน เพียงครู่เดียวจูเลียตก็หาแมชชีน

เจอจนได้ เธอรีบนำไปติดพนังถ้ำอย่างไม่รีรอ จากนั้นก็เดินถอยหลังเว้นระยะห่างออกมา

เวลาในระเบิดเริ่มนับถอยหลัง ...

4:59

เหลือเวลาแค่ห้านาทีงั้นหรอ ! จูเลียตแทบอ้าปากค้าง ห้านาทีเธอทำได้แค่วิ่งออกจากถ้ำได้เท่านั้นเองนะ !

ถ้าติดระเบิดแล้ว ให้ออกมาทันทีเลยนะครับ จู่ๆคำพูดของฟีแอลก็ผุดขึ้นมาในหัวทำเอาจูเลียตตัวชาวาบ

“เบลซ ลีออน กลับ !!” จูเลียตตะโกนขึ้นอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน และแน่นอนว่า

เพื่อนของเธอจะต้องออกไปด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบ ทำให้จูเลียตเกิดหวั่นใจ

“เบลซ ! ลีออน ! เธอเรียกอีกครั้ง

ตุ้บ !

ทันใดนั้นเอง ร่างของชายหนุ่มผมฟ้าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของหญิงสาว ลีออนล้มลงกับพื้นโดยที่กลางหลังมีบาดแผล

เหวอะหวะจากการถูกฟัน เลือดสีแดงไหลรินออกมาเยอะจนน่าตกใจ จูเลียตหน้าซีด ตัวแข็งทื่อ

“ข้าไม่เป็นไร ... หนีไปซะจูเลียต  เดี๋ยวข้าตามออกไป” ลีออนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง

“ไม่เป็นไรอะไรเล่า ! ละ ... เลือดเจ้าเยอะขนาดนี้ ...” จูเลียตพยายามปลอบตัวเองว่าเพื่อนชายตรงหน้าคงไม่เป็นไร

แต่น้ำเสียงของเธอกลับสั่นเครือ กลิ่นเลือดลอยเตะจมูกอย่างรุนแรงจนเธอไม่อาจละเลยมันได้

ลีออนทำได้แค่ยิ้มบางบนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับดวงตาสีอำพันสีกำลังหม่นหมอง

“ไปเถอะจูเลียต ข้าขอร้อง”

“ไม่ !” หญิงสาวปฏิเสธเสียงแข็ง เธอส่ายหน้าแรงจนผมยาวพลิ้วไหว ทันใดนั้นเอง ลีออนก็รู้สึกถึง

เงาดำที่ไหววูบด้านหลังของจูเลียต นัยน์ตาสีแสดเบิกขึ้น ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เงาดำก็พุ่งเข้ามาใกล้แล้ว

“จูเลียต ระวัง ...”

ฉึก ! 

4:30

เลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนใบหน้าของจูเลียตและลีออน ชุดสีเขียวของหญิงสาวชโลมเต็มไปด้วยเลือด ลีออนที่

นอนราบบนพื้นทำได้แต่แข็งทื่อ ไม่อาจช่วยอะไรได้ ... ใบหน้าของทั้งสองตกตะลึงราวกับไม่เชื่อเหตุการณ์ตรงหน้า

จูเลียตน้ำตาคลออย่างห้ามไม่อยู่ เธอพูดเสียงแผ่วเบาว่า “...เบลซ?”

ตรงหน้าของจูเลียตและลีออน คือชายหนุ่มร่างสูงผู้สวมผ้าพันคอที่แสนคุ้นเคย

จูเลียตและลีออนมองเพื่อนตรงหน้าที่กำลังหันหลังให้ด้วยความตกตะลึง

เลือดสีแดงคล้ำสาดกระเซ็นทั่วพื้นถ้ำอันเย็นเยียบ มนุษย์หมาป่ามองดูภาพด้านหน้าตัวเองอย่างพึงพอใจ

มุมปากขยับเหยียดยิ้ม ในมือถือดาบคาตะนะแน่นยิ่งกว่าเดิมและเสียบปลายดาบให้แทงทะลุอก

ลึกยิ่งขึ้น เบลซไม่ได้มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด เขาเพียงแค่กระอักเลือดและปล่อยยิ้มบางออกมา

ครั้นชายหนุ่มผมดำจะชักดาบออก แต่ทว่าเขาทำไม่ได้ เพราะดาบถูกยึดตรึงไว้ด้วยมือหนาของคนที่ถูกแทง

เบลซไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยที่มือทั้งสองจะมีเลือดไหลออกมาเพราะจับดาบไว้ ชายหนุ่มยิ้มอีกทีทั้งที่เลือดกบปาก

“ไม่ยอมให้หนีหรอกน่า”

จูเลียตพุ่งตัวไปด้านหน้า ในมือถือมีดสั้นสีเงินวาววับซึ่งออกมาจากกระเป๋าผ้าข้างกาย หญิงสาว

เงื้อมือขึ้นรวดเร็วเพื่อหวังจะทำร้ายคนตรงหน้า ทว่ามนุษย์หมาป่ารู้ตัวก่อนจึงเบี่ยงตัวหลบ

ไปด้านหลัง แต่ก็ไม่พ้นอยู่ดี

นั่นเป็นเหตุที่ให้ดวงตาสีเลือดหมูด้านขวาของเขาถูกบาดเป็นทางยาว

“อ๊ากกก !“เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของชายหนุ่มผมดำดังกังวานไปทั่วห้องกว้าง

4:00

แม้ว่าชายหนุ่มจะใช้มือทั้งสองกุมดวงตาข้างขวาไว้แต่ก็มิอาจห้ามเลือดได้ เลือดสีแดงฉานไหลออกมาตามร่องนิ้ว

เขากัดฟันกรอดเพื่อจะระงับความเจ็บปวด จังหวะที่มนุษย์หมาป่าโซเซไปด้านหลัง เบลซก็ทำการดึงดาบที่

คาอยู่กลางอกออกและขว้างทิ้ง เขาพยายามสู้ต่อแต่เหมือนร่างกายจะไม่ฟังคำสั่ง ทำให้ชายหนุ่มล้มลง

ลีออนยันตัวขึ้นมารับร่างของเพื่อนชายไว้ ทว่าแผลกลางหลังก็สำแดงฤทธิ์ออกมาทำให้เขาไม่อาจ

ลุกขึ้นไปสู้ได้เช่นกัน

จูเลียตมองสภาพเพื่อนทั้งสองด้วยนัยน์ตาสีน้ำพันหม่น ดวงตานั้นประดับหยาดน้ำตาใสที่ไหลรินลงข้างแก้มขาว

หญิงสาวกำมือแน่น แน่นจนเห็นเส้นเลือด เธอวิ่งไปหาชายหนุ่มผมดำและกระแทกเขาอย่างแรง

จนมนุษย์หมาป่ากระเด็นไปกระแทกกับแผงควบคุม เสียงปี๊บดังขึ้น ตามมาด้วยประกายไฟสีแสบตา

ทำให้รู้ว่าแผงควบคุมใช้ไม่ได้อีกต่อไป

รูดอล์ฟที่ถูกกระแทกกับแผงควบคุมกระอักเลือดออกมา ปากขยับพูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า

“แค้นนี้ ... ต้องชำระ ...”

พูดจบ ชายหนุ่มผมดำก็วิ่งออกไปยังทางออกทันที ปล่อยให้สมาชิกเดอะโฮปยืนนิ่งอยู่ท่ามกลาง

ห้องกว้างที่ไร้หมอกควัน

ตอนแรกจูเลียตคิดจะตามไป ทว่าเสียงทุ้มดึงเธอไว้ก่อน

“จูเลียต ...”

เสียงของเบลซทำให้หญิงสาวหยุดชะงักพร้อมกลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ เธอไม่อยากหันกลับไปมอง ... ไม่อยากมอง

ร่างเพื่อนของตัวเองที่ชโลมไปด้วยเลือด

เลือด... ที่ต้นเหตุมาจากเธอ

เสียงไอค่อกแค่กดังขึ้นจนจูเลียตต้องหันกลับไปมอง เธอเห็นดวงตาสีน้ำเงินของเบลซในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

มันทั้งแปลกและสวยงาม เจ้าตัวยิ้มละมุนทั้งที่เลือดท่วมปาก เขานอนราบกับพื้นโดยมีผ้าพันคอสี

ขาวเปรอะเลือดอยู่ข้างกาย

ด้านข้างของเบลซก็มีลีออนที่นั่งคุกเข่าอยู่ สภาพของเขาไม่ต่างกัน แผลกลางหลังยังคงมีเลือดไหลรินออกมา

เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งจากการถูกฟัน มุมปากมีเลือดแห้งกรังติดอยู่ ใบหน้าขาวซีดทว่านัยน์ตาสีแสดยังคง

ส่องประกายขณะมองเพื่อนชายที่นอนนิ่งด้านหน้า เมื่อเห็นเพื่อนทั้งสอง จูเลียตก็น้ำตาไหลยิ่งกว่าเดิม

“ทำไมเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ” เธอพูดเสียงสั่นเครือ ไหล่บางสั่นสะท้านจากการสะอื้น “ทำไมกัน...ทำไม...”

“อะไร เป็นยังไงหรอ ข้ายังไม่ตายซักหน่อย” เบลซพูดติดตลกพร้อมยิ้มกว้าง แต่เพื่อนทั้งสองกลับไม่ตลกเลยซักนิด

เมื่อได้เพียงความเงียบกลับมา เบลซก็ถอนหายใจแล้วเงยหน้ามองเพดาน ไม่สบตาเพื่อนของเขา

“อืม ข้าคงไม่รอดแล้วล่ะ”

“เจ้าอย่ามาพูดอะไรบ้าๆนะ” จูเลียตโต้กลับแทบทันที “เจ้าต้องรอดอยู่แล้วสิ เบลซ เจ้าต้องกลับไปกับพวกเรานะ

ข้าสัญญาว่า ต่อไปนี้ถ้าข้าจะทำอะไรข้าจะคิดให้ดีๆก่อน ข้าจะไม่พูดก่อนคิดอีกแล้ว ข้าสัญญา เบลซ ! ข้าสัญญา !!

คำสุดท้ายของจูเลียตดูเหมือนจะหนักแน่น แต่ก็เต็มไปด้วยความหม่นหมอง เธอน้ำตานองหน้าก่อนจะกล่าวต่อว่า

“กลับไปกับพวกเรานะ สัญญาสิ เบลซ...”

เบลซนิ่งเงียบไม่ตอบ เขารู้ดีว่า 'คำสัญญา' คือสิ่งที่เขาต้องรักษาไว้ให้ได้ ในเมื่อรักษาไว้ไม่ได้

แล้วเขาจะตกลงไปเพื่ออะไร

เมื่อเห็นเบลซนิ่งไม่ตอบ จูเลียตก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม

“ร้องไห้อีกแล้วนะ เจ้าน่ะ ...อึก” เบลซขยับปากที่แห้งผาก ตอนนี้เขากระอักเลือดออกมาอีกแล้ว

“ไหนว่าจะไม่ร้องไห้ให้อีกไง จำไม่ได้หรือ”

“ข้าจำได้” หญิงสาตอบน้ำเสียงสั่นเครือ เธอพยายามกลั้นน้ำตาไว้แต่ก็ห้ามไม่ได้

3:00

คราวนี้เบลซหันหน้าไปหาลีออนบ้าง นัยน์ตาสีน้ำเงินมองเพื่อนชายของตน

“สัญญากับข้าว่าเจ้าจะดูแลปกป้องจูเลียต”

“ข้าสัญญา” ลีออนตอบน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“สัญญากับข้าว่าเจ้าจะต้องดูแลชีวิตตัวเองให้ดีเช่นกัน”

“...ข้าสัญญา” ลีออนยังคงตอบกลับเช่นเดิม

“ดีแล้วล่ะ ขอบคุณเจ้ามาก” เบลซยิ้มดังปกติ ลีออนเม้มปากแน่นก่อนจะพูดติดตลกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

“พูดอย่างกับจะสั่งเสียก่อนตาย เจ้าไม่ได้จะตายสักหน่อย”

“อื้อ ข้าไม่ได้จะตาย ลีออน... ข้าแค่ต้องการการพักผ่อน” เบลซตอบนิ่งๆพร้อมกับระบายยิ้ม 

“แค่มันเป็นการพักผ่อนที่ยาวนานเหลือเกิน...”

น้ำตาใสพลันไหลลงจากนัยน์ตาสีแสดมืดหม่นอย่างเงียบๆ

“ข้าเป็นห่วงพวกเจ้าทั้งสองจริงๆ ชอบทำตัวเป็นเด็กๆ ถ้าข้าไม่อยู่แล้วพวกเจ้าจะดูแลตัวเองได้มั้ยนะ”

เบลซกล่าวขึ้นพร้อมเงยหน้ากลับเช่นเดิม น้ำเสียงที่พูดดูเลื่อนลอยคล้ายกับพูดกับตนเอง

“ข้าจำได้ว่าพวกเจ้าชอบไปก่อเรื่องซะวุ่นจนข้าปวดหัวแทบทุกวัน ตอนนี้ข้าคงไม่ต้องมาแก้ปัญหาให้พวกเจ้าแล้ว ...

ข้าควรจะดีใจรึเปล่านะ” ชายหนุ่มพูดไปเรื่อยเปื่อยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ถึงกระนั้นใบหน้าขาวซีดก็มีรอยยิ้มบาง

“ข้าไม่เคยเข้าใจคำพูดที่บอกว่า คนกำลังจะตายมักจะนึกถึงเรื่องเก่าๆ ข้าไม่เคยเข้าใจจริงๆจนถึงตอนนี้ ... ข้าเห็น

ข้ารู้สึก ข้านึกถึง ข้าหวนคืนถึงวันเวลาดีๆที่เรามีให้กัน... จูเลียต ลีออน ข้าดีใจเหลือเกิน

ที่ข้าได้มาเป็นเพื่อนกับพวกเจ้า”

เบลซยิ้มละมุนอีกคราก่อนที่นัยน์ตาสีน้ำเงินจะเริ่มหม่นลง 

2:00

“ลีออน ช่วยหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกงข้าที”

ชายหนุ่มผมฟ้าทำตามอย่างว่าง่าย เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋าของกางเกงสีแดง จากนั้นลีออนก็พบกุญแจสามดอก

ที่สลักเป็นลวดลายสวยงามและประณีต ดอกหนึ่งสีฟ้าใสคล้ายน้ำแข็ง ดอกหนึ่งสีเทาเข้ม ส่วนอีกดอกหนึ่ง

เป็นสีน้ำตาล ทั้งสามดอกต่างก็งดงามไม่แพ้กัน หัวกุญแจมีสัญลักษณ์ประหลาดประทับอยู่

“เก็บไว้กับตัว ... เป็นของที่ระลึกแล้วกันนะ” เบลซพูดทิ้งท้ายแค่นี้ก่อนเว้นระยะนิ่งงันไป ...

ลีออนและจูเลียตต่างมองหน้ากันและกัน ดวงตาสีแสดและสีอำพันช่างหม่นหมองเหลือเกิน ในมือเรียวบาง

เปื้อนเลือดของหญิงสาวกำกุญแจสีฟ้าแน่น ส่วนชายหนุ่มผมฟ้าก็กุมกุญแจสีน้ำตาลไว้เช่นกัน

“มีอีกหลายเรื่องที่ข้าอยากทำเหลือเกิน หนึ่งในนั้น ... คือร่วมผจญภัยไปพร้อมกับเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า”

ชายหนุ่มเริ่มพร่ำเพ้อ ราวกับว่าเวลาจะเหลือน้อยลงทุกที ... ทุกที ...

จูเลียตกับลีออนมองเบลซไม่วางตา ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกใจสั่นแบบนี้นะ

เขาเชื่อไม่ใช่หรอว่าเพื่อนคนนี้ต้องรอดออกไป

แล้วนี่พวกเขาทำอะไรกันอยู่นะ ...

ในหัวสมองของทั้งสองขาวโพลน สิ่งที่เขารับรู้คือพวกเขาแค่ต้องการฟังบทพูดของเพื่อนชายอย่างเงียบๆเท่านั้น ...

“ขอบคุณ...ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีให้กัน” เสียงลมหายใจของเบลซเริ่มขาดห้วงและโรยริน

ดวงตาสีน้ำเงินที่เคยเปล่งประกายกลับหมองลงเรื่อยๆคล้ายจะเป็นสีดำ

จูเลียตเอื้อมมือเรียวไปกุมมือเย็นของชายหนุ่มไว้ หยาดน้ำตาเม็ดไข่มุกหยดลง

บนพื้นห้องอย่างเงียบงันไม่ขาดสาย เสียงสะอื้นครางออกมาในลำคอ ดูเหมือนกำลังกลั้นเอาไว้

“ขอบคุณ...ทุกวันเวลา ทุกช่วงวินาทีที่เราได้ใช้ร่วมกัน” ลีออนเอื้อมมือเปรอะเลือดไปกุมมืออีกข้าง

ของชายหนุ่มเช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้นแล้วกดหมวกลงปกปิดใบหน้าเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกไว้ภายใต้หมวกสีคราม

“ข้าหวังเพียงแค่ว่า พวกเจ้าจะใช้ชีวิตช่วงที่เหลือเผื่อข้า ... เพราะข้าไม่มีโอกาสได้ใช้ช่วงเวลานั้นอีกต่อไป”

เสียงของเบลซแผ่วเบาลงเรื่อยๆตามการหายใจ ดวงตาของเขาปรือลงจนแทบปิด ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะพูดอะไรได้อีกต่อไป...

ทว่า จู่ๆจูเลียตก็กล่าวออกมาว่า

“ไว้เรา ... ไปผจญภัยกันอีกนะ” เธอยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นประดับน้ำตา และดูฝืนทนเหลือเกิน...

นัยน์ตาสีน้ำเงินประกายขึ้น จากนั้นเขาก็ยิ้มตอบ ยิ้มอย่างอ่อนละมุนที่สุด อบอุ่นที่สุด แต่ก็ดูเศร้าที่สุดเช่นกัน

ชายหนุ่มกลับใช้แรงเฮือกสุดท้ายพูดออกมาพร้อมหยาดน้ำตาว่า

“แน่นอน ข้าจะรอ ... รอวันที่เราจะได้ผจญภัยร่วมกัน อยู่บนสรวงสวรรค์”

รอยยิ้มสุดท้ายปรากฏบนใบหน้าคมคายก่อนจะดับหายไปพร้อมกับลมหายใจแผ่วเบาที่หยุดลง

จูเลียตและลีออนแทบใจสลายเมื่อเพื่อนชายในอ้อมอกได้แน่นิ่งไปแล้ว ทั้งสองต่างน้ำตานองหน้า

ไม่อาจปิดกั้นความรู้สึกได้อีกต่อไป

เสียงกรีดร้องคร่ำครวญดังขึ้น พร้อมกับเวลาที่นับถอยหลัง 

1:00

ร่างสีฟ้าและสีเขียววิ่งออกไปจากห้องควบคุมอย่างไม่คิดชีวิต

เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับแรงปะทะมหาศาลที่ตามมาไล่หลัง เพดานถ้ำถล่มลงมาทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายประกอบกับ

มีเศษหินหล่นไปทั่ว เพราะบาดแผลของลีออนทำให้ทั้งสองเคลื่อนที่ช้าไปมาก เมื่อวิ่งผ่านระเบิดสีฟ้ามาเพียงเฉียดฉิว

ระเบิดนั้นก็ระเบิดออกมาแทบจะในทันทีทำเอาสองคนล้มลงคลุกคลานไปตามพื้นเนื่องจากโดนแรงปะทะ

จูเลียตยันตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พยายามดึงเพื่อนชายที่เหลืออยู่วิ่งไปด้วยกันโดยไม่สนหัวที่แตกจนเลือดอาบหรือ

รอยถลอกสีแดงตามตัวเลยสักนิด

“เร็วเข้าลีออน ! เหลืออีกแค่นิดเดียว ถ้าผ่านระเบิดสีเหลืองไปได้ เราก็จะรอดไปด้วยกัน !

“...”

“ลีออน !

“ไม่” จู่ๆชายหนุ่มก็พูดแทรกขึ้น ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มแปลกๆ เป็นรอยยิ้มที่สวย แต่ก็ดูหมองหม่นเหลือเกิน

“มีเพียงคนเดียวที่จะรอดไปได้ต่างหากล่ะ จูเลียต”

จูเลียตเบิกตากว้าง ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากพูดอะไร ร่างบางของหญิงสาวก็ปลิวไปไกลด้วยน้ำโคลนไหลเชี่ยวที่ออกมา

จากฝ่ามือของลีออน เขาใช้แรงทั้งหมดดันสายน้ำนั้นให้พัดพาเพื่อนสาวไปไกลพพอที่จะรอดจากแรงระเบิดสุดท้าย

ในมืออีกข้างกำกุญแจสีน้ำตาลแน่น ก่อนจะล้มตัวลงนอนแน่นิ่งกับพื้น

จากนั้นระเบิดสีฟ้าก็ดังขึ้นพอๆกับระเบิดสีเหลืองพอดี

ประจวบเหมาะกับร่างจูเลียตที่กระเด็นออกมาจากถ้ำและไถลไปไกลจนไม่ได้รับแรงระเบิด

การซัดนั้นทำให้หญิงสาวสติพร่าเลือน ในมือยังคงกำกุญแจสีฟ้าแน่น ดวงตาสีอำพันยังคงมีรอยคราบน้ำตา

เธอสลบไสลไปนาน ก่อนที่จะตื่นมารับรู้ความจริงที่ว่า

เพื่อนทั้งสองของเธอ ได้จากเธอไปตลอดกาล

 

 

END Part 2 : Tears of the End

Edited by + Pangtor Girl +
  • Like 3
Link to comment
Share on other sites

ม่ายยยยยยยยยยยยย เบลซซซซ ลีออนนนนนนนนนนน ; A ;!!
 
ก่อนหน้านี้เดาๆว่าเบลซคงไม่รอด พออ่านถึงตอนเห็นรอยร้าวบนหน้าลีออน ในใจยังไม่อยากเชื่อ พออ่านจนจบเท่านั้นแหละ... OTL
 
นึกไม่ออกเลยว่าจูเลียตที่เสียเพื่อนรักทั้งสองคนไปจะเสียใจขนาดไหนกัน...
 
***
 

ตอนนี้แบบว่าแสดงความอับจนหนทางของทั้งสามได้อย่างดีมาก ละเอียดและตรงจุด ฉากต่อสู้ก็เข้าขั้นใช้ได้แล้ว

 

แต่คิดว่าช่วงฉากเศร้ายังดึงอารมณ์ออกมาได้ไม่สุด เพราะมีการบรรยายตอนหลังจากสิ้นใจแล้วแค่ไม่กี่ประโยค ซึ่งควรจะเป็นจุดที่อารมณ์มันพีคที่สุด แต่ช่วงพูดคุยก่อนตายนี่คลออารมณ์ได้โอเคแล้วแหละ

 

หลังจากนี้จะมีตอนต่อไปของแชปพิเศษนี้รึเปล่านะ? หรือไม่มีก็จะรอชมเนื้อเรื่องหลักต่อนะ~  :pika01:

Link to comment
Share on other sites

งืออออ ม่ายยยยย :pika12: :pika12: :pika06:

สงสารจูเลียต จู่ ๆ ก็ต้องมาเสียเพื่อนสนิทไปทีเดียวสองคน

 

ปล. แต่งได้ดีขึ้นมากเลยล่ะ

Link to comment
Share on other sites

ขอประกาศนิดหนึ่ง

เนื่องจากเว็บบอร์ดมีการเปลี่ยนแปลงระบบใหม่ทำให้การแก้ไขฟิคดำเนินได้ค่อนข้างยาก

ขอเลื่อนเวลาการแก้ไขเล็กน้อยนะคะ ;w; แต่ก็นะ บอกไปก็คงไม่มีใครสนใจเท่าไหร่หรอก lol

แล้วก็อีกอย่าง มีการปรับเปลี่ยนบทพูดตอนค่อนข้างท้ายของตอนที่ 2 นะคะ ใครอยากอ่านเชิญเลย

(แต่จะอ่านยากเล็กน้อยเพราะยังไม่ได้ปรับ)

ช่วงนี้ติดสอบปลายภาคด้วย บทสุดท้ายอาจจะมาช้าหน่อยนะคะ เป็นต้นเดือนหน้า

แต่รับประกันเลยว่าจะมาลงแน่นอน ! 

ขอบคุณค่ะ :')

  • Like 2
Link to comment
Share on other sites

  • 2 weeks later...

[บทส่งท้าย]

“รุ่นพี่จูเลียตไม่เป็นอะไรแน่ใช่ไหมครับ?” คำถามที่อ่อนโยนระคนเป็นห่วงถูกถามออกมาจากปาก

ของชายหนุ่มผมยาว

“ฮื่อ ฟีแอลไปพักเถอะ ขอบใจมากนะ” จูเลียตกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม แต่เหมือนแววตาไม่ได้ยิ้ม

ตามไปด้วย

หญิงสาวผมเขียวได้รับการรักษาอย่างดีในโปเกม่อนเซ็นเตอร์เป็นเวลา 1 วัน เมื่อเธอตื่นขึ้นมา

เธอก็พบกับรุ่นน้องผู้แสนดีคนนี้ที่กำลังนั่งเฝ้าเธออยู่ เมื่อเห็นตำรวจหนุ่มทำสีหน้าเคร่งเครียด

ลำบากใจแล้ว จูเลียตก็ไม่ได้ถามอะไร เพราะเธอเองก็รู้ความจริงอยู่แก่ใจอยู่แล้ว หญิงสาวเข็มแข็ง

พอทีจะไม่ปล่อยความรู้สึกออกมาต่อหน้าผู้อื่น เธอทำแค่เพียงพยักหน้าเบาๆแล้วขอให้ชายหนุ่ม

พาเธอกลับบ้านเท่านั้น ซึ่งรุ่นน้องเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร

 

และตอนนี้ฟีแอลและจูเลียตก็มาหยุดอยู่ที่บ้านพักเล็กๆแห่งหนึ่ง

 

ฟีแอลในชุดเครื่องแบบมองรุ่นพี่สาวอย่างชั่งใจ เมื่อเห็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลตรงหน้า

ยิ้มให้แล้วเขาก็ไม่สามารถซักถามอะไรไปมากกว่านี้ได้อีก ใจจริงแล้วฟีแอลอยากจะอยู่เป็นเพื่อน

กับจูเลียตมากกว่านี้ เพราะเขาไม่อยากให้เธอคิดฟุ้งซ่านมากเกินไปกับความจริงที่ว่า...

เบลซกับลีออนตายแล้ว

ไม่มีใครอยากจะเชื่อจริงๆ

เมื่อฟีแอลรู้ถึงความจริงนี้เขาเองก็ไม่อยากจะทำใจเชื่อได้เช่นกัน

ดวงตาสีวอลนัทจ้องมองแผ่นหลังของรุ่นพี่สาวที่เดินลับตาไปในบ้านพักก่อนจะหมุนตัวกลับไปตามทางเดิน

แสงแดดยามพลบค่ำกระทบกับใบหน้าเศร้าหมอง สายตาเลื่อนลอยย้อนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวาน

“รุ่นพี่จูเลียต !” ฟีแอลที่ยืนตั้งรับสถานการณ์อยู่ด้านนอกปรี่เข้าไปหาร่างของหญิงสาวทันที

เมื่อเห็นเธอถูกสายน้ำพัดออกมาจากถ้ำ ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นรุ่นพี่โชคดี

ไม่โดนแรงระเบิดเมื่อซักครู่

“รุ่นพี่ครับ รุ่นพี่ !” เขาคุกเข่าช้อนแผ่นหลังของจูเลียตอย่างแผ่วเบาและกวาดตามองประเมินสภาพภายนอกคร่าวๆ

หัวแตก มีรอยจากการต่อสู้ รอยถลอกค่อนข้างเยอะ ... มีอาการเสียเลือด

ฟีแอลค่อนข้างเครียดกับสภาพของหญิงสาวในตอนนี้ เขาทำการอุ้มร่างสลบไสลที่เปียกชุ่มของจูเลียตขึ้น

และสั่งการยกกองกลับทันที

“แล้วท่านเบลซกับท่านลีออนล่ะคะ?” เอเมลี่เบิกตาถามเมื่อได้รับคำสั่งกลับจากหัวหน้าโดยที่ไม่เห็นเงาของผู้ปฏิบัติภารกิจที่เหลืออีกสองคน

ฟีแอลเม้มริมฝีปากเน้นพร้อมเบือนหน้าไปทางอื่น จากสถานการณ์ตอนนี้ ... คงจะเป็นไปได้อย่างเดียวว่า ...

 

“ภารกิจเสร็จสิ้น สูญเสีย 2 คน”

...

แอ๊ด ... เสียงเปิดประตูดังขึ้นและปิดลงอย่างแผ่วเบา

ร่างอรชรเพรียวบางที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลสีขาวยืนนิ่งพิงประตูไม้อยู่ภายในห้องที่เงียบสงัด

นัยน์ตาสีอำพันที่เคยเปล่งประกายตอนนี้ดูไร้ซึ่งอารมณ์  เธอทอดสายตากวาดมองไปรอบห้อง

ความทรงจำในอดีตต่างหวนคืนมาเป็นฉากๆ

ภาพในอดีตที่เคยแต่งแต้มไปด้วยสีสันฟ้าเขียวแดง ... บัดนี้มีเพียงสีเขียวที่ยืนตระหง่านอยู่เท่านั้น

เพื่อนของเธอหายไปแล้ว ...

ทันใดนั้นหญิงสาวก็สะดุดเข้ากับรูปๆหนึ่งที่คว่ำอยู่กับพื้น ซึ่งตรงกับหน้าต่างที่เปิดค้างไว้พร้อมกับ

ผ้าม่านสีขาวที่พลิ้วไหวตามสายลม เธอเดินไปหารูปนั้นอย่างช้าๆ ราวกับว่าทุกย่างก้าวจะเต็มไปด้วย

ความทรงจำ

จูเลียตทรุดตัวลงนั่ง เอื้อมมือขาวบางไปหากรอบรูปสีน้ำตาลโดยไม่สนเศษกระจกที่แตกกระจาย

บนพื้นแม้แต่นิดเดียว

เธอพลิกรูปนั้นขึ้นมองพินิจพิจารณาด้วยแววตาเศร้าหมอง นิ้วเรียวดึงรูปนั้นออกมาจากกรอบก่อนจะ

จับมาแนบไว้ที่อก ใบหน้าสะสวยซบกับแขนอีกข้างบนโต๊ะเตี้ยทำให้ผมยาวสีเขียวลงมาปรกใบหน้า

... ไหล่เล็กๆเริ่มสั่นสะท้าน

“เจ็บจัง ...” เสียงอู้อี้พูดขึ้นอย่างแผ่วเบา มือที่ถือรูปภาพนั้นกำลังแนบไปที่อกด้านซ้าย

“อยากร้องไห้ แต่ข้าต้องไม่ร้อง ใช่ไหม ...” เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าประดับหมู่เมฆขาวผ่านบานหน้าต่าง

สายน้ำตาหลั่งไหลออกจากดวงตาอำพันที่เจ็บปวดจนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“เบลซ ลีออนนน !!! เสียงเพรียกนั้นดังก้องราวกับเรียกหาเพื่อนทั้งสองที่รออยู่บนสรวงสวรรค์...

...

ยามสายของอีกวัน เวลา 9.01 น.

ก๊อกๆ

เสียงเคาะประตูไม้ดังขึ้นจากการเคาะของชายหนุ่มผมยาว ฟีแอลในชุดนอกเครื่องแบบมอง

บานประตูอย่างใจจดใจจ่อ วันนี้เขาอุตส่าห์เบียดตัวออกจากตารางงานอันแสนแน่นเอียดเพื่อมาอยู่

เป็นเพื่อนรุ่นพี่สาวโดยเฉพาะ ในตอนแรกตำรวจหนุ่มอยากจะชวนเลขานุการสาวคนสนิทของเขามาด้วย

แต่ด้วยความที่งานเอกสารต่างๆนานาเยอะแทบทับหัวเขาเลยจำต้องปล่อยโอกาสชวนนี้ไปและ

เดินทางมาเยี่ยมหญิงสาวด้วยตัวคนเดียว

            ฟีแอลทราบดีว่าจูเลียตเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง ...อาจจะเข้มแข็งกว่าเขาด้วยซ้ำไป แต่ในเมื่อ

ดวงตาสีอำพันสวยคู่นั้นบ่งบอกได้ถึงความเศร้าหมองแล้ว เขาก็ไม่สามารถทำใจเชื่อได้ลงคอจริงๆว่า

หญิงสาวตรงหน้ารับจะความรู้สึกหนักอึ้งนี้ไว้ได้ภายในเวลาเพียงแค่วันเดียว เมื่อมีการสูญเสีย ต่อให้

เข้มแข็งแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ต้องล้มเป็นธรรมดา

... เขาเองก็เช่นกัน

ชายหนุ่มอดหวนนึกถึงความหลังของตนเองไม่ได้ ในวันที่พี่ชายเขาหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครทราบ ...

ไม่มีใครเห็นตัว... เหมือนหัวใจจะถูกกรีดซ้ำๆเพราะไม่สามารถทำอะไรได้... ได้แต่คอยพร่ำพรรณนา

ให้พี่ชายกลับมาหา

แต่เขาก็ไม่กลับมา

รู้ว่าตายไปแล้วยังดีกว่าหาตัวไม่เจอซะอีก ตายไปก็ยังรู้ว่าไปสู่ที่ๆดีแล้ว แต่นี่มันหาไม่เจอ ...ไม่รู้จะไปหาจากไหน

ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง ... พี่จะให้ผมคอยไปถึงเมื่อไหร่กัน? ฟีแอลคิดเช่นนั้น ในขณะที่เด็กหนุ่มวัย

16 ปีกำลังสับสนท่ามกลางสายตาเหยียดหยามประณามจากการที่ต้องเป็นหัวหน้าแทนพี่ชาย

ที่หายไป ก็มีมือๆหนึ่งยื่นเข้ามา

พวกข้าจะช่วยเจ้าเองเธอคนนั้นยิ้ม

พวกคุณเป็นใคร?เด็กหนุ่มเงยหน้าถาม

พวกเราคือความหวัง ... กลุ่มเดอะโฮป กลุ่มแห่งความหวังยังไงล่ะ!’

บานประตูที่ยังไม่เปิดออกตรงหน้าดึงตำรวจหนุ่มให้กลับเข้าสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง

2 ปีที่ผ่านมา ... ต้องขอบคุณพวกรุ่นพี่มากจริงๆนะครับ ... ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเศร้าออกมาเมื่อ

นึกถึงรุ่นพี่ทั้งสองที่จากไป สิ่งที่พวกเขาทิ้งไว้คือผู้หญิงคนหนึ่ง และเป็นผู้หญิงที่ทั้งสองรักมากกว่าใครๆ

ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องปกป้องเธอให้ดีที่สุด

ว่าแล้วฟีแอลก็ลงมือเคาะประตูเรียกรุ่นพี่สาวอีกครา ทว่าไม่มีเสียงตอบกลับ

ชายหนุ่มผมยาวชักใจคอไม่ดี ปกติรุ่นพี่เป็นคนเปิดประตูเร็วมาก บางทียังไม่ทันเคาะรอบที่สอง เธอก็

พุ่งพรวดมาเปิดให้ด้วยสีหน้าเริงร่าแล้ว โดยเฉพาะนี้ตอนที่เธออยู่คนเดียว ไม่น่ามีธุรการอะไรให้ทำ

หรือถ้าเธอไม่พร้อมที่จะเปิดก็ต้องส่งเสียงออกมาบอกแล้วนี่นา? ตำรวจหนุ่มเริ่มขมวดคิ้ว

ไม่ใช่ว่ารุ่นพี่คิดจะทำอะไรบ้าๆหรอกนะ ...

หัวใจของฟีแอลกระตุกวูบ เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ขาข้างขวายกขึ้นถีบประตูแรงๆ แค่ไม่กี่ครั้งมันก็พังออก

สัญชาตญาณตำรวจของเขากำลังบอกว่า ...

“รุ่นพี่ !

ภายในห้องกว้างนั้นว่างเปล่า ไร้วี่แววร่างหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีเขียว มีเพียงผ้าม่านสีขาวที่พลิ้ว

ไหวตามสายลมที่พัดจากนอกหน้าต่างมาเท่านั้น

...

ตึกๆๆ

“แฮ่ก ... แฮ่ก...”

เสียงหอบหายใจของหญิงสาวเป็นเสียงเดียวที่เกิดขึ้นในป่าอันเงียบสงัดนี้ เจ้าของเรือนผมและเสื้อผ้าโทนสีเขียว

แทบจะกลืนหายเข้าไปในพื้นหญ้าและพุ่มไม้หนา ต้นไม้สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านบดบังแสงพระอาทิตย์จนสิ้น

นานแค่ไหนแล้วนะที่ข้าวิ่งมา เกือบสามชั่วโมงแล้วมั้ง ... จูเลียตคิดในใจ พร้อมกับเอามือปาดเหงื่อ

เรี่ยวแรงทั้งหมดของหญิงสาวแทบมลายหายไป ขาเรียวทั้งสองต่างอ่อนล้า เธอค่อยๆย่างก้าวเดิน

เข้าไปหาต้นไม้แถวนั้น ก่อนจะทรุดตัวแล้วเอนกายพิงกับเปลือกไม้หนา

             เมื่อวานเธอร้องไห้จนหลับสนิท ตื่นมาอีกทีก็เกือบเช้าของอีกวัน เมื่อตื่นขึ้น จูเลียตก็มี

ความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นในหัวราวกับเสียงจิตใต้สำนึกกระซิบบอก

ในเมื่อไม่มีเพื่อนอีกสองคน แล้วข้าจะทำอะไรต่อไปล่ะ? .... ข้าควรจะทำยังไงต่อไปกันนะ? หรือว่า ... หรือว่า ...

... ข้าควรจะไปหาพวกเจ้าดีนะ ...

รู้ตัวอีกที สองขานั้นก็ก้าวออกมาจากบ้านหลังนั้นซะแล้ว

จุดมุ่งหมายของเธอมีอย่างเดียว ...

กลับบ้านเกิด

เธอออกตัววิ่ง วิ่ง วิ่ง และวิ่งโดยไม่หยุด พักหายใจบ้างเมื่อเหนื่อยล้า ทรุดนั่งข้างทางบ้างเมื่ออ่อนแรง

หญิงสาวไม่ได้แตะอาหารและน้ำเลยตั้งแต่เมื่อวาน มาวันนี้เธอก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลยแม้แต่น้อย 

เมื่อถึงป่าใหญ่ที่แสนคุ้นเคย พลังงานทั้งหมดก็ลดน้อยลงทุกทีจนเธอขยับตัวแทบไม่ได้ นั่นทำให้

หญิงสาวทิ้งตัวอยู่ที่โคนต้นไม้เช่นนี้

เสียงจังหวะหัวใจเริ่มเต้นลงช้าๆเพราะได้หยุดพัก ครู่หนึ่งตอนที่เริ่มหายเหนื่อย จูเลียตขยับแขน

คลายกระเป๋าผ้าข้างตัวออก ก่อนจะหยิบสามสิ่งที่ทั้งเนื้อตัวเธอมีอยู่แค่นี้ออกมา

รูปภาพหนึ่งใบ ... กุญแจสีฟ้าหนึ่งดอก ... จากนั้นมือเรียวของจูเลียตก็หยิบของแวววาวออกมาเช่นกัน ...

มันคือมีดสั้นสีเงิน

ดวงตาสีอำพันมองมีดสั้นในมืออย่างไร้ความรู้สึก ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองรูปภาพความทรงจำสุดท้ายบนตัก

“เบลซ ลีออน เจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างนี้รึเปล่า?” เมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนทั้งสองในรูปภาพแล้ว น้ำตาก็ไหลลง

อาบแก้มขาวอย่างห้ามไม่อยู่ เธอพูดคนเดียวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เจ้าอยากให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่องั้นหรือ ... ฮึก ...

มันเหมือนกับ ... เหมือนกับตายทั้งเป็นเลยนะ” หยดน้ำที่ปลายคางร่วงหล่นลงที่พื้นกระโปรงของเธอ

“ในเมื่อ... ข้าไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อแล้ว ... ให้ข้าไปอยู่เคียงข้างพวกเจ้าเถอะนะ”

แขนอ่อนล้าของจูเลียตยกขึ้น มือทั้งสองกุมมีดสั้นไว้แน่น หญิงสาวกลั้นใจอยู่นาน ก่อนจะค่อยๆคลายมือที่กำมีด

นั้นไว้ออกอย่างชั่งใจ ...  จากนั้นเธอก็ตัดสินใจแทงมันเข้าที่ท้องของเธออย่างไม่ลังเล !

มีดสั้นเข้าไปในท้องของหญิงสาวเกือบครึ่งเล่ม เลือดสีแดงฉานค่อยๆซึมออกมาจนเปรอะเสื้อสีเขียวของเธอไปทั่ว

ใบหน้าของจูเลียตขาวซีด ดวงตาสีอำพันหม่นหมองลง มันเจ็บจนเธอไม่อยากหายใจเพราะมันไปกระทบแผล

หญิงสาวปล่อยแขนทั้งสองไว้ข้างตัวอย่างอ่อนล้า ในมือกุมกุญแจสีฟ้าเอาไว้เบาๆ

จู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในความคิด

'ข้าหวังเพียงแค่ว่า พวกเจ้าจะใช้ชีวิตช่วงที่เหลือเผื่อข้า ... เพราะข้าไม่มีโอกาสได้ใช้ช่วงเวลานั้นอีกต่อไป'

เบลซ ขอโทษนะ ข้าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ...

'มีเพียงคนเดียวที่จะรอดไปได้ต่างหากล่ะ จูเลียต'

ลีออน เจ้าคิดถูกแล้วจริงๆน่ะหรือ ทั้งที่เจ้าแลกชีวิตของเจ้าเพื่อข้า แต่ข้ากลับ ...

จู่ๆความคิดในหัวของจูเลียตก็ตีกันยุ่งเหยิง เธอหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่าง

ที่พวกเจ้าให้ข้ารอดเพราะอะไรกันล่ะ

ต้องการให้ข้าใช้ชีวิตต่อไปงั้นหรือ?

แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าไม่ได้อยู่เคียงข้างข้าอีกแล้ว

ข้าตายซะดีกว่า

...

ไม่สิ

ทันใดนั้นจูเลียตก็นึกขึ้นมาได้ ถ้าเธออยากตายจริงๆล่ะก็ ทำไมเธอไม่ปาดคอ ไม่ก็กินยาตายไปเลยล่ะ?

จะมาแทงตัวเองที่ป่าบ้านเกิดแบบนี้เพื่ออะไรกัน หญิงสาวเริ่มสับสน แม้แต่จะแทงมีดลงไปยังแทงได้

ไม่สุดปลายด้าม เพราะอะไรกันล่ะ?

จูเลียตเริ่มนึกคิดก่อนจะยิ้มเยาะตัวเอง เธอรู้ความจริงอยู่แก่ใจแล้ว แต่แค่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ทำเหมือน

ไม่รู้เพราะต้องการปกปิดความรู้สึกผิดของตัวเอง ปิดกั้นความจริงอันแสนเห็นแก่ตัวที่ว่า ...

เธอยังไม่อยากตาย

... เลือกที่จะปิดกั้นความเจ็บปวดโดยการทำร้ายตัวเอง แต่สุดท้ายก็ทำไม่ลงเพราะความรักตัวกลัวตาย

สติของหญิงสาวเรือนลาง ความคิดสุดท้ายแล่นเข้ามาในหัวขณะที่เปลือกตาค่อยๆเลื่อนลงพร้อมกับหยาดน้ำตา

ข้ามันก็แค่ ... คนเห็นแก่ตัว ...

ร่างอรชรเข้าสู่ห้วงนิทราใต้ต้นไม้ใหญ่ หยาดน้ำตายังคงประดับอยู่ที่ใบหน้าอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ทันใดนั้นเอง ...

มีมือๆหนึ่งยื่นเข้ามาเช็ดน้ำตาให้กับเธอ

...

กลิ่นยาสมุนไพรฉุนๆปลุกให้จูเลียตตื่นขึ้น เธอค่อยๆลืมเปลือกตาอันแสนหนักอึ้งมองดูสภาพรอบตัว

เมื่อหันหน้าไปด้านขวาจะเห็นเพียงกำแพงสีน้ำตาลคลายกำแพงหินโล่งๆ ส่วนทางซ้ายเป็นม่านยาวสีขาวเก่าๆ

เหมือนปิดกั้นเธอออกจากภายนอก ประกอบกับกลิ่นยาสมุนไพรที่อบอวลทำให้สถานที่นี้ดูเหมือน

โรงพยาบาลโดยปริยาย

ความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่มาจากแผ่นหลังซึ่งหญิงสาวนอนราบอยู่เป็นกองฟางที่เหลืองหนานุ่ม บนตัวก็มี

ผ้าบางๆหยาบๆสีขาวคลุมตัวไว้คล้ายกับผ้าห่ม แต่คลุมตัวได้ไม่มิด จูเลียตทำการสำรวจตัวเอง

เสื้อผ้าของเธอถูกแทนที่ด้วย ชุดกระโปรงยาวสีเขียวออกทึมๆแทน เนื้อผ้าออกหยาบกระด้างแต่ก็

ใส่ได้ หญิงสาวค่อยๆลุกขึ้นนั่งบนกองฟาง แต่บาดแผลที่ท้องทำให้เธอขยับตัวได้ลำบากพลัน

หวนนึกถึงเหตุการณ์นั้น ในตอนที่เธอหยิบมีดขึ้นแทงตัวเอง ... แต่กลับไม่ตาย

นัยน์ตาสีอำพันประกายวูบหนึ่ง

นั่นสินะ ข้าไม่ตายจริงๆด้วย แถมยังโดนช่วยไว้อีก ... จูเลียตยิ้มเยาะตนเองอีกครา

เมื่อเธอขยับตัวจัดท่านั่งเสร็จก็สังเกตเห็นบางที่เคลื่อนไหวใกล้หน้าอกจึงเหลือบมอง ก็พบกับกุญแจ

สีฟ้าที่ถูกผูกเชือกบางๆแล้วคล้องคอเธอไว้ เหมือนกับว่ามีใครบางคนทำให้ใส่

ขณะที่กำลังงุนงงนั้นเอง ผ้าม่านสีขาวด้านซ้ายก็ค่อยๆขยับออก โผล่มาให้เห็นใบหน้าขาวนวลน่ารัก

ประดับดวงตาสีทับทิมกลมโต เด็กสาวตัวเล็กโผล่ออกมาจากม่านเพียงแค่ศีรษะ เมื่อเห็นหน้าของ

จูเลียต เธอก็ปิดม่านแล้วก็วิ่งออกไปพร้อมกับพูดเสียงเจื้อยแจ้วว่า พี่ชาย! พี่ชาย! พี่สาวคนนั้นฟื้นแล้ว !!’

ไม่นานนักหลังจากที่เสียงใสของเด็กสาวหายไป จูเลียตก็พบร่างเด็กหนุ่มจุปทอลที่เลื่อนผ้าม่านออกอย่างช้าๆ

เด็กหนุ่มตัวไม่สูงมาก อายุประมาณ 14 ปี เจ้าของเรือนผมสีเขียวเข้มมัดหางม้ามองหญิงสาวด้วยดวงตาสีทับทิม

เหมือนเด็กสาวคนนั้น แววตาใสซื่อและเต็มไปด้วยความสัตย์ทำให้จูเลียตอดไม่ได้ที่จะมองเขาตอบกลับด้วยนัยน์ตา

สีอำพันของเธอ ในมือของเด็กหนุ่มมีถาดไม้ซึ่งถูกวางต่อด้วยกะลาใบพอดีมือกับขวดแก้วหลากหลายสี

เขามองจูเลียตแล้วยิ้มก่อนจะวางถาดลงข้างกองฟาง

ไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นระหว่างทั้งสอง เด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยื่นมือเล็กๆเข้ามาจับแขนของ

หญิงสาวและทำการเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ จูเลียตจำได้ว่าตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่เธอไม่ได้เปลี่ยนผ้าพันแผล หลังจากทำ

ภารกิจเสร็จทั้งเนื้อตัวก็มีแต่แผลทว่าเธอก็ไม่ได้สนใจ ดูจากผ้าพันแผลสะอาดใหม่เอี่ยมก็คงจะรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้

คงจะเปลี่ยนให้ไปรอบนึงแล้ว

หลังจากที่ทำการเปลี่ยนผ้าพันแผลทั้งแขนขาและศีรษะเสร็จ จูเลียตก็เอ่ยขึ้นเบาๆว่า

“ขอบคุณ”

เด็กหนุ่มเอียงคอมองหญิงตรงหน้าอย่างใสซื่อ “ไม่เป็นไรขอรับ”

“เจ้าชื่ออะไร” จูเลียตถามพร้อมกับมองหน้าเด็กชายอย่างใคร่รู้ เธอไม่คิดจะถามคำถามที่เค้นความจริงจำพวก

ที่นี่ที่ไหนหรือ เจ้าเป็นใครซักเท่าไหร่ เธอรู้สึกเอ็นดูเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์คนนี้อย่างไม่รู้สาเหตุ

“กระผมไม่มีชื่อหรอกขอรับ” เด็กหนุ่มตอบตามจริง “แต่ส่วนใหญ่น้องๆของกระผมจะเรียกผมว่าพี่ชายใหญ่”

“พี่ชายใหญ่? เจ้าเป็นพี่ชายคนเดียวงั้นหรอ” จูเลียตมองเด็กหนุ่มวัย 14 ปีตรงหน้า นี่คือพี่ชายคนที่ใหญ่ที่สุด?

“ขอรับ ผมเป็นพี่โตที่สุดแล้ว”

“แล้วเจ้ามีน้องกี่คน”

“มีจริงๆก็คนเดียวขอรับ” เจ้าตัวตอบอย่างเซ่อๆ

“แล้วถ้ามีเล่นๆล่ะ?” จูเลียตยิ้มกับคำตอบของเด็กหนุ่ม และถามกลับด้วยคำถามขี้เล่นของเธอ

แต่ทว่าเด็กหนุ่มกลับนับนิ้วอย่างจริงจัง ทำเอาจูเลียตเริ่มขมวดคิ้ว

“ก็ประมาณเกือบห้าสิบคนได้ขอรับ”

“ห้าสิบคน?” หญิงสาวเบิกตา “เจ้ามีน้องเยอะขนาดนี้เลยหรือ แล้วเจ้าดูแลพวกเขายังไง?”

“จริงๆแล้วผมมีน้องสาวแค่คนเดียวคือเด็กผู้หญิงที่มาหาท่านตอนแรก ส่วนที่เหลือเป็นเด็กๆที่อาศัยอยู่ในป่าแล้ว

ไม่มีทีไป ผมเลยรับเลี้ยงพวกเขาขอรับ”

จูเลียตมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เด็กหนุ่มคนนี้มีวัยเพียง 14 ปี แต่กลับสามารถเลี้ยงดูน้องๆได้

ถึง 50 คนเชียวหรือ? หญิงสาวยิ้มออกมาทั้งที่นัยน์ตาสีอำพันยังประหลาดใจ

เมื่อไม่มีใครพูดต่อ เด็กหนุ่มก็หยิบถ้วยกะลาขึ้นมา ในนั้นบรรจุเบอร์รี่สีสวยหลากหลายน่ารับประทาน

“ขออภัยที่กระผมหาได้เพียงเท่านี้ ยังไม่ถึงเวลาข้าวเย็น กระผมไม่สามารถทำอาหารได้จริงๆ”

“ขอบคุณนะ” จูเลียตค่อยๆเอื้อมมือหยิบเบอร์รี่กินอย่างหิวโหย แต่เมื่อเห็นเด็กชายตรงหน้าก็ทำใจกินไม่ลงจริงๆ

“เจ้าทานอะไรมาหรือยัง ทานด้วยกันสิ”

“ไม่เป็นไรขอรับ กระผมสามารถหาใหม่ได้” เด็กชายปฏิเสธ “อีกอย่างผมต้องรอให้น้องๆผมกินก่อน แล้วผมถึง

จะกินได้ นี่เป็นสิ่งที่พี่ชายควรทำ พี่สาวของกระผมสอนเอาไว้”

“พี่สาว?”

เด็กหนุ่มพยักหน้า “พี่สาวกระผมออกจากป่าไปนานแล้ว เป็นจูไคน์เหมือนกับท่าน พี่บอกว่าพี่จะออกไปทำตามความฝัน”

ดวงตาสีทับทิมของเด็กหนุ่มฉายแววซื่อๆ “พี่บอกว่าฝากให้กระผมดูแลน้อง”

จูเลียตหยุดทานเบอร์รี่ในมือ ก่อนจะมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาลึกซึ้ง ดูอบอุ่น แต่ก็เหมือนจะมีน้ำตา

“นี่ ข้าขอถามอะไรหน่อยสิเด็กน้อย เจ้ามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรหรือ?”

“เพื่อปกป้องดูแลน้องขอรับ” เด็กหนุ่มตอบอย่างแน่วแน่

“แล้วถ้าเกิดว่า น้องๆของเจ้าตายขึ้นมาเพื่อให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป เจ้าจะอยู่ได้ไหม?” จูเลียตถามน้ำเสียงสั่น

เด็กหนุ่มนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า

“ทำไมล่ะ ในเมื่อเจ้าสูญเสียเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ไปแล้วนี่”

“กระผมเชื่อว่า การที่น้องเสียสละ นั่นหมายความว่าพวกเขาอยากให้กระผมมีชีวิตอยู่ต่อไปและ

เหตุผลที่จะทำให้กระผมอยู่ต่อได้ คือ จิตวิญญาณของน้องๆ” เด็กหนุ่มนิ่งไป ก่อนจะพูดต่อ

“การที่น้องๆเอาชีวิตมาแลกเพื่อให้กระผมอยู่ต่อ กระผมก็ต้องอยู่ต่อไป จะไม่ยอมให้ชีวิตของน้องๆ

สูญเปล่าเป็นอันขาดขอรับ”

'พวกเจ้าจะใช้ชีวิตช่วงที่เหลือเผื่อข้า ... เพราะข้าไม่มีโอกาสได้ใช้ช่วงเวลานั้นอีกต่อไป'

เมื่อเด็กหนุ่มพูดจบ จูเลียตก็กำกุญแจอย่างไม่รู้ตัว เธอกำมันไว้แน่นและแนบมันกับอกด้านซ้าย

น้ำตาที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนพลันไหลรินลงมามากมายจนเด็กหนุ่มตกใจ

“ท่าน ... เป็นอะไรไปขอรับ !?”

จูเลียตพยายามกลั้นน้ำตา แต่ก็กลั้นไว้ไม่อยู่ ได้แต่เงยหน้ามองเด็กชายตรงหน้าทั้งน้ำตา เธอสะอื้นและพูดว่า

“ข้าเจ็บเหลือเกิน ...”

“ท่านเจ็บแผลหรือขอรับ?” เด็กหนุ่มเอียงคอถามอย่างซื่อๆ ป่านนี้แล้วไม่น่าจะเจ็บจนร้องไห้นี่นา?

จูเลียตยิ้มแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็ทุบอกซ้ายของตัวเองเบาๆ

“ข้าเจ็บตรงนี้ เด็กน้อย ข้าเจ็บ ... เจ็บหัวใจเหลือเกิน...”

เด็กหนุ่มนิ่งอึ้งไป ไม่รู้ว่าจะทำยังไง เพราะเขาก็ไม่รู้จริงๆว่าเจ็บหัวใจคืออะไร แต่เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าร้องไห้แล้ว

เขาก็ค่อยๆคุกเข่าขึ้น เอื้อมแขนเรียวๆไปหาจูเลียต จากนั้นก็โอบกอดหญิงสาวเหมือนพี่ชายกำลังปลอบน้อง

จูเลียตเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งบ้าง นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้าง แต่น้ำตาก็ยังไม่ยอมหยุด เด็กชายเกยคางเข้าที่ไหล่ของหญิงสาว

พร้อมกับพูดอย่างใสซื่อ แต่ก็มั่นคงแน่วแน่ว่า

“ผมไม่รู้หรอกขอรับ ว่าท่านร้องไห้เพราะอะไร แต่เวลาน้องๆร้องไห้ ผมจะทำแบบนี้”

เมื่อจูเลียตได้ยินดังนั้นน้ำตาก็ไหลมากกว่าเดิมก่อนจะกอดเด็กชายตอบพร้อมปล่อยโฮ เธอกอดเด็กชายไว้แน่น

เหมือนต้องการที่พึ่ง แม้เธอจะรู้สึกเจ็บ แต่ก็สามารถรู้สึกอุ่นๆได้ที่อก ...

...

ผมสีเขียวใบไม้ที่ยาวถึงกลางหลังพลิ้วอ่อนๆตามแรงลม เจ้าของชุดกิโมโนสีเขียวประยุกต์ดูแปลกตา

แต่ก็สง่างามยินตระหง่านอยู่ริมหน้าผาเขียวชอุ่มโดยไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย

ดวงตาสีอำพันสว่างไสวทอดมองไปยังท้องฟ้าด้านหน้าแลดูเหม่อลอย

“ท่านหญิงขอรับ ได้เวลาแล้วขอรับ” เด็กหนุ่มในชุดกิโมโนชายด้านหลังส่งเสียงเรียกด้วยความนอบน้อม

ดวงตาสีทับทิมเปล่งประกายเห็นได้ถึงความซื่อสัตย์

'อืม' หญิงสาวตอบกลับ ทว่ายังไม่หันกลับมา

ตอนนี้เธอได้เปลี่ยนไปแล้ว

สายลมโชยอ่อนทำให้ผมยาวโบกสะบัด ใบไม้สีน้ำตาลร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน

เธอคนนั้นในอดีตได้ตายจากไปแล้ว

หญิงสาวคนนั้นค่อยๆหันหลังกลับมา นัยน์ตาสีอำพันควบคู่ขอบตาสีแดงนั้นเป็นดูเอกลักษณ์

ดูหม่นหมอง แต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง

เหลือเพียงแต่ ...

ร่างอรชรนั้นหันหลังให้กับศิลาหลุมศพทั้งสอง กลีบดอกไม้รอบๆขยับปลิวไหว 

“ไปกันเถอะ โรมิโอ”

หญิงสาวเอ่ยก่อนจะย่างก้าวเดินด้วยท่วงท่าสง่างามราวกับว่าทุกสิ่งย่อมต้องสยบใต้เท้าของเธอ

ริมฝีบางบางขยับยิ้ม นัยน์ตาสีอำพันเปล่งประกายทอดมองไปด้านหน้า

 

จูเลียต นายหญิงแห่งเหล่าคิโมริทั้งปวง

 

The END [ see you next Chapter ]

Edited by + Pangtor Girl +
  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

ยิ่งอ่านยิ่งคิดถึงเบลซกับลีออน คนเข้มแข็งขนาดจูเลียตคงต้องเหงามากแน่ๆ...

นี่สินะ บทที่เชื่อมต่อไปยังส่วนที่เบรเซียสพบกับจูเลียต โรมิโอกับจูเลียตงั้นเหรอ...มีนัยยะอะไรอยู่รึเปล่านะ

ยังสงสัยอยู่ว่ากุญแจที่จูเลียตได้มาจะเอาไว้ไขอะไรรึเปล่า:pika04:

แต่ชอบโรมิโอจังแฮะ ดูเป็นพระเอกมากๆเลยล่ะ

จะรอชมผลงานต่อไปของแก้มนะครับ~ :pika01:

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

Talk with Writer

tumblr_nvj1bmZogn1uwdc3ko1_500.gif

Hello Everyone ! สวัสดีค่ะทุกคน : )

ก็จบกันไปแล้วนะคะสำหรับตอนพิเศษตอนแรก 'The Hope ความหวังสีดำ'

ซึ่งตอนนี้ก็เป็นอีกตอนนึงเลยที่อยากจะนำเสนอมากๆ

โดยในตอนนี้เป็นตอนรีไรท์ หากใครสนใจอยากอ่านต้นฉบับเดิมได้ที่นี่เลย V

https://www.pkbasic.com/topic/3004-gijinka-pokemon-the-gang-แก๊งโปเกม่อนตัวป่วน-บทพิเศษ/?page=3

 ปัจจุบันมีการแก้ไขตัวอักษรทั้งสามช่วงให้อ่านง่ายขึ้นแล้วนะคะ

+ มีบางช่วงบางตอนที่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย สามารถอ่านใหม่ได้เลย (ถ้าขยัน?)

สุดท้ายนี้

ขอบคุณพี่บลูวินด์และพี่ชายที่คอยเม้นให้เสมอนะคะ

แล้วก็ขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่านที่เข้ามาในกระทู้เล็กๆนี้ หวังว่าจะได้อ่านกัน

แล้วก็ขอขอบคุณบอร์ดแห่งนี้ที่ให้พื้นที่ในการลงนิยาย ถ้าไม่มีที่นี่ก็ไม่รู้จะลงที่ไหนแล้วล่ะนะ

ขอขอบคุณจริงๆค่ะ 

ไว้พบกันใหม่กับนิยายตอนหน้าถ้ามีโอกาสลง :3

See Ya !

gamza 3/10/15

# นี่คือสภาพตอนรอคนเม้น (?)

tumblr_nttnjhX4E11rjln3bo1_400.gif

Edited by + Pangtor Girl +
  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

  • 1 year later...

§ Special Chapter §

“บทสัมภาษณ์พิเศษ ตอนที่ 1”

Spoiler

 

ฮาย กลับมาเจอกันอีกแล้วนะคะ หลังห่างหาย (ไปเป็นปี)

ตอนนี้ก็ขึ้นม.ปลายแล้วค่ะ แต่ช่วงประจวบเหมาะ ปิดเทอมพอดี เลยกลับมาเขียนเล่นๆ

นี่เป็นบทพิเศษที่ไม่มีอะไรมาก อ่านเอาขำๆ สบายๆ เนอะ

หวังว่าผู้อ่านจะได้รู้จักกับตัวละครนั้นมากขึ้นนะ เพราะเนื้อเรื่องหลักพูดตามตรง

คงยากที่จะกลับไปแต่งต่อ ก็อ่านบทพิเศษไปก่อนละกัน

ใครอยากรีเควสคำถามอะไร รีเควสได้เลยนะคะ รับฟังด้วยความเต็มใจ : )

Enjoy reading ...

 

# # # ฉาก 1 # # #

Spoiler

 

คนเขียน : สวัสดีค่ะ นี่คือช่วงบทสัมภาษณ์พิเศษนะคะ ทางเราจะรวบรวมคำถามที่น่าสนใจ

มาถามตัวละครรับเชิญจากเรื่อง PTG กันค่ะ มาเริ่มที่ทีมแรกกันเลยดีกว่า

เชิญพบกับทีม Wait Me ค่ะ !!

คนเขียน : แนะนำตัวกันหน่อย

เบรเซียส : หัวหน้าทีม Wait Me เบรเซียส เดอะ บาชาโม่ครับ ...

มัตสึ : สวัสดีคร้าบ มัตสึ เดอะ มัสสึกุมะ เจ้าเก่าครับ !

เอเนะ : เมี้ยว ! เอเนะ เดอะ เอเนโคโรโร่ รายงานตัวค่า !

โซเฟีย : โซเฟีย เดอะ เซอร์ไนท์ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ

ฟีอาโร่ : ... Zzz

ลูมิเน่ : สวัสดีค่ะ ลูมิเน่ เดอะ ลันตัน ฝากตัวด้วยนะคะ

คนเขียน : รู้สึกเหมือนข้ามใครบ้างคนไปนะ?

ลูมิเน่ : (สะกิดฟีอาโร่) ท่านฟีอาโร่คะ

ฟีอาโร่ : ! (ตื่น(?)) ...?

ลูมิเน่ : วันนี้เรามาสัมภาษณ์ไงคะ แนะนำตัวหน่อยสิคะ

ฟีอาโร่ : ....... ---- Zzz

คนเขียน : ต้องการล่ามแปลด่วน ขอความเห็นใจให้ผู้อ่านด้วย

ลูมิเน่ : เขาบอกว่า “อ่า สวัสดีครับ ฟีอาโร่ เดอะ ฟลายก้อนครับ---”

เหมือนยังพูดไม่จบนะคะ แต่เขาเผลอหลับไปแล้วอ่ะค่ะ ...

คนเขียน : ....

 

# # # ฉาก 2 # # #

Spoiler

 

คนเขียน : ขอถามความรู้สึกแรกที่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนหน่อย

เบรเซียส : ก็แปลกดี (หน้านิ่ง)

คนเขียน : ... เหมือนไม่ค่อยจะตกใจเท่าไหร่เลยนะ

มัตสึ : ก็นะ พวกเราผ่านอะไรมามากจนด้านชาไปแล้วล่ะมั้ง เหอๆ

เอเนะ : เอเนะรู้สึกแปลกมาก ! เพราะว่าเอเนะไม่มีขาหน้าแล้ว แต่ก็ยังดีที่ยังมีหูกับหางอยู่ล่ะ !

โซเฟีย : ข้าก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน เหมือนอ้วนขึ้น

มัตสึ : ป้าก็อ้วนมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ (พลิกตัวหลบไซโครซิเนซิสอย่างหวุดหวิด)

ลูมิเน่ : ปกติข้าไม่มีขาหรอกค่ะ มีแต่หาง มันก็เลย ... ฮ่ะๆ

ฟีอาโร่ : .... Zzz

คนเขียน : ใครก็ได้ เอาฟีอาโร่ไปเก็บที ท่าทางจะหลับอีกยาว

 

# # # ฉาก 3 # # #

Spoiler

 

คนเขียน : ต่อไปเป็นการสัมภาษณ์แบบรายบุคคลนะคะ

คนเขียน : เบรเซียสคะ รู้สึกยังไงบ้างที่ได้เป็นหัวหน้าทีม Wait Me ?

เบรเซียส : ก็ปวดหัวดี (หน้านิ่ง)

คนเขียน : ...

คนเขียน : ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้วหรอ

เบรเซียส : ก็ ... ถึงจะวุ่นวาย ทะเลาะกันบ้าง แต่โดยรวมก็ยังดีอยู่

คนเขียน : อืมมม จะฝากข้อความถึงลูกทีมหน่อยมั้ย

เบรเซียส : (นิ่งไป)

เบรเซียส : ข้าดีใจที่พวกเราได้มาเจอกัน และข้าคิดว่ามันคงจะดีถ้าในเราอยู่ด้วยกันอย่างนี้

ตลอดไป

เบรเซียส : ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ข้าขอสัญญา ว่าข้าจะดูแลพวกเจ้าให้ดีที่สุดในฐานะหัวหน้า

และขอให้พวกเจ้าเป็นลูกทีมที่ดีอย่างนี้ต่อไป (ยิ้ม)

ลูกทีม : บอสสสสส !!! (กรีดร้องในใจพร้อมทำหน้าซาบซึ้งอยู่หลังฉาก)

[รายการถูกตัดขาดไปพักหนึ่ง เนื่องจากคนเขียนกำเดาไหลเป็นลมไปโดยไม่ทราบสาเหตุ (?) ...]

 

# # # ฉาก 4 # # #

Spoiler

 

[หลังจากเชิญเบรเซียสไปอยู่หลังฉาก และคนเขียนเอาทิชชู่ยัดจมูกเสร็จ]

คนเขียน : อยากรู้ First Impression ของมัตสึต่อเบรเซียสหน่อย

มัตสึ : ไม่อยากจะโม้ ข้านี่แหล่ะอยู่กับบอสมานานที่สุดจนรู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว (ยืดอก)

คนเขียน : เห จริงหรอ

มัตสึ : แน่นอน ! ขอรับประกันได้ว่าไม่มีใครได้เห็นมุมเก่าๆของบอสมาก่อนแน่ๆ บอสน่ะ

ขี้เก๊กแต่ไหนแต่ไร ชอบทำเป็นหน้านิ่งปากแข็ง แต่จริงๆชอบใจอ่อนอยู่เรื่อย

(กระซิบ) ไม่อยากจะโม้ต่อหรอกนะ (เก๊กท่า) แต่ไหนๆก็ไหนๆละ จะพูดต่อหน่อยละกัน

ข้าเป็นคนเดียวที่อยู่กับบอสมาตั้งแต่ยังเป็นอาจาโมะเลยล่ะ ! คนอื่นอยู่ไม่ทันนะจะบอกให้

คนเขียน : โอ้ !

มัตสึ : ย้อนกลับไปนานนนนมาก ! บอสหยิ่งมากตอนนั้น เจ้าของทำอะไรให้ก็เมินตลอด

ทั้งๆที่ยังเป็นแค่ลูกเจี๊ยบที่ตัวเล็กกว่าข้าแท้ๆ อีกอย่าง บอสชอบจิกมากเลยเวลาไม่พอใจ

ข้าโดนจิกตลอดเลย (ทำหน้าปวดร้าว) First Impression ของข้าต่อบอสมันเลยออกแนว

หมั่นไส้นิดๆอ่ะนะ

คนเขียน : (กลั้นขำ)

มัตสึ : แล้วก็ยังมีอีกเรื่องนึง ! ตอนนั้นข้าเผลอไปเห็นตอนเจ้าของพาบอสอาบน้ำแหล่ะ

รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น

คนเขียน : เดี๋ยวนะมัตสึ นี่มันไม่เกี่ยวกับ First Impression ละ นี่มันเผากันชัดๆ

มัตสึ : นั่นแหล่ะๆ ! ก็ข้าอยากบอกนี่นา ตอนนั้นนะ พอเจ้าของอุ้มบอสขึ้นจะหย่อนลง

อ่างน้ำเท่านั้นล่ะ บอสกระโดดขึ้นจากน้ำอย่างกับโดนไฟช็อตแน่ะ ! แถมยังโวยวายมากๆเลยด้วย !!

คนเขียน : (เหลือบไปเห็นเงารางๆด้านหลังที่กำลังวิ่งเข้ามา) เอ่อ มัตสึ ...

มัตสึ : ข้ารู้ๆ ! บอสกำลังจะมาฆ่าข้าในอีก 10 วินาทีแน่ แต่ข้ายังอยากเล่าต่อนี่ !

เรื่องนี้เด็ดสุดเลยนะ ตอนที่บอสเขาแพ้ ... อะจ๊ากกกกก !!! (กรีดร้องโหยหวน หลังจากโดนฝ่ามือ

ปริศนาจับหัวทางด้านหลัง)

เบรเซียส : มัตสึ ถ้าเจ้ากล้าพูดต่อแม้แต่คำเดียวล่ะก็ ข้าจะหักคอเจ้าแล้วเอาโยนลงอ่างน้ำซะ

[หลังจากนั้นมัตสึก็ไม่พูดอะไรต่ออีก เพราะเกรงว่าหัวของตัวเองจะถูกบิดไป 180 องศา...]

 

# # # ฉาก 5 # # #

Spoiler

 

[หลังจากเอามัตสึไปเก็บหลังฉาก]

คนเขียน : ได้ข่าวว่ารู้จักกับมัตสึเป็นคนแรก ?  

เบรเซียส : อืม (พยักหน้า)

คนเขียน : ตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้าง

เบรเซียส : เป็นหมาที่น่ารำคาญที่สุดในโลก (มัตสึ : ข้าได้ยินนะบอส !)

คนเขียน : เอ่อะ ....

เบรเซียส : นอกจากอยู่นิ่งไม่เป็นแล้วยังชอบหลีสาว (มัตสึ : อย่างน้อยข้าก็รู้จักเรื่องผู้หญิงดีกว่าท่าน !!)

คนเขียน : ก็จริง

เบรเซียส : เป็นตัวป่วนประจำกลุ่มเลยก็ว่าได้ (มัตสึ : อะไรนะ !!!)

คนเขียน : แล้วเรื่องที่ว่ากลัวน้ำตอนเด็กๆนี่จริงรึเปล่า

เบรเซียส : … (หันไปหามัตสึพร้อมรังสีอำมหิต)

[ขอตัดรายการเพียงเท่านี้ เพราะเกิดสงครามขึ้นเล็กน้อยขณะดำเนินรายการ]

 

 

*** เพิ่มเติม ***

Spoiler

 

คนเขียนได้ทราบเพิ่มเติมจากพรายกระซิบ สมมติว่าชื่อโซเฟียละกัน บอกมาว่าจริงๆ

เบรเซียสกับมัตสึ ถือว่าเป็นคู่ที่สนิทกันพอสมควรเพราะอยู่กันมานาน

นอกจากนี้มัตสึยังเป็นคนที่ยั่วโมโหเบรเซียสได้ง่ายที่สุด การเกิดสงครามย่อมเป็นเรื่อง

ปกติ แท้จริงแล้วสองคนนี้เขารักกันดี เบรเซียสเองก็เป็นไอดอลของมัตสึ ส่วนมัตสึเอง

ก็เหมือนน้องชายคนนึงของเบรเซียส แต่เนื่องจากทั้งคู่มีอาการอย่างนึงที่เรียกว่าซึนเดเระ

จึงไม่แสดงออกถึงความรักกันซักเท่าไหร่

 

# # # ช่วงรีเควส # # #

Spoiler

 

คนเขียน : มีคำถามส่งมาจากคนอื่นนะคะ ขอเชิญคุณฟีอาโร่ และผู้ช่วย (?) ค่ะ

คนเขียน : มีคนถามมาว่า ทำไมฟีอาโร่ถึงไม่ค่อยพูด

ฟีอาโร่ : ………….

ลูมิเน่ : อืม ท่านฟีอาโร่บอกว่า เขามีปัญหาทางด้านอารมณ์น่ะค่ะ

คนเขียน : เห? คือยังไงเนี่ย

ฟีอาโร่ : ...... ................... ...... ............

ลูมิเน่ : “ต้องเล่าเท้าความไปก่อนว่า ตอนที่เจ้าของจะรับข้าเข้ากลุ่ม ตอนนั้นข้าเป็นฟลายก้อน

ที่อาละวาด

อยู่กลางทะเลทรายจนคนอื่นเขาเดือดร้อนไปทั่ว”

ฟีอาโร่ : ................... ........... --- ..............? ........

ลูมิเน่ : “ข้าถูกเจ้าของคนเก่าปลูกฝังมาแบบผิดๆ ประมาณว่าเป็นพวกแพ้ไม่เป็น

กระหายการต่อสู้ --- พอถูกทิ้งขึ้นมาก็เลยรับไม่ได้ล่ะมั้ง?

ข้าจำได้ว่าตอนนั้นข้าอาละวาดหนักมากเลย”

ฟีอาโร่ : ……………………………………………

ลูมิเน่ : “ตอนเข้ากลุ่มมาแล้ว ก็เริ่มปรับตัว ควบคุมตัวเองมากขึ้น

เกรงว่าการแสดงออกทางอารมณ์จะไปกระตุ้นสิ่งที่ฝังใจเข้า เลยไม่ออกแสดงออก

อะไรมาก กลัวว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้”

ฟีอาโร่ : ..........

ลูมิเน่ : “รู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นอย่างนี่ล่ะนะ ...”

คนเขียน : ลึกซึ้งจริงๆ ขอแหล่งอ้างอิงหน่อยละกัน

คนเขียน : เบรเซียส ฟีอาโร่เป็นอย่างที่พูดจริงหรอ

เบรเซียส : อืม เป็นมานานแล้ว (พยักหน้า) ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรไปสะกิดใจ

หรือว่าถูกกระต้นแรงๆเข้าก็จะเป็นอย่างที่ว่า อาละวาด ควบคุมตัวเองไม่ได้

คนเขียน : แปลว่าเคยเจอตอนที่ฟีอาโร่อาละวาดมาแล้วหรอ ?

เบรเซียส : … อืม ใช่

คนเขียน : อืมมม ไว้เราค่อยพูดถึงเรื่องนี้ทีหลังแล้วกัน ..

 

 

To Be Continue...

 

Edited by + Pangtor Girl +
  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

เข้าใจละว่าทำไมฟีอาโร่ไม่ค่อยพูด...ถ้าหลุดขึ้นมาก็จะน่ากลัวมากๆเลยสินะ

ว่าแต่พรายกระซิบทำไมระบุชื่อได้เจาะจงดีจัง 555555

....เดี๋ยวก่อนนะ?

Quote

แต่เนื่องจากทั้งคู่มีอาการอย่างนึงที่เรียกว่าซึนเดเระ

จึงไม่แสดงออกถึงความรักกันซักเท่าไหร่

นี่มันนนนนนนนนนนน!?!? เบรเซียส x มัตสึสินะ <3

/me วิ่งหนีปังตอคนแถวนี้

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

ฟีอาโรเป็นพวกร้ายเงียบสินะ คาดไม่ถึงเลยจริง ๆ :pika07:

มัตสึกวนโอ๊ยได้น่ารักน่าตบ(?)ดี :pika01:

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

§ Special Chapter §

“บทสัมภาษณ์พิเศษ ตอนที่ 2”

# # # ฉาก 1 # # #

Spoiler

 

คนเขียน : เอาล่ะ เรามาต่อกันที่ช่วงสัมภาษณ์รายบุคคลนะคะ เชิญคนต่อไปค่ะ

เอเนะ : สวัสดีค่า (กระดิกหูแล้วทำตาประกาย)

คนเขียน : น่ารักจังเลยนะคะ ขอถามเรื่อง First Impression ที่มีต่อเบรเซียสหน่อย

เอเนะ : เห ! First Impression ... !

เอเนะ : มันคืออะไรหรอ? (เอียงคอทำตาปริบๆ)

คนเขียน : (เกือบตกเก้าอี้) ประมาณว่า ความรู้สึกตอนได้เห็นเบรเซียสครั้งแรกน่ะ

เอเนะ : อ้อออ ครั้งแรกที่เอเนะเจอบอส ตอนนั้นเป็นตอนที่บอสอยู่ร่างสองอยู่เลย ชื่อว่าอะไรนะ

วาคาชาโม่ ?

คนเขียน : (พยักหน้า)

เอเนะ : นั่นล่ะๆ บอสเท่มากเลย เพราะว่าบอสช่วยเอเนะจากเทรนเนอร์นิสัยไม่ดี พวกเขาเอาไฟมาจุด

ที่หางของเอเนะ เอเนะเจ็บมากๆๆ แต่ว่าจู่ๆบอสก็กระโดดเข้ามา แล้วก็ตู้มมม พ่นไฟออกมาไล่จนพวกเขา

วิ่งหนีป่าราบไปเลย จากนั้นเจ้าของของบอสก็เอาน้ำมาดับไฟให้ บอสน่ะ อย่างกับเจ้าชายขี่ม้าขาวเลย !!

คนเขียน : โอ้ เป็นการพบกันที่น่าประทับใจดีจัง

เอเนะ : ใช่ม้าๆ บอสของพวกเราน่ะดูดีที่สุดเลย แล้วก็เก่งมากๆเลยด้วย !

คนเขียน : อืมมม งั้นมีเวลาที่เบรเซียสทำให้เอเนะเสียใจบ้างมั้ย

เอเนะ : (เอียงคอ ทำท่านึก) ก็ไม่เชิงเสียใจนะเมี้ยว ถึงบอสจะชอบดุเอเนะเรื่องไม่มีสมาธิสู้ แต่พอบอส

ดุเสร็จ บอสก็จะบอกว่าไม่เป็นไร ไว้เอาใหม่ แล้วก็ลูบหัวเอเนะ เพราะงั้นเอเนะไม่เสียใจหรอกนะ !

คนเขียน : นะ ... น่ารักจัง ... อยากโดนบ้าง  (กำเดาไหล...)

 

[ตัดไปที่หลังฉาก]

มัตสึ : บอสดูดีอย่างงู้น บอสเก่งอย่างงี้ ชิ ... (งึมงำ)

เบรเซียส : ...? (จามสองรอบ)

 

 

# # # ฉาก 2 # # #

Spoiler

 

[หลังจากเอเนะเข้าหลังฉาก]

คนเขียน : ได้ข่าวว่าช่วยเอเนะไว้จากการโดนรังแกหรอคะ

เบรเซียส : ครับ เมื่อนานมาแล้ว

คนเขียน : ในสายตาของเอเนะ นายเป็นคนที่ดูดีมากๆเลยนะ

เบรเซียส : (เลิกคิ้วนิดนึง) งั้นหรอ

คนเขียน : ช่าย งั้นก็ช่วยบรรยายความรู้สึกที่มีต่อเอเนะหน่อยสิ

เบรเซียส : อืม ... เหมือนน้องเล็กของกลุ่ม ไม่ค่อยทันคนเท่าไหร่เลยจะถูกแกล้ง ทำให้เป็นห่วงบ่อยๆ

คนเขียน : แล้วมัตสึกับเอเนะทะเลาะกันบ่อยไหม?

เบรเซียส : (เลื่อนลอยไปพักนึง) ... มากๆเลยล่ะ ...

*** เพิ่มเติม ***

คนเขียนได้ทราบมาเพิ่มเติมจากพรายกระซิบรายเดิมอีกว่า ช่วงเวลาที่เอเนะกัดกับมัตสึคือช่วงเวลาที่

โหดร้ายที่สุดของกลุ่ม โดยเฉพาะเบรเซียส ผู้ซึ่งจะโดนเรียกร้องตลอดเวลา  ในสถานการณ์นี้สมาชิกคนอื่น

จะไม่สามารถช่วยได้เลย จึงได้แต่เปรยตามองเบรเซียสผู้โดนเอเนะดึงแขนพร้อมฟ้องว่ามัตสึแกล้งๆ

 กับมัตสึที่ทำท่ายียวนกวนประสาทจนน่าปวดหัวอย่างให้กำลังใจ

 

 

# # # ฉาก 3 # # #

Spoiler

 

คนเขียน : เชิญคนต่อไปได้เลยค่ะ

โซเฟีย : สวัสดีค่ะทุกคน (โค้ง)

คนเขียน : อยากถามเรื่อง First Impression ที่มีต่อเบรเซียสหน่อยน่ะ

โซเฟีย : หืม First Impression ที่มีต่อเบรเซียสน่ะหรอ ...

โซเฟีย : (นิ่งไป) เหมือนจะไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่นะ ฮ่ะๆ

คนเขียน : เอ๋ ทำไมล่ะนั่น

โซเฟีย : ครั้งแรกที่เบรเซียสเห็นข้า ไม่สิ ครั้งแรกที่ข้าเห็นเบรเซียส ตอนนั้นข้ายังเป็นแค่รัลโทสตัวเล็กๆ

แถมขี้กลัวมากๆ จะว่าไป เบรเซียสอยู่ในร่างที่สองไปแล้วด้วย

โซเฟีย : ถ้าจำไม่ผิด เบรเซียสเหมือนจะถูกเจ้าของใช้มาว่าให้ตามหาข้า เพื่อจะนำไปรักษาที่โปเกม่อน

เซนเตอร์ เพราะตอนนั้นข้าบาดเจ็บอยู่น่ะนะ ข้ากลัว เลยไปหลบอยู่ในพุ่มไม้  จู่ๆเบรเซียสก็โผล่พรวดเข้ามา

คนเขียน : อ่าฮะ แล้ว ?

โซเฟีย : ข้าก็ ... อืม ... ตกใจมากๆ ก็เลย ... เผลอใช้ไซโครคิเนซิสอัดเบรเซียสเต็มๆ

คนเขียน :  ห้ะ ...

โซเฟีย : เบรเซียสหมดสติไปเลย ข้าไม่รู้จะทำยังไงก็เลยฉุดกระชาดลากถูกลับไปหาเจ้าของให้ ก็แค่นั้นล่ะ

คนเขียน : .............

โซเฟีย : แต่ก็อย่างว่า เบรเซียสยังไม่ทันตั้งตัวนั่นแหล่ะ ข้าอัดเสยคางขนาดนั้นไม่ล้มสิแปลก ... นึกแล้ว

ยังรู้สึกผิดหน่อยๆอยู่เลย ...

[ตัดไปที่หลังฉาก]

ฟีอาโร่ : ......? (เจ้าเคยโดนโซเฟียอัดมาจริงหรอ ... ?)

เบรเซียส : .... อืม (เหม่อลอย แล้วก็เผลอลูบคางตัวเองเบาๆ)

มัตสึ : ก๊ากกกกก นี่แหล่ะที่ข้าอยากจะบอก !! (ลงไปขำกลิ้งกับพื้นอย่างไม่ไว้หน้า)

[ตัดภาพไปอีกที หลังฉากแทบล่มเนื่องจากมีแมวสาวนามสมมติว่าเอเนะ ได้ทำการฟาดไอออนเทลใส่มัตสึ

จนพื้นยุบพร้อมกับให้การว่า ถึงบอสจะเคยโดนอัดจนล้ม แต่ก็ไม่ได้เป็นคนแพ้อยู่วันยังค่ำอย่างเจ้าก็แล้วกัน!’]

[ตัดไปอีกภาพหนึ่ง มัตสึนอนนิ่งอยู่ในมุมมืด ไม่รู้ว่าจุกที่โดนไอออนเทล หรือจุกในคำพูดของเอเนะกันแน่..]

 

 

# # # ฉาก 4 # # #

Spoiler

 

คนเขียน :  ต่อไปเป็นฟีอาโร่กับลูมิเน่ค่ะ

ฟีอาโร่ : (พยักหน้าทักทาย)

ลูมิเน่ : ค่ะ (ยิ้มหวาน)

คนเขียน : ไหนๆก็มาทั้งสองคนแล้ว ถือโอกาสถามร่วมไปเลยละกัน ช่วยอธิบายเรื่อง First Impression

ที่มีต่อเบรเซียสให้ฟังหน่อย

ฟีอาโร่ : .................... Zzz

ลูมิเน่ : ท่านฟีอาโร่บอกว่า “เรื่องมันยาวเหมือนกันนะ ขอข้าเรียบเรียงก่อน ...”

คนเขียน : อืม ... คงเรียบเรียงอีกยาวเลยล่ะนะ .... (เอาหมอนพร้อมผ้าห่มด้วยเลยไหม...)

ลูมิเน่ : ในส่วนของข้านะคะ ข้าเป็นคนที่เข้ากลุ่มมาหลังที่สุดเลย ตอนแรกไม่ได้เจอกับท่านเบรเซียส

โดยตรง แต่มาเจอหลังจากที่ได้รับเข้ากลุ่มแล้ว

คนเขียน : อ่าฮะๆ

ลูมิเน่ : พอข้าเจอท่านเบรเซียส ความรู้สึกแรกของข้าคือเกร็งมากๆเลยล่ะค่ะ เพราะข้าอยู่ร่างหนึ่ง แต่ท่าน

เบรเซียสอยู่ร่างสามแล้ว ตัวสูง ดูดีมาก แต่ก็น่ากดดันมากเหมือนกันค่ะ

ลูมิเน่ : แต่พอเข้ากลุ่มไปนานๆ ข้าก็รู้ค่ะว่าท่านเบรเซียสเป็นคนใจดี ที่หน้านิ่งก็คงเพราะแสดงออกไม่เก่ง

ล่ะมั้งคะ ? (หัวเราะ)

คนเขียน : อย่างนี้นี่เอง แล้วฟีอาโร่ล่ะ

ลูมิเน่ : ท่านฟีอาโร่คะ ตื่นสิคะ (เขย่าๆ)

ฟีอาโร่ : (ลืมตา) ...... ?

ลูมิเน่ : ตาท่านตอบคำถามแล้วค่ะ

ฟีอาโร่ : (นิ่งไป) …. ???

ลูมิเน่ : (ยิ้มแหย) เรื่อง First Impression ที่มีต่อท่านเบรเซียสไงคะ

คนเขียน : ขอถามขัดนิดนึง ลูมิเน่คงจะเหนื่อยมากเลยสินะ

ลูมิเน่ : คะ?

คนเขียน : การที่เป็นล่ามของฟีอาโร่น่ะ คงจะเหนื่อยสินะ ...

ลูมิเน่ : อ่า ... ชินแล้วล่ะค่ะ ...

ฟีอาโร่ : .....................

[รายการถูกตัดออกไปพักหนึ่ง เนื่องจากฟีอาโร่นิ่ง ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย ได้ยินเสียงลูมิเน่ดังมาเป็นพักๆว่า

ท่านฟีอาโร่ ข้าล้อเล่นนะคะ’ ‘ท่านฟีอาโร่ หายงอนเถอะค่ะ’ ‘ท่านฟีอาโร่ ข้าเต็มใจอยู่แล้วค่ะ ฯลฯ

อีกมากมาย จากการสอบถามพบว่าฟีอาโร่อาจมีอาการอย่างหนึ่งที่เรียกว่า น้อยใจก็เป็นได้ ...]

 

 

# # # ฉาก 5 # # #

Spoiler

 

[ครึ่งชั่วโมงต่อมา]

คนเขียน : พร้อมรึยังฟีอาโร่

ฟีอาโร่ : (พยักหน้าหงึกๆ) ………………. ……. ……………..

ลูมิเน่ : “ถ้าอ้างอิงจากตอนที่แล้ว ข้าเคยพูดไว้ว่า ข้าเคยเป็นฟลายก้อนที่อาละวาดอยู่กลางทะเลทราย”

ฟีอาโร่ : ..................................................

ลูมิเน่ : “พออาละวาดไปได้ซักพัก ก็มีเทรนเนอร์คนหนึ่งเดินเข้ามา ท่าทางสงบนิ่งมาก มากจนน่าหงุดหงิด

จากนั้นเธอก็ปล่อยบาชาโม่ออกมา นั่นล่ะ เป็นครั้งแรกที่ข้าเจอเบรเซียส”

คนเขียน : โอ้ !

ฟีอาโร่ : ............................... ........................................

ลูมิเน่ : “ข้ากับเบรเซียสสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเชียวล่ะ ... ข้าจำได้แม่นทีเดียว ตอนนั้นข้าคิดว่า

เบรเซียสเป็นแค่โปเกม่อนไฟต่อสู้แท้ๆ จะเอาอะไรมาสู้มังกรดินอย่างข้าได้ ข้ามั่นใจถึงเพียงนั้น ก็ฟาด

หางใส่เบรเซียสอย่างแรง จนเขาล้มลงไป”

คนเขียน : (ลุ้นอยู่)

ฟีอาโร่ : ................................................................ ! ………………………………

ลูมิเน่ : “จากนั้น ข้าก็จะหันไปเล่นงานเทรนเนอร์แทน น่าแปลกนักที่เธอไม่ยอมวิ่งหนีเลย พอข้าเงื้อมมือขึ้น

จะตะปบ จู่ๆเบรเซียสก็พุ่งพรวดเข้ามา กันกรงเล็บของข้าไว้ ข้าตกใจมาก! ทั้งๆที่ล้มลงไปแล้ว แต่ก็ยังลุก

ขึ้นมาได้ พอสู้ต่ออีกสักพัก ข้าก็เริ่มเหนื่อย เบรเซียสล้มลงไปอีก แต่เขาก็ยังลุกขึ้นมา ถึงจะสาหัสมากแล้ว

เขาก็ยังลุก”

ฟีอาโร่ : ................................................. ---- …………………………….

ลูมิเน่ : “ข้าจำได้ ว่าแววตาของเบรเซียส มุ่งมั่นมากขนาดไหน ... ข้ามั่นใจเลยว่า ถ้าเขายังไม่ตาย เขาไม่มี

วันเลิกลุกขึ้นมาแน่ ข้ารู้ ...ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่ไม่มีวันแพ้ แต่เขาคือคนที่ไม่มีวันยอมแพ้ .. จึงได้แต่นิ่งไป

จนถูกเทรนเนอร์คนนั้นจับไปนั่นแหล่ะ--- อา พูดมาซะยาว สรุปก็คือความรู้สึกแรกที่ข้าเจอเบรเซียส คือ

ประหลาดใจ ตกใจ และลึกๆแล้วก็ ... นับถือ”

คนเขียน : สุดยอดมากเลยค่ะ ... (ปรบมือแปะๆ) ลูมิเน่คิดว่าไงมั่งเอ่ย

ลูมิเน่ : ท่านฟีอาโร่น่ากลัวจังเลยค่ะ ...

ฟีอาโร่ : ........ (ลูบหัวลูมิเน่ แล้วยิ้มทางตา)

ลูมิเน่ : ………………

[รายการขอตัดจบเพียงเท่านี้ เพราะล่ามแปลก้มหน้านิ่งอยู่พักใหญ่ ล่ามแปลอีกคนนามสมมติว่ามัตสึ

กระซิบบอกมาว่า ฟีอาโร่พูดว่าข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้าแน่นอนพร้อมกับยิ้มหว่านสเน่ห์(?) ซึ่งน่าจะเป็น

สาเหตุของอานุภาพร้ายแรงที่ผู้ฟังมิอาจทนได้ ดังนั้น ทางเลือกที่(กขค.อย่างเรา)ทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ

ตัดจบรายการซะ]

 

To Be Continue...

Edited by + Pangtor Girl +
  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

มุมมองต่อเบรเซียสของแต่ละคนน่าสนใจมาก สรุปรวม ๆ แล้วก็คือ นับถือในฐานะบอสสินะ

สมกับเป็นหัวหน้ากลุ่มจริง ๆ :pika01:

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

เบรเซียสคงเหนื่อยแย่ เอเนะกับมัตสึกัดกันทุกวันยังกะเด็กๆ(แต่ก็เด็กสุดอยู่แล้วนี่เนอะ) สมแล้วที่เป็นคู่กัน //ฮา

ส่วนฟีอาโร่ ดูท่าทางจะเป็นคนเอาใจยากน่าดูเลยแฮะ แต่ลูมิเน่ยอมทำตั้งขนาดนี้ จะไม่ให้ฟีอาโร่ชอบได้ไงกัน :pika01:

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

อ่านแล้วค่ะ ช่วงความหวังสีดำนี่เป็นอะไรที่แบบ.....สารภาพตรงๆเลยค่ะว่านั่งร้องไห้จริงๆ :pika12:

สำนวนการแต่งเยี่ยมค่ะ สร้างอารมณ์ร่วมได้ดี :pika01: ช่วงสัมภาษณ์ฮามากค่ะ ชอบๆ

เบรเซียสนี่เป็นที่รักของทุกคนจริงๆค่ะ  มัตสึนี่ก็จะกวน-ีนเกินไปละ  ฟีอาโร่ X ลูมิเน่น่ารัก~~~ :pika10: #ปักธง

Spoiler

พรายกระซิบนี่บอกชื่อตรงๆก็ได้นะคะ ไม่ต้องนามสมมุติหรอก ถถถ

 

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

@ พี่จี๊ด ดีใจนะคะที่มีอารมณ์ร่วมในการอ่านขนาดนี้ :pika01: ส่วนเรื่องพรายกระซิบ

ทางรายการบอกมาว่าพูดชื่อตรงๆไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวอาจจะมีปัญหาตามมา --- //นี่ยังไม่ตรงอีกเรอะ

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.
×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.