Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

Silver Fang : Part of Tak


แกนโซ่

Recommended Posts

แล้วก็ดองเค็มอีกจนได้กับนิยายเรื่องนี้ ขอสารภาพตามตรงเลยว่าผู้เขียนติดเกมส์อย่างแรง ;w; ขอโทษจริงๆกับคนที่ติดตามเรื่องอยู่

[me=แกนโซ่]กราบขอขมา [/me]

นิยายเรื่องนี้มีสองภาค แต่เกิดในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน และเป็นมุมมองของตัวเอกคนละตัว โดยภาคนี้ เป็นมุมมองของ "ทัค"

ส่วนอีกภาคหนึ่ง กำลังพยายามเรียบเรียงใหม่ให้หนักหน่วงตับยิ่งขึ้นอยู่

***ตัวละคร***

img038_1_m.jpg img038_2_m.jpg มาริศ เด็ก ม.5 ธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตอย่างธรรมดา แต่ชีวิตที่สุดแสนจะธรรมดาของเขากำลังจะหายไป เมื่อเขาพบว่าเขาเป็น แวร์วูล์ฟ!?

img039_m.jpg สาริยะ เด็กสาวม.6 ที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่สาวของมาริศ เธอเป็นเด็กกำพร้าเช่นเดียวกัน

ลักษณาพร เด็กสาวผู้เป็นเพื่อนสนิทกับสา พวกเธอสนิทกันมากจนมักจะโดนใครๆแซวว่าพวกเธอเป็นแฟนกัน เธอเรียนช่างกลนะเออ

img040_m.jpg บุรุษลึกลับ เขาเป็นใคร มาจากไหน ไม่มีใครรู้ ที่สำคัญ เขาไม่ใช่มนุษย์  เขาเป็นอีกตัวแปรที่ทำให้ชีวิตธรรมดาของมาริศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

***สารบัญ***

Before The 1st Chapter : กำเนิดหมาป่าน้อย

The 1st Chapter : จุดเริ่มต้นของชีวิตที่ผันเปลี่ยน

Link to comment
Share on other sites

- Silver Fang -

Part of Tak : Before The 1st Chapter

กำเนิดหมาป่าน้อย ( Born of little wolf )

...

...สายลมที่โพยผ่าน แสงไฟที่ส่องไสว ที่ไหน...ที่นี่คือที่ไหน

ร่างสูงร่างหนึ่ง ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด...มีเพียงแสงไฟนีออนที่ดับๆ ติดๆ ที่พอจะส่องไสวให้เห็นร่างของเขาได้

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ...แล้วมองไปที่บางสิ่งที่เขากำลังโอบอุ้มอยู่

สิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา คือเด็กทารกที่กำลังนอนยิ้มอย่างมีความสุขในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา

เขาเพ่งพินิจไปที่เด็กคนนั้น สีหน้าของเขาบ่งบอกได้ถึงความกลัดกลุ้มออกมาได้อย่างชัดเจน

"..." เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

"...ฉัน ...ควรทำอย่างไรดี..." เขารำพันกับตัวเอง แล้วถอนหายใจอีกครั้ง

...

...ประมาณ สองสามชั่วโมงก่อนหน้านั้น...

ณ ป่าอันกว้างใหญ่ ที่ในเวลาปรกตินั้นมีเพียงแต่เสียงของนกน้อยใหญ่และเสียงกู่ร้องของสรรพสัตว์ ในยามนี้ กลับมีเสียงหนึ่งที่แตกต่างออกไป

เมื่อเงี่ยหูฟังให้ดีๆ เสียงที่ผิดแผกไปนั้นคือเสียงฝีเท้าของคนผู้หนึ่ง ที่วิ่งอย่างรีบร้อน วิ่ง อย่างไม่คิดชีวิต และการวิ่งของเขานั้นมีจุดหมายที่แน่นอน

เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น โดยที่ไม่สนว่าในเวลานี้เขาจะเหนื่อยแค่ไหน เขาต้องการให้มันเร็วขึ้นอีกสักนิด แม้เพียงสักวินาทีเดียวก็ยังดี

ในที่สุด เขาก็ถึงจุดหมายของเขา มันคือบ้านไม้ที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆหลังเล็กๆหลังหนึ่ง...

...นี่คือสถานที่ที่เขาต้องการจะมาถึงโดยเร็วที่สุด

เมื่อเขาถึงที่หมาย แทบจะทันทีที่เขาหยุดฝีเท้า ความเหนื่อยที่ถูกทำให้ลืมไปชั่วขณะเพราะความเร่งรีบ มันได้ทำตามหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรงโดยทันที

เขายืนเกาะขอบประตูแล้วพักหอบระรัวอยู่ครู่หนึ่ง เมื่ออาการหอบเริ่มทุเลา เขาก็เปิดประตูนั่น

โครม!! เสียงประตูถูกเปิดด้วยแรงที่ไม่ได้กะออมเอาไว้ จนมันแทบจะหลุดออกจากตัวบ้าน เมื่อสิ้นเสียงดังลั่น เขาก็ตะโกนขึ้น

"มายะ!!! ล..ลูกของเรา..ป.." ก่อนที่เขาจะตะโกนจบ เสียงหนึ่งจากในบ้านก็เปรยขึ้นเบาๆ

"ชู่ว... เงียบๆหน่อย เดี๋ยวลูกตื่น" เสียงนั้นพูดออกมาเบาๆพอได้ยิน ถึงจะเบาแต่น้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าผู้พูดกำลังตำหนิได้อย่างชัดเจน

เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงนั้น เขาก็ได้แต่ทำหน้าเหย แล้วยิ้มแห้งๆ เขาเดินเข้ามาในบ้านช้าๆ แล้วปิดประตูลงอย่างเบามือ

ชายคนนั้น มีรูปร่างสูง และค่อนข้างจะดูกำยำพอควร นัยน์ตาสีดำคม และผมสีดำยาวประบ่า มันทำให้เขาดูเป็นชายที่น่าตาดูดีคนหนึ่ง

เขาค่อยๆเดินตรงไปที่เตียงที่อยู่ไม่ไกลนัก ที่นั่น มีหญิงสาวผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง โดยข้างๆตัวเธอ มีเด็กทารกคนหนึ่ง นอนหลับอย่างมีความสุขอยู่

เธอคนนั้นเป็นผู้หญิงที่หน้าตาคมคาย ใบหน้าของเธอช่างรับกับผมสาวสลวยสีเงินกับนัยน์ตาสีเงินนั้น ทำให้เธอเหมือนมีเสน่ห์บางอย่าง ที่ทำให้ใครต่อใครนั้นมิอาจจะละสายตาจากเธอไปได้

เธอยิ้มน้อยๆอย่างอารมณ์ดี แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อชายคนนั้น นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆเตียงของเธอ

"เธอนี่นะ ไม่รู้จักโตซักที" เธอเอ็ดผู้เป็นสามีแล้วยิ้ม ผู้ถูกเอ็ดก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วเกาหัวตัวเอง

เธอเองเมื่อเห็นผู้เป็นสามี แสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมา ก็อดอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

เขาก็ได้แต่ยิ้มอายๆ หน้าของเขาแดงระเรื่อ แล้วเบี่ยงหน้าหนีไปอีกทาง พร้อมกับการเปลี่ยนประเด็นในการสนทนาโดยทันที

"อ..อ่า..เออ มายะ" เขาเอ๋ยอย่างตะกุกตะกัก เขาเว้นช่วงหายใจนิดนึง เธอมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย แต่ก็ยังไม่ได้ถามอะไร

"...ลูกของพวกเรา ลูกชายรึลูกสาว" เขาถามขึ้น เธออมยิ้มแล้วตอบ

"ลูกชายสิ หน้าตาถอดแบบมาจากเธอเต็มๆเลย" เขาทำหน้างงครู่หนึ่ง แล้วก้มไปดูที่หน้าของเด็กทารกที่อยู่ข้างๆของเธอ

เขายิ้ม แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

"ฮะๆๆ เหมือนเปี๊ยบเลยแฮะ สงสัย เชื้อพ่อมันแรง" เขายิ้มยืดอก เธอก็อดอมยิ้มกับพฤติกรรมของเขาอีกครั้งไม่ได้

"แต่ผมนี่ ได้มาจากเธอมาเติมๆเลย น่ารักจริงๆ ไอ้ลูกชาย" ว่าแล้ว เขาก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาอย่างเบามือ แล้วมองหน้าชัดๆ

"ให้ตายสิ ยิ่งดูยิ่งเหมือน" เขาอมยิ้ม แล้วเขาก็ล้วงบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขา แล้วเอาสวมใส่ให้เด็กน้อย

มันคือสร้อยเส้นหนึ่ง ที่ร้อยจากลูกหินและเขี้ยวสัตว์ เมื่อเขาส่วมสิ่งนั้นให้เด็กน้อย มันสว่างวาบขึ้นวูบหนึ่ง และเด็กน้อยที่ยังนอนหลับอยู่ก็ยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข

เขามองหน้าเด็กน้อยอีกครั้ง แล้วหันมามองภรรยาผู้น่ารัก เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ

"แล้วเรื่องชื่อของลูกล่ะ...ชื่อนั้นมั้ย" เขาถาม

เธอพยักหน้าตอบ เขาหลับตาลง แล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วพูด

"วิญญาณที่คอยดูแลเด็กผู้นี้ จงรับรู้และจดจำนามของเขา นามของเด็กน้อยซึ่งเป็นบุตรของข้าและเธอ คือ... ทาคา อาร์ ซิลเลอร์ ( Taka ar siller ) " เมื่อเขาเอ่ยจบ สร้อยเส้นนั้นก็สว่างวาบอีกครั้งเหมือนเป็นการตอบรับ

ผู้เป็นภรรยาก็ยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อเขาเอ่ยจบ เขานั่งลงข้างๆเธออีกครั้ง แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

"เล่นง่ายกันจริงๆนะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางข้างหลังพวกเขา

ชายหนุ่มหันกลับไป ร่างที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา เป็นร่างสูงโปร่ง ร่างนั้นใส่เสื้อคลุมและสวมฮู้ดสีน้ำตาลอ่อน

ชายหนุ่มหน้าเบ้ แล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

"เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยแบบนี้ซักที" เขาว่าผู้มาเยือน ท่าทีของเขาไม่ได้สนใจนักกับคำพูดของเจ้าบ้าน เขาค่อยๆถอดฮู้ดและเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นหน้าตาของเขา

เขาเป็นชายหนุ่มผมยาวสีฟ้าคราม นัยน์ตาสีคราม หน้าตาที่เกลี้ยงเกา และเขามีหูที่ยาวแหลม ใช่แล้ว เขาคือเอล์ฟ

เอล์ฟผู้นั้น ใส่ชุดโรบสีกรม นัยย์ตาสีครามนั้นจ้องมองมาที่เขากับเธอแล้วยิ้มอย่างร่างเริง

"ไม่เลิกอะ มีอะไรรึเปล่า ไหน อุ้มหลานหน่อย" ว่าแล้ว เอล์ฟก็เดินมาที่ชายหนุ่ม เขาค่อยๆส่งเด็กน้อยให้เอล์ฟผู้นั้นอย่างไม่เต็มใจนัก

"โฮะๆๆ หน้าตามันพิมพ์เดียวกับพ่อมันเลยนี่หว่า อะ ไม่ต้องทำมาเป็นยืดเลยแก"เขารึดักทางก่อนที่ชายหนุ่มจะยืดอีกครั้ง

"แต่นะ ชื่ออื่นมีเยอะแยะ ชื่อนี่ไม่สิ้นคิดไปหน่อยรึไง เล่นง่ายๆมากเลยนะ เอา 'ทาคา' มาจากแก แล้วเอา 'ซิลเลอร์' มาจากเธอนี่ ไม่ได้มีความสร้างสรรเลย" เอล์ฟผู้นี้ยังกัดเรื่องชื่อไม่เลิก

ทั้งสองก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ

"อะ!!" เหมือนเอล์ฟจะนึกอะไรได้บางอย่าง

ทั้งสองมองเอล์ฟผู้นั้น เอล์ฟยิ้ม ก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ

"อย่างนี้ ฉันก็เป็นพี่แล้วสิ ฮะๆ"  แล้วพูดขึ้นอย่างภูมิใจ แล้วชายหนุ่มก็สวนกลับมาทันควัน

"พี่เรอะ พูดไม่กระดากปากเลยนะ อย่างแกมันต้องลุงสิ แม็กโก้ ฮะๆๆ" เขาหัวเราะเมื่อพูดจบ เอล์ฟหน้าเหยทำแก้มป่องแล้วพูดออกมา

"เสียมารยาท เทียบกับมนุษย์ฉันพึ่ง20ต้นๆเองนะ อ่อนกว่าแกอีก" เสียงที่เขาพูดออกมาดั่งถูกโรคลิ้นเปลี่ยะเล่นงานอย่างฉับพลัน แล้วเขาก็หันไปมองค้อนชายหนุ่ม

"อายุสมองล่ะไม่ว่า แกมันสองร้อยกว่าๆแล้วไม่ใช่เรอะ" เขายิ้ม เอล์ฟหน้าเหยยิ่งกว่าเดิม

"น่าเกลียด ฉันพึ่งจะ 212 ปีเอง" เขาพูดหน้าบึ้งนิดๆ

"งั้นคงต้องให้ลูกชั้นเรียกเธอว่าปู่ซะแล้วสิ" หญิงสาวเอ่ย เอล์ฟทำท่าทางเหมือนร้องไห้ทันที

"เธอก็ด้วยเรอะมายะ ฮึกๆ แกล้งฉันนี่หว่า" เขาทำท่าจะงอน แล้วชายหนุ่มก็ตีหลังเขาเบาๆ

"ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ที่จะมางอนแบบนี้" เขาหัวเราะ แล้วเอล์ฟผู้นั้นก็ยิ้ม

แล้วทั้งสามก็คุยเล่นกันไปอย่างสนุกสนาน

...แต่เหมือนสวรรค์แกล้ง เวลาแห่งความสุข มักผ่านไปเร็วเสมอ...

ระหว่างที่พวกเขาทั้งสามกำลังคุยกันเพลินๆ เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้น มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ แล้วมันก็กำลังตรงมาที่นี่

ทันทีที่ได้ยินเสียง สีหน้าของชายหนุ่มบึ่งตึงโดยทันที

"ชิ...นี่มันจะไม่เลิกตามกันรึไง ขนาดนอกเขตอาณาจักร มันยังตามมาอีก" เขาสบถ

เมื่อเอล์ฟได้ยินผู้เป็นเพื่อนพูด ก็ได้แต่นั่งซึม แล้วเอ่ย

"มันก็ไม่แน่ ถ้าเป็นคนอื่น ถึงอยู่นอกเขตอาณาจักร ก็คงไม่ตามมาหรอก แต่พวกนายมันโดนหมายโดนตรงจากราชาเลยนี่" เอล์ฟพูด

เขาได้แต่กัดฟันแน่น แล้วเดินไปหยิบดาบที่แขวนบนผนังทันที เขามองดาบนั้นอย่างเศร้าๆแล้วเอ่ย

"มายะ เธอพอไหวมั้ย" เขาถามผู้เป็นภรรยา เธอพยักหน้าตอบ แต่สีหน้าของเธอไม่ได้มีรอยยิ้มเลย มันเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

เธอค่อยๆลุกจากเตียงช้าๆ แล้วเดินไปที่ข้างๆสามี และหยิบดาบอีกเล่ม

"...แม็กโก้ ถ้าเป็นไปได้...ฉันอยากไปจากที่นี่เหลือเกิน ไปจากโลกนี้ มือของฉันจะได้ไม่ต้องเปื้อนเลือดอีก..."เขาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก เธอเขาไปกอดเขาเบาๆ

เอล์ฟได้แต่มองอย่างหดหู่ แล้วเขาก็เหมือนจะนึกอะไรออก

"คือ..ซิส มายะ ฉันสามารถข้ามมิติได้...แต่..." เอล์ฟเว้นช่วง แล้วหญิงสาวก็เอ่ยต่อ

"...มีเพียงคนเดียวที่เธอจะพาไปด้วยกันได้..."เธอถอนหายใจ แล้วมองหน้าผู้เป็นสามี สายตาของทั้งสองเหมือนกำลังสื่อสารบางอย่างอยู่

กระนั้น ใช่ว่าสิ่งรอบข้างจะมีเวลาเหลือมากมาย เสียงโห่ร้องนั้นกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งสร้างความกระวนกระวายให้เอล์ฟเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งคู่มองตากัน เธอส่งสายตาให้เขาแล้วพยักหน้าช้าๆ ฝ่ายชายที่เห็นดังนั้น จึงพยักหน้าตอบ เขาหันกลับมาหาเพื่อนชายของเขา ก่อนที่จะเอ่ยถ้อยความบางอย่างแก่เพื่อนของเขา

"แม็กโก้! พาลูกของพวกเราไปซะ! แค่เด็กคนนี้เท่านั้น พาไปกับนาย! เดี๋ยวนี้!!" เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เกรียวกร้าวแต่แฝงไปด้วยความหวั่นไหว

สายตาของเขาบอกถึงความแน่วแน่แต่เจ็บปวดกับคำพูดที่เอ่ยออกมา เอล์ฟที่กำลังโอบอุ้มลูกของเขาอยู่นั้น ถึงกับตะลึงกับสิ่งที่เพื่อนของเขาเอ่ยออกมา

"ไม่.จริงน่า..นาย...แล้วพวกนายล่ะ ฉ..ฉันท... อึ๋ก!" เสียงที่เต็มไปด้วยความลังเลถูกเอ่ยออกมาจากเอล์ฟผู้นั้น

กิริยาของเขาที่แสดงออกมานั้น บอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ยอมรับการตัดสิ้นใจนี้ ก่อนที่จะได้ทักท้วง เพื่อนชายได้ตวัดดาบขึ้นมาจ่อคอของเขาพร้อมกับสายตาที่เกรี้ยวกราดจ้องมองมาที่เขา

"รีบไปซะ ไม่ต้องห่วงพวกเรา ยังไง...พวกเราก็ไม่ตายง่ายๆหรอก...แล้วเมื่อลูกของฉันโตเมื่อไหร่ ค่อยพาเขากลับมา...ได้มั้ย นี่คือคำขอร้อง.." เขาค่อยๆลดดาบ แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าเอล์ฟผู้นั้น

สายตาที่เกรี้ยวกราดของชายหนุ่มก่อนหน้านั้น กลับกลายเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความวิงวอนและอาลัย เฉกเช่นเดียวกับผู้เป็นภรรยาของชายหนุ่ม เธอเองก็ส่งสายเช่นเดียวกันนั้นมาที่เอล์ฟ

"อะ..อ.." เอล์ฟพูดไม่ออกกับท่าทีของเขาและเธอผู้นั้น เวลาที่ให้ครุ่นคิดเหลือน้อยยิ่งนัก เสียงโห่ร้องยิ่งดังขึ้นกว่าเมื่อกี้ มันกระชั้นชิดเข้ามาเสียแล้ว

เอล์ฟได้แต่กัดปากตัวเองจนเลือดสีแดงค่อยๆซึมออกมา เขามองเพื่อนสนิททั้งสองของเขา ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีจากสองคนนั้น...

"หวังว่า...พวกเรา คงได้จะเจอกันอีก..." เขาพยายามฝืนใจตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นเครือ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะเอ่ย และไม่คิดว่าจะต้องเอ่ยขึ้นกับเพื่อนของเขา เขาหันหลังให้กับเพื่อนของเขา

"ลาก่อน สหาย...ไดแมนชั่น..." สิ้นเสียงที่เอล์ฟเอ่ย ร่างของเขาได้หายไปจากที่ตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย

"ฉันสัญญา พวกเราจะต้องได้พบกันอีก" เขาลุกขึ้น กำดาบแน่น แล้วค่อยๆเดินออกไปพร้อมผู้เป็นภรรยา

"ถึงแม้ว่า ฉันจะต้องลงนรกทั้งเป็นก็ตาม..." เขาเอ่ยกับตัวเขาเองก่อนที่จะเดินข้ามพ้นธรณีประตู

ทันทีที่ข้ามพ้นธรณีประตู สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาคือเหล่าอัศวินนับร้อย

ร่างของชายหนุ่ม บัดนี้ ได้แปรเปลี่ยนเป็นมนุษย์หมาป่าขนสีดำขลับ แววตาของมันดุดันยิ่งนัก

เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ร่างของเธอ กลายเป็นมนุษย์หมาป่าขนสีเงินวาว แววตาของเธอช่างคมกริบ แทบจะเฉือดเฉือนได้ทุกอย่าง

หมาป่าสีดำและสีเงิน บัดนี้ได้อยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าอัศวิน หมาป่าดำจับดาบแล้วชี้ไปที่อัศวินผู้หนึ่งบนหลังม้าสีขาว ดูเหมือนว่าอัศวินผู้นั้นจะเป็นผู้คุมกองอัศวินมา

"ไม่คิดว่าจะเป็นนายนะ..." เขาเอ่ย

...

...สายลมที่โพยผ่าน แสงไฟที่ส่องไสว ที่ไหน...ที่นี่คือที่ไหน

ร่างสูงร่างหนึ่ง ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด...มีเพียงแสงไฟนีออนที่ดับๆ ติดๆ ที่พอจะส่องไสวให้เห็นร่างของเขาได้

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ...แล้วมองไปที่บางสิ่งที่เขากำลังโอบอุ้มอยู่

สิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา คือเด็กทารกที่กำลังนอนยิ้มอย่างมีความสุขในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา

เขาเพ่งพินิจไปที่เด็กคนนั้น สีหน้าของเขาบ่งบอกได้ถึงความกลัดกลุ้มออกมาได้อย่างชัดเจน

"..." เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

"...ฉัน ...ควรทำอย่างไรดี..." เขารำพันกับตัวเอง แล้วถอนหายใจอีกครั้ง

ใช่ เขาควรทำอย่างไร ที่นี่คือโลกต่างมิติที่เขาไม่คุ้นเลย เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่

เป็นเพราะเรื่องเพื่อนของเขานั้นหรือ ถึงจะเป็นห่วงสักแค่ไหน แต่เขาก็ค่อนข้างจะแน่ใจว่าเพื่อนของเขานั้นน่าจะรอดไปได้อย่างแน่นอน

แต่เรื่องที่เขากังวลในตอนนี้คือ...

เขา...เลี้ยงเด็กไม่เป็น...

นี่คือปัญหาที่หนักอกของเขามากที่สุดในเวลานี้

ลมกรรโชกได้พัดผ่านเขา แล้วนำสิ่งหนึ่งมาด้วย

แปะ!! สิ่งนั้นคือกระดาษแผ่นหนึ่ง มันถูกลมพัดจนมาแปะที่หน้าของเขา

เขาค่อยๆหยิบมันออกจากหน้า แล้วดูข้อความในกระดาษ เขายิ้มทันที

แล้วเขาก็เหลือบมาที่ทารกน้อยที่กำลังหลับสบาย เขาดูเศร้านิดๆ เขาคว้าบางสิ่งจากอากาศ เขาแบมือออก

สิ่งนั้นคือหินสีเทาขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าหัวแม่มือของผู้ใหญ่ ไม่หนามาก เขาพูดพึมพำสองสามคำ แล้วอักษรสลักก็ปรากฎทั้งสองหน้าของหินนั้น

เขานำมันไปใส่ที่สร้อยคอเขี้ยวสัตว์ที่ทารกสวมอยู่ เขามองทารกน้อยด้วยสายตาเศร้าสร้อย แล้วเอ่ยเบาๆ

"ฉันขอโทษจริงๆ...ยกโทษให้ฉันด้วยนะ พ่อหมาป่าน้อย" เขาเอ่ยกับเด็กน้อยแล้วลูบหัวเบาๆอย่างเอนดู ก่อนที่ร่างของเขากับเด็กน้อยจะหายไปจากหน้าโกดังร้างโดยทันที

- Before The 1st Chapter FIN -

...

Link to comment
Share on other sites

ตามมาอ่านกันเลยทีเดียว

รออ่านยัน"ภาคสอง"อยู่นะพี่ - -

Link to comment
Share on other sites

นี่คือภาคแรกใช่มะ มาลองติดตามดูมั่ง เริ่มเรื่องได้น่าสนใจดีแฮะ

Link to comment
Share on other sites

เรื่องเล่าของแวร์วูฟสีเงินรึ....ยังคิดถึงไม่หายเลยนะท่าน ฮะๆๆ คราวนี้เอาให้จบให้ได้นะนาย จะได้ไม่ทำคนอื่นเขาลงแดงตายเอาอีก

ปล.คิดถึงเซรินชะมัดเลย~

Link to comment
Share on other sites

- Silver Fang -

Part of Tak : The 1st Chapter

จุดเริ่มต้นของชีวิตที่ผันเปลี่ยน ( Started point of Changed life )

...

... 17 ปี ต่อมา

ณ ห้องฝ่ายปกครองของโรงเรียนแห่งหนึ่ง...

...เด็กชายสองคนนั่งอยู่หน้าอาจารย์ฝ่ายปกครองที่กอดอกและทำหน้าบึ้งตึง

เด็กชายคนหนึ่งก้มหน้าลงเหมือนกำลังสำนึกผิด แต่อีกคนนั้นหาไม่ เขากับนั่งเฉยๆด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ

และเด็กคนนั้นก็คือฉัน

...ฉันชื่อ มาริศ เป็นเด็กนักเรียนม.5 สายวิทย์ธรรมดาๆ ที่กำลังมีเรื่องที่ต้องถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองสอบสวนเนื่องจากก่อเรื่องทะเลาะวิวาท

ส่วนสาเหตุที่ก่อเรื่องขึ้น มันต้องมีอยู่แล้ว เพราะไอ้คนที่ฉันมีเรื่องด้วย มันกำลังรีดไถเด็กรุ่นน้อง ด้วยความเป็นคนดี (?) บวกกับการที่ฉันทำอะไม่ค่อยคิดซักเท่าไหร่ ฉันเข้าไปรุ่นน้องคนนั้นทันที

ส่วนผลน่ะเหรอ อย่างที่เห็น ฉันกับมันโดนอาจารย์ฝ่ายปกครองลากตัวมาเทศน์และให้บทลงโทษ ซึ่งมันกำลังจะจบลงแล้ว

อาจารย์มองเราสองคนแล้วถอนหายใจ ท่านคลายกอดออก แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

"นี่พวกเธอ จะมีวันไหนมั้ย ที่จะไม่มีเรื่องกันเนี่ย" ท่านพูดขึ้นด้วยความหนักใจกับพฤติกรรมของนักเรียนในปกครอง

มันก็น่าเห็นใจท่านอยู่หรอก ที่นี่คือโรงเรียน ยังไงก็ต้องยอมรับกันว่าในแต่ละวัน ก็ต้องมีนักเรียนมีเรื่องกันอย่างน้อยรายสองราย จึงไม่แปลกเลยที่ท่านจะบ่นแบบนี้

เครื่องยืนยันอีกอย่างคือ ถึงอายุท่านยังไม่ถึงเลข 5 แต่ผมที่หงอกไปบางส่วนของท่าน กับใบหน้าที่มีริ้วรอยเกินวัย มันบ่งบอกถึงความเครียดที่ท่านต้องมาเป็นอาจารย์ฝ่ายนี้

"เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนายฤทธิเดชที่ไปรีดไถรุ่นน้องแล้วนายมาริศมาช่วยไว้จนทะเลาะกัน" ท่านเหล่มองมาที่คู่กรณีของฉัน

"ประวัติเธอเองก็ใช่ย่อยเลยนะนายฤทธิ์" ท่านมองดูใบประวัติก่อนที่จะสายหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำเรื่องแบบนี้ บทลงโทษของเธอคราวนี้คือ พักการเรียน 1 สัปดาห์ และเชิญผู้ปกครองมาพบ"

เพียงอาจารย์ท่านพูดจบ มันก้มหน้าแล้วปล่อยโฮออกมาทันที ทำไมนะ ที่ตอนทำ มันไม่คิดบ้างเลยว่าผลที่ได้จะเป็นยังไง แต่จะว่าไป ฉันเองก็พอกัน

"เอาล่ะ ส่วนเธอ นายมาริศ เธอเองจะทำอะไรคิดบ้าง ถึงการช่วยคนมันจะดี แต่เลือกวิธีหน่อย อย่าลืม ว่าเธอเป็นนักเรียนทุน เวลามีเรื่องอะไรขึ้นมา มันจะลำบาก" ท่านตักเตือนฉัน

"ครับ" ฉันรับคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วแอบเหล่ไปที่มันที่กำลังปล่อยโฮอยู่ข้างๆ

"เอาล่ะ พวกเธออกไปได้แล้ว นายฤทธิ์ เธออย่าลืมนะ พรุ่งนี้ครูมีธุระกับผู้ปกครองของเธอ ส่วนเธอ ผมเผ้าไปตัดบ้าง ถ้าวันจันทร์ไม่ตัดมา เธอเจอทรงลานบินแน่นอน"

ฉันลุกขึ้นแล้วไหว้ท่าน และเดินออกจากห้อง ปล่อยให้มันนั่งร้องไห้ต่อไปในห้องของอาจารย์

เมื่อฉันเดินออกมาจากห้องฝ่ายปกครอง มีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งรอฉันอยู่ เธอคือ สา คนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและพี่สาวของฉัน เธออยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งเดียวกับฉัน

อะ! ใช่แล้ว ฉันยังไม่ได้บอกสินะ ว่าฉันเป็นเด็กกำพร้า ที่ทางรัฐอุปการะเอาไว้ พร้อมกับเด็กอีกหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเธอ สา

ฉันเป็นเด็กกำพร้า ไม่รู้ว่าพ่อแม่คือใคร รู้แค่ว่า ตอนที่ฉันเกิด ก็มีคนเอามาวางไว้หน้าสถานรับเลี้ยงเด็ก

สิ่งที่ติดตัวมาตอนนั้น มีเพียงผ้าขนหนู สร้อยประหลายที่มีจี้ทำจากหิน สลักอะไรซักอย่าง และกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆว่า 'ฝากเลี้ยงที'

เพราะกระดาษแผ่นนั้น เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีเลยว่าฉันนั้นถูกทิ้งอย่างแน่นอน

ฉันโตในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนั้น ในตอนเด็ก ฉันถูกเด็กเกือบทุกคนรังเกลียด แล้วเหตุผลที่ถูกเกลียดคืออะไรงั้นหรือ เพราะสีผม และสีตาที่ต่างจากชาวบ้านไงล่ะ

เด็กทุกคนตั้งแง่กับความแตกต่างของฉัน แต่สุดท้าย ก็มีผู้กล้าที่ทำลายกำแพงนั้น ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กสาวที่อยู่กับฉันตอนนี้นี่เอง สาไงล่ะ

หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มเข้าหาคนอื่นได้ เช่นเดียวกันเด็กคนอื่นที่เริ่มเข้ามาหาฉัน เพราะสาแสดงให้เห็นว่าฉันเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่น ฉันเองก็เป็นเด็กธรรมดาเหมือนกับทุกคน อาจจะมีแค่สีผมสีตาที่มันแตกต่างจากคนอื่นก็เท่านั้นเอง

จนสุดท้าย ฉันกับเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กก็สนิทสนมกัน

แต่ที่ว่าฉันเองก็ไม่ต่างจากเด็กธรรมดา มันคงจะไม่ถูกเลยเสียทีเดียว นอกจากเรื่องสีผมสีตา(ฉันอาจจะเป็นลูกครึ่งลูกควบรึอะไรก็ตาม) ยังมีเรื่องประสาทสัมผัสที่ดีกว่าคนปกติ กับความสามารถในการฟื้นตัวที่ค่อนข้างสูงนี่อีก

แล้วไอ้ความสามารถนี้มันสูงแค่ไหนน่ะหรือ ลองคิดเอาแล้วกัน แผลถลอกตกสะเก็ดโดยใช้เวลาไม่ถึงวัน เอาที่ชัดๆ เลยก็ ตอน 7 ขวบ ฉันตกต้นไม้จนแขนหัก หลังจากเข้าเฝือกแล้ว เพียงเดือนเดียว แขนฉันก็หายสนิทซะแล้ว ทำเอาหมอที่รักษางงกันยกใหญ่(ฮา)

แถมพักนี้ ไม่รู้ทำไมผมของฉันก็ยาวเร็วเหลือเกิน พึ่งตัดไปไม่นาน อาจารย์ก็ทักว่ายาวอีกแล้ว

เอาล่ะ หลังจากฟังฉันสาธยายมานาน เรากลับมากันที่เรื่องที่กำลังจะเกิดกันดีกว่า ทุกเย็น ฉันต้องเดินกลับบ้านกับสา แล้วทางผ่านก็มีทางเดียวและค่อนข้างเปลี่ยว

ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ(?) ฉันต้องเดินกลับกับเธอทุกวัน ถึงซอยจะเปลี่ยวยังไง แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องนักเลงในซอย เพราะฉันกับเธอ เรื่องฝีมือชกต่อยมีพอตัว โดยเฉพาะสา เธอเป็นหัวหน้าชมรมมวยหญิงซะด้วย

แล้ววันที่ก็ไม่ผิดคาด พวกเราเจอนักเลงคนหนึ่ง ยืนดักพวกเราอยู่ นับว่าช่างกล้าที่มันมาคนเดียว มันคงไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรกับมัน

มันยิ้มเย้ย แล้วพูดขึ้น

"ไอ้หนู น้องสาว ถ้าไม่อยากเ..อุ๊บ!!" ไม่ทันที่มันจะพูดจบ บาทาของฉันก็ประทับตราลงไปที่หน้าของมันอย่างบรรจงและตั้งใจ แล้วมันก็ทรุดลงไปกับพื้นทันที

"ฝีมือยังไม่ตกนี่" เธอยิ้มให้ฉัน ฉันยิ้มกลับแล้วพยักหน้าตอบ แล้วเราทั้งสองก็เดินไปจากตรงนั้น โดนไม่เหลียวหลังไปดูนักเลงโชคร้ายคนนั้นให้เสียเวลา

พอพวกเราเดินห่างจากนักเลงดวงตกนั่นได้ซักพักนึง สาก็พูดขึ้น

"เดี๋ยวตอนกินข้าวลงมาด้วย มีเรื่องจะคุยหน่อย" เธอพูดขึ้น เธอคงมีเรื่องอะไรที่จะคุยกับฉันมั้ง ส่วนมากก็คงจะบ่นเรื่องเตรียมเอนท์

"อือ" ฉันรับคำแบบไม่ค่อยใส่ใจนัก

"ไม่ใช่อาบน้ำเสร็จแล้วนอนเลยอีกนะ" เธอฉุนกับการตอบรับของฉัน แล้วจ้องฉันเขม็ง

"คร้าบ..." ฉันลากเสียงตอบกลับไป

"แน่ใจ?" เธอย้ำคำ

"แน่สิ" ฉันตอบ ถึงพูดแบบนั้นไป ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้มั้ย ไม่รู้ทำไม เวลาอาบน้ำตอนเย็นเสร็จ มันชอบง่วงเหลือเกิน

ไม่ทันที่จะพูดอะไรกันต่อ เราสองคนก็มาถึงที่หน้า 'บ้าน' แล้ว

ถึงในสายตาคนอื่น ที่นี่คือสถานรับเลี้ยงและอุปการะเด็กไม่มีพ่อแม่อย่างพวกเรา แต่สำหรับพวกเรา มันคือ 'บ้าน' เพียงหนึ่งเดียวที่ผูกพันธ์

และที่หน้าบ้านนั้น ก็มีเด็กสาวผมสั้นใส่แว่นคนหนึ่งยืนอยู่ เหมือนเธอพึ่งจะกลับมาเหมือนกัน เธอทักเราสองคนทันทีที่เห็น

"ไง ริศ สา กลับมาแล้วรึ" เสียงของเธอ ลักษณ์ เธอสนิทกับสามากๆ สนิทจนหลายคนแซวกันว่าคู่นี้คงเป็นอะไรกันมากกว่าเพื่อน(ฮา) เธอเรียนบัญชีอยู่ปี 3 ส่วนสาเรียนสายวิทย์ ม.6

"กลับมาแล้ว วันนี้เรียนเป็นไงบ้างล่ะ" สาถามลักษณ์ด้วยคำถามที่เหมือนกับทุกวันที่เจอกัน ไม่เบื่อบ้างรึไง

"ก็ยากดี แล้วเธอล่ะ" รายนี้ก็ตอบกลับมาเหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่ทราบว่าคุณเธอทั้งสองเป็นบอทรึไงครับ

"เหมือนทุกวันน่ะแหละ วันนี้ติวข้อสอบด้วยแหละ แล้วก็..." สาเริ่มร่ายยาวเรื่องที่เธอเจอมาวันนี้ให้ลักษณ์ฟัง ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปแล้วว่าฉันยังยืนอยู่ข้างพวกเธอ

"เอิ่ม...แล้ว เจอกันตอนมื้อเย็นนะ" ฉัน ผู้ถูกสองสาวลืมโดยสมบูรณ์ บอกพวกเธอ แต่เหมือนว่าบอทสาวทั้งสองจะสนใจกันเองซะมากกว่า

พอปลีกตัวจากสองสาวได้ฉันตรงไปที่ห้องของฉันแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทันทีที่ทำกิจส่วนตัวเสร็จ ความง่วงก็เข้าโจมตีทันที

"อืม....ฮ้าว....." ฉันเริ่มรู้สึกง่วง พอรู้สึกแบบนั้น ฉันก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงโดยไม่สนว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว

...

"อ..อือ...อืม..." ฉันเริ่มรู้สึกตัว ประสาทต่างๆของฉันเริ่มทำงาน ฉันลุกขึ้นอย่างงัวเงีย แล้วมองไปรอบๆ....

...มืด...สิ่งที่เห็นมีเพียงความมืดและแสงไฟเล็กน้อยจากนอกหน้าต่าง ฉันหันไปดูนาฬิกาบนหัวเตียง

"...5ทุ่ม..." ฉันเกาหัวแกรกๆ เอ...ฉันไม่เคยตื่นกลางดึกนี่หว่า ธรรมดาถ้าฉันหลับตอนเย็น กว่าจะตื่นก็เช้าเลยนี่

เอาเถอะ คิดมาก หนักสมอง แถมตอนนี้ก็หายง่วงแล้ว ทำอะไรดีล่ะ จะลงไปหาสาดีมั้ย ไม่ดีกว่ากว่า ป่านนี้คงจะนอนไปแล้ว ไม่งั้นก็คงจะโดนสวดยกใหญ่

โครก.... เสียงหนึ่งดังจากท้องฉัน น่าน ตื่นมาก็หิวเลย ลงไปหาอะไรใส่ท้องดีมั้ยหว่า

ก่อนที่ความคิดต่อไปจะมา ตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นอะไรเข้า

แสง! แสงอะไรน่ะ มันส่องออกมาจากลิ้นชักใส่ของกระจุกกระจิกของฉันบนหัวเตียง ฉันค่อยๆเปิดมันออกมาช้าๆ

"อะ!" ฉันผงะกับแสงที่ออกมา เมื่อตั้งตัวได้ ก็มองหาต้นแสงนั้น...

"...สร้อย..." ใช่ สร้อย แสงนั้นมันออกมาจากสร้อยที่ติดตัวฉันตอนเด็ก มันส่องแสงสีฟ้าอ่อนๆ ดูแล้วให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

แล้วไม่รู้ฉันนึกอะไรขึ้นมา ฉันเพ่งมองไปที่อักษรที่สลักบนจี้ของสร้อยนั้น แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจ เมื่อฉันอ่านตัวอักษรนั่นได้

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ฉันเองก็เคยที่จะพยายามจะถอดความอักษรบนจี้นี้แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะอักษรที่ใช้มันไม่ได้ตรงกับภาษาอะไรในโลก จนฉันล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว

แล้วทำไม ตอนนี้ฉันถึงอ่านมันได้ล่ะ ถึงจะสงสัยแค่ไหน แต่ความอยากรู้ว่าสิ่งที่สลักเอาไว้มันจะมีอะไรบ้างทำให้ฉันเริ่มฉันอ่านมันด้วยเสียงเบาๆ

"สวมสร้อย แล้วพลิกไปอีกด้าน...ฮ่วย!!" พอฉันอ่านเสร็จ ฉันก็สบถออกมา แถมเกิดอาการอยากจะปาทิ้งในบัดดล ไอ้เราก็นึกว่ามันจะสลักอะไรเอาไว้

แต่ตอนนี้ระงับอารมณ์ก่อนดีกว่า แล้วลองทำตามที่มันบอก ฉันสวมสร้อยแล้วพลิกจี้ไปอีกด้านนึง

ฉันค่อยๆอ่านข้อความที่อยู่บนจี้นั้นในใจอย่างช้าๆ และแอบหวังในใจว่ามันคงจะไม่เหมือนกับคราวที่แล้วนะ

และก็ไม่ผิดหวัง ข้อความที่อยู่บนนั้น เหมือนเป็นสวดอะไรซักอย่าง และนอกจากนี้ ในตอนท้าย ยังมีเขียนกำกับว่า ให้อ่านข้อความนั้นด้วยเสียงที่ชัดเจนและถูกต้องด้วย

ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วหลับตาลง และค่อยๆหายใจออกช้าๆพร้อมกับลืมตา แล้วอ่านข้อความนั้นอย่างช้าๆและชัดถ้อยชัดคำ

"...ด้วยนามของข้า..ทาคา อาร์ ซิลเลอร์..ผู้มีสายเลือดแห่งหมาป่าศักดิ์สิทธิ์ไหวเวียนอยู่...ข้าขอประกาศว่าตัวข้านั้นเป็น...แวร์วูล์ฟ...?" เอ๋ ทาคาอาร์ซิลเลอร์ ชื่อของฉันงั้นเหรอ? แวร์วูล์ฟ

...มนุษย์หมาป่า? หมายความว่ายังไงกัน?

นอกจากนี้ เสียงที่เอ่ยออกมานั้น กลับมิใช่ภาษาที่ฉันใช้อยู่ทุกวัน มันเป็นภาษาอื่น แต่ทำไม มันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

ก่อนที่คำถามอะไรจะรุมเล้าจิตใจไปมากกว่านี้ อยู่ดีๆฉันก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้น...เจ็บจากไหล่ขวา ตรงที่มีปานขาวรูปกากบาทอยู่...

"อุ..อูย.." ฉันเอามือซ้ายกุมไหล่เอาไว้ อ..อึก..ม..มันเจ็บมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ความเจ็บนั้นมันขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ

ไม่นานนัก ฉันก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเจ็บสะท้านไปทั่วตัว ตอนแรกแค่เจ็บแปลบ แต่ตอนนี้ มันปวดร้าวไปทั้งตัว

ฉันปวดจนไม่รู้จะพูดยังไง ปวดจนไม่มีเสียงจะร้องออกมา มัน..เหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง...เหมือนกระดูกทั้งร่างมันจะหักสะบั้น...ม..ไม่ไหวแล้ว มันปวดจนสติของฉันจะขาดไปทุกช่วงเวลา

"อะ...อึก...ฮั่กๆ..." นอกจากความเจ็บที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ฉันเริ่มหายใจได้ลำบากขึ้น หัวใจของฉันเต้นรัวและแรงจนเหมือนจะทะลุออกมาจากอก

ลมบ้าหมู ตะคริว รึฉันกำลังจะ...หัวใจวายเฉียบพลันงั้นเรอะ!? ให้ตายสิ นี่มันเกิดบ้าอะไรกับร่างกายของฉันกันแน่!

ฉันเริ่มจะทรงตัวไม่อยู่จากอาการเหล่านั้นที่มันไม่มีทีท่าว่ามันจะทุเลาลง ในที่สุดฉันล้มลงบนเตียง แล้วนอนขดด้วยความเจ็บปวดนั้น

...มันทรมานเหลือเกิน ฉันทรมาน...ม..ไม่ไหวแล้ว...สติของฉันจวนจะหลุดไป...ได้ทุกเมื่อ...

...ก่อนสติของฉันจะหายไป ฉัน..ต้องการความช่วยเหลือ จากใครก็ได้ แต่ตอนนี้ อาการต่างๆทำให้ฉันไม่สามารถที่ตะโกนเรียกหาใครได้ ฉันจะทำยังไงดี...

พอคิดได้แบบนี้ ฉันนึกถึงมือถือบนหัวเตียงทันที ฉันต้องโทรเรียกใครซักคนก่อนที่จะแย่ไปกว่านี้!

ฉันพยายามตะเกียกตะกายไปให้ถึงมือถือ...ตอนนี้การขยับตัวยังรู้สึกว่ายากเลย อาการต่างๆมันรุนแรงขึ้น สติของฉันเลือนลางไปทุกที อีกนิดเดียว... แค่เอื้อมมือไปเท่านั้น...

เหมือนความพยายามจะไร้ผล ก่อนที่มือของฉันจะเอื้อมไปถึงมือถือ ทุกอย่างก็มืดลงโดยฉับพลัน...

...

"...อือ...อูย..." แสงแดดจากหน้าต่างที่ส่องมาแยงตาฉันจนทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัว ฉันค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองดูรอบตัวเอง

...ฉันลงมานอนอยู่กับพื้น เพราะอาการประหลาดเมื่อคืนนั่นรึเปล่า ทำให้ฉันดิ้นจนตกลงมาจากเตียงโดยที่ไม่รู้สึกตัว

จะว่าไปถึงอาการประหลาดนั่น ฉันเองยังรู้สึกเจ็บตามกล้ามเนื้อไปทั่วทั้งตัว นอกจากนี้ยังรู้สึกถึงความล้าของกล้ามเนื้อเหมือนไปออกกำลังกายหนักๆเสียด้วย

ฉันบิดขี้เกียจสองสามทีก่อนที่จะลุกขึ้นเก็บผ้านวมที่หล่นลงมากองข้างๆตัวฉันขึ้นไปบนเตียง แล้วฉันเองก็เหลือบไปดูนาฬิกาที่หัวเตียง

"บ่ายสาม... นี่มันอะไรกันเนี่ย" ฉันรู้สึกมึนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้งอาการประหลาดเมื่อคืน การที่ฉันนอนตกเตียง แล้วการที่ฉันตื่นมาตอนบ่ายสาม

เกิดมาฉันไม่เคยจะตื่นสายอะไรขนาดนี้เลย ถึงวันนี้มันจะเป็นวันเสาร์ก็เถอะ มันไม่ใช่นิสัยของฉันเลย

ฉันนั่งกุมขมับแล้วส่ายหัวอย่างมึนๆ ก่อนที่จะค่อยๆยืนขึ้นแล้วเดินเซไปหยิบผ้าขนหนูมาจากตู้เสื้อผ้า

ระหว่างที่เดินไปตู้เสื้อผ้า ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองรึเปล่า เหมือนสิ่งของในห้องมันดูเตี้ยลง ไม่มั้ง ฉันคงคิดไปเองนั่นแหละ

หืม? ทำไมฉันรู้สึกแปลกๆ ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรส่วนเกินยื่นออกมาจากด้านหลังแถวๆ ก้นกบของฉัน แล้วมันก็แกว่งไปมาระหว่างเดิน

อุปทาน! อุปทานชัวร์ ฉันคงนึกไปเอง เพราะไอ้ข้อความแปลกๆนั่นทำให้ฉันรู้สึกเพี้ยนๆ กับร่างกายตัวเองแน่ๆ

มันจะเป็นไปได้ยังไงที่คนเราจะกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า มันไม่ใช่นิยายซักหน่อย

ระหว่างที่ฉันกำลังคิดอยู่ เมื่อฉันเดินผ่านกระจกเงาที่อยู่ในห้อง ฉันรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดกับตัวของฉัน...

ถึงจะแค่แว่บเดียวก็เถอะ ฉันรู้สึกว่า เหมือนเงาที่ฉายบนกระจกตอนที่ฉันเดินผ่านมันไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่เงาของฉัน มันเหมือนเป็นอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่ตัวฉันถูกฉายบนนั้น...

ฉันหยุดเดินหลังจากที่เดินผ่านกระจกไปไม่กี่ก้าว ก่อนที่จะคิดกับตัวเอง

...ริศเอ๊ย แกอุปทาน แกตาฝาด แกคิดไปเองทั้งเพ แกก็เป็นแก ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นได้ นี่ไม่ใช่นิยายสยองขวัญยุค 80 นะเฟ้ย ฉันนึกด่าตัวเองกับความคิดที่ว่าตัวเองนั้นกลายเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์

แล้วไอ้อาการเจ็บเมื่อคืนล่ะ ความรู้สึกแปลกๆตั้งแต่ที่ตื่นมาล่ะ แล้วสิ่งที่แกเห็นบนกระจกเมื่อกี๊ล่ะ... ความคิดอีกด้านหนึ่งของฉันได้คิดค้านออกมา

ฉันถอนหายใจกับความคิดของตัวเองที่กำลังตีกันพัลวัน ก่อนที่ฉันจะหัวระเบิดตายเพราะความคิดในหัวตีกัน ฉันจึงตัดสินใจว่า...

...ดูกระจกซะสิ!!! ยังไงถ้าไม่ประสาทหลอน ฉันก็จะได้รู้ไปเลยว่า ตอนนี้ฉันกลายเป็นอะไรไปแล้ว...

ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเดินถอยกลับไปตรงหน้ากระจกโดนที่ไม่ได้มองเงาที่ฉายออกมา ฉันหลังตาลงแล้วค่อยๆหันหน้าเข้าหากระจกเงาบานนั้น

ก่อนที่จะลืมตาขึ้น ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าการส่องกระจกมันจะทำให้รู้สึกสับสนและรู้สึกกลัวเท่าครั้งนี้มาก่อน

นี่คงเป็นการส่องกระจกดูหน้าตัวเองที่น่าหนักใจที่สุดในชีวิตของฉันแล้วก็เป็นได้

ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ฉันกลัว... กลัวที่จะเป็นอย่างอื่นที่ฉันไม่รู้จัก ถ้าฉันกลายเป็นแบบนั้นแล้วฉันจะทำยังไง?

ความกลัวทำให้ฉันไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้น ฉันได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกอยู่ครู่ใหญ่

จะหนีความจริงงั้นหรือริศ! เสียงหนึ่งตะโกนก้องขึ้นในความคิดของฉัน มันทำให้ฉันได้สติ ใช่ ถ้าฉันได้แต่กลัวแล้วมันจะได้อะไร

ความจริงมันก็เป็นความจริงอยู่วันยันค่ำๆ ไม่ช้าก็เร็ว ตัวเราก็ต้องรับรู้แล้วยอมรับมัน หากจะหนีต่อไป มันจะได้อะไร

พอคิดได้แค่นี้ ฉันเริ่มที่จะมีความกล้าพอที่จะลืมตาขึ้น มีความกล้าพอที่จะรับกับสิ่งตรงหน้า ถึงแม้ในใจลึกๆจะหวาดหวั่นกับความจริงก็ตาม

เอาล่ะฟะ! จะหมู่จะจ่า เอาให้มันรู้กันไปเลยทีเดียว! พอฉันคิดได้แบบนี้ ฉันจึงลืมตาขึ้นทันที

"ม..ไม่จริงน่า...!" ฉันอุทานออกมา สิ่งที่ฉันเห็นในตอนนี้ ถึงฉันจะเตรียมใจมาแล้วก็เถอะ แต่ฉันเองก็ยังรับไม่ได้โดยทันที

เงาที่ฉายบนกระจกเงาในเวลานี้ แทนที่จะฉายภาพของของตัวฉัน กลับถูกแทนที่ด้วยมนุษย์หมาป่าที่มีขนสีเทาอ่อนจนออกประกายสีเงินตัวหนึ่ง มันสวมเสื้อผ้าของฉันที่ขาดรุ่งริ่ง

สีหน้าของมันที่แสดงออกมามีทั้งความประหลาดใจและความตกใจในสีหน้านั้น ซึ่งเป็นสีหน้าเดียวกับที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย! ฉันฝันไปใช่มั้ย!

เพี้ยะ!! ฉันตบหน้าตัวเองหนึ่งที ฉันรู้สึกเจ็บทันทีที่ตบตัวเอง... ฉัน ไม่ได้ฝันไป

"อูย..." ฉันกุมแก้มตัวเอง แล้วเพ่งพินิจดูหน้าตัวเองอีกครั้งอย่างละเอียด พร้อมทั้งลูบไปทั่วหน้าของตัวเอง

มือที่สัมผัสได้ถึงขนสัตว์ที่ขึ้นเต็มตามใบหน้า ปากและจมูกที่ยื่นยาว หูที่เรียวแหลม พอฉันลองแสยะยิ้มออกมา ก็เห็นเขี้ยวสีขาวนวลยาวโง้งออกมา...

เมื่อมองดูมือของตัวเอง มันถูกปกคลุมด้วยขนที่เทาอ่อนเฉกเช่นเดียวกันกับร่างกายของฉันในตอนนี้ พอเอี่ยวตัวไปดูด้านหลัง ฉันก็เห็นหางที่ยาวเป็นพวงอยู่ด้านหลังของฉัน

แล้วเมื่อมองดูไปยังท่อนล่างของตัวเอง เท้ามนุษย์ของฉันมันได้หายไปเสียแล้ว ตอนนี้มันมันได้กลายเป็นอุ้งเท้าแบบสัตว์ในตะกูลสุนัขที่เต็มไปด้วยขนสีเทาอ่อน

ฉันไม่ได้ฝันไป ทุกสิ่งที่ฉันได้สัมผัสและมองเห็น เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า ฉันกลายเป็นมนุษย์หมาป่าตัวเป็นๆ เสียแล้ว

"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!!" ฉันตะโกนอย่างหัวเสียกับตัวเอง ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย! จะทำยังไงกับสภาพแบบนี้!

ฉันเริ่มกระวนกระวายกับสภาพตัวเอง ฉันไม่รู้ว่าเวลานี้ฉันควรทำยังไง ถ้าฉันออกไปข้างนอกในสภาพแบบนี้ ฉันจะถูกจับไปออกงานวัดรึเปล่าก็ไม่รู้ รึฉันจะหาอะไรมาปกปิดสภาพตัวเองตอนนี้ดี

ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปมากกว่านี้ เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของฉัน

"สวัสดี พ่อหมาป่าน้อย" เสียงนั้นเอ่ยขึ้น มันเป็นเสียงของผู้ชายที่ฉันไม่คุ้นหูเลย มันเป็นเสียงของใครกันล่ะ?

"ใครอะ!?" ฉันตะโกนพร้อมหันหลังกลับไปทางต้นเสียง แล้วฉันก็เห็นคนคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงของฉัน เขาใส่เสื้อคลุมแบบมีฮู้ดสีน้ำตาลตุ่นๆ ฮู้ดนั่นทำให้ฉันมองเห็นหน้าของเขาได้ไม่ชัดเท่าไหร่

แล้วคำถามก็เกิดขึ้นพร้อมกับความตกตะลึง ใครกัน? เข้ามาได้ไง? ในเมื่อห้องของฉันล็อคอยู่ ทางหน้าต่าง? เป็นไปไม่ได้ หน้าต่างมีเหล็กดัดติดอยู่ แล้วเขามาโผล่ที่นี่ได้ยังไง

"คุณ...เป็นใคร เข้ามาได้ยังไง" ฉันเอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยเสียงที่ไม่ค่อยไว้ใจกับคู่สนทนาสักเท่าไหร่ ด้วยคำถามสุดเบสิกที่ใช้ได้ดีในสถานการณ์แบบนี้

ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองรึเปล่า เหมือนว่าคนคนนั้นเขายิ้มให้กับคำถามที่ฉันถามไป

"นั่นสินะ ฉันเข้ามาได้ไงกัน" น่าน! ยังมีมาย้อนอีก ฉันชักไม่ค่อยไว้ใจกับอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้ซะแล้วสิ

ด้วยสีหน้าของฉันที่เต็มไปด้วยความสงสัย และไม่ไว้ใจต่อเขา ทำให้เขายิ้มอย่างเห็นได้ชัดแล้วเขาก็หัวเราะออกมา

"ฮ่าๆ อย่าไปใส่ใจเรื่องนั้นเลย พ่อหมาป่าน้อย เอาเป็นว่าฉันมาดีก็แล้วกัน" เขาเอ่ยต่อด้วยเสียงที่เป็นมิตร แต่ฉันยังไม่ไว้ใจเขาเสียทีเดียว ใครจะไปไว้ใจได้ล่ะ อยู่ดีๆก็โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้

ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ความกลัวต่อผู้มาเบือนของฉันมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

"โอเค เข้าเรื่องเลย ที่ฉันมาที่นี่เพื่อที่จะพาเธอกลับไปที่บ้านเกิดของเธอ" พากลับ? บ้านเกิด? สิ่งที่เขาพูด ทำให้ฉันเรื่องสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้าของฉัน

"กลับไปไหน บ้านเกิด? นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!" ใช่ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แค่ตื่นมาเจอตัวเองเป็นมนุษย์หมาป่ายังไม่พอ ยังมาเจอกับใครก็ไม่รู้บอกว่าจะพากลับบ้านเกิด

แล้วบ้านเกิดนี่มันอะไรกัน ในเมื่อฉันเป็นเด็กกำพร้า เกิดที่ไหนก็ไม่รู้ คำพูดพวกนี้ จะเชื่อได้แค่ไหนเชียว

ฉันเริ่มที่จะไม่ไว้ใจเขาอีกครั้งจนแสดงออกมาอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน เขาเองสังเกตได้จากท่าทีของฉัน เขาจึงเอ่ยขึ้น

"เธอคิดว่าฉันโกหกเธอรึ" เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่งเหมือนจะรอคำตอบจากฉัน ซึ่งฉันก็ไม่ได้มีท่าทีตอบรับกับคำถามของเขาแต่อย่างไร

"นั่นสิ ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันก็เลือกที่จะไม่เชื่อคำพูดของคนแปลกหน้าอยู่แล้ว ฉันคงต.." ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงเรียกเข้ามือถือก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะการพูดของเขา

เขาหยิบมือถือของฉันจากตรงหัวเตียง แล้วโยนมาให้ฉันทันที จนฉันเองต้องรีบรับมันก่อนที่จะร่วงลงพื้น

พอรับมันได้ ฉันหันมาทำตาเขียวใส่เขา เมื่อดูเบอร์ที่โทรมา มันเป็นเบอร์ของสานี่นา ฉันเลยรีบกดรับสายก่อนที่สาจะวางไป

"ฮัลโหล มีอะไรเหรอ....อะไรนะ!! เดี๋ยว!!! บัดซบเอ๊ย!!" ฉันสบถขึ้นอย่างหัวเสียกับคู่สายที่ตัดสายไป จะไม่ให้ฉันหัวเสียได้ยังไง เพราะคนที่โทรมาเป็นใครก็ไม่รู้ ที่สำคัญ มันบอกว่ามันจับตัวสาไป!

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!! วันนี้มันอะไรกัน วันมหาวิปโยครึยังไง เรื่องบ้าๆแบบนี้ทำไมมันได้มาทีเดียวพร้อมกับแบบนี้!

ฉันร้อนใจจนรีววิ่งไปที่ประตูห้อง ก่อนที่ฉันจะออกจากห้องไป เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้น

"เธอจะออกไปในสภาพแบบนี้เหรอพ่อหมาป่าน้อย" เขาทักแล้วชี้มาที่ฉัน ฉันเองก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าฉันตอนนี้ฉันกลายเป็นมนุษย์หมาป่า...เอ๋? นี่มัน!

เพราะได้เขาทักฉัน เมื่อฉันดูตัวเอง ฉันก็พบว่าตอนนี้ฉันอยู่ในสภาพเดิมแล้ว คนธรรมดาที่สวมเสื้อผ้าขาดๆ

ฉันจึงรีบคว้าเสื้อผ้าใกล้ๆมาใส่อย่างรีบร้อน ก่อนที่จะรีบออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่จะออกไป ฉันหันกลับไปหาชายนิรนามคนนั้น

"ขอบคุณ..ที่เตือน.." แล้วฉันก็รีบออกไปจากห้องโดยทิ้งชายคนนั้นไว้ในห้องของฉัน

พอเด็กหนุ่มออกห้องไปได้ครู่หนึ่ง ชายในชุดคลุมลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่างห้อง เขามองเด็กหนุ่มที่กำลังวิ่งออกไปจากสถานรับเลี้ยงเด็ก

"เป็นเด็กที่วู่วามจริงๆ" เขาเอ่ยถึงเด็กหนุ่มแล้วส่ายหน้าเบาๆ

"ทั้งหน้าตาทั้งนิสัยเหมือนกับซิสไม่มีผิด" เขาอมยิ้ม "ตามไปดูสักหน่อยน่าจะดี" เมื่อเอ่ยจบร่างของเขาก็หายไปจากริมหน้าต่างอย่างไร้ร่องรอย

- The 1st Chapter  FIN -

...

Link to comment
Share on other sites

บรรยายละเอียดขึ้น  แต่เหมือนความตื่นเต้นหรือจุดอะไรบางอย่างมันน้อยลง

น่าลองเอาพวกตัวหนามาใช้นะพี่

หรือว่าเพราะผมเคยอ่านก็ไม่มั่นใจนะ

Link to comment
Share on other sites

เอาเลยทัก!!!! ไปช่วยคนที่เจ้ารักซะ!!!!

บรรยายสภาพเหตุการณ์และความรู้สึกได้เยี่ยมมากเลยครับท่านแกนโซ ผมละนับถือท่านเสียจริงๆเลย การสรรหาคำมาใช้ก็สุดยอดและก็ลื่นไหลมากจริงๆละครับ

รู้หรือเปล่าครับเนี้ยว่าฟิคนี้ของท่านอ่ะ ทำให้ผมแต่งนิยายเรื่องหนึ่งๆที่คล้ายๆกับเรื่องของทักขึ้นมาด้วยละ อยากลองอ่านไหมละ?......อ๊ะ! ไม่อยากอ่านเหรอ

ไม่เป็นไรละ ผมขอลองส่งไปให้ท่านดูละกัน โฮๆๆ (ไม่รู้ว่าท่านอ่านแล้วยังหรือยังนะ เพราะผมเป็นพวกความจำสั้นด้วยสิ ^^)

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.
×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.