Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

[Rewrite] Silver Fang : Part of Tak


แกนโซ่

Recommended Posts

ว่าจะไม่ดอง สุดท้ายก็ดองเค็มไปจนได้ ;w;

[me=แกนโซ่]กราบขอขมาอย่างแรง [/me]

โปรเจคมามายกับงบการเงินมหาศาล ที่ถาโถมมาจนไม่สามารถทำอะไรได้ ทำให้นิายเรื่องนี้คลอดตอนต่อออกมาช้ากว่าที่คิดมากมาย

นิยายเรื่องนี้มีสองภาค แต่เกิดในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน และเป็นมุมมองของตัวเอกคนละตัว โดยภาคนี้ เป็นมุมมองของ "ทัค"

ส่วนอีกภาคหนึ่ง กำลังพยายามเรียบเรียงใหม่ให้หนักหน่วงตับยิ่งขึ้นอยู่

***ตัวละคร***

img038_1_m.jpg img038_2_m.jpg มาริศ เด็ก ม.5 ธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตอย่างธรรมดา แต่ชีวิตที่สุดแสนจะธรรมดาของเขากำลังจะหายไป เมื่อเขาพบว่าเขาเป็น แวร์วูล์ฟ!?

img039_m.jpg สาริยะ เด็กสาวม.6 ที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่สาวของมาริศ เธอเป็นเด็กกำพร้าเช่นเดียวกัน

img040_m.jpg แม็กโก้เอลฟ์ผู้เป็นอีกตัวแปรที่ทำให้ชีวิตธรรมดาของมาริศเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

***สารบัญ***

Before The 1st Chapter : กำเนิดหมาป่าน้อย

The 1st Chapter :  จุดเริ่มต้นของชีวิตที่ผันเปลี่ยน

The 2nd Chapter : จากลา Part 1 Part2

Link to comment
Share on other sites

~Prologue~

...กาลครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายอยู่ร่วมกับมนุษย์ ดินแดนที่วิทยาการไม่ได้พัฒนามาก แต่เป็นศาสตร์แห่งเวทย์และปรัชญาที่ก้าวหน้า

นั่นคือโลกที่อยู่เบื้องหลังของฉัน โลกที่ให้กำเนิดฉัน

เบื้องหน้านั้น คือโลกที่วิทยาการก้าวหน้า และมีเพียงมนุษย์เป็นผู้ถือวิสาสะครอบครองโลก นั่นคือโลกที่ฉันได้เติบโตขึ้นมา...

...สิ่งที่อยู่รอบตัวของฉันในยามนี้ มีเพื่อนสหายร่วมศึกทั้งสอง ที่กำลังลอยเคว้งอยู่กลางอวกาศ พวกเราไม่มีแรงที่จะขยับเสียแล้ว หมดสิ้นไปกับการจัดการให้มันเรียบร้อย

สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้มีเพียงปล่อยให้แรงดึงดูดพาร่างของพวกเราไปยังโลกที่อยู่เบื้องหลัง สายตาของฉันมองดูโลก ณ เบื้องหน้า ที่บัดนี้กำลังเลือนหายไปช้าๆ

ฉันยกมือขึ้น พยายามจะเอื้อมไป ณ เบื้องหน้า แล้วยิ้มอย่างสุขใจ ก่อนที่ฉันจะค่อยๆ หลับตาลง...

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-

- Silver Fang -

Part of Tak : Before The 1st Chapter

กำเนิดหมาป่าน้อย ( Born of little wolf )

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.- 

...สายลมที่โพยผ่าน แสงไฟที่ส่องไสว ที่ไหน...ที่นี่คือที่ไหน

ร่างสูงร่างหนึ่ง ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด...มีเพียงแสงไฟนีออนที่ดับๆ ติดๆ ที่พอจะส่องไสวให้เห็นร่างของเขาได้

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ...แล้วมองไปที่บางสิ่งที่เขากำลังโอบอุ้มอยู่

สิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา คือเด็กทารกที่กำลังนอนยิ้มอย่างมีความสุขในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา

เขาเพ่งพินิจไปที่เด็กคนนั้น สีหน้าของเขาบ่งบอกได้ถึงความกลัดกลุ้มออกมาได้อย่างชัดเจน

"..." เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

"...ฉัน ...ควรทำอย่างไรดี..." เขารำพันกับตัวเอง แล้วถอนหายใจอีกครั้ง

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-

...ประมาณ สองสามชั่วโมงก่อนหน้านั้น...

ณ ป่าอันกว้างใหญ่ ที่ในเวลาปรกตินั้นมีเพียงแต่เสียงของนกน้อยใหญ่และเสียงกู่ร้องของสรรพสัตว์ ในยามนี้ กลับมีเสียงหนึ่งที่แตกต่างออกไป

เมื่อเงี่ยหูฟังให้ดีๆ เสียงที่ผิดแผกไปนั้นคือเสียงฝีเท้าของคนผู้หนึ่ง ที่วิ่งอย่างรีบร้อน วิ่ง อย่างไม่คิดชีวิต และการวิ่งของเขานั้นมีจุดหมายที่แน่นอน

เขาเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น โดยที่ไม่สนว่าในเวลานี้เขาจะเหนื่อยแค่ไหน เขาต้องการให้มันเร็วขึ้นอีกสักนิด แม้เพียงสักวินาทีเดียวก็ยังดี

ในที่สุด เขาก็ถึงจุดหมายของเขา มันคือบ้านไม้ที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆหลังเล็กๆหลังหนึ่ง...

...นี่คือสถานที่ที่เขาต้องการจะมาถึงโดยเร็วที่สุด

เมื่อเขาถึงที่หมาย แทบจะทันทีที่เขาหยุดฝีเท้า ความเหนื่อยที่ถูกทำให้ลืมไปชั่วขณะเพราะความเร่งรีบ มันได้ทำตามหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรงโดยทันที

เขายืนเกาะขอบประตูแล้วพักหอบระรัวอยู่ครู่หนึ่ง เมื่ออาการหอบเริ่มทุเลา เขาก็เปิดประตูนั่น

โครม!! เสียงประตูถูกเปิดด้วยแรงที่ไม่ได้กะออมเอาไว้ จนมันแทบจะหลุดออกจากตัวบ้าน เมื่อสิ้นเสียงดังลั่น เขาก็ตะโกนขึ้น

"มายะ!!! ล..ลูกของเรา..ป.." ก่อนที่เขาจะตะโกนจบ เสียงหนึ่งจากในบ้านก็เปรยขึ้นเบาๆ

"ชู่ว... เงียบๆหน่อย เดี๋ยวลูกตื่น" เสียงนั้นพูดออกมาเบาๆพอได้ยิน ถึงจะเบาแต่น้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่าผู้พูดกำลังตำหนิได้อย่างชัดเจน

เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงนั้น เขาก็ได้แต่ทำหน้าเหย แล้วยิ้มแห้งๆ เขาเดินเข้ามาในบ้านช้าๆ แล้วปิดประตูลงอย่างเบามือ

ชายคนนั้น มีรูปร่างสูง และค่อนข้างจะดูกำยำพอควร นัยน์ตาสีดำคม และผมสีดำยาวประบ่า มันทำให้เขาดูเป็นชายที่น่าตาดูดีคนหนึ่ง

เขาค่อยๆ เดินตรงไปที่เตียงที่อยู่ไม่ไกลนัก ที่นั่น มีหญิงสาวผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง โดยข้างๆตัวเธอ มีเด็กทารกคนหนึ่ง นอนหลับอย่างมีความสุขอยู่

เธอคนนั้นเป็นผู้หญิงที่หน้าตาคมคาย ใบหน้าของเธอช่างรับกับผมสาวสลวยสีเงินกับนัยน์ตาสีเงินนั้น ทำให้เธอเหมือนมีเสน่ห์บางอย่าง ที่ทำให้ใครต่อใครนั้นมิอาจจะละสายตาจากเธอไปได้

เธอยิ้มน้อยๆอย่างอารมณ์ดี แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ เมื่อชายคนนั้น นั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆเตียงของเธอ

"เธอนี่นะ ไม่รู้จักโตซักที" เธอเอ็ดผู้เป็นสามีแล้วยิ้ม ผู้ถูกเอ็ดก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วเกาหัวตัวเอง

เธอเองเมื่อเห็นผู้เป็นสามี แสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมา ก็อดอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้

เขาก็ได้แต่ยิ้มอายๆ หน้าของเขาแดงระเรื่อ แล้วเบี่ยงหน้าหนีไปอีกทาง พร้อมกับการเปลี่ยนประเด็นในการสนทนาโดยทันที

"อ..อ่า..เออ มายะ" เขาเอ๋ยอย่างตะกุกตะกัก เขาเว้นช่วงหายใจนิดนึง เธอมองเขาด้วยสีหน้าสงสัย แต่ก็ยังไม่ได้ถามอะไร

"...ลูกของพวกเรา ลูกชายรึลูกสาว" เขาถามขึ้น เธออมยิ้มแล้วตอบ

"ลูกชายสิ หน้าตาถอดแบบมาจากเธอเต็มๆเลย" เขาทำหน้างงครู่หนึ่ง แล้วก้มไปดูที่หน้าของเด็กทารกที่อยู่ข้างๆของเธอ

เขายิ้ม แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

"ฮะๆๆ เหมือนเปี๊ยบเลยแฮะ สงสัย เชื้อพ่อมันแรง" เขายิ้มยืดอก เธอก็อดอมยิ้มกับพฤติกรรมของเขาอีกครั้งไม่ได้

"แต่ผมนี่ ได้มาจากเธอมาเติมๆเลย น่ารักจริงๆ ไอ้ลูกชาย" ว่าแล้ว เขาก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาอย่างเบามือ แล้วมองหน้าชัดๆ

"ให้ตายสิ ยิ่งดูยิ่งเหมือน" เขาอมยิ้ม แล้วเขาก็ล้วงบางสิ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขา แล้วเอาสวมใส่ให้เด็กน้อย

มันคือสร้อยเส้นหนึ่ง ที่ร้อยจากลูกหินและเขี้ยวสัตว์ เมื่อเขาส่วมสิ่งนั้นให้เด็กน้อย มันสว่างวาบขึ้นวูบหนึ่ง และเด็กน้อยที่ยังนอนหลับอยู่ก็ยิ้มขึ้นอย่างมีความสุข

เขามองหน้าเด็กน้อยอีกครั้ง แล้วหันมามองภรรยาผู้น่ารัก เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ

"แล้วเรื่องชื่อของลูกล่ะ...ชื่อนั้นมั้ย" เขาถาม

เธอพยักหน้าตอบ เขาหลับตาลง แล้วสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วพูด

"วิญญาณที่คอยดูแลเด็กผู้นี้ จงรับรู้และจดจำนามของเขา นามของเด็กน้อยซึ่งเป็นบุตรของข้าและเธอ คือ... ทาคา อาร์ ซิลเลอร์ ( Taka ar siller ) " เมื่อเขาเอ่ยจบ สร้อยเส้นนั้นก็สว่างวาบอีก

ครั้งเหมือนเป็นการตอบรับ

ผู้เป็นภรรยาก็ยิ้มอย่างมีความสุข เมื่อเขาเอ่ยจบ เขานั่งลงข้างๆเธออีกครั้ง แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

"เล่นง่ายกันจริงๆนะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางข้างหลังพวกเขา

ชายหนุ่มหันกลับไป ร่างที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา เป็นร่างสูงโปร่ง ร่างนั้นใส่เสื้อคลุมและสวมฮู้ดสีน้ำตาลอ่อน

ชายหนุ่มหน้าเบ้ แล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก

"เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยแบบนี้ซักที" เขาว่าผู้มาเยือน ท่าทีของเขาไม่ได้สนใจนักกับคำพูดของเจ้าบ้าน เขาค่อยๆ ถอดฮู้ดและเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นหน้าตาของเขา

เขาเป็นชายหนุ่มผมยาวสีฟ้าคราม นัยน์ตาสีคราม หน้าตาที่เกลี้ยงเกา และเขามีหูที่ยาวแหลม ใช่แล้ว เขาคือเอลฟ์

เอลฟ์ผู้นั้น ใส่ชุดโรบสีกรม นัยย์ตาสีครามนั้นจ้องมองมาที่เขากับเธอแล้วยิ้มอย่างร่างเริง

"ไม่เลิกอะ มีอะไรรึเปล่า ไหน อุ้มหลานหน่อย" ว่าแล้ว เอลฟ์ก็เดินมาที่ชายหนุ่ม เขาค่อยๆ ส่งเด็กน้อยให้เอล์ฟผู้นั้นอย่างไม่เต็มใจนัก

"โฮะๆๆ หน้าตามันพิมพ์เดียวกับพ่อมันเลยนี่หว่า อะ ไม่ต้องทำมาเป็นยืดเลยแก" เขารีบดักทางก่อนที่ชายหนุ่มจะยืดอีกครั้ง

"แต่นะ ชื่ออื่นมีเยอะแยะ ชื่อนี่ไม่สิ้นคิดไปหน่อยรึไง เล่นง่ายๆมากเลยนะ เอา 'ทาคา' มาจากแก แล้วเอา 'ซิลเลอร์' มาจากเธอนี่ ไม่ได้มีความสร้างสรรเลย" เอลฟ์ผู้นี้ยังกัดเรื่องชื่อไม่เลิก ทั้ง

สองก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ

"อะ!!" เหมือนเอลฟ์จะนึกอะไรได้บางอย่าง

ทั้งสองมองเอลฟ์ผู้นั้น เขายิ้ม ก่อนที่จะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ

"อย่างนี้ ฉันก็เป็นพี่แล้วสิ ฮะๆ"  แล้วพูดขึ้นอย่างภูมิใจ แล้วชายหนุ่มก็สวนกลับมาทันควัน

"พี่เรอะ พูดไม่กระดากปากเลยนะ อย่างแกมันต้องลุงสิ แม็กโก้ ฮะๆๆ" เขาหัวเราะเมื่อพูดจบ เอล์ฟหน้าเหยทำแก้มป่องแล้วพูดออกมา

"เสียมารยาท เทียบกับมนุษย์ฉันพึ่ง 20 ต้นๆ เองนะ อ่อนกว่าแกอีก" เสียงที่เขาพูดออกมาดั่งถูกโรคลิ้นเปลี่ยะเล่นงานอย่างฉับพลัน แล้วเขาก็หันไปมองค้อนชายหนุ่ม

"อายุสมองล่ะไม่ว่า แกมันสองร้อยกว่าๆแล้วไม่ใช่เรอะ" เขายิ้ม เอล์ฟหน้าเหยยิ่งกว่าเดิม

"น่าเกลียด ฉันพึ่งจะ 212 ปีเอง" เขาพูดหน้าบึ้งนิดๆ

"งั้นคงต้องให้ลูกชั้นเรียกเธอว่าปู่ซะแล้วสิ" หญิงสาวเอ่ย เอลฟ์ทำท่าทางเหมือนร้องไห้ทันที

"เธอก็ด้วยเรอะมายะ ฮึกๆ แกล้งฉันนี่หว่า" เขาทำท่าจะงอน แล้วชายหนุ่มก็ตีหลังเขาเบาๆ

"ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ที่จะมางอนแบบนี้" เขาหัวเราะ แล้วเอลฟ์ผู้นั้นก็ยิ้ม

แล้วทั้งสามก็คุยเล่นกันไปอย่างสนุกสนาน

...แต่เหมือนสวรรค์แกล้ง เวลาแห่งความสุข มักผ่านไปเร็วเสมอ...

ระหว่างที่พวกเขาทั้งสามกำลังคุยกันเพลินๆ เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้น มันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ แล้วมันก็กำลังตรงมาที่นี่

ทันทีที่ได้ยินเสียง สีหน้าของชายหนุ่มบึ่งตึงโดยทันที

"ชิ...นี่มันจะไม่เลิกตามกันรึไง ขนาดนอกเขตอาณาจักร มันยังตามมาอีก" เขาสบถ

เมื่อเอลฟ์ได้ยินผู้เป็นเพื่อนพูด ก็ได้แต่นั่งซึม แล้วเอ่ย

"มันก็ไม่แน่ ถ้าเป็นคนอื่น ถึงอยู่นอกเขตอาณาจักร ก็คงไม่ตามมาหรอก แต่พวกนายมันโดนหมายโดนตรงจากราชาเลยนี่" เอลฟ์พูด

ชายหนุ่มได้แต่กัดฟันแน่น แล้วเดินไปหยิบดาบที่แขวนบนผนังทันที เขามองดาบนั้นด้วยสายตาเศร้าสร้อยแล้วเอ่ย

"มายะ เธอพอไหวมั้ย" เขาถามผู้เป็นภรรยา เธอพยักหน้าตอบ แต่สีหน้าของเธอไม่ได้มีรอยยิ้มเลย มันเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

เธอค่อยๆ ลุกจากเตียงช้าๆ แล้วเดินไปหาสามี แล้วหยิบดาบอีกเล่ม

"...แม็กโก้ ถ้าเป็นไปได้...ฉันอยากไปจากที่นี่เหลือเกิน ไปจากโลกนี้ มือของฉันจะได้ไม่ต้องเปื้อนเลือดอีก..." เขาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก เธอเขาไปกอดเขาเบาๆ

เอลฟ์ได้แต่มองอย่างหดหู่ แล้วเขาก็เหมือนจะนึกอะไรออก

"คือ..ซิส มายะ ฉันสามารถข้ามมิติได้...แต่..." เอลฟ์เว้นช่วง แล้วหญิงสาวก็เอ่ยต่อ

"...มีเพียงคนเดียวที่เธอจะพาไปด้วยกันได้..." เธอถอนหายใจ แล้วมองหน้าผู้เป็นสามี สายตาของทั้งสองเหมือนกำลังสื่อสารบางอย่างอยู่

กระนั้น ใช่ว่าสิ่งรอบข้างจะมีเวลาเหลือมากมาย เสียงโห่ร้องนั้นกระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งสร้างความกระวนกระวายให้เอลฟ์เป็นอย่างยิ่ง

ทั้งคู่มองตากัน เธอส่งสายตาให้เขาแล้วพยักหน้าช้าๆ ฝ่ายชายที่เห็นดังนั้น จึงพยักหน้าตอบ เขาหันกลับมาหาเพื่อนชายของเขา ก่อนที่จะเอ่ยถ้อยความบางอย่างแก่เพื่อนของเขา

"แม็กโก้! พาลูกของพวกเราไปซะ! แค่เด็กคนนี้เท่านั้น พาไปกับนาย! เดี๋ยวนี้!!" เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่เกรียวกร้าวแต่สั่นเครือด้วยความอาดูร

สายตาของเขาบอกถึงความแน่วแน่แต่เจ็บปวดกับคำพูดที่เอ่ยออกมา เอลฟ์ที่กำลังโอบอุ้มลูกของเขาอยู่นั้น ถึงกับตะลึงกับสิ่งที่เพื่อนของเขาเอ่ยออกมา

"ไม่.จริงน่า..นาย...แล้วพวกนายล่ะ ฉ..ฉันท... อึ๋ก!" เสียงที่เต็มไปด้วยความลังเลถูกเอ่ยออกมาจากเอลฟ์ผู้นั้น

กิริยาของเขาที่แสดงออกมานั้น บอกได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ยอมรับการตัดสินใจนี้ ก่อนที่จะได้ทักท้วง เพื่อนชายได้ตวัดดาบขึ้นมาจ่อคอของเขาพร้อมกับสายตาที่เกรี้ยวกราดจ้องมองมาที่เขา

"รีบไปซะ ไม่ต้องห่วงพวกเรา ยังไง...พวกเราก็ไม่ตายง่ายๆหรอก...แล้วเมื่อลูกของฉันโตเมื่อไหร่ ค่อยพาเขากลับมา...ได้มั้ย นี่คือคำขอร้อง.." เขาค่อยๆลดดาบ แล้วคุกเข่าลงต่อหน้าเอลฟ์ผู้นั้น

สายตาที่เกรี้ยวกราดของชายหนุ่มก่อนหน้านั้น กลับกลายเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความวิงวอนและอาลัย เฉกเช่นเดียวกับผู้เป็นภรรยาของชายหนุ่ม เธอเองก็ส่งสายเช่นเดียวกันนั้นมาที่เอลฟ์

"อะ..อ.." เอล์ฟพูดไม่ออกกับท่าทีของเขาและเธอผู้นั้น เวลาที่ให้ครุ่นคิดเหลือน้อยยิ่งนัก เสียงโห่ร้องยิ่งดังขึ้นกว่าเมื่อกี้ มันกระชั้นชิดเข้ามาเสียแล้ว

เอล์ฟได้แต่กัดปากตัวเองจนเลือดสีแดงค่อยๆ ซึมออกมา เขามองเพื่อนสนิททั้งสองของเขา ก่อนที่จะเบือนหน้าหนีจากสองคนนั้น...

"หวังว่า...พวกเรา คงได้จะเจอกันอีก..." เขาพยายามฝืนใจตอบกลับด้วยเสียงที่สั่นเครือ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะเอ่ย และไม่คิดว่าจะต้องเอ่ยขึ้นกับเพื่อนของเขา เขาหันหลังให้กับเพื่อนของเขา

"ลาก่อน สหาย..." สิ้นเสียงที่เอลฟ์เอ่ย ร่างของเขาได้หายไปจากที่ตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย

"ฉันสัญญา พวกเราจะต้องได้พบกันอีก" เขาลุกขึ้น กำดาบแน่น แล้วค่อยๆเดินออกไปพร้อมผู้เป็นภรรยา

"ถึงแม้ว่า ฉันจะต้องลงนรกทั้งเป็นก็ตาม..." เขาเอ่ยกับตัวเขาเองก่อนที่จะเดินข้ามพ้นธรณีประตู

ทันทีที่ข้ามพ้นธรณีประตู สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาคือเหล่าอัศวินนับร้อย

ร่างของชายหนุ่ม บัดนี้ ได้แปรเปลี่ยนเป็นมนุษย์หมาป่าขนสีดำขลับ แววตาของมันดุดันยิ่งนัก

เช่นเดียวกับหญิงสาวที่ร่างของเธอ กลายเป็นมนุษย์หมาป่าขนสีเงินวาว แววตาของเธอช่างคมกริบ แทบจะเฉือดเฉือนได้ทุกอย่าง

หมาป่าสีดำและสีเงิน บัดนี้ได้อยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าอัศวิน หมาป่าดำจับดาบแล้วชี้ไปที่อัศวินผู้หนึ่งบนหลังม้าสีขาว ดูเหมือนว่าอัศวินผู้นั้นจะเป็นผู้คุมกองอัศวินมา

"ไม่คิดว่าจะเป็นนายนะ..." เขาเอ่ย

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-

...สายลมที่โพยผ่าน แสงไฟที่ส่องไสว ที่ไหน...ที่นี่คือที่ไหน

ร่างสูงร่างหนึ่ง ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด...มีเพียงแสงไฟนีออนที่ดับๆ ติดๆ ที่พอจะส่องไสวให้เห็นร่างของเขาได้

เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ...แล้วมองไปที่บางสิ่งที่เขากำลังโอบอุ้มอยู่

สิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา คือเด็กทารกที่กำลังนอนยิ้มอย่างมีความสุขในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา

เขาเพ่งพินิจไปที่เด็กคนนั้น สีหน้าของเขาบ่งบอกได้ถึงความกลัดกลุ้มออกมาได้อย่างชัดเจน

"..." เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

"...ฉัน ...ควรทำอย่างไรดี..." เขารำพันกับตัวเอง แล้วถอนหายใจอีกครั้ง

ใช่ เขาควรทำอย่างไร ที่นี่คือโลกต่างมิติที่เขาไม่คุ้นเลย เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่

เป็นเพราะเรื่องเพื่อนของเขานั้นหรือ ถึงจะเป็นห่วงสักแค่ไหน แต่เขาก็ค่อนข้างจะแน่ใจว่าเพื่อนของเขานั้นน่าจะรอดไปได้อย่างแน่นอน

แต่เรื่องที่เขากังวลในตอนนี้คือ...

เขา...เลี้ยงเด็กไม่เป็น...

นี่คือปัญหาที่หนักอกของเขามากที่สุดในเวลานี้

ลมกรรโชกได้พัดผ่านเขา แล้วนำสิ่งหนึ่งมาด้วย

แปะ!! สิ่งนั้นคือกระดาษแผ่นหนึ่ง มันถูกลมพัดจนมาแปะที่หน้าของเขา

เขาค่อยๆหยิบมันออกจากหน้า แล้วดูข้อความในกระดาษ เขายิ้มทันที

แล้วเขาก็เหลือบมาที่ทารกน้อยที่กำลังหลับสบาย เขาดูเศร้านิดๆ เขาคว้าบางสิ่งจากอากาศ เขาแบมือออก

สิ่งนั้นคือหินสีเทาขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าหัวแม่มือของผู้ใหญ่ ไม่หนามาก เขาพูดพึมพำสองสามคำ แล้วอักษรสลักก็ปรากฎทั้งสองหน้าของหินนั้น

เขานำมันไปใส่ที่สร้อยคอเขี้ยวสัตว์ที่ทารกสวมอยู่ เขามองทารกน้อยด้วยสายตาเศร้าสร้อย แล้วเอ่ยเบาๆ

"ฉันขอโทษจริงๆ...ยกโทษให้ฉันด้วยนะ พ่อหมาป่าน้อย" เขาเอ่ยกับเด็กน้อยแล้วลูบหัวเบาๆอย่างเอนดู ก่อนที่ร่างของเขากับเด็กน้อยจะหายไปจากหน้าโกดังร้างโดยทันที

- Before The 1st Chapter FIN -

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-

Link to comment
Share on other sites

"ด้วยนามของข้า ทาคา อา ซิลเลอร์ ผูั้มีเลือดหมาป่าศักดิ์ไหลเวียนอยู่ในตัว ข้าขอประกาศว่า ข้านี้คือ แวร์วูฟ"...อา....ยังจำได้อยู่แฮะเรา...

Link to comment
Share on other sites

สนุกดีเน้อ  รออ่านต่อไป :pika10:

ปล. ตอนแรกนึกว่าฟิคของศจ.= ="

Link to comment
Share on other sites

สนุกดีอ่ะ แค่ตอนแรกก็ลุ้นน่าดู ตามอ่านต่อๆ ไป  :pika01:

Link to comment
Share on other sites

เขี้ยวสีเงิน

Fang : เขี้ยว

Silver : สีเงิน

Gold : จะเข้าใจผิดก็ไม่แปลก

Link to comment
Share on other sites

  • 2 weeks later...

- Silver Fang -

Part of Tak : The 1st Chapter

จุดเริ่มต้นของชีวิตที่ผันเปลี่ยน ( Started point of Changed life )

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-

... 17 ปี ต่อมา

ณ ห้องฝ่ายปกครองของโรงเรียนแห่งหนึ่ง...

...เด็กชายสองคนนั่งอยู่หน้าอาจารย์ฝ่ายปกครองที่กอดอกและทำหน้าบึ้งตึง

เด็กชายคนหนึ่งก้มหน้าลงเหมือนกำลังสำนึกผิด แต่อีกคนนั้นหาไม่ เขากับนั่งเฉยๆด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ

และเด็กคนนั้นก็คือฉัน

...ฉันชื่อ มาริศ เป็นเด็กนักเรียนม.5 สายวิทย์ธรรมดาๆ ที่กำลังมีเรื่องที่ต้องถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองสอบสวนเนื่องจากก่อเรื่องทะเลาะวิวาท

ส่วนสาเหตุที่ก่อเรื่องขึ้น มันต้องมีอยู่แล้ว เพราะไอ้คนที่ฉันมีเรื่องด้วย มันกำลังรีดไถเด็กรุ่นน้อง ด้วยความเป็นคนดี (?) บวกกับการที่ฉันทำอะไม่ค่อยคิดซักเท่าไหร่ ฉันเข้าไปรุ่นน้องคนนั้นทันที

ส่วนผลน่ะเหรอ อย่างที่เห็น ฉันกับมันโดนอาจารย์ฝ่ายปกครองลากตัวมาเทศน์และให้บทลงโทษ ซึ่งมันกำลังจะจบลงแล้ว

อาจารย์มองเราสองคนแล้วถอนหายใจ ท่านคลายกอดออก แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก

"นี่พวกเธอ จะมีวันไหนมั้ย ที่จะไม่มีเรื่องกันเนี่ย" ท่านพูดขึ้นด้วยความหนักใจกับพฤติกรรมของนักเรียนในปกครอง

มันก็น่าเห็นใจท่านอยู่หรอก ที่นี่คือโรงเรียน ยังไงก็ต้องยอมรับกันว่าในแต่ละวัน ก็ต้องมีนักเรียนมีเรื่องกันอย่างน้อยรายสองราย จึงไม่แปลกเลยที่ท่านจะบ่นแบบนี้

เครื่องยืนยันอีกอย่างคือ ถึงอายุท่านยังไม่ถึงเลข 5 แต่ผมที่หงอกไปบางส่วนของท่าน กับใบหน้าที่มีริ้วรอยเกินวัย มันบ่งบอกถึงความเครียดที่ท่านต้องมาเป็นอาจารย์ฝ่ายนี้

"เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนายฤทธิเดชที่ไปรีดไถรุ่นน้องแล้วนายมาริศมาช่วยไว้จนทะเลาะกัน" ท่านเหล่มองมาที่คู่กรณีของฉัน

"ประวัติเธอเองก็ใช่ย่อยเลยนะนายฤทธิ์" ท่านมองดูใบประวัติก่อนที่จะสายหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำเรื่องแบบนี้ บทลงโทษของเธอคราวนี้คือ พักการเรียน 1 สัปดาห์ และเชิญผู้ปกครองมาพบ"

เพียงอาจารย์ท่านพูดจบ มันก้มหน้าแล้วปล่อยโฮออกมาทันที ทำไมนะ ที่ตอนทำ มันไม่คิดบ้างเลยว่าผลที่ได้จะเป็นยังไง แต่จะว่าไป ฉันเองก็พอกัน

"เอาล่ะ ส่วนเธอ นายมาริศ เธอเองจะทำอะไรคิดบ้าง ถึงการช่วยคนมันจะดี แต่เลือกวิธีหน่อย อย่าลืม ว่าเธอเป็นนักเรียนทุน เวลามีเรื่องอะไรขึ้นมา มันจะลำบาก" ท่านตักเตือนฉัน

"ครับ" ฉันรับคำด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วแอบเหล่ไปที่มันที่กำลังปล่อยโฮอยู่ข้างๆ

"เอาล่ะ พวกเธออกไปได้แล้ว นายฤทธิ์ เธออย่าลืมนะ พรุ่งนี้ครูมีธุระกับผู้ปกครองของเธอ ส่วนเธอ ผมเผ้าไปตัดบ้าง ถ้าวันจันทร์ไม่ตัดมา เธอเจอทรงลานบินแน่นอน"

ฉันลุกขึ้นแล้วไหว้ท่าน และเดินออกจากห้อง ปล่อยให้มันนั่งร้องไห้ต่อไปในห้องของอาจารย์

เมื่อฉันเดินออกมาจากห้องฝ่ายปกครอง มีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งรอฉันอยู่ เธอคือ สา คนที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและพี่สาวของฉัน เธออยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งเดียวกับฉัน

อะ! ใช่แล้ว ฉันยังไม่ได้บอกสินะ ว่าฉันเป็นเด็กกำพร้า ที่ทางรัฐอุปการะเอาไว้ พร้อมกับเด็กอีกหลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเธอ สา

ฉันเป็นเด็กกำพร้า ไม่รู้ว่าพ่อแม่คือใคร รู้แค่ว่า ตอนที่ฉันเกิด ก็มีคนเอามาวางไว้หน้าสถานรับเลี้ยงเด็ก

สิ่งที่ติดตัวมาตอนนั้น มีเพียงผ้าขนหนู สร้อยประหลายที่มีจี้ทำจากหิน สลักอะไรซักอย่าง และกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆว่า 'ฝากเลี้ยงที'

เพราะกระดาษแผ่นนั้น เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีเลยว่าฉันนั้นถูกทิ้งอย่างแน่นอน

ฉันโตในสถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนั้น ในตอนเด็ก ฉันถูกเด็กเกือบทุกคนรังเกลียด แล้วเหตุผลที่ถูกเกลียดคืออะไรงั้นหรือ เพราะสีผม และสีตาที่ต่างจากชาวบ้านไงล่ะ

เด็กทุกคนตั้งแง่กับความแตกต่างของฉัน แต่สุดท้าย ก็มีผู้กล้าที่ทำลายกำแพงนั้น ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน เด็กสาวที่อยู่กับฉันตอนนี้นี่เอง สาไงล่ะ

หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มเข้าหาคนอื่นได้ เช่นเดียวกันเด็กคนอื่นที่เริ่มเข้ามาหาฉัน เพราะสาแสดงให้เห็นว่าฉันเองก็ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่น ฉันเองก็เป็นเด็กธรรมดาเหมือนกับทุกคน อาจจะมีแค่สีผมสีตาที่มันแตกต่างจากคนอื่นก็เท่านั้นเอง

จนสุดท้าย ฉันกับเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กก็สนิทสนมกัน

แต่ที่ว่าฉันเองก็ไม่ต่างจากเด็กธรรมดา มันคงจะไม่ถูกเลยเสียทีเดียว นอกจากเรื่องสีผมสีตา(ฉันอาจจะเป็นลูกครึ่งลูกควบรึอะไรก็ตาม) ยังมีเรื่องประสาทสัมผัสที่ดีกว่าคนปกติ กับความสามารถในการฟื้นตัวที่ค่อนข้างสูงนี่อีก

แล้วไอ้ความสามารถนี้มันสูงแค่ไหนน่ะหรือ ลองคิดเอาแล้วกัน แผลถลอกตกสะเก็ดโดยใช้เวลาไม่ถึงวัน เอาที่ชัดๆ เลยก็ ตอน 7 ขวบ ฉันตกต้นไม้จนแขนหัก หลังจากเข้าเฝือกแล้ว เพียงเดือนเดียว แขนฉันก็หายสนิทซะแล้ว ทำเอาหมอที่รักษางงกันยกใหญ่(ฮา)

แถมพักนี้ ไม่รู้ทำไมผมของฉันก็ยาวเร็วเหลือเกิน พึ่งตัดไปไม่นาน อาจารย์ก็ทักว่ายาวอีกแล้ว

เอาล่ะ หลังจากฟังฉันสาธยายมานาน เรากลับมากันที่เรื่องที่กำลังจะเกิดกันดีกว่า ทุกเย็น ฉันต้องเดินกลับบ้านกับสา แล้วทางผ่านก็มีทางเดียวและค่อนข้างเปลี่ยว

ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ(?) ฉันต้องเดินกลับกับเธอทุกวัน ถึงซอยจะเปลี่ยวยังไง แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องนักเลงในซอย เพราะฉันกับเธอ เรื่องฝีมือชกต่อยมีพอตัว โดยเฉพาะสา เธอเป็นหัวหน้าชมรมมวยหญิงซะด้วย

แล้ววันที่ก็ไม่ผิดคาด พวกเราเจอนักเลงคนหนึ่ง ยืนดักพวกเราอยู่ นับว่าช่างกล้าที่มันมาคนเดียว มันคงไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรกับมัน

มันยิ้มเย้ย แล้วพูดขึ้น

"ไอ้หนู น้องสาว ถ้าไม่อยากเ..อุ๊บ!!" ไม่ทันที่มันจะพูดจบ บาทาของฉันก็ประทับตราลงไปที่หน้าของมันอย่างบรรจงและตั้งใจ แล้วมันก็ทรุดลงไปกับพื้นทันที

"ฝีมือยังไม่ตกนี่" เธอยิ้มให้ฉัน ฉันยิ้มกลับแล้วพยักหน้าตอบ แล้วเราทั้งสองก็เดินไปจากตรงนั้น โดนไม่เหลียวหลังไปดูนักเลงโชคร้ายคนนั้นให้เสียเวลา

พอพวกเราเดินห่างจากนักเลงดวงตกนั่นได้ซักพักนึง สาก็พูดขึ้น

"เดี๋ยวตอนกินข้าวลงมาด้วย มีเรื่องจะคุยหน่อย" เธอพูดขึ้น เธอคงมีเรื่องอะไรที่จะคุยกับฉันมั้ง ส่วนมากก็คงจะบ่นเรื่องเตรียมเอนท์

"อือ" ฉันรับคำแบบไม่ค่อยใส่ใจนัก

"ไม่ใช่อาบน้ำเสร็จแล้วนอนเลยอีกนะ" เธอฉุนกับการตอบรับของฉัน แล้วจ้องฉันเขม็ง

"คร้าบ..." ฉันลากเสียงตอบกลับไป

"แน่ใจ?" เธอย้ำคำ

"แน่สิ" ฉันตอบ ถึงพูดแบบนั้นไป ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้มั้ย ไม่รู้ทำไม เวลาอาบน้ำตอนเย็นเสร็จ มันชอบง่วงเหลือเกิน

ไม่ทันที่จะพูดอะไรกันต่อ เราสองคนก็มาถึงที่หน้า 'บ้าน' แล้ว

ถึงในสายตาคนอื่น ที่นี่คือสถานรับเลี้ยงและอุปการะเด็กไม่มีพ่อแม่อย่างพวกเรา แต่สำหรับพวกเรา มันคือ 'บ้าน' เพียงหนึ่งเดียวที่ผูกพันธ์

และที่หน้าบ้านนั้น ก็มีเด็กสาวผมสั้นใส่แว่นคนหนึ่งยืนอยู่ เหมือนเธอพึ่งจะกลับมาเหมือนกัน เธอทักเราสองคนทันทีที่เห็น

"ไง ริศ สา กลับมาแล้วรึ" เสียงของเธอ ลักษณ์ เธอสนิทกับสามากๆ สนิทจนหลายคนแซวกันว่าคู่นี้คงเป็นอะไรกันมากกว่าเพื่อน(ฮา) เธอเรียนบัญชีอยู่ปี 3 ส่วนสาเรียนสายวิทย์ ม.6

"กลับมาแล้ว วันนี้เรียนเป็นไงบ้างล่ะ" สาถามลักษณ์ด้วยคำถามที่เหมือนกับทุกวันที่เจอกัน ไม่เบื่อบ้างรึไง

"ก็ยากดี แล้วเธอล่ะ" รายนี้ก็ตอบกลับมาเหมือนเดิมทุกครั้ง ไม่ทราบว่าคุณเธอทั้งสองเป็นบอทรึไงครับ

"เหมือนทุกวันน่ะแหละ วันนี้ติวข้อสอบด้วยแหละ แล้วก็..." สาเริ่มร่ายยาวเรื่องที่เธอเจอมาวันนี้ให้ลักษณ์ฟัง ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปแล้วว่าฉันยังยืนอยู่ข้างพวกเธอ

"เอิ่ม...แล้ว เจอกันตอนมื้อเย็นนะ" ฉัน ผู้ถูกสองสาวลืมโดยสมบูรณ์ บอกพวกเธอ แต่เหมือนว่าบอทสาวทั้งสองจะสนใจกันเองซะมากกว่า

พอปลีกตัวจากสองสาวได้ฉันตรงไปที่ห้องของฉันแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทันทีที่ทำกิจส่วนตัวเสร็จ ความง่วงก็เข้าโจมตีทันที

"อืม....ฮ้าว....." ฉันเริ่มรู้สึกง่วง พอรู้สึกแบบนั้น ฉันก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงโดยไม่สนว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-

"อ..อือ...อืม..." ฉันเริ่มรู้สึกตัว ประสาทต่างๆของฉันเริ่มทำงาน ฉันลุกขึ้นอย่างงัวเงีย แล้วมองไปรอบๆ....

...มืด...สิ่งที่เห็นมีเพียงความมืดและแสงไฟเล็กน้อยจากนอกหน้าต่าง ฉันหันไปดูนาฬิกาบนหัวเตียง

"...5ทุ่ม..." ฉันเกาหัวแกรกๆ เอ...ฉันไม่เคยตื่นกลางดึกนี่หว่า ธรรมดาถ้าฉันหลับตอนเย็น กว่าจะตื่นก็เช้าเลยนี่

เอาเถอะ คิดมาก หนักสมอง แถมตอนนี้ก็หายง่วงแล้ว ทำอะไรดีล่ะ จะลงไปหาสาดีมั้ย ไม่ดีกว่ากว่า ป่านนี้คงจะนอนไปแล้ว ไม่งั้นก็คงจะโดนสวดยกใหญ่

โครก.... เสียงหนึ่งดังจากท้องฉัน น่าน ตื่นมาก็หิวเลย ลงไปหาอะไรใส่ท้องดีมั้ยหว่า

ก่อนที่ความคิดต่อไปจะมา ตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นอะไรเข้า

แสง! แสงอะไรน่ะ มันส่องออกมาจากลิ้นชักใส่ของกระจุกกระจิกของฉันบนหัวเตียง ฉันค่อยๆเปิดมันออกมาช้าๆ

"อะ!" ฉันผงะกับแสงที่ออกมา เมื่อตั้งตัวได้ ก็มองหาต้นแสงนั้น...

"...สร้อย..." ใช่ สร้อย แสงนั้นมันออกมาจากสร้อยที่ติดตัวฉันตอนเด็ก มันส่องแสงสีฟ้าอ่อนๆ ดูแล้วให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก

แล้วไม่รู้ฉันนึกอะไรขึ้นมา ฉันเพ่งมองไปที่อักษรที่สลักบนจี้ของสร้อยนั้น แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจ เมื่อฉันอ่านตัวอักษรนั่นได้

ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ฉันเองก็เคยที่จะพยายามจะถอดความอักษรบนจี้นี้แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะอักษรที่ใช้มันไม่ได้ตรงกับภาษาอะไรในโลก จนฉันล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว

แล้วทำไม ตอนนี้ฉันถึงอ่านมันได้ล่ะ ถึงจะสงสัยแค่ไหน แต่ความอยากรู้ว่าสิ่งที่สลักเอาไว้มันจะมีอะไรบ้างทำให้ฉันเริ่มฉันอ่านมันด้วยเสียงเบาๆ

"สวมสร้อย แล้วพลิกไปอีกด้าน...ฮ่วย!!" พอฉันอ่านเสร็จ ฉันก็สบถออกมา แถมเกิดอาการอยากจะปาทิ้งในบัดดล ไอ้เราก็นึกว่ามันจะสลักอะไรเอาไว้

แต่ตอนนี้ระงับอารมณ์ก่อนดีกว่า แล้วลองทำตามที่มันบอก ฉันสวมสร้อยแล้วพลิกจี้ไปอีกด้านนึง

ฉันค่อยๆอ่านข้อความที่อยู่บนจี้นั้นในใจอย่างช้าๆ และแอบหวังในใจว่ามันคงจะไม่เหมือนกับคราวที่แล้วนะ

และก็ไม่ผิดหวัง ข้อความที่อยู่บนนั้น เหมือนเป็นสวดอะไรซักอย่าง และนอกจากนี้ ในตอนท้าย ยังมีเขียนกำกับว่า ให้อ่านข้อความนั้นด้วยเสียงที่ชัดเจนและถูกต้องด้วย

ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วหลับตาลง และค่อยๆหายใจออกช้าๆพร้อมกับลืมตา แล้วอ่านข้อความนั้นอย่างช้าๆและชัดถ้อยชัดคำ

"...ด้วยนามของข้า..ทาคา อาร์ ซิลเลอร์..ผู้มีสายเลือดแห่งหมาป่าศักดิ์สิทธิ์ไหวเวียนอยู่...ข้าขอประกาศว่าตัวข้านั้นเป็น...แวร์วูล์ฟ...?" เอ๋ ทาคาอาร์ซิลเลอร์ ชื่อของฉันงั้นเหรอ? แวร์วูล์ฟ...มนุษย์หมาป่า? หมายความว่ายังไงกัน?

นอกจากนี้ เสียงที่เอ่ยออกมานั้น กลับมิใช่ภาษาที่ฉันใช้อยู่ทุกวัน มันเป็นภาษาอื่น แต่ทำไม มันคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ

ก่อนที่คำถามอะไรจะรุมเล้าจิตใจไปมากกว่านี้ อยู่ดีๆฉันก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้น...เจ็บจากไหล่ขวา ตรงที่มีปานขาวรูปกากบาทอยู่...

"อุ..อูย.." ฉันเอามือซ้ายกุมไหล่เอาไว้ อ..อึก..ม..มันเจ็บมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ความเจ็บนั้นมันขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ

ไม่นานนัก ฉันก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเจ็บสะท้านไปทั่วตัว ตอนแรกแค่เจ็บแปลบ แต่ตอนนี้ มันปวดร้าวไปทั้งตัว

ฉันปวดจนไม่รู้จะพูดยังไง ปวดจนไม่มีเสียงจะร้องออกมา มัน..เหมือนร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยง...เหมือนกระดูกทั้งร่างมันจะหักสะบั้น...ม..ไม่ไหวแล้ว มันปวดจนสติของฉันจะขาดไปทุกช่วงเวลา

"อะ...อึก...ฮั่กๆ..." นอกจากความเจ็บที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ฉันเริ่มหายใจได้ลำบากขึ้น หัวใจของฉันเต้นรัวและแรงจนเหมือนจะทะลุออกมาจากอก

ลมบ้าหมู ตะคริว รึฉันกำลังจะ...หัวใจวายเฉียบพลันงั้นเรอะ!? ให้ตายสิ นี่มันเกิดบ้าอะไรกับร่างกายของฉันกันแน่!

ฉันเริ่มจะทรงตัวไม่อยู่จากอาการเหล่านั้นที่มันไม่มีทีท่าว่ามันจะทุเลาลง ในที่สุดฉันล้มลงบนเตียง แล้วนอนขดด้วยความเจ็บปวดนั้น

...มันทรมานเหลือเกิน ฉันทรมาน...ม..ไม่ไหวแล้ว...สติของฉันจวนจะหลุดไป...ได้ทุกเมื่อ...

...ก่อนสติของฉันจะหายไป ฉัน..ต้องการความช่วยเหลือ จากใครก็ได้ แต่ตอนนี้ อาการต่างๆทำให้ฉันไม่สามารถที่ตะโกนเรียกหาใครได้ ฉันจะทำยังไงดี...

พอคิดได้แบบนี้ ฉันนึกถึงมือถือบนหัวเตียงทันที ฉันต้องโทรเรียกใครซักคนก่อนที่จะแย่ไปกว่านี้!

ฉันพยายามตะเกียกตะกายไปให้ถึงมือถือ...ตอนนี้การขยับตัวยังรู้สึกว่ายากเลย อาการต่างๆมันรุนแรงขึ้น สติของฉันเลือนลางไปทุกที อีกนิดเดียว... แค่เอื้อมมือไปเท่านั้น...

เหมือนความพยายามจะไร้ผล ก่อนที่มือของฉันจะเอื้อมไปถึงมือถือ ทุกอย่างก็มืดลงโดยฉับพลัน...

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-

"...อือ...อูย..." แสงแดดจากหน้าต่างที่ส่องมาแยงตาฉันจนทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัว ฉันค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วมองดูรอบตัวเอง

...ฉันลงมานอนอยู่กับพื้น เพราะอาการประหลาดเมื่อคืนนั่นรึเปล่า ทำให้ฉันดิ้นจนตกลงมาจากเตียงโดยที่ไม่รู้สึกตัว

จะว่าไปถึงอาการประหลาดนั่น ฉันเองยังรู้สึกเจ็บตามกล้ามเนื้อไปทั่วทั้งตัว นอกจากนี้ยังรู้สึกถึงความล้าของกล้ามเนื้อเหมือนไปออกกำลังกายหนักๆเสียด้วย

ฉันบิดขี้เกียจสองสามทีก่อนที่จะลุกขึ้นเก็บผ้านวมที่หล่นลงมากองข้างๆตัวฉันขึ้นไปบนเตียง แล้วฉันเองก็เหลือบไปดูนาฬิกาที่หัวเตียง

"บ่ายสาม... นี่มันอะไรกันเนี่ย" ฉันรู้สึกมึนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ทั้งอาการประหลาดเมื่อคืน การที่ฉันนอนตกเตียง แล้วการที่ฉันตื่นมาตอนบ่ายสาม

เกิดมาฉันไม่เคยจะตื่นสายอะไรขนาดนี้เลย ถึงวันนี้มันจะเป็นวันเสาร์ก็เถอะ มันไม่ใช่นิสัยของฉันเลย

ฉันนั่งกุมขมับแล้วส่ายหัวอย่างมึนๆ ก่อนที่จะค่อยๆยืนขึ้นแล้วเดินเซไปหยิบผ้าขนหนูมาจากตู้เสื้อผ้า

ระหว่างที่เดินไปตู้เสื้อผ้า ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองรึเปล่า เหมือนสิ่งของในห้องมันดูเตี้ยลง ไม่มั้ง ฉันคงคิดไปเองนั่นแหละ

หืม? ทำไมฉันรู้สึกแปลกๆ ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรส่วนเกินยื่นออกมาจากด้านหลังแถวๆ ก้นกบของฉัน แล้วมันก็แกว่งไปมาระหว่างเดิน

อุปทาน! อุปทานชัวร์ ฉันคงนึกไปเอง เพราะไอ้ข้อความแปลกๆนั่นทำให้ฉันรู้สึกเพี้ยนๆ กับร่างกายตัวเองแน่ๆ

มันจะเป็นไปได้ยังไงที่คนเราจะกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า มันไม่ใช่นิยายซักหน่อย

ระหว่างที่ฉันกำลังคิดอยู่ เมื่อฉันเดินผ่านกระจกเงาที่อยู่ในห้อง ฉันรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดกับตัวของฉัน...

ถึงจะแค่แว่บเดียวก็เถอะ ฉันรู้สึกว่า เหมือนเงาที่ฉายบนกระจกตอนที่ฉันเดินผ่านมันไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่เงาของฉัน มันเหมือนเป็นอะไรซักอย่างที่ไม่ใช่ตัวฉันถูกฉายบนนั้น...

ฉันหยุดเดินหลังจากที่เดินผ่านกระจกไปไม่กี่ก้าว ก่อนที่จะคิดกับตัวเอง

...ริศเอ๊ย แกอุปทาน แกตาฝาด แกคิดไปเองทั้งเพ แกก็เป็นแก ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นได้ นี่ไม่ใช่นิยายสยองขวัญยุค 80 นะเฟ้ย ฉันนึกด่าตัวเองกับความคิดที่ว่าตัวเองนั้นกลายเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์

แล้วไอ้อาการเจ็บเมื่อคืนล่ะ ความรู้สึกแปลกๆตั้งแต่ที่ตื่นมาล่ะ แล้วสิ่งที่แกเห็นบนกระจกเมื่อกี๊ล่ะ... ความคิดอีกด้านหนึ่งของฉันได้คิดค้านออกมา

ฉันถอนหายใจกับความคิดของตัวเองที่กำลังตีกันพัลวัน ก่อนที่ฉันจะหัวระเบิดตายเพราะความคิดในหัวตีกัน ฉันจึงตัดสินใจว่า...

...ดูกระจกซะสิ!!! ยังไงถ้าไม่ประสาทหลอน ฉันก็จะได้รู้ไปเลยว่า ตอนนี้ฉันกลายเป็นอะไรไปแล้ว...

ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะเดินถอยกลับไปตรงหน้ากระจกโดนที่ไม่ได้มองเงาที่ฉายออกมา ฉันหลังตาลงแล้วค่อยๆหันหน้าเข้าหากระจกเงาบานนั้น

ก่อนที่จะลืมตาขึ้น ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าการส่องกระจกมันจะทำให้รู้สึกสับสนและรู้สึกกลัวเท่าครั้งนี้มาก่อน

นี่คงเป็นการส่องกระจกดูหน้าตัวเองที่น่าหนักใจที่สุดในชีวิตของฉันแล้วก็เป็นได้

ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน ฉันกลัว... กลัวที่จะเป็นอย่างอื่นที่ฉันไม่รู้จัก ถ้าฉันกลายเป็นแบบนั้นแล้วฉันจะทำยังไง?

ความกลัวทำให้ฉันไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้น ฉันได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกอยู่ครู่ใหญ่

จะหนีความจริงงั้นหรือริศ! เสียงหนึ่งตะโกนก้องขึ้นในความคิดของฉัน มันทำให้ฉันได้สติ ใช่ ถ้าฉันได้แต่กลัวแล้วมันจะได้อะไร

ความจริงมันก็เป็นความจริงอยู่วันยันค่ำๆ ไม่ช้าก็เร็ว ตัวเราก็ต้องรับรู้แล้วยอมรับมัน หากจะหนีต่อไป มันจะได้อะไร

พอคิดได้แค่นี้ ฉันเริ่มที่จะมีความกล้าพอที่จะลืมตาขึ้น มีความกล้าพอที่จะรับกับสิ่งตรงหน้า ถึงแม้ในใจลึกๆจะหวาดหวั่นกับความจริงก็ตาม

เอาล่ะฟะ! จะหมู่จะจ่า เอาให้มันรู้กันไปเลยทีเดียว! พอฉันคิดได้แบบนี้ ฉันจึงลืมตาขึ้นทันที

"ม..ไม่จริงน่า...!" ฉันอุทานออกมา สิ่งที่ฉันเห็นในตอนนี้ ถึงฉันจะเตรียมใจมาแล้วก็เถอะ แต่ฉันเองก็ยังรับไม่ได้โดยทันที

เงาที่ฉายบนกระจกเงาในเวลานี้ แทนที่จะฉายภาพของของตัวฉัน กลับถูกแทนที่ด้วยมนุษย์หมาป่าที่มีขนสีเทาอ่อนจนออกประกายสีเงินตัวหนึ่ง มันสวมเสื้อผ้าของฉันที่ขาดรุ่งริ่ง

สีหน้าของมันที่แสดงออกมามีทั้งความประหลาดใจและความตกใจในสีหน้านั้น ซึ่งเป็นสีหน้าเดียวกับที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย! ฉันฝันไปใช่มั้ย!

เพี้ยะ!! ฉันตบหน้าตัวเองหนึ่งที ฉันรู้สึกเจ็บทันทีที่ตบตัวเอง... ฉัน ไม่ได้ฝันไป

"อูย..." ฉันกุมแก้มตัวเอง แล้วเพ่งพินิจดูหน้าตัวเองอีกครั้งอย่างละเอียด พร้อมทั้งลูบไปทั่วหน้าของตัวเอง

มือที่สัมผัสได้ถึงขนสัตว์ที่ขึ้นเต็มตามใบหน้า ปากและจมูกที่ยื่นยาว หูที่เรียวแหลม พอฉันลองแสยะยิ้มออกมา ก็เห็นเขี้ยวสีขาวนวลยาวโง้งออกมา...

เมื่อมองดูมือของตัวเอง มันถูกปกคลุมด้วยขนที่เทาอ่อนเฉกเช่นเดียวกันกับร่างกายของฉันในตอนนี้ พอเอี่ยวตัวไปดูด้านหลัง ฉันก็เห็นหางที่ยาวเป็นพวงอยู่ด้านหลังของฉัน

แล้วเมื่อมองดูไปยังท่อนล่างของตัวเอง เท้ามนุษย์ของฉันมันได้หายไปเสียแล้ว ตอนนี้มันมันได้กลายเป็นอุ้งเท้าแบบสัตว์ในตะกูลสุนัขที่เต็มไปด้วยขนสีเทาอ่อน

ฉันไม่ได้ฝันไป ทุกสิ่งที่ฉันได้สัมผัสและมองเห็น เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า ฉันกลายเป็นมนุษย์หมาป่าตัวเป็นๆ เสียแล้ว

"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!!!" ฉันตะโกนอย่างหัวเสียกับตัวเอง ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย! จะทำยังไงกับสภาพแบบนี้!

ฉันเริ่มกระวนกระวายกับสภาพตัวเอง ฉันไม่รู้ว่าเวลานี้ฉันควรทำยังไง ถ้าฉันออกไปข้างนอกในสภาพแบบนี้ ฉันจะถูกจับไปออกงานวัดรึเปล่าก็ไม่รู้ รึฉันจะหาอะไรมาปกปิดสภาพตัวเองตอนนี้ดี

ก่อนที่ความคิดจะเตลิดไปมากกว่านี้ เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของฉัน

"สวัสดี พ่อหมาป่าน้อย" เสียงนั้นเอ่ยขึ้น มันเป็นเสียงของผู้ชายที่ฉันไม่คุ้นหูเลย มันเป็นเสียงของใครกันล่ะ?

"ใครอะ!?" ฉันตะโกนพร้อมหันหลังกลับไปทางต้นเสียง แล้วฉันก็เห็นคนคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงของฉัน เขาใส่เสื้อคลุมแบบมีฮู้ดสีน้ำตาลตุ่นๆ ฮู้ดนั่นทำให้ฉันมองเห็นหน้าของเขาได้ไม่ชัดเท่าไหร่

แล้วคำถามก็เกิดขึ้นพร้อมกับความตกตะลึง ใครกัน? เข้ามาได้ไง? ในเมื่อห้องของฉันล็อคอยู่ ทางหน้าต่าง? เป็นไปไม่ได้ หน้าต่างมีเหล็กดัดติดอยู่ แล้วเขามาโผล่ที่นี่ได้ยังไง

"คุณ...เป็นใคร เข้ามาได้ยังไง" ฉันเอ่ยถามผู้มาเยือนด้วยเสียงที่ไม่ค่อยไว้ใจกับคู่สนทนาสักเท่าไหร่ ด้วยคำถามสุดเบสิกที่ใช้ได้ดีในสถานการณ์แบบนี้

ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองรึเปล่า เหมือนว่าคนคนนั้นเขายิ้มให้กับคำถามที่ฉันถามไป

"นั่นสินะ ฉันเข้ามาได้ไงกัน" น่าน! ยังมีมาย้อนอีก ฉันชักไม่ค่อยไว้ใจกับอาคันตุกะที่ไม่ได้รับเชิญผู้นี้ซะแล้วสิ

ด้วยสีหน้าของฉันที่เต็มไปด้วยความสงสัย และไม่ไว้ใจต่อเขา ทำให้เขายิ้มอย่างเห็นได้ชัดแล้วเขาก็หัวเราะออกมา

"ฮ่าๆ อย่าไปใส่ใจเรื่องนั้นเลย พ่อหมาป่าน้อย เอาเป็นว่าฉันมาดีก็แล้วกัน" เขาเอ่ยต่อด้วยเสียงที่เป็นมิตร แต่ฉันยังไม่ไว้ใจเขาเสียทีเดียว ใครจะไปไว้ใจได้ล่ะ อยู่ดีๆก็โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้

ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ความกลัวต่อผู้มาเบือนของฉันมันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

"โอเค เข้าเรื่องเลย ที่ฉันมาที่นี่เพื่อที่จะพาเธอกลับไปที่บ้านเกิดของเธอ" พากลับ? บ้านเกิด? สิ่งที่เขาพูด ทำให้ฉันเรื่องสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้าของฉัน

"กลับไปไหน บ้านเกิด? นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!" ใช่ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แค่ตื่นมาเจอตัวเองเป็นมนุษย์หมาป่ายังไม่พอ ยังมาเจอกับใครก็ไม่รู้บอกว่าจะพากลับบ้านเกิด

แล้วบ้านเกิดนี่มันอะไรกัน ในเมื่อฉันเป็นเด็กกำพร้า เกิดที่ไหนก็ไม่รู้ คำพูดพวกนี้ จะเชื่อได้แค่ไหนเชียว

ฉันเริ่มที่จะไม่ไว้ใจเขาอีกครั้งจนแสดงออกมาอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน เขาเองสังเกตได้จากท่าทีของฉัน เขาจึงเอ่ยขึ้น

"เธอคิดว่าฉันโกหกเธอรึ" เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่งเหมือนจะรอคำตอบจากฉัน ซึ่งฉันก็ไม่ได้มีท่าทีตอบรับกับคำถามของเขาแต่อย่างไร

"นั่นสิ ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันก็เลือกที่จะไม่เชื่อคำพูดของคนแปลกหน้าอยู่แล้ว ฉันคงต.." ก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงเรียกเข้ามือถือก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะการพูดของเขา

เขาหยิบมือถือของฉันจากตรงหัวเตียง แล้วโยนมาให้ฉันทันที จนฉันเองต้องรีบรับมันก่อนที่จะร่วงลงพื้น

พอรับมันได้ ฉันหันมาทำตาเขียวใส่เขา เมื่อดูเบอร์ที่โทรมา มันเป็นเบอร์ของสานี่นา ฉันเลยรีบกดรับสายก่อนที่สาจะวางไป

"ฮัลโหล มีอะไรเหรอ....อะไรนะ!! เดี๋ยว!!! บัดซบเอ๊ย!!" ฉันสบถขึ้นอย่างหัวเสียกับคู่สายที่ตัดสายไป จะไม่ให้ฉันหัวเสียได้ยังไง เพราะคนที่โทรมาเป็นใครก็ไม่รู้ ที่สำคัญ มันบอกว่ามันจับตัวสาไป!

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!! วันนี้มันอะไรกัน วันมหาวิปโยครึยังไง เรื่องบ้าๆแบบนี้ทำไมมันได้มาทีเดียวพร้อมกับแบบนี้!

ฉันร้อนใจจนรีววิ่งไปที่ประตูห้อง ก่อนที่ฉันจะออกจากห้องไป เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้น

"เธอจะออกไปในสภาพแบบนี้เหรอพ่อหมาป่าน้อย" เขาทักแล้วชี้มาที่ฉัน ฉันเองก็พึ่งนึกขึ้นได้ว่าฉันตอนนี้ฉันกลายเป็นมนุษย์หมาป่า...เอ๋? นี่มัน!

เพราะได้เขาทักฉัน เมื่อฉันดูตัวเอง ฉันก็พบว่าตอนนี้ฉันอยู่ในสภาพเดิมแล้ว คนธรรมดาที่สวมเสื้อผ้าขาดๆ

ฉันจึงรีบคว้าเสื้อผ้าใกล้ๆมาใส่อย่างรีบร้อน ก่อนที่จะรีบออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่จะออกไป ฉันหันกลับไปหาชายนิรนามคนนั้น

"ขอบคุณ..ที่เตือน.." แล้วฉันก็รีบออกไปจากห้องโดยทิ้งชายคนนั้นไว้ในห้องของฉัน

พอเด็กหนุ่มออกห้องไปได้ครู่หนึ่ง ชายในชุดคลุมลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่างห้อง เขามองเด็กหนุ่มที่กำลังวิ่งออกไปจากสถานรับเลี้ยงเด็ก

"เป็นเด็กที่วู่วามจริงๆ" เขาเอ่ยถึงเด็กหนุ่มแล้วส่ายหน้าเบาๆ

"ทั้งหน้าตาทั้งนิสัยเหมือนกับซิสไม่มีผิด" เขาอมยิ้ม "ตามไปดูสักหน่อยน่าจะดี" เมื่อเอ่ยจบร่างของเขาก็หายไปจากริมหน้าต่างอย่างไร้ร่องรอย

- The 1st Chapter  FIN -

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-

Link to comment
Share on other sites

แวร์วูล์ฟตื่นแล้วววว..... :pika10:

มันส์พ่ะย่ะค่ะ ถ้าบู๊จะขนาดไหนน้อ

Link to comment
Share on other sites

  • 2 weeks later...

- Silver Fang -

Part of Tak : The 2nd Chapter

จากลา ( Parting )

Part 1

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-

...ฉันกำลังวิ่งอย่างสุดกำลังโดยไม่ได้สนสิ่งรอบข้าง ณ ตอนนี้ในหัวฉันคิดอย่างเดียวคือต้องวิ่งไปให้เร็วที่สุด เร็วเท่าที่จะเร็วได้!

โครม! ฉันรีบวิ่งจนสะดุดขาตัวเอง แล้วล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ฉันรีบยันตัวขึ้นแล้ววิ่งต่อไปให้เร็วที่สุด

แล้วทำไมฉันจะต้องรีบร้อนขนาดนี้ เพราะอะไร? ก็เพราะคนสำคัญของฉันโดนจับตัวไป!!

พวกมันจับสาไป ฉันไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร แต่อย่างน้อยพวกมันก็บอกถึงเงื่อนไขและที่นัดพบ

นั่นคือ...ให้ฉันไปหาพวกมันตัวคนเดียวที่โกดังร้างแถวชานเมือง ที่ไม่ไกลจาก 'บ้าน' ของพวกเราเท่าไหร่

แม้จะไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร หนทางที่อยู่เบื้องหน้านี้อาจจะเป็นกับดัก แต่สถานะของฉันในตอนนี้ไม่สามารถเป็นฝ่ายที่จะปฏิเสธเงื่อนไขอะไรจากพวกมันได้เลย

พวกมันจับตัวเธอไป หากฉันไม่ทำตามเงื่อนไข พวกมันจะทำอะไรเธอบ้างก็ไม่รู้

ในที่สุดฉันก็มาถึงโกดังร้างแห่งนั้น ฉันหยุดตรงหน้าประตูโกดังแล้วหอบอย่างอย่างหนัก บ่งบอกถึงอาการเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด

ไม่เหนื่อยสิน่าแปลกเล่นวิ่งมาโดยไม่พักเลยนี่นา แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่ฉันจะมาพัก ฉันต้องฝืนตัวเอง พยายามเก็บอาการเหนื่อยเอาไว้แล้วเปิดประตูโกดังเข้าไปทันที!

สิ่งที่ฉันเห็นมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย ไม่มีใครอยู่เลยสักคน! ขณะที่ฉันยังยืนตะลึงอยู่นั้น มีบางอย่างถูกฟาดมาทางด้านหลังของฉันอย่างเร็ว

ฟ้าว!! เสียงของบางอย่างแหวกอากาศไปด้วยความเร็ว แต่มันก็ไม่เร็วพอที่จะทำร้ายฉันได้ ฉันหลบสิ่งนั้นไปอย่างเฉียดฉิว

พอหลบมันได้ ฉันฉากถอยทิ้งระยะออกมาแล้วหันกลับไปดูพร้อมกับตั้งท่าพร้อมสู้ ใครกันที่พยายามจะเล่นงานฉันจากด้านหลัง

แล้วฉันก็เห็นชายคนหนึ่งหน้าตาดูแล้วยังไงมันก็โจรชัดๆ ถือไม้หน้าสามอันเขื่อง นี่ถ้าฉันหลบไม่พ้น คงได้ลงไปนอนนับดาวกับพื้นแน่ๆ

ขณะที่ฉันกำลังสนใจกับผู้มุ่งร้ายตรงหน้า ตอนนั้นเอง เหล่าชายฉกรรณ์นับสิบพร้อมถือไม้หน้าสามคนละอัน พวกมันได้ออกมาจากที่ซ่อนตัวแล้วล้อมฉันเอาไว้

ในตอนนี้ ฉันถูกล้อมเอาไว้ด้วยเหล่าคนที่เห็นหน้าตาแล้ว คิดว่ามันเป็นโจรแน่ๆ อยู่นับสิบ สายตาที่มองมาทางฉันนั้น เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

ฉันตั้งท่าพร้อมรับมือกับพวกมัน ยังไงตอนนี้ฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากต้องจัดการพวกมันแล้วฝ่าวงล้อมออกไป

พอคิดได้อย่างนั้น ฉันจึงพุ่งใส่คนที่จะดักตีหัวฉันตอนที่เข้ามาในโกดัง ฉันกะจะล้มมันให้ได้ก่อนเป็นคนแรก

ก่อนที่ฉันจะไปถึงตัวของมัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะของฉัน

"หยุดซะไอ้หงอก!!!" เสียงนั้นดังขึ้น ฉันหยุดแทบจะทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น แล้วหันไปที่ต้นเสียง ตรงนั้น เสียงมาจากด้านในสุดของโกดังที่มืดจนมองอะไรไม่ค่อยชัด

ฉันพยายามเพ่งดูสิ่งที่อยู่ในเงามืดนั้น เห็นเพียงอะไรบางอย่างที่ดูแล้วน่าจะเป็นคนอยู่ในเงานั้น สอง...ไม่สิ สามคนที่อยู่ ณ ตรงนั้น

แล้วไฟก็เปิดขึ้น มันสว่างทันทีจนทำให้ฉันรู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ พอสายตาเริ่มชินแล้ว สิ่งที่ฉันเห็นอยู่ต่อหน้า มันทำให้ฉันรู้สึโกรธยิ่งขึ้น!

สา!! เธอถูกปิดตาและถูกมัดมือเท้าเอาไว้ เธอดูเหมือนจะสลบอยู่เพราะอะไรก็ตาม และที่ทำให้ฉันโกรธจนแทบคุมสติไม่อยู่คือ นักเลงคนที่ฉันจัดการไปเมื่อวาน มันเอามีดจ่อคอของเธออยู่

"แก!!" ฉันคำรามด้วยความโกรธ ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหมามันโดยไม่สนนักเลงคนอื่น แต่...ฉันต้องหยุดการกระทำนั้นแทบจะทันทีเมื่อมันเอามีดจ่อคอของเธอจนมีเลือดซึมออกมา

"ถ้าไม่อยากให้ยายนี่เป็นอะไรไป แกอยู่นิ่งๆ ตรงนั้นซะ!" มันพูดขู่ฉัน แล้วดูเหมือนว่ามันจะทำจริงด้วย

"ไอ้เลวเอ๊ย!!" ฉันได้แต่สบถออกมา ฉันกัดฟันตัวเองจนดังลั่นด้วยความโกรธ พอมันเห็นฉันตกเป็นรองมัน มันก็ยิ้มแสยะอย่างน่าเกลียดแล้วหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

"เคี้ยก ฮ่าๆๆๆ! ทำอะไรไม่ล่ะสิ! ข้าจะให้แกชดใช้ความผิดที่แกบังอาจมาถีบหน้าข้า จัดการไอ้หงอกนั่นซะ!!!" ทันทีที่สิ้นเสียงของมัน เหล่านักเลงพร้อมไม้หน้าสาม ต่างกรูเข้ามาหมายที่จะจัดการกับฉัน

ฉันตั้งท่าพร้อมสู้กับพวกมัน ยังไงฉันก็น่าจะจัดการพวกมันได้ แต่...ฉันทำไม่ได้...

"โอะๆ อย่าคิดสู้ ไม่งั้นข้าไม่รับประกันความปลอดภัยยายนี่" มันพูดขึ้นเมื่อเห็นฉันตั้งท่าจะต่อยสวนกลับเหล่านักเลงที่กำลังจะเข้ามาจัดการฉัน

"สารเลวเอ๊ย..." ฉันได้แต่กำหมัดแน่น กัดฟันจนเสียงดังลั่น แล้วได้แต่หลบการโจมตีของพวกมันเท่านั้น...

ถึงจะทำได้แค่นี้ก็เถอะ แต่ฉันคิดว่า ฉันน่าจะคอยหลบไปเรื่อยๆแล้วค่อยๆเข้าไปประชิดคนที่มันจับตัวสาได้ แต่มันคงจะไม่ง่ายสักเท่าไหรกับการที่จะต้องคอยหลบไม้ที่มันฟาดใส่ฉันทุกทิศทุกทางแบบนี้

สถานการณ์ในตอนนี้ย่ำแย่มาก แรงกดดันจากการที่สาโดนจับเอาไว้ กอปรกับอาการเหนื่อยจากที่วิ่งมาโดยไม่พักมาก่อนหน้า มันที่เริ่มจะแสดงอาการออกมา

ในที่สุดฉันก็เสียจังหวะจนได้! ขาของฉันหมดแรงกระทันหัน จนฉันเสียการทรงตัว จังหวะนั้นเอง ฉันก็ถูกฟาดด้วยไม้หน้าสามอย่างจังที่หลังของฉัน

พลั่ก!! เสียงไม้ที่ฟาดใส่หลังฉันอย่างเต็มแรงจนทำให้ฉันเซไปข้างหน้าจนเกือบจะล้มลง

"อึ่ก!" ฉันพยายามที่จะยันตัวไม่ให้ล้ม...

ผัวะ!! ไม้หน้าสามอีกอันที่เข้าที่ท้ายทอยของฉันอย่างจัง! ตอนนี้...ฉันรู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุนอย่างเร็วจนมองอะไรลายตาไปหมด ไม่เพียงแค่นั้น ฉันรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆกำลังไหลซึมออกมาจากหัวของฉัน...

ฉัน...ล้มลง แทบจะทันทีที่ฉันล้ม พวกมันต่างเข้ามารุมทำร้ายฉัน ทั้งไม้ ทั้งมือ ทั้งเท้า ต่างประเคนใส่ฉันที่นอนอยู่ไม่ยั้ง...

เจ็บ...มันเจ็บมาก ฉันเจ็บไปทั้งตัว สติของฉันจวนจะหลุดไปได้ทุกเวลา แต่ฉันจะสลบตอนนี้ไม่ได้!!! ฉันพยายามประคองสติของตัวเองเอาไว้ ถ้าฉันสลบไปตอนนี้ แล้วสาจะเป็นยังไง ฉันจะรู้ได้ยังไง

เวลาผ่านไปได้ครู่ใหญ่ หลังจากที่พวกมันจัดการรุมทำร้ายฉันจนสาแก่ใจ มันก็ปล่อยให้ฉันที่โดนทำร้ายจนสะบัดสะบอมนอนทรุดอยู่กลางวงล้อมของพวกมัน

แล้วพวกมันสองคนจัดการหิ้วร่างของฉันขึ้นมาแล้วพาไปหาหัวหน้าของพวกมัน ไอ้ตัวหัวหน้านั่นมันมองฉันด้วยสายตาสะใจพร้อมกับรอยยิ้มที่แสนจะน่าเกลียด

ฉันได้แต่เหลือบตามามองหน้ามันด้วยความแค้น มันหัวเราะอย่างสะใจกับสภาพของฉันในตอนนี้ จังหวะนั้นเอง ฉันพยายามรรวบรวมแรงเท่าที่เหลือ หมายจะถีบมัน!

ผลั่ก!! ก่อนที่ฉันจะได้ถีบมัน มันต่อยสวนเข้ามาที่ลิ้นปี่ฉันอย่างเต็มแรง

"อ่อก..." ฉันทั้งจุกทั้งสำลัก จนอาเจียรออกมา...ตอนนี้ หมัดของมัน กับมือเท้านับไม่ถ้วนก่อนหน้า ทำให้ฉันประคองสติตัวเองไม่อยู่แล้ว

พอไอ้เลวนั่นดึงหมัดกลับไป พวกมันที่หิ้วตัวฉันเอาไว้ ปล่อยมือจากตัวฉัน ฉันที่ไม่มีทั้งเรี่ยวแรงและสติล้มลงทันทีที่พวกมันปล่อยมือ

"นี่สำหรับการกล้ามาถีบหน้าข้า ฮ่าๆๆๆๆ" ด้วยสติอันเลือนลางของฉันตอนนี้ ฉันยังพอจะมองเห็นและได้ยินเสียงหัวเราะของมันที่เต็มไปด้วยความสะใจ

ในตอนนั้น สาเองก็เริ่มรู้สึกตัว เธอคงรู้ว่าตัวเธอโดนจับ เธอจึงพยายามที่จะดิ้นให้หลุดจากสิ่งที่มัดเธอเอาไว้ แต่โชคไม่ดีเท่าไหร่ที่มันเห็นเธอพอดี

ผลั่ก!! เสียงหมัดที่ไอ้เลวนั่นต่อยเข้าไปที่ท้องของเธอ แล้วเธอก็สลบไป...

ถึงเสียงหมัดนั่นจะไม่ดังสักเท่าไหร่...และภาพที่ฉันเห็นในตอนนี้มันพร่ามัวเสียเหลือเกิน...แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันเดือดดาลอย่างที่สุด!!

ตอนนี้ สติของฉันมันไม่เหลือเสียแล้ว เหลือเพียงแค่บันดาลโทษะที่หมายจะฆ่าไอ้บัดซบตรงหน้าเสียให้ได้ บังอาจ...บังอาจ!!! มันบังอาจทำร้ายเธอต่อหน้าฉัน!!!

บัดนี้ความโกรธ โมโห เคียดแค้น มันทะยานขึ้นสูงอย่างรวดเร็วจนเกินขีดจำกัด สติและเหตุผลของฉันหายไปสิ้น เหลือแต่อารมณ์และความคิดจะฆ่าชายตรงหน้าเท่านั้น

ความเจ็บปวดจากการถูกรุมทำร้าย ถูกความโกรธเข้าบดบัง ฉันไม่รู้สึกเจ็บแล้วในตอนนี้ เพราะฉันจะฆ่าไอ้เลวนั่นให้ได้!!!

"ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!" ฉันลุกขึ้นคำรามอย่างโหยหวน เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยโทษะ และการที่ฉันลุกขึ้นมาได้ ทำให้พวกมันตื่นตะลึงไม่น้อย

"จับมันซะ!!" เจ้าตัวหัวหน้าตะโกนสั่งให้พวกของมันที่อยู่ใกล้ที่สุดมาจับตัวฉัน พวกมันสองคนจับแขนของฉันไว้คนละข้างหมายจะหยุดการเคลื่อนไหวของฉัน

แต่พวกมันทำไม่ได้ ฉันดิ้นอย่างรุนแรงพร้อมทั้งเหวี่ยงพวกมันที่จับแขนฉันไปด้วยแรงมหาศาลจนพวกมันกระเด็นไปคนละทาง นี่มันเพราะความโกรธรึเปล่าที่บันดาลแรงมากมายขนาดนี้กับฉัน

พวกมันต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนต้องเว้นระยะห่างจากฉันพอควร แล้วพวกมันยิ่งไม่ไว้ใจฉันมากยิ่งขึ้น กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป...

"อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!" ฉันร้องขึ้นอย่างโหยหวน ตอนนี้ฉันควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เสียแล้ว...

พลัง ฉันรู้สึกถึงพลัง...มันเอ่อล้นออกมาจากในร่างกายของฉัน นอกจากพลังที่เอ่อล้น ยังรู้สึกถึงร่างกายที่กำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์...

"อาาาาาาโบร๋ว~~~~~~~~~~~~" เสียงร้องของฉันในตอนนี้กลับกลายเป็นเสียงหอน แผลถลอกที่เกิดจากการถูกรุมทำร้ายเริ่มสมานตัว ร่างกายของฉันเริ่มขยายตัวและเปลี่ยนแปลง

เขี้ยวเล็บเริ่มงอกยาว ขนสีเงินค่อยๆ ขึ้นปกคลุมร่างกายพร้อมกับปากที่ยืดยาวและหางที่งอกออกมา...พร้อมกับสติที่กำลังจะเลือนหายไป...ได้ถูกแทนที่ด้วยสัญชาติญาณเท่านั้น...

เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างของเด็กหนุ่มได้แปรเปลี่ยนเป็นมนุษย์หมาป่าอย่างสมบูรณ์ แววตาของมันเต็มไปด้วยโทสะและความเกรี้ยวกราด พร้อมทั้งสัญชาติญาณดิบที่พรูพลั่ง

"กรร..." มนุษย์หมาป่าตัวนั้นแยกเขี้ยวพร้อมส่งเสียงคำรามดังในคอ สายตาที่มันมองเหล่านักเลงที่ล้อมตัวมัน เต็มไปด้วยความดุร้าย แล้วมันก็ค่อยๆ เดินไปช้าๆหาเจ้าหัวโจกท์นั่น

ตอนนี้ เหล่านักเลงที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า บางคนตกใจหนีออกไปบ้าง สั่นจนวิ่งไม่ออกบ้าง รึไม่ก็ได้แต่สวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ตัวหัวหน้านั้น มันเองก็ตื่นตะลึงไม่น้อย มันได้แต่เก็บความกลัวเอาไว้ แล้วได้ออกคำสั่งแก่เหล่าลูกน้องของมัน

"จ..จัดการมันสิโว้ย!!!" มันตะโกนสั่ง ก่อนที่มนุษย์หมาป่าจะเข้ามาหามัน เหล่าลูกน้องของมันถึงจะกลัวแค่ไหนก็ต้องทำตามคำสั่งผู้เป็นหัวหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้

"โบร๋ว~~~~~~~~~~~~~~" เสียงหอนดังขึ้น มนุษย์หมาป่าเริ่มขยับตัวหมายที่จะจัดการกับผู้ที่เข้ามาทำร้ายมัน!

ฤๅ มนุษย์ธรรมดาที่มีเพียงไม้หน้าสามจักต่อกรกับมนุษย์หมาป่าได้ ใครที่วิ่งเข้าใส่ หมายจะทำร้ายมัน และใครที่อยู่ใกล้ มันทั้งกัด ทั้งข่วนจนลงไปนอนจมกองเลือดโดยทันที

เพียงไม่นาน พวกนักเลงเหล่านั้นต่างนอนร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ร่างของมนุษย์หมาป่าที่เต็มไปด้วยขนที่เทาอ่อนประกายเงิน บัดนี้กลับถูกชโลมไปด้วยเลือดของเหล่านักเลงเหล่านั้นจนสิ้น

น่าแปลก ที่ไม่มีนักเลงคนไหนถูกทำร้ายจนถึงชีวิต มีแต่นอนโอดครวญด้วยพิษบาดแผลจนลุกไม่ขึ้นเท่านั้น ถึงจะเหลือแต่สัญชาติญาณ มันก็ไม่ฆ่าสิ่งที่ไม่ใช่เหยื่อของมัน เพราะเหยื่อที่มันหมายจะฆ่าให้ตายมีแค่คนเดียวเท่านั้น...

ผู้เป็นเหยื่อก็น่าจะรู้ตัวดี มันสั่นจนหยุดไม่อยู่เพราะความกลัว ใช่ มันกำลังกลัวมนุษย์หมาป่าที่กำลังค่อยๆ เดินมาหามันอย่างช้าๆ หลังจากที่จัดการกับเหล่าลูกน้องของมันไปหมดแล้ว

"กรร~~~~~~~~~~~" มันส่งเสียงคำรามแล้วแยกเขี้ยวใส่ผู้เป็นเหยื่อ สายตาของมันที่มองเหยื่อเต็มไปด้วยความหิวกระหายหมายจะฉีกฆ่าเป็นชิ้นๆ

ร่างของมนุษย์หมาป่าที่เต็มไปด้วยคราบเลือด เหล่าคนที่นอนร้องครวญคราง สิ่งเหล่านี้ทำให้ความกลัวได้กัดกินหัวใจของหัวหน้านักเลงเสียแล้ว

เมื่อความกลัวถึงขีดสุด มันล้มลงแล้วแล้วคลานหนีอย่างลนลาน โดนมนุษย์หมาป่านั้นยังค่อยๆเดินเข้าไปหาเหยื่อของมันอย่างใจเย็น

ในที่สุดเหยื่อของมันก็จนมุม หัวหน้านักเลงนั่นมันสั่นเป็นเจ้าเข้า มันรู้ตัวแล้วว่ามันคงไม่รอด แต่...มันพึ่งจะนึกออกว่ามันมีปืน

เมื่อคิดได้ มันหยิบปืนออกมาอย่างทุลักทุเล มันขึ้นนกไกปืนอย่างลำบากเพราะอาการสั่น พอขึ้นไกได้ มันหันกระบอกปืนพกไปทางมนุษย์หมาป่าทันที

"อ..อย่า...อย่าเข้ามา!!!" มันตะโกนขู่เสียงสั่น แต่ก็ไร้ผล ซ้ำการที่มันมีทีท่าจะต่อสู้กลับทำให้มนุษย์หมาป่านั้นคิดจะฆ่าเหยื่อทันที

มันวิ่งเข้าหาเหยื่อแล้วกระโจนใส่ สีหน้าของเหยื่อเต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อความตาย มันร้องเสียงหลงด้วยใบหน้าเหยเกพร้อมกับได้ทำบางสิ่ง...

ปังๆๆๆๆๆ!!! แก่กๆๆ..ๆ.....ๆ.... ด้วยความกลัวสุดขีดของหัวหน้านักเลง มันได้ยิงใส่มนุษย์หมาป่าไม่ยั้งจนกระสุนหมดรังเพลิง ซึ่งมันก็ได้ผล ร่างของมนุษย์หมาป่าที่กำลังกระโจนใส่ กระเด็นถอยไปตามแรงกระสุน

ตุบ! ร่างของมนุษย์หมาป่านั้นได้หล่นลงพื้น...มันนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงแล้ว

"แฮ่ก...ๆ...ๆ.....ฟืด.." หัวหน้านักเลงหอบอย่างรุนแรงเพราะความกลัวสุดขีด อาการหอบของมันค่อยๆทุเลาลง เมื่อสิ่งที่หมายจะทำร้ายมัน ได้สิ้นฤทธิ์ไปแล้ว

มันลดปืนลง ค่อยๆลุกขึ้นยืน มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันแสยะยิ้มออกมา แล้วระเบิดหัวเราะอย่างเสียสติ

"ฮ..ฮะๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" มันระเบิดหัวเราะอย่างสะใจกับสิ่งที่มันได้ทำลงไป แต่...มันกลับต้องหน้าถอดสีอีกครั้ง เมื่อเห็นร่างของมนุษย์หมาป่าเริ่มขยับอีกครั้ง

ร่างนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ ก่อนที่จะไอออกมาสองสามที พร้อมกับมองไปทางหัวหน้านักเลง

"แค่กๆ...อูย...จ เจ็บชะมัด" ฉันบ่นอุบ จุกชิบ ฉันเอามือซ้ายกุมหน้าอกตัวเอง ฉันโดนยิง...แต่เคราะห์ดีที่กระสุนเกือบทุกนัดพลาด ยกเว้นนัดหนึ่งที่แม่นเหมือนจับวาง มันตรงเข้าหัวใจฉัน

แต่เหมือนฉันคงยังไม่ถึงฆาต เพราะความรีบร้อน ฉันจึงออกมาโดยที่ยังไม่ได้ถอดสร้อยออก จี้สลักของสร้อยจึงมารับกระสุนเข้าพอดี

ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ แรงกระสุนก็ทำเอาฉันจุกเอาเรื่องอยู่ และมันก็ทำให้ฉันได้สติกลับคืนมา

ฉันมองดูรอบตัว...พวกมันทั้งหมดนอนจมกองเลือด ส่งเสียงโอดครวญ...นี่คือสิ่งที่ฉันทำไปตอนที่ขาดสติสินะ

ถึงฉันจะรู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิด แต่มันก็สมควรกับสิ่งที่พวกมันทำกับฉันและสา ไม่ตายก็บุญโขแค่ไหนแล้ว

"อ...อย่า..เข้า...มา...ฉ..ฉัน..กลัวแล้ว...!!!" มันตะโกนร้องเสียงหลง...เสียงของมันดึงฉันกลับมาจากวังวนความคิด

ฉันหันไปมองมันที่ยืนสั่นเป็นลูกนก หน้าของมันบูดเบี้ยวเหยเกแถมยังซีดจนม่วง กลัวสุดๆ สินะ น่าสมเพชชะมัด

ฉันจึงสนองความกลัวของมันด้วยการพุ่งไปหาแล้วเข่าใส่ยอดอกมันเต็มแรงจนร่างของมันลอยขึ้น

"เอานี่ไปกินซะ!!!" ว่าแล้วฉันก็จัดหมัดขวาสวยๆเข้าใส่คางมันเต็มแรง

กร๊อบ!! เสียงกระดูกคางดังลั่น คางของมันคงจะแตกรึไม่ก็หลุด ร่างของมันกระเด็นไปตามแรงหมัดของฉัน แล้วหล่นลงไปกองกับพื้น ร่างมันไม่ไหวติง...หวังว่า คงจะไม่ตายนะ

ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ จบสักที เรื่องวุ่นวายทั้งหมดในวันสุดซวยของฉัน...

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-

- CH2 Part 1 FIN -

Link to comment
Share on other sites

สุดยอด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! :pika10:

สนุกมากครับ อยากอ่านต่อเร็วๆ แล้วสิ

Link to comment
Share on other sites

  • 3 months later...

- Silver Fang -

Part of Tak : The 2nd Chapter

จากลา ( Parting )

Part 2

...จะว่าเรื่องวุ่นๆ มันจบหมดแล้ว มันก็ไม่ถูกสักทีเดียว หลังจากที่ฉันซัดไอ้เลวนั่นจนกระเด็นไปแล้ว ฉันเดินเข้าไปหาสาที่สลบและถูกมัดอยู่

ฉันแกะเชือกที่มัดตัวเธอออก เหลือไว้แต่ผ้าที่ผูกปิดตาเธอเอาไว้ ฉัน...ยังไม่อยากให้เธอตกใจกลัวกับฉันในสภาพนี้...มนุษย์หมาป่าตัวเป็นๆ

นี่คงจะเป็นเรื่องวุ่นวายสุดท้ายของวันนี้แล้วแหละ ฉันเองไม่รู้จะทำยังไงกับร่างตัวเองในสภาพนี้ ถ้าจะรอสักครู่มันจะกลับคืนร่างเป็นคนเหมือนเดิมรึเปล่า รึว่าฉันจะต้องอยู่ในร่างนี้ตลอดไป?

แต่ฉันไม่สนเรื่องพรรค์นั้นแล้ว สิ่งที่ฉันสนในตอนนี้มีเพียง ฉันอยากพาเธอกลับไปที่ 'บ้าน' มากกว่า ฉันจึงค่อยๆอุ้มร่างเธอขึ้นมาอย่างเบามือ แล้วเดินออกจากโกดังแห่งนั้น

พอเดินออกมาจากโกดัง ข้างนอกในตอนนี้ มันมืดเสียแล้ว มีเพียงแสงไปจากหลอดนีออนเก่าๆบนเสาไฟฟ้าคอยส่องแสงสว่างเป็นช่วงๆ

"มืดแล้ว? ฉันอยู่ในนั้นนานขนาดนั้นเชียว..." ฉันเปรยขึ้น แล้วมองไปรอบๆตัวซึ่งมีแต่ความมืดและแสงไปจากหลอดนีออนเท่านั้น

ในตอนนั้นเอง เธอที่ถูกฉันอุ้มอยู่ เหมือนกำลังจะรู้สึกตัว ฉันจึงค่อยๆวางเธอลงบนพื้น แล้วเดินออกห่างจากเธอ

"อ..อูย..." เธอร้องออกมาแล้วกุมไปที่หน้าท้องของเธอ "น..นี่มันที่ไหน..ใครเอาอะไรมาปิดตาฉันเนี่ย!" เธออุทานออกมาด้วยความตกใจ และทำท่าจะแกะผ้าที่ปิดตาเธอออก

"เดี๋ยว!" ฉันร้องตะโกนห้ามเธอ ฉัน...กลัวที่จะให้เธอเห็นฉันในตอนนี้เหลือเกิน เธอเองพอได้ยินเสียงของฉันจึงหันมาทางฉันทันที

"เสียงนั่น! ริศเหรอ ฉันอยู่ไหนเนี่ย มันเกิดอะไรกับฉัน" เธอถามฉัน แล้วเธอค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาทางฉันทั้งๆที่ยังมีผ้าผูกปิดตาเธออยู่

เพราะเธอยังมองไม่เห็นที่แหละ พอเดินมาได้ไม่กี่ก้าวเธอก็สะดุดขาตัวเองจนกำลังจะล้ม ฉันเห็นแบบนั้น จึงรีบเข้าไปคว้าตัวเธอก่อนที่จะล้มทันที

"จะเดินมาทำไม! มองไม่เห็นก็ยังเดินอีก" ฉันตวาดเธอ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอทั้งหมด ฉันเองก็ผิดที่ยังไม่ให้เธอเปิดผ้าปิดตา

"ขอโทษนะ..." เธอเอ่ย และการที่ฉันเข้าไปคว้าตัวเธอทำให้เธอรู้สึกถึงความผิดปกติของฉันได้

"แขนเธอ มัน..." เธอจับแขนขวาของฉัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ฉันเองก็ได้แต่มองแล้วปลงกับตัวเอง

เอาเหอะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ฉันเลี่ยงมันไม่ได้แล้ว...

ฉันจับมือของเธอออกจากแขนของฉัน แล้วเดินถอยออกมาเล็กน้อย เธอเองก็ยืนนิ่งปล่อยให้ฉันถอยออกมา

"ไอ้ที่มันปิดตาเธออยู่ แกะมันออกเถอะ" ฉันเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ ถึงจะเป็นเสียงที่ดูเหมือนปกติแค่ไหน ใจของฉันมันไม่ได้ปกติตามเลย

กลัวเหลือเกิน กลัวเธอจะหวาดกลัวกับตัวฉันในตอนนี้ กลัวเหลือเกินที่เธอจะกรีดร้องแล้ววิ่งหนีไป แต่การที่จะปิดเอาไว้มันคงเป็นไปไม่ได้อยู่ดี...

...ฉันทำได้แค่เพียงยอมรับความจริงเท่านั้น...

เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง เธอค่อยๆแกะผ้าที่ปิดตาของเธอออก แต่เธอยังไม่ลืมตาขึ้น ท่าทีของเธอเหมือนจะลังเลที่จะลืมตาขึ้นมา เหมือนว่าเธอเอง คงจะกลัวเหมือนกับฉัน

ฉันมองเธอที่ยังมีท่าทีลังเล สีหน้าของฉันเต็มไปด้วยความกังวัล และโศกเศร้า ยังไงก็ตามถึงจะทำใจแล้ว แต่ฉันก็ไม่อยากให้เธอกลัวฉัน แค่เธอสักคนก็ยังดี

แล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะลืมตาขึ้น เธอลืมตาขึ้นช้าๆ แต่เพราะถูกปิดตาอยู่นาน แสงไฟที่ส่องสว่างทำให้เธอตาพร่าไปครู่หนึ่ง พอสายตาของเธอชินกับแสง เธอก็มองมายังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเธอ ณ ขณะนี้...

...สีหน้าของเธอที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความตื่นตกใจกับสิ่งที่เธอเห็น ท่าทีของเธอทำให้ฉันเบือนหน้าหนีและไม่อาจจะสบตาเธอตรงๆได้

...ฉัน ทำให้เธอหวาดกลัวเสียแล้ว...

ขณะที่ฉันพยายามหลีกหนีจากภาพตรงหน้า เธอกลับค่อยๆ เดินเข้ามาหาฉันพร้อมกับทำสิ่งหนึ่งที่ฉันเองก็คาดไม่ถึง!

หมับ! เธอคว้าหูของฉันแล้วบีบนวดมันเบาๆ การกระทำของเธอทำให้ฉันตกใจจนหันกลับมา แล้วฉันก็เห็นใบหน้าของเธอที่มีแค่ความแปลกใจไร้ซึ่งความหวาดกลัวใดๆ แสดงออกมา

"นิ่มกว่าที่คิด" เธอพูดขึ้น "แถมขนยังนุ่มมากๆด้วย" เธอพูดต่อแล้วยังคงบีบนวดหูของฉันเล่นต่อ จนฉันเองเกือบจะเคลิ้ม

"ท..ทำอะไรอะ มะ ไม่กลัวฉันรึไง!" ฉันรีบทักท้วงเพื่อเตือนทั้งสติเธอและตัวฉันเอง เธอยิ้มเหมือนเคยแล้วพูดขึ้น

"จะไปกลัวทำไม ในเมื่อเธอคือริศ คนที่คิดมากขี้กังวล..."เธอเว้นช่วง เธอเลิกจับหูฉันแล้วเข้ามาซุกฉัน "...และเป็นคนที่ห่วงฉันที่สุดด้วย ฮึก..ๆ" เธอสะอื้นเบาๆ

ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ฉันไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มาก่อน การที่เธอโดนจับตัวมามันคงทำให้เธอกลัวน่าดู

"ฉันกลัว...กลัวมากตอนที่พวกมันจับฉันไป...ถึงจะกลัวแค่ไหน ฉันก็เชื่อ ว่าเธอต้องมาช่วยฉัน" เสียงที่เธอพูดเต็มไปด้วยความตื้นตันใจ แล้วเธอก็กอดฉันอย่างแรง

ฉันยังไม่ทันตั้งตัวถึงกับสะดุ้งกับการกอดของเธอ อะไรกันเนี่ย ทำไมเธอถึงทำแบบนี้ แค่ซุกก็น่าแปลกใจพอแล้ว นี่ถึงกับกอดกันเลยทีเดียว

"แต่ฉันก็ไม่คิดว่าจะมาช่วยฉันในสภาพนี้ ให้ตายสิ ขนเธอมันนุ่มจริงๆริศ" เธอกอดฉันจนแน่นเหมือนที่เธอเคยกอดตุ๊กตาหมี เสียงของเธอที่พูดออกมามันดูตื่นเต้นกับสิ่งตรงหน้าเสียเหลือเกิน

ปรับอารมณ์ไม่ทันครับ ถึงกับอึ้งรับประทานไปเลย ยายคนนี้ยังเป็นคนที่ฉันเดาอารมณ์ไม่ออกว่าจะเป็นยังไงอยู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

"อ..เอ่อ..เอิ่ม...พอได้แล้วมั้งสา" ฉันรีบตัดบท ให้เธอเลิกกอดฉัน เธอรีบผละออกจากฉันแล้วหน้าแดงทันที อย่าว่าแต่เธอเลย ฉันเองก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงไม่แพ้กัน

อยู่ดีๆ มีผู้หญิงมากอดมาซุก ถึงจะเป็นคนที่โตด้วยกันมาก็เถอะ มันก็แอบที่จะเขินเสียไม่ได้

"แล้ว เราจะทำยังไงกันต่อดี" เธอเอ่ยถาม แล้วมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่แฝงได้ด้วยความกังวล

ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วนั่งลงกับพื้นพร้อมกุมขมับตัวเอง

"นั่นสิ..." ฉันในตอนนี้เองก็ไม่สามารถจะให้คำตอบอะไรเธอได้ ด้วยสารรูปแบบนี้ กลับไปคงไม่วายแตกตื่นกันทั้ง 'บ้าน' แน่ๆ

ฉันนั่งครุ่นคิดว่าจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี อยู่ดีๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

"กำลังคิดไม่ตกอยู่ล่ะสิพ่อหมาป่าน้อย" เสียงนั้น เสียงของชายที่อยู่ดีๆมาอยู่ในห้องฉันได้ยังไงก็ไม่รู้นั่นเอง

พอพวกเราหันไปทางต้นเสียงนั้นก็เจอกับชายคนนั้นในชุดคลุมแบบมีฮู้ดสีน้ำตาลตุ่นๆ ตัวเดิม เขากำลังเดินมาหาพวกเราอย่างไม่รีบร้อนนัก

"นาย!" ฉันร้องทักออกไป เขายิ้มนิดๆ ก่อนที่จะถอดฮู้ดออกมาเผยให้เห็นหน้าของเขาอย่างชัดเจน

สาดูจะตกใจกับสิ่งตรงหน้าไม่น้อย ก็แหงละสิ เอลฟ์ตัวเป็นๆกำลังอยู่ตรงหน้าของเธอนี่

"...นี่มัน...วันรวมญาติอมนุษย์รึนี่" เธอเปรยออกมาด้วยความตกใจ ทำเอาฉันและเอลฟ์ผู้นั้นยิ้มเฝื่อนๆ กับที่ท่าของเธอ

"อะแฮ่ม แม่สาวน้อย เธอจะพูดเกินไปนิดนะ" เขาแค่นเสียงใส่เธอ น้ำเสียงของเขาดูจะเคืองอยู่ไม่น้อย เธอได้แต่ยิ้มรับแห้งๆ

"งั้นมาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า วันนี้ ฉันจะพาเด็กคนนี้กลับ" ว่าแล้ว เอลฟ์ผู้นั้นได้เดินตรงมาที่ฉัน เขาจับไหล่ฉันแล้วหันไปหันไปพูดกับสา

"ส่วนแม่สาวน้อย" เขาเว้นช่วงครู่หนึ่ง "เธอเองช่วยลืมเรื่องในวันนี้ทีนะ" เขาเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ สาและฉันเองมองหน้าเอลฟ์ผู้นั้นอย่างงุนงง

"พากลับ ช่วยลืม!? นี่มันเรื่องอ.." ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดจบ เขายื่นมือไปตรงหน้าของสา แล้วเกิดแสงสว่างขึ้นครู่หนึ่ง

เมื่อสิ้นแสงนั้น ร่างของสาทรุดแล้วลงนอนกับพื้นไม่ได้สติ พอเห็นแบบนั้น ฉันเองก็เลือดขึ้นหน้า ปัดมือที่เขาจับไหล่ของฉันออก แล้วเข้าไปต่อยหน้าของเขาอย่างจัง

ผลั่ก! เขาล้มไปตามแรงของหมัดขวาที่ฉันต่อยเข้าหน้าของเขาอย่างจัง

"แกทำอะไรสา!!" ฉันตะโกนใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนที่เขาจะค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมานั่งแล้วกุมแก้มซ้ายที่โดนต่อย

"อูย..ใจเย็นก่อน" แต่ฉันไม่ได้ใจเย็นตามที่เขาพูด ฉันแยกเขี้ยวใส่เขาพร้อมส่งเสียงคำรามในคอ ฉันพร้อมที่จะเข้าไปจัดการกับชายตรงหน้านี้ทุกเมื่อ

เขาค่อยๆ ยืนขึ้น แล้วส่ายหัวไปมาเบาๆ ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

"เฮ้อ เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ ไม่เคยที่จะฟังที่ใครพูดก่อนเนี่ย" เสียงที่เอ่ยออกมาบ่งบอกถึงความระอาอย่างชัดเจน

"ฉัน ไม่ได้ทำอันตรายเด็กสาวคนนั้น เธอแค่สลบไป" เขาตอบกลับมาอย่างเสียอารมณ์ ฉันยิ่งเดือดเข้าไปใหญ่กับท่าทีของเขา

"ทำให้สลบไป! แกจะทำไปทำไม!" ฉันตะโกนใส่เขา แล้วชี้ไปตรงที่สาล้มลงไป...เอ๋...เธอหายไปไหน

"สา...หายไปไหน นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย" ฉันเริ่มรู้ถึงความผิดปกติ สาไม่ได้อยู่ตรงที่เธอควรอยู่แล้ว

ซ้ำพออารมณ์ของฉันเย็นลงพอที่จะดูรอบตัว ที่ที่ฉันอยู่กับเอลฟ์ผู้นี้หาใช่ตรงหน้าโกดังร้างนั่นแต่อย่างไร รอบตัวฉันตอนนี้มีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ๋ พร้อมกับเบื้องหลังของเอลฟ์ผู้นั้นมีบ้านไม้อยู่หลังหนึ่งด้วย

"ที่นี่ ที่ไหน..." ฉันเอ่ยขึ้นอย่างสับสน แล้วทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง นี่มันอะไรกัน ฉันมาอยู่ในที่ที่ไม่รู้จัก ซ้ำสายังหายตัวไปอีก

"บ้านเกิดของเธอไง" เอลฟ์เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ฉันมองเอลฟ์ผู้นั้นอย่างงุนงงกับเหตุการณ์ทั้งหมด

"แล้วก็ ไม่ต้องห่วงแม่สาวน้อยคนนั้น เธอปลอดภัยดี หลังจากที่เธอสลบไปฉันส่งเธอกลับไปที่บ้านด้วยเวทย์ของฉันแล้ว" เขาเว้นช่วง

"และพอเธอตื่นขึ้นมา เธอจะจำเหตุการณ์ในคืนนี้ไม่ได้" แล้วเขาก็เดินตรงมาที่ฉัน แล้วยื่นมือมาตรงหน้าของฉัน

"ขอโทษด้วยที่ทำอะไรโดยพละการ หากไม่ทำแบบนี้เธอคงจะไม่ยอมมากับฉันแน่ๆ" สีหน้าและน้ำเสียงที่เขาเอ่ยบ่งบอกถึงความเสียใจกับเหตุการณ์ทั้งหมด

ฉันนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ใช่ เขาเองก็ผิดที่ไม่ยอมบอกอะไรฉัน และฉันเองก็ใจร้อนเกินไปจนไม่ฟังที่เขาพูด

"เราเข้าไปข้างในกันเถอะ" เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ พร้อมกับเดินเข้าไปในบ้านที่อยู่ข้างหลังของเขา

"เอ๋!?" ฉันยืนอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่เอลฟ์คนนั้นจะหันกลับมาพร้อมกวักมือเรียกฉันเข้าไปในบ้านหลังนั้น

ฉันยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินตามไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ถึงอยากจะถามก็เถอะว่านี่มันบ้านใคร ถือวิสาสะอะไรถึงเข้าไปได้

จะว่าไป บ้านหลังเล็กๆหลังนี้ถูกสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง และดูจากสภาพรอบๆบ้านแล้วที่มีต้นไม้เล็กๆและหญ้าขึ้นอยู่รอบๆ นั่นก็หมายถึงว่ามันไม่มีคนอาศัยอยู่นานแล้ว

ซ้ำยังมีคราบสีดำเหมือนโดนไหม้อยู่ตามบางส่วนของบ้านด้วย มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านหลังนี้ และคนที่เป็นเจ้าของมันล่ะ ไปอยู่ซะที่ไหน

เอลฟ์ผู้นั้นเดินจนมาถึงประตูหน้า ก่อนที่เขาจะไขกุญแจที่ล็อคประตูหน้าเอาไว้ออก มีกุญแจไข บ้านของเขางั้นรึ

พอเข้ามาในบ้านได้ สิ่งที่เห็นยิ่งยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่มานานแล้ว เหล่าเครื่องใช้ต่างๆที่มีฝุ่นเกาะอยู่หน้านี่เป็นหลักฐานบ่งชี้ได้อย่างดี

แต่มีบางสิ่งที่ทำให้ความคิดเรื่องข้าวของในบ้านหลังนี้ของฉันมันหยุดชะงัก ตั้งแต่ก้าวเข้ามา ฉันรู้สึกถึงกลิ่น กลิ่นไอที่อยู่ในบ้านหลังนี้...ฉัน คุ้นเคยกับมันเหลือเกิน

คุ้นเคยอย่างมาก แต่คิดไม่ออกว่าฉันเคยได้กลิ่นแบบนี้มาจากไหน แล้วความคิดฉันก็หยุดชะงักอีกครั้งเมื่อเห็นโต๊ะทานข้าวที่ตั้งอยู่ภายในบ้าน

สิ่งที่สะดุดตาคือ มันดูมีฝุ่นเกาะน้อยที่สุด และบนโต๊ะนั้นยังมีกระดาษสองสามแผ่นวางไว้โดยมีแจกันทับไว้อยู่ พร้อมกับดาบเล่มหนึ่งที่คะเนจาดสายตาแล้วน่าจะยาวประมาณเมตรนิดๆ วางอยู่ข้างๆ

เอลฟ์ผู้นั้นเองก็ให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่บนโต๊ะนั้น เขาตรงไปที่โต๊ะแล้วหยิบกระดาษเหล่านั้นขึ้นมาดูทันที ทิ้งฉันที่เต็มไปด้วยความสับสนและความสงสัยไว้เบื้องหลัง

เขายิ้มขึ้นหลังจากที่อ่านสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษเหล่านั้น ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นกับตัวเองเบาๆ

"ปลอดภัยสินะ" เขาเอ่ยด้วยความโล่งใจ ก่อนที่เขาจะอ่านกระดาษเหล่านั้นต่อ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

"ฮัดเช้ย!!" ฉันจามเสียงดังจนเขาหลุดออกมาจากโลกส่วนตัว เขาหันมามาฉันก่อนที่จะทำท่าทางเหมือนจะพึ่งนึกได้ว่ามีฉันอยู่ตรงนี้ด้วย

"อะ..ขอโทษทีนะ" เขาเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะหยิบอะไรออกมาจากเสื้อคลุมของเขาแล้วยื่นมาให้ฉัน

"ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน แล้วฉันจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง" เขายื่นเสื้อผ้าชุดนึงมาให้ฉัน ฉันรับมาแล้วดู ชุดนี่มันคุ้นตามาก...

พอดูดีๆ มันไม่คุ้นแล้ว นี่มันชุดของฉันนี่หว่า!

"นี่มัน ชุดของผมนี่" ฉันมองเขาอย่างตกใจ เอาชุดของฉันมาจากไหน

"เอามาจากที่ห้องของเธอนั่นแหละ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ" เขาสั่งแล้วชี้ไปที่ห้องข้างๆ

"แล้วผมจะใส่ยังไงเนี่ย ในเมื่อยังอยู่ในสภาพแบบนี้ อ..อ้าว" พอมองกลับมาที่ตัวเอง ฉันกลับร่างเดิมตั้งแต่เมื่อไหร่

งั้นก็ดี จะได้เปลี่ยนเสื้อผ้าได้ ว่าแล้ว ฉันก็รับเสื้อผ้ามาจากเขา แล้วเขาก็ชี้มือไปทางห้องข้างๆ

"ห้องน้ำอยู่นั่นน่ะ น่าจะมีน้ำให้เธอทำความสะอาดตัวเองได้" เขาบอกฉัน ฉันเองก็เดินไปห้องที่เขาชี้บอกอย่างว่าง่าย

ถึงตอนนี้ในหัวของฉันจะมีคำถามมากมายที่อยากจะถามเขา แต่ฉันเองก็รู้สึกเหนียวตัวมาก ขอพักเรื่องหนักสมองพวกนั้นไว้ก่อนแล้วกัน

หลังจากครู่หนึ่งผ่านไป ฉันจัดการกับตัวเองจนเรียบร้อย โชคดีจริงๆที่มีน้ำอย่างที่เขาบอก ไม่งั้นคงต้องทนเหนียวตัวไปอีกนาน

เมื่อฉันออกมาจากห้องนั้น ฉันเห็นเขากำลังอ่านสมุดเล่มเล็กๆอยู่ หืม? สมุดนั่นมาจากไหนล่ะนั่น แล้วกระดาษที่เขาอ่านเมื่อกี๊้ล่ะ?

ทำไมฉันถึงสงสัยอะไรมากมายขนาดนี้เนี่ย เพราะฉันไม่รู้อะไรเลย รึเรื่องในวันนี้มันเกิดมากมายจนฉันลำดับไม่ทันกันแน่ ถ้าอยากรู้ ฉันก็ต้องถาม

แต่ไม่ทันที่จะได้ถามอะไร เขาก็เอ่ยขึ้น

"อยากจะถามสินะ ทำไมฉันถึงพาเธอมาที่นี่" เขาเอ่ยขึ้น ฉันเองก็พยักหน้าตอบเบาๆ

"17 ปีก่อน ตอนนั้นมีสามีภรรยาอยู่คู่หนึ่ง พวกเขาโดนตามล่าจากอาณาจักรแห่งหนึ่ง" เขาเริ่มเล่าเหตุการณ์

"แล้วพวกเขาโดนตามล่าเพราะอะไร" ฉันถามขึ้น

"ผลพวงจากคำสั่งที่ไร้สติของราชา จนทำให้ฝ่ายชายรับไม่ได้กับราชาของตน เขาจึงพาภรรยาของตัวเองหลบหนีออกมาจากอาณาจักร" เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

"พอหนีออกมาแบบนี้ ราชาก็กริ้วจนสั่งให้ตามล่าทั้งสองคนนั้น พวกเขาเองได้แต่สู้ไปหนีไป จนมาถึงที่นี่ เขาคิดว่าพวกทหารจะไม่ตามพวกเขามาแล้ว" เอลฟ์เว้นช่วง

"แต่เขาคิดผิด พวกทหารยังตามมาอย่างไม่ลดละ และพวกเขาก็มีทายาทตัวน้อยๆขึ้นมา นั่นก็คือเธอ" เขาชี้มาที่ฉัน

"สองคนนั้นเหนื่อยที่จะหนีอีกต่อไป จึงฝากเธอมาให้ฉันพาข้ามมิติ เพื่อจะได้ปลอดภัยจากการตามล่า และเมื่อเธอโตพอ ก็ให้ฉันนำเธอกลับมายังที่บ้านเกิดของเธอ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

โตพอที่จะพากลับมา!? เหตุผลเพียงเท่านี้ทำให้ฉันต้องจาก'บ้าน' และเพื่อนๆที่ฉันโตมาด้วยกัน พอได้ยินแบบนี้ ฉันเองก็อดที่จะโมโหไม่ได้

"แล้วคุณก็พาผมกลับมาโดยที่ไม่คิดจะถามความสมัครใจของผมเลยสินะ" ฉันโต้กลับไปด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโห

"ถึงจะไม่อยากกลับก็ต้องกลับอยู่ดี เธอคิดว่าสภาพร่างกายของเธอที่แตกต่างแบบนี้ มันจะไม่มีปัญหากับการใช้ชีวิตที่โลกนั้นรึยังไง" เขาย้อนฉันกลับมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ

ฉันเองก็ได้แต่นิ่ง ที่เขาพูดมามันก็ถูก ฉัน...ไม่ใช่มนุษย์ ฉันเป็นมนุษย์หมาป่า ฉันไม่รู้ว่าด้วยสภาพร่างกายของฉันที่ต่างกับคนอื่นนั้น มันจะพาปัญหาอะไรมาให้ฉันในอนาคต

ที่สำคัญคือ ฉันอาจจะขาดสติและทำร้ายทุกคน...ทุกคนที่ฉันผูกพันธ์ด้วยโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

ฉันก้มหน้าลงรับความจริงข้อนี้ ยังไงฉันเองก็ต้องกลับมา ถึงจะไม่อยากก็ตาม

"ขอโทษกับเรื่องทั้งหมดด้วยนะ" เขาขอโทษฉัน น้ำเสียงที่เอ่ยมาบอกว่าเขาเสียใจกับเหตุการณ์ทั้งหมดจริงๆ ฉันเองได้แต่พยักหน้าตอบเบาๆ

บรรยากาศรอบๆตัวพวกเราสงบนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะเอ่ยขึ้นต่อ

"ต่อไป ฉันจะเข้าเรื่องต่อนะ ฉันพาเธอกลับมาที่นี่ และเธอก็ยังไม่รู้อะไรกับที่แห่งนี่เลยใช่มั้ย?" เขาถามขึ้น ฉันพยักหน้าตอบกลับ

"บ้านหลังนี้ คือบ้านของพ่อแม่เธอ พวกเขาปลอดภัยดีหลังจากที่ฉันพาเธอข้ามมิติไป" เขาพูดพลางกวาดมือไปรอบๆ

"พ่อกับแม่ผม? แล้ว เขาอยู่ที่ไหนกัน" ฉันถามขึ้นด้วยความสงสัย เขาปลอดภัย แต่ทำไมไม่อยู่ที่บ้าน แถมที่นี่ยังเหมือนถูกทิ้งไปหลายปีแล้ว

"ฉันเองก็ไม่รู้ คิดว่าคงมีเหตุอะไรที่ทำให้พวกเขาต้องไปจากที่นี่ แต่อย่างน้อย เขาก็ทิ้งนี่เอาไว้" ว่าแล้ว เขาก็หยิบดาบเล่มเขื่องที่วางอยู่บนโต๊ะมาให้ฉัน

ทันทีที่รับดาบมา ฉันเองแทบจะทรงตัวไม่อยู่เพราะน้ำหนักของมันที่หนักกว่าที่คิดเอาไว้ ก็แหงล่ะสิ เหล็กทั้งดุ้นเลยนี่หว่า

พอตั้งสติได้ ฉันพอที่จะปรับสภาพกับน้ำหนักของดาบ ฉันค่อยๆจับดาบให้มั่นแล้วยกขึ้นมาพิจารณาดู

มันดาบเล่มเขื่องที่มีด้ามจับยาวราวๆฟุตนึง ที่ด้ามจับมีหนังบางๆพันเอาไว้ ให้จับถนัดมือ และใบดาบสองคมยาวประมาณเมตรนิดๆ ซึ่งมันมีรอยขนแมวอยู่ทั่วใบดาบ

นั่นหมายความว่า มันคงเคยถูกใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว นอกจากนี้ ใกล้ๆกับปลายดาบ มีอะไรสลักอยู่ มันสลักด้วยอักษรที่ฉันไม่เคยเห็น

"แด่อัศวินแห่งเชน เฮ้ย! ทำไมผมถึงอ่านมันออก" ฉันเอ่ยขึ้นหลังจากที่มองดูคำที่สลักนั่น แล้วตกใจที่ทำไมฉันถึงอ่านมันได้ แล้วฉันเองก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆมาจากตรงหน้าฉัน

"ฉันทำให้เธออ่านมันได้ มันมาจากสิ่งนี้" แล้วเขาก็ชี้มาที่จี้ที่ฉันสวมเอาไว้

"ฉันฝังเวทย์ที่ช่วยให้เธอรับรู้ภาษาของที่นี่ แต่มันจะช่วยเธอไปซักระยะนึง จนกว่าเธอจะเรียนรู้ภาษาของที่นี่เองได้" เขาอธิบายเกี่ยวกับจี้นั่น

"แล้วสร้อยนี่ล่ะ" ฉันถามถึงสร้อยที่ฉันใส่

"ใส่ไว้อย่างนั้นแหละดีแล้ว เก็บเอาไว้กับตัวอย่าให้ห่าง มันจะช่วยเธอได้ในอนาคต" เขาตอบ

"อะ เอานี่ไปด้วย" เขายื่นฝักดาบกับสมุดเล่มที่เขาอ่านเมื่อก่อนหน้ามาให้ฉัน

ฉันรับฝักดาบมาเก็บดาบของฉัน แล้วสะพายหลัง ก่อนที่จะรับสมุดนั้นมา มันเป็นสมุดเล่มเล็กที่หนาประมาณ 2-3 เซน

"แล้ว..เออ" ฉันเว้นช่วงไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ "ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณเป็นใคร แล้วจะเรียกคุณว่าอะไรดี" ฉันถามพลางเกาหัวเบาๆ ก่อนที่เขาจะยิ้มแล้วตอบกลับมา

"นั่นสิ ลืมไปสนิทเลยว่ายังไม่ได้บอกชื่อให้เธอรู้เลย ฉันชื่อแม็กโก้ เป็นเอลฟ์" เขาตอบกลับ

"อ่าฮะ คุณแม็กโก้ ทำไมต้องให้ดาบเล่มนี้มาให้ผม ที่สลักไว้ที่ดาบมันหมายความว่าไง แล้วยังสมุดเล่มนี้อีก" ฉันถามเขาต่อ

"ดาบนี่เป็นของพ่อของเธอนั่นแหละ ที่สลักไว้ก็ตามความหมายของมัน เขาเป็นอัศวินของอาณาจักรเชน ส่วนสมุดนี่ เธอหาเวลาลองอ่านดู" เขาตอบ

"ส่วนรายละเอียดที่เหลือ ฉันจะเล่าให้เธอฟังต่อระหว่างทาง" แล้วเขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก

"ห หา ระหว่างทาง?" ฉันตกใจกับคำตอบของเขาแล้วรีบเดิมตามไปทันที

"ใช่ ระหว่างทาง เดี่ยวพวกเราจะเดินไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด น่าจะใช้เวลาประมาณวันสองวันได้" เขาเว้นช่วง

"และฉันจะสอนเธอให้รู้ถึงพื้นฐานในการเอาชีวิตรอดในโลกแห่งนี้" เขายิ้ม รอยยิ้มของแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่บอกได้ว่ามันไม่ค่อยจะสู้ดีแน่ๆ

"หา!!" ฉันได้แต่ตะลึงกับคำตอบแล้วยิ้มแห้งๆ

"งั้นพวกเราก็เริ่มเดินทางกันได้" ว่าแล้ว เขาก็เริ่มเดินไปทันที ฉันเอง ก็ต้องตามเขาไปอย่างช่วยไม่ได้

เอาล่ะสิ ชีวิตของฉันมันมีเรื่องวุ่ยวายอีกแล้ว การเดินทางของฉันจะเป็นยังไงต่อไป ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ฉันรู้สึกได้ว่า มันคงทำให้ฉันเปลี่ยนไปตลอดกาลแน่นอน

- The 2nd Chapter  FIN -

.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-

Link to comment
Share on other sites

หลังจากดองเค็มมานาน(มาก)

อยากอ่านต่ออีกอะ T_T (หวังว่ากว่าจะอัพอีกตอนคงไม่ดองเค็มอีกนาน)

Link to comment
Share on other sites

พึ่งมาอ่านครั้งแรกไล่แต่เริ่มยันตอนล่าสุด

บอกได้คำเดียวว่า...สนุกมาก!! อยากอ่านต่อ!!>w<~

(ดูจากวันที่ตอนก่อนแล้ว...ขอร้อล่ะอย่าดองนานนะฮะT T)

Link to comment
Share on other sites

  • 2 weeks later...

โอ๊ะ!! ตอนใหม่มาแล้ว

สนุกมากครับ :pika01:

แทนที่สาจะกลัวริศ กลับโผเข้าเล่นหูซะงั้น แถมกอดริศแบบไม่ให้พระเอกของเราตั้งตัวอีก

เล่นเอาพระเอกเราเขินไปเลย :pika01:

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.
×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.