Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

{[- Heart Remedy -]} มนตราเยียวยาหัวใจ (Updated : 8/5/2019)


bluewind

Recommended Posts

ก่อนอื่นต้องสวัสดีท่านผู้อ่านทุกคนด้วยนะครับ

 

หลังจากที่แต่งฟิคพลาดแล้วพลาดอีกหลายเรื่อง แล้วก็จบลงด้วยการดอง แต่วันนี้ ผมจะต้องลงฟิคที่จะต้องเขียนจบให้ได้อย่างแน่นอน เพราะผมได้มีการเขียนโครงเรื่องไว้ยาวจนถึงตอนจบเรียบร้อย เหลือเพียงวาดรูปและขยายให้เป็นเนื้อหาฟิคเต็มรูปแบบเท่านั้น และที่สำคัญ นี่เป็นฟิคออริจินัลที่ผมแต่งเนื้อเรื่องเอง ออกแบบตัวละครเอง และองค์ประกอบต่างๆในเรื่องนี้เองทั้งหมด ต้องขอขอบคุณเพื่อนๆหลายๆคนที่ช่วยผมในการออกแบบตัวละครและเนื้อเรื่องบางส่วนให้ผมสามารถแต่งโครงเรื่องนี้จนจบได้ครับผม

 

โพสนี้อาจจะมีการแก้ไขเรื่อยๆตามเวลาและการดำเนินเรื่องที่ผ่านไปในแต่ละช่วงนะครับผม

 

ว่าแล้วก็ มาเริ่มกันเลย ผมหวังว่าท่านผู้อ่านทุกคนจะสนุกกับเรื่องราวที่ผมได้เขียนขึ้นนะครับ :pika01:

Link to comment
Share on other sites

Heart Remedy ภาคปฐมบท : เด็กสาวที่ถูกพลัดพราก (Prologue : Separated Girl)

 

 

โลกของเรามีสิ่งมีชีวิตสองประเภทใหญ่ๆที่ดำรงชีวิตอยู่อาศัย ที่มีสติปัญญา และมีความรู้สึกนึกคิดอันลึกซื้ง นั่นคือมนุษย์ และสัตว์

 

 

แต่โลกของเรื่องราวต่อไปนี้ เหล่าสัตว์ได้มีวิวัฒนาการ เพื่อการปรับตัวให้อยู่รอดขั้นสูงสุด นั่นคือ การมีสภาพร่างกายโดยรวมคล้ายมนุษย์ มีแขนขา และองค์ประกอบร่างกายส่วนใหญ่ที่เหมือนมนุษย์ แต่ก็ยังคงลักษณะเด่นของสัตว์ชนิดนั้นๆไว้อยู่ เราเรียกสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ว่า เผ่าบีสต์

 

 

การวิวัฒนาการจากสัตว์มาเป็นเผ่าบีสต์ มีไว้เพื่อการใช้ชีวิตร่วมกับพวกมนุษย์ได้อย่างเท่าเทียม ในสมัยที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ทะนงตัวว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ และอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร

 

 

ส่วนพวกแมลงที่ตกเป็นเบี้ยล่างของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนั้น จะมีวิวัฒนาการไปในทางที่ทรงพลังและดุร้ายกว่าเดิมมาก เพื่อใช้ในการล่ามนุษย์และพวกบีสต์เป็นอาหารเพิ่มเติม ด้วยเหตุผลที่ผลิตภัณฑ์จากพืชที่เป็นอาหารดั้งเดิมของเหล่าแมลงนั้น ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตและขยายเผ่าพันธุ์ เราเรียกสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ว่า เผ่าเมก้าโทรพ็อด

 

 

ถึงกระนั้นการวิวัฒนาการของแมลงเป็นเมก้าโทรพ็อดนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นได้ทุกตัว ยังคงมีประชากรแมลงบางส่วนที่เป็นแมลงอยู่เช่นเดิม แต่ก็เท่ากับว่าในตอนนี้ จำนวนประชากรแมลงทั้งหมดบนโลกได้กลายเป็นเมก้าโทรพ็อดไปครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว

 

 

และยังมีเผ่าพันธุ์อื่นๆอีกที่ไม่ได้กล่าวถึงใน ณ ที่นี้ ซึ่งจะถูกเปิดเผยเมื่อเรื่องราวนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆในภายหลัง...

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

ครืน!...ครืน!...ตึง!...

 

 

ณ ทางเดินภายในปราสาทหลังหนึ่ง ที่มีเสียงอึกทึกของบางสิ่งบางอย่างอันแสนวุ่นวายจากภายนอกดังอื้ออึงเข้ามาจนถึงภายใน โคมระย้าแก้วแต่ละดวงที่แขวนไว้กับเพดานของทางเดินนี้มีการแกว่งไกวเล็กน้อยทั้งที่มันควรจะอยู่นิ่ง และดวงไฟสีเหลืองนวลของมันหรี่ลงเป็นระยะๆ ตามความสั่นสะเทือนที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งปราสาทเป็นช่วงๆ

 

 

ชายหญิงคู่หนึ่งที่สวมเครื่องแต่งกายประดับลายที่สวยงาม ดูแล้วติดตา ราวกับว่าเป็นผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์ กำลังวิ่งไปตามทางเดินนี้อย่างกระวนกระวาย หายใจแรงด้วยความตื่นตระหนก ประกอบกับหน้าที่ของพวกเขาทั้งคู่ที่ต้องดูแลอีกชีวิตหนึ่งที่พวกเขาพาวิ่งมาด้วยอย่างดีที่สุด เธอคือเด็กสาวผู้มีผมยาวสลวยสีทอง สวมชุดเด็กผู้หญิงที่ดูหรูหราผิดกับเด็กสาวทั่วๆไป ให้ความรู้สึกแก่ผู้ที่พบเห็นว่าดูน่ารักและสง่างามไม่น้อยไปกว่าคู่ชายหญิงที่พาเธอมาด้วยเลย

 

 

โครมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!

 

 

แต่แล้วบางสิ่งบางอย่างที่แสนทรงพลังก็กระแทกกำแพงจุดหนึ่งที่อยู่ข้างทางเดินนี้ออกมาขวางทางพวกเขาทั้งสามคนเอาไว้ เศษหินเศษไม้ที่ปลิวว่อน และเสียงแตกกระจายดังกึกก้องของกำแพงที่สร้างความตกใจและสั่นประสาท บ่งบอกถึงระดับความน่ากลัวของอันตรายที่พวกเขาต้องเผชิญได้อย่างชัดเจน

 

 

ร่างๆหนึ่งที่พังกำแพงออกมาได้ค่อยๆลุกขึ้นยืนและหันหน้ามา มันมีรูปร่างหน้าตาแลดูคล้ายชุดเกราะสีเขียวขี้ม้าเดินได้ที่มีร่างกายสูงใหญ่จนหัวเกือบชนเพดาน ใบหน้าของมันก็ปกปิดไว้ด้วยเกราะหัวอย่างมิดชิด มีเพียงแสงเล็กๆที่น่าสะพรึงกลัวของดวงตาของมันจากช่องเกราะที่มองลอดออกมา ส่วนร่างกายของมันนั้น เพียงแค่มองด้วยสายตาปราดเดียวก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งทนทานของชุดเกราะแม้ไม่ได้จับต้องด้วยมือ ผิดกับชุดเกราะทั่วๆไปที่พวกเขาเคยเห็น ที่ดูเหมือนเหล็กแผ่นบางๆประกอบกันเป็นชุดเกราะ แต่ร่างของชุดเกราะที่ประจักษ์แก่สายตาของคู่ชายหญิง และเด็กสาวนี้ เหมือนกับก้อนเหล็กเดินได้ขนาดใหญ่โตมากกว่า

 

 

ชายหญิงคู่นี้ตัดสินใจหันหลังกลับจะหนีไปอีกทาง แต่ก็พบว่าพวกเผ่าบีสต์ที่สวมชุดออกรบจำนวนมากได้ปิดทางด้านหลังพวกเขาไว้แล้ว เสื้อผ้าของพวกเขาที่มีเพียงแผ่นเหล็กและหนังปกปิดตามจุดสำคัญต่างๆ ก็เพียงพอที่จะแสดงความดิบในแบบนักรบเถื่อนของพวกเขาได้แล้ว

 

 

“ท-ทำไงดีคะท่านพ่อ! ท่านแม่! เราถูกปิดล้อมไว้หมดแล้วนะ!” เด็กสาวผมทองร้องถามคู่ชายหญิงที่ดูเหมือนจะเป็นพ่อและแม่ของเธอ

 

 

“ใจเย็นๆนะลูเซีย ลูกจะไม่เป็นไรแน่นอน พ่อสัญญา” ผู้เป็นพ่อยังคงรักษาความเยือกเย็น คอยปลอบประโลมลูเซีย ลูกสาวที่รักยิ่งของเขาไม่ให้ตกอยู่ในความหวาดหวั่น

 

 

“ถ้าเราจะลองฝ่าเจ้าชุดเกราะยักษ์นั่น ท่านคิดว่าเราพอจะทำได้รึเปล่า?” หญิงสาวผู้เป็นแม่ของลูเซียตั้งคำถาม แม้จะฟังดูง่ายเกินไปเพราะศัตรูคงไม่อยู่เฉยๆให้ผ่านไปได้ก็ตาม

 

 

“เปล่าประโยชน์ เปล่าประโยชน์ พวกเจ้าไม่มีทางหนีไปไหนได้ทั้งนั้นแหละ”

 

 

เสียงคำพูดทุ้มนุ่มลึก แต่แหลมคม ที่ราวกับว่าจะตัดความหวังทุกอย่างให้ขาดสะบั้นลง ได้ดังขึ้นจากฝั่งเจ้าชุดเกราะยักษ์ แต่ตัวมันไม่ได้เป็นคนพูด เจ้าของเสียงที่แท้จริงนั้นได้ก้าวออกมาจากรูกำแพงที่มันพังออกมาต่างหาก

 

 

รูปร่างหน้าตาของเขาแลดูคล้ายชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาคมคาย แต่แฝงไปด้วยความชั่วร้ายที่อัดแน่นจนเกือบจะเอ่อล้นออกมา ใบหน้าขาวซีดไร้เลือดฝาดของเขาแสดงตัวตนที่ผิดแผกไปจากมนุษย์ธรรมดา ดวงตาสีทองที่เปล่งประกายของเขาก็เช่นกัน ผมสีขาวเป็นลอนโค้งทรงรากไทรของเขาไม่ได้ฟูยุ่งเหยิงจนเสียทรง แต่แห้งกรังราวกับเส้นผมของคนตาย ชุดสีดำขอบแดงของเขาที่มีรูปทรงคล้ายชุดขุนนางยุโรปยุคกลางควรจะให้ความรู้สึกสง่างามและลึกลับ แต่เข็มขัดรูปดาวห้าแฉกกลับหัว และรูปทรงของปลอกแขนกับรองเท้าบูทที่โค้งๆแหลมๆของเขา กลับทำให้ภาพลักษณ์ของเขาดูน่ากลัวและไม่น่าไว้ใจขึ้นมาแทน

 

 

“ปราสาทหลังนี้เป็นของข้า ไม่ใช่ของพวกท่านอีกต่อไปแล้ว ยอมศิโรราบแก่พวกเราเสียโดยดีเถอะ รับรองว่าข้าจะไม่ทำอะไรพวกเจ้า และด้วยภายใต้การปกครองของข้า ดินแดนนี้จะเจริญ ทรงพลังขึ้นกว่าที่พวกท่านเคยบริหารมาอย่างแน่นอน” ชายคนนี้พยายามชักจูงให้พวกมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าเขายอมแพ้แต่โดยดีให้จงได้

 

 

“หมายความว่ายังไง? พวกแกจะทำอะไรกับปราสาทนี้ แล้วก็ประชาชนทุกคนกันแน่!?” พ่อของลูเซียตะโกนถาม

 

 

“ทำอะไรน่ะเหรอ? ข้าก็จะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นราชาของอาณาจักรไลท์เทนเนียนี้น่ะสิ แล้วจากนั้นข้าก็จะค่อยๆเปลี่ยนอาณาจักรนี้ให้เป็นอาณาจักรมหาอำนาจ ที่จะทำลายกองทัพของทุกๆประเทศที่ขวางทางข้า แล้วก็จะครองโลกทั้งใบ เพื่อต้อนรับยุคแห่งการเกิดใหม่ของพวกข้ายังไงเล่า”

 

 

ชายผมขาวตอบคำถามเสร็จก็หันซ้ายขวามองชื่นชมความงามของปราสาทไปรอบๆอย่างเพลิดเพลิน "ว่าแต่ปราสาทนี้ดูหรูหราจัง ข้าชอบนะ ดูดีมีสไตล์ แต่อาจจะต้องเรียกช่างตกแต่งภายในมาเพิ่มนิดนี่หน่อยให้เข้ากับสไตล์ข้านิดนึง"

 

 

“ชั่วช้าที่สุด! เจ้าไม่มีสิทธิ์จะเป็นศัตรูกับอาณาจักรอื่นๆทั้งนั้น! และก็ไม่มีสิทธิ์จะยึดอาณาจักรนี้ตามอำเภอใจด้วย!” แม่ของลูเซียกล่าว

 

 

“พวกแกจะทำอะไรข้าก็ได้ แต่ข้าไม่ยอมให้แพทริเซียกับลูเซียต้องเป็นอะไรไปเด็ดขาด!” พ่อของลูเซียประกาศเสียงกร้าว

 

 

“ไม่! ท่านอย่าพูดอย่างนั้นเลยนะ!” แม่ของลูเซียปฏิเสธ แล้วหันมาทางชายผมขาว “ตัวข้าจะเป็นยังไงก็ได้ จะเอาชีวิตข้าไปก็ได้ แต่อย่าทำอะไรลูเธอร์กับลูเซียเลยนะ!”

 

 

ทั้งพ่อและแม่ของลูเซียต่างก็พยายามปกป้องลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน และคนรักของกันและกันอย่างสุดเสียง แต่ดูเหมือนว่าชายผมขาวจะทำเป็นหูทวนลม ไม่รับฟังคำอ้อนวอนของพวกเขาแต่อย่างใด “ข้าไม่สนคำขอใดๆของพวกเจ้าทั้งนั้นแหละ การตัดสินใจของข้าถือเป็นที่สิ้นสุด แม้ว่าพวกท่านจะเป็นถึงกษัตริย์หรือราชินีก็ตาม”

 

 

สิ้นเสียงของชายผมขาวไปเพียงครู่เดียว เขาก็ก้าวเดินช้าๆอย่างวางมาดเข้ามาใกล้มนุษย์ทั้งสาม ก่อนที่จะหันขวับมาทางลูเซีย แล้วคว้าแขนของเธอดึงไปหาตัวเขาอย่างแรงโดยไม่ปราณี “ข้าขอตัวลูกสาวของพวกท่านละกันนะ เผอิญข้าจะขอยืมพลังในตัวเธอเสียหน่อย”

 

 

ลูเธอร์ผุดลุกขึ้นจะไปแย่งตัวลูกสาวของเขาคืนมาทันที “ไม่ได้นะ! แกจะเอาตัวลูเซียไปไหนไม่---”

 

 

จู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนถูกกระชากคอเสื้อไปด้านหลังนิดหนึ่งอย่างแรง และมีของมีคมบางอย่างจ่อคอหอยเขาไว้อย่างน่าหวาดเสียว จนพ่อของลูเซียพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ครางในลำคอของเขาเท่านั้น “อึก!!...”

 

 

“โอ๊ะโอว~ อย่าได้ทำอะไรที่ไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของแกเลยนะ อยู่เฉยๆตามคำสั่งของท่านทไวไลท์ดีกว่าน่า~”

 

 

พ่อของลูเซียรู้เพียงแค่ว่าเสียงที่กระซิบข้างหูของเขานั้นเป็นเสียงผู้หญิง แต่นอกนั้นเขาไม่รู้เลยว่าตัวเธอที่ล็อกคอเขาไว้นี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรเพราะถูกล็อกคอจากด้านหลัง

 

 

ส่วนแม่ของลูเซียก็ถูกเชือกมัดทั้งมือและเท้าไว้ด้วยสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆบางอย่างที่คล้ายตุ๊กตาอย่างรวดเร็ว เธอดิ้นด้วยความตกใจจนล้มลงไปกับพื้น เธอพยายามแหงนหน้ามองไปข้างหลังแต่ก็มองไม่ชัด เห็นเพียงแต่ว่าพวกมันที่มัดมือมัดเท้าของเธอไว้วิ่งเข้าไปหาร่างของคนๆหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเด็กผู้หญิงสวมชุดสีชมพูอ่อนเท่านั้น

 

 

“หึๆๆ...ข้าสัมผัสได้นะ แม่หนูน้อย...” ชายผมขาวค่อยๆใช้นิ้วเรียวบางที่มีเล็บแหลมคมสีดำมันขลับ ค่อยๆไล้ไปตามแนวรูปหน้าของลูเซียที่กำลังรู้สึกรังเกียจเขาอย่างมาก “ภายในตัวเจ้าน่ะ มีพลังพิเศษบางอย่างที่ยิ่งใหญ่หลับไหลในตัวเจ้าอยู่ ข้าคิดว่ามันจะช่วยบรรลุเป้าหมายในการครองดินแดนนี้ให้กับข้าได้นะ?”

 

 

“แกพูดเรื่องอะไร...ฉ-ฉันไม่มีพลังพิเศษอะไรทั้งนั้นนะ พลังอาคมของฉันก็ไม่มี ตัวฉันไม่มีอะไรให้แกเอาไปได้หรอก!”

 

 

เป๊าะ!! ชายผมขาวดีดนิ้วและตะโกนสั่งพวกลูกน้องของเขาที่ยืนปิดทางด้านหลังไว้ “เอาตัวทั้งสองคนไปขังในห้องที่บอกไว้ซะ!”

 

 

แล้วเขาก็หันหลังกลับเดินออกไปพร้อมกับปิศาจชุดเกราะของเขาที่ค่อยๆเดินตามมาทีหลัง และลากตัวลูเซียที่กรีดร้องตะโกนหาพ่อแม่ของเธอสุดชีวิต ที่กำลังจะถูกพวกลูกน้องของชายผมขาวนำตัวไปอย่างไม่ใยดี

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

ชายผมขาวลากลูเซียที่ตะโกนร้องจนเสียงแหบแห้งหมดแรงไปแล้วมาจนถึงห้องขังใต้ดินที่ทั้งอับและสลัว ตามทางมียามเผ่าบีสต์ประมาณสี่ห้านายที่ลูเซียเห็นเดินลาดตระเวนไปตามห้องต่างๆ แต่ละห้องมีทั้งร่างที่นอนอยู่เฉยๆ ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผล ทหารที่ร้องขอชีวิต โครงกระดูก และห้องขังที่ว่างเปล่า เขาลากตัวเธอมาจนถึงห้องขังที่ว่างเปล่านี้ และเปิดประตู เหวี่ยงตัวเธอเข้าไปในห้องขังนี้ เขาใส่กุญแจล็อกเรียบร้อย และฝากกุญแจไว้กับยามเผ่าบีสต์คนหนึ่งที่เดินผ่านมา แล้วชายผมขาวก็หันมาหาลูเซียที่เงยหน้ามองเขาอย่างหมดหนทาง ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา และสีหน้าที่แดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนัก

 

 

“อยู่นิ่งๆเป็นเด็กดีในห้องนี้นะสาวน้อย...ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรอก...พอข้าขอดูดกลืน ‘พลัง’ ในตัวเจ้าไปจนหมดแล้ว ข้าก็จะคืนตัวเจ้ากลับไปหาพ่อแม่ของเจ้าแต่โดยดี ถ้าเจ้าไม่ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าซะก่อนนะ ไปล่ะ”

 

 

แล้วชายผมขาวก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ...

 

 

เด็กสาวผมทองล้มตัวหมอบลงกับพื้นที่บุด้วยฟางนุ่มๆอับๆอย่างสิ้นหวัง เธอสะอึกสะอื้น ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตานองหน้า ที่แม้จะดูเลอะเทอะเพียงใดเธอก็ไม่สนใจ วินาทีนี้ไม่มีอะไรน่าสงสารไปกว่าสภาพของเธออีกแล้ว...

 

 

“ฮึก...ฮึก...ฮือ...”

 

 

“ท่านพ่อ...ท่านแม่...”

 

 

“อารอน...”

 

 

“ใครก็ได้...ช่วยฉันที...”

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

End of Prologue.

  • Like 2
Link to comment
Share on other sites

 เปิดเรื่องมาก็อลังการเลยแฮะ

 

จากเท่าที่ดูการบรรยายลักษณะตัวละคร ก็พอจะเดาออกได้ว่าใครเป็นใครบ้าง

 

การบรรยายลื่นไหลดีนะคะ โดยเฉพาะชอบตอนบรรยายลักษณะตัวละคร ~

 

ตอนแรกพระเอกยังไม่เปิดตัวแฮะ ต้องรอดูอีกที อืมๆ บทนำต่างจากที่คิดไว้เยอะ

 

ยังไงก็ติดตามค่ะ ~ 

Link to comment
Share on other sites

เปิดเรื่องมาได้ดีมากเลยครับ เขียนและบรรยายออกมาได้สนุกมากเลย

รอติดตามต่อเรื่อย ๆ นะครับ :hito09:

 

//รอพระเอกเปิดตัว ฮ่า

Link to comment
Share on other sites

พระเอก ชื่อ อารอนสินะ ปล. ผมว่าชื่อเผ่าแมลง ดูแปร่งๆอะ

Link to comment
Share on other sites

พระเอก ชื่อ อารอนสินะ ปล. ผมว่าชื่อเผ่าแมลง ดูแปร่งๆอะ

เมก้าโทรพ็อด มาจากคำว่า mega+arthropod(สัตว์ขาปล้อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแมลง) ครับ

Link to comment
Share on other sites

ขอบคุณทุกๆคอมเม้นต์ที่ให้การสนับสนุนตั้งแต่บทนำเลยนะครับ เอาล่ะ มาเริ่มตอนที่ 1 จริงๆของเรากันเลยดีกว่า

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

Heart Remedy 1st Memory: Fugitive Girl (เด็กสาวผู้หลบหนี)

 

 

ภายในคุกใต้ดินที่มืดสลัวและอับทึบของปราสาทหลังนี้ที่ถูกยึดโดยชายผมขาว ซึ่งทำจากหินก้อนใหญ่หนาก่อเรียงกันอย่างแข็งแรงมั่นคง มียามเผ่าบีสต์ ที่มีหน้าตาคล้ายครึ่งคนครึ่งสัตว์คอยเดินลาดตระเวนไปตามห้องขังต่างๆ ซึ่งจองจำบรรดาขุนนาง เจ้าหน้าที่ และทหารที่ทำงานในปราสาทนี้แทบทุกคน ท่ามกลางห้องขังมากมายที่มีผู้ถูกจองจำหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่นอนหลับสนิท ผู้ที่ร้องโอดครวญโหยหาอิสรภาพ ผู้ที่เพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตในห้องขัง โครงกระดูก และห้องขังที่ว่างเปล่านั้น...มีอยู่ห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่แสนสิ้นหวัง

 

 

ลูเซีย เด็กสาวที่เคยเป็นองค์หญิงแสนสวยและมีชีวิตชีวา บัดนี้เธอมีสภาพที่อิดโรยทั้งทางกายและจิตใจ แม้ว่าเธอจะยอมรับอาหารประทังชีวิตจากยามเฝ้าคุกใต้ดินนี้ในแต่ละมื้อ แต่เธอก็กินมันในปริมาณที่น้อยนิด แล้วก็เลิก คืนจานอาหารไว้ที่หน้าลูกกรงเท่านั้น ก่อนที่จะค่อยๆถอยกลับไปอยู่ในมุมเงียบๆที่มิดชิดที่สุด คนภายนอกอาจมองว่าคงเป็นเพราะรสชาติที่แย่ของอาหารให้นักโทษแบบสุกเอาเผากิน ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่เลย เธอยังคงอมความทุกข์ที่เธอต้องแยกจากคนที่เธอรัก ไร้หนทางที่จะกลับมาให้เป็นเหมือนเดิม...

 

 

กิจวัตรประจำวันหลังลูกกรงของลูเซียมีเพียงแค่นั้น เธอทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกติดต่อกันมาครึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น ชายผมขาวที่บอกเธอว่าจะ ‘ยืมพลัง’ ในตัวเธอก็ยังคงไม่กลับมารับตัวเธอไปเลย

 

 

นอกจากนี้ ที่นี่ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเลยว่าตอนนี้เป็นเวลาใด กี่โมงกี่ยามแล้ว ลูเซียไม่รู้เดือนรู้วันในขณะนี้เลย สิ่งเดียวที่พอจะบ่งบอกเวลาได้คือ ช่วงเวลาที่ยามเฝ้าคุกใต้ดินจะจ่ายอาหารในแต่ละมื้อให้เธอเท่านั้น เวลาเธอรู้สึกง่วงนอน เธอก็จะนอนทันทีโดยไม่สนใจว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน เพราะอย่างไรเสียเธอก็ไม่รู้เวลาของโลกภายนอกอยู่แล้ว

 

 

วันหนึ่ง...ซึ่งไม่แน่ชัดว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน ลูเซ๊ยนอนหลับสนิทในซอกหลืบของห้องขังเหมือนวันที่ผ่านๆมา

 

 

และเธอกำลังฝันเห็นอะไรบางอย่าง...

 

 

*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*

 

 

เธอฝันเห็นเงาของคนๆหนึ่ง ที่แสนเลือนลางจนมองไม่ออกว่าเป็นใคร...

 

 

“องค์หญิงขอรับ กระผมมาแล้วล่ะ”

 

 

แต่เธอกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก...

 

 

“เดี๋ยวกระผมช่วยหยิบให้ท่านนะขอรับ”

 

 

ภาพในความทรงจำต่างๆเริ่มไหลเวียนเข้ามา...

 

 

“องค์หญิงเหงารึเปล่าขอรับ? ถ้าเช่นนั้นเดี๋ยวกระผมจะอยู่เฝ้าท่านให้เอง”

 

 

ท่ามกลางภาพความทรงจำต่างๆที่เธอได้เห็นเหล่านั้น...

 

 

“องค์หญิงต้องเข้มแข็งเอาไว้นะขอรับ กระผมจะเป็นกำลังใจให้”

 

 

จะมีเงาของคนๆนี้อยู่ด้วยเสมอ...

 

 

“องค์หญิง...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอแค่ท่านปลอดภัย กระผมก็ยินดีเป็นที่สุดแล้วล่ะขอรับ”

 

 

ภาพของชายคนนี้กำลังจะปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในชั่ววาบสุดท้าย...

 

 

อารอน...

 

 

อารอน...อย่าเพิ่งไปไหนนะ...

 

 

...อารอน!

 

 

.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.*.

 

 

เด็กสาวผมทองลืมตาตื่นขึ้นทันทีด้วยความรู้สึกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หัวใจเต้นแรงจนเธอได้ยินเสียงของมันในอก “ฝ...ฝันไปเหรอ?...”

 

 

แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่ลูเซียรู้สึกว่านี่คือฝันที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ที่เธอถูกขังที่นี่ เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นเล็กๆที่เพิ่งจะก่อตัวขึ้นมาในหัวใจ...

 

 

“เมื่อกี้นี้...ฉันจำไม่ผิดแน่...เสียงที่ฉันได้ยินในฝัน...”

 

 

ทันใดนั้นเอง แววตาของลูเซียก็เปลี่ยนไป ความเศร้าหมองและมืดมนที่เคยปกคลุมอยู่กลับถูกแทนที่ด้วยแววตาแห่งความหวัง

 

 

“ใช่แล้ว...อารอนกำลังรอฉันอยู่...ฉันต้องกลับไปหาอารอน...ฉันจะมัวสิ้นหวังอยู่อย่างนี้ไม่ได้...ฮึบ!”

 

 

ลูเซียค่อยๆใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ลุกขึ้นยืน แม้จะมีอาการเซเล็กน้อยจากความหิวที่เพิ่งจะเริ่มส่งสัญญาณอย่างบ้าคลั่งในท้อง แต่เธอก็พยายามใช้มือประคองกำแพงเอาไว้ไม่ให้ล้ม และบอกตัวเองอยู่ในใจตลอดเวลา...

 

 

“(ฉันต้องตั้งสติให้ได้...เด็กขี้แยที่คิดเองไม่เป็นทำไม่ได้น่ะ...ไม่ใช่ตัวตนของฉัน!)”

 

 

อาหารนักโทษมื้อนี้ ลูเซียกินมันจนหมดเกลี้ยง แม้ครั้งนี้จะเป็นอาหารที่หน้าตาทำง่ายๆแบบขอไปทีอย่างซุปเห็ดกับขนมปัง รสชาติจะเหม็นหืนแค่ไหนเธอไม่สน เธอต้องกินเอาแรงไว้ก่อน ระหว่างที่เธอกินก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่า ตลอดช่วงชีวิตของการเป็นเจ้าหญิงนั้น ไม่เคยได้ลิ้มรสชาติของความลำบากยากแค้นแบบนี้เลย ถ้าเป็นปกติเธอคงส่ายหน้าหนีไปแล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไรเธอจึงเกิดแรงฮึดขึ้นมาทำในสิ่งที่ตัวเองไม่กล้าทำอย่างนี้ บางทีคงเป็นเพราะคนสำคัญคนหนึ่งในหัวใจที่เธอฝันเห็นเมื่อครู่นี้ก็เป็นได้

 

 

หลังจากท้องอิ่มแล้ว ลูเซียอาศัยจังหวะที่ยามเผ่าบีสต์ที่เดินผ่านห้องขังของเธอไป คอยเช็คสำรวจสิ่งต่างๆรอบห้องขังของเธอ ไม่ว่าจะเป็นเตียงไม้เก่าๆ ผ้าห่มเหม็นๆ ถังไม้ร้าว ช้อนโลหะที่บิดงอ แต่เธอก็ยังคิดไม่ออกว่าจะนำอุปกรณ์เหล่านี้มาใช้ในการแหกคุกอย่างไร จนกระทั่งเธอสำรวจมาแถวๆลูกกรง และพบว่ามีลูกกรงซี่หนึ่งที่ผุไปแล้วครึ่งหนึ่ง อยู่บริเวณมุมขวาล่างของลูกกรงห้องขังที่เธอเห็น เธอเริ่มคิดในใจ “(นี่ไงล่ะ! ถ้าเราเอาลูกกรงซี่นั้นออกได้ละก็!)”

 

 

ลูเซียลองขยับลูกกรงซี่นั้นไปมาโดยไม่ให้ยามเผ่าบีสต์มาเห็นเข้า ในตอนแรกลูกกรงนี้ยึดไว้กับคานลูกกรงไว้แน่นหนา จนเธอเกือบถอดใจ แต่แล้วในที่สุด เมื่อลูเซียลองบิดมันไปมาทางซ้ายขวา ซี่ลูกกรงนั้นก็เริ่มขยับ! ลูเซียดีใจมากจนเกือบเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เธอลองบิดเกลียวมันทวนเข็มนาฬิกาเหมือนเวลาคลายสกรูออก...

 

 

และมันก็ได้ผล ลูกกรงซี่ที่ผุนั้นหลุดออกมาจากคานลูกกรงได้สำเร็จ ลูเซียคิดว่าช่องว่างของลูกกรงที่เกิดขึ้นนั้นกว้างเพียงพอที่เธอจะทำตัวลีบๆมุดออกไปได้ แต่เธอต้องอาศัยจังหวะที่ยามเผ่าบีสต์เดินไปไกลๆ และเว้นช่วงมากพอที่ลูเซียจะมีเวลาหนี เธอเริ่มดำเนินแผนการดังนี้...

 

 

ลูเซียนำผ้าห่มมาคลุมก้อนฟางและถังไม้ที่ทำรูปทรงให้คล้ายๆคนนอนตะแคง เพื่อหลอกยามที่เดินผ่านมาเห็นว่าลูเซียนอนหันหลังมุดผ้าห่มอยู่เมื่อเธอตัวจริงหลบหนีออกไปแล้ว แล้วคอยสังเกตดูช่วงเวลาที่เวรยามเดินวนมาถึงห้องขังของลูเซียช้าที่สุด ระหว่างนั้นเธอก็พยายามเค้นความจำให้ได้ว่าทางเดินคร่าวๆภายในปราสาทนี้จะนำทางเธอไปยังที่ใดได้บ้างเท่าที่เธอรู้

 

 

เธอใช้เวลาสังเกตการณ์ราวๆสองวัน ก่อนที่เธอจะจับจุดได้ว่า ช่วงเวลาใดที่ลูเซียควรจะหลบหนีออกมา เธอเริ่มเล็งยามเผ่าบีสต์รูปแบบหมาป่าหน้าตาเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง กำลังเดินไปแทะเนื้อติดกระดูกไปด้วย มันใช้หางตามองลูเซียเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินผ่านห้องขังของลูเซียไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งเธอแน่ใจว่าเขาเดินไปไกลพอ ลูเซียเริ่มมุดหนีออกมาจากห้องขังทันที แต่ก็ทำได้อย่างทุลักทุเลเนื่องจากเธอคำนวณผิดเรื่องขนาดช่องว่างลูกกรง เธอพยายามตะเกียกตะกายเอาขาทั้งสองข้างออกจากห้องขังอย่างร้อนรน “(ปัดโธ่! อีกนิดเดียวๆๆๆ! ขอแค่ผ่านตรงนี้---)”

 

 

กึก...กึก...กึก...

 

 

มีเสียงฝีเท้าอันน่าหวาดเสียวของยามลาดตระเวนกำลังเข้ามาใกล้ เธอเห็นเงาของยามคนหนึ่งที่กำลังจะเดินเลี้ยวมาทางห้องขังของลูเซียแล้ว เขาต้องเห็นเธออย่างแน่นอนหากเขาเลี้ยวมาตอนนี้ ลูเซียยังไม่ทันได้คิดแผนการสำรองใดๆไว้เลย แม้กระทั่งวิธีฉุกเฉินเวลาถูกพบตัวเข้า...

 

 

“เฮ้ย! ไอ้อ้วน! กลับมานี่! แกลืมข้าวเที่ยง!”

 

 

“อ้าวเหรอ? โอเคๆ ขอบใจๆ”

 

 

ดูเหมือนเสียงเรียกของเพื่อนของมันจะช่วยดึงความสนใจยามที่กำลังเดินมาให้กลับไปรับอาหารของมันอีกทางหนึ่งได้อย่างหวุดหวิด...แต่หัวใจของเด็กสาวผมทองแทบหล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้ว ดวงตาของเธอเบิกโพลงด้วยความระทึกขวัญ เธอเกือบไม่รอดแล้ว...เธอรีบตั้งสติแล้วหลบเข้าซอกหลืบมืดๆแถวนั้นก่อนที่ยามจะเดินมาอีกรอบ

 

 

ทุกๆจังหวะที่ยามเดินผ่านไป และไม่มียามคนอื่นเดินตามหลังลูเซียมาในเส้นทางเดียวกัน เธอจะค่อยๆรุกคืบเข้าไปใกล้ทางออกจากห้องขังให้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีจุดพักตามทางเป็นมุมมืดที่แสงไฟตะเกียงแถวนั้นไม่ตกกระทบ ต้องขอบคุณความสลัวของแสงไฟตะเกียงน้ำมันของที่นี่ ซอกกำแพง และถังไม้ตามทางที่ทำให้ลูเซียสามารถซ่อนตัวตามทางได้โดยไม่ถูกจับได้ รวมทั้งการที่เธอเหลือเพียงเท้าเปล่าก็ทำให้เสียงในการเดินเบาลงมาก แต่บางครั้งเสียงหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ตลอดเวลาของเธอก็อดทำให้เธอหวาดระแวงไม่ได้ว่ามันจะเต้นดังจนทำให้ยามได้ยินรึเปล่า

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

หลังจากที่ใช้ความพยายามมานานราวๆสองสามชั่วโมง ในที่สุดลูเซียก็ย่องออกมาจากห้องขังได้สำเร็จ! แต่เธอจะยังดีใจตอนนี้ไม่ได้ เธอหันซ้ายขวาแล้วมุดเข้าไปอยู่ใต้บันไดที่จะขึ้นต่อไปยังชั้นบนทันทีเพื่อหยุดพักหายใจให้ทั่วท้องก่อน และหยุดคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป

 

 

“(แฮ่ก...แฮ่ก...ในที่สุดก็หนีออกมาได้...ว่าแต่เราจะทำยังไงต่อไปกันดี...เราไม่รู้ทั้งที่อยู่ของพ่อกับแม่แล้วก็อารอนเลย...เราไม่มีทางเลือกนอกจากหนีเอาตัวรอดคนเดียวเลยเหรอ...ทั้งๆที่ทุกคนอุตส่าห์พยายามปกป้องฉันแท้ๆ...)”

 

 

เด็กสาวรู้สึกปวดใจอย่างยิ่งที่มีตัวเลือกสำหรับเธอเพียงข้อเดียว แถมยังเป็นตัวเลือกที่เธอเกลียดที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม เธอก็รู้ตัวดีว่าเธอไม่ได้มีพลังมากพอที่จะสวมบทฮีโร่บุกไปช่วยพ่อแม่ และคนที่เธอเห็นในฝันออกมาพร้อมๆกันได้ ลูเซียจำต้องลุกขึ้นก้าวเดินต่อไป และออกตามหาหนทางที่จะหนีออกจากปราสาทนี้ให้ได้เพียงลำพัง...

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

ตัดกลับมาทางด้านห้องขัง มียามคนหนึ่งที่ถือกุญแจห้องขังของลูเซียไว้อยู่ ที่ตั้งใจจะเอามื้อเย็นให้นักโทษของเขากินให้หายหิว โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าไม่มีใครอยู่ในห้องขังนี้แล้ว...

 

 

“เฮ้ยยัยหนู! ตื่นได้แล้ว! มากินข้าวเย็นได้แล้ว!” ยามเผ่าบีสต์คนนั้นตะโกนเรียกถามหุ่นฟางของลูเซีย แน่นอนว่าไม่มีเสียงใดๆตอบรับกลับมา

 

 

“จะมัวนอนขี้เซาไปถึงไหนกันว้า~ ยัยนี่หนิ” ยามเผ่าบีสต์ผู้มีความอดทนต่ำคนนี้ตะโกนเรียกเพียงครั้งเดียวก็เปิดประตูเดินเข้าไปหาหุ่นฟางในห้องด้วยตัวเอง...

 

 

เมื่อยามคนนี้เปิดผ้าคลุมออก และพบความจริงที่อยู่ตรงหน้า มันถึงกับทำให้เขาไม่มีสัญญาณตอบรับจากสมองราวๆ 3 วินาที...ก่อนที่จะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

“น-น-นักโทษหนีโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!”

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

To be continued in 2nd Memory.

  • Like 2
Link to comment
Share on other sites

ลุ้น ๆ จะหนีพ้นมั้ย

สนุกมากครับ รอตามต่อ >o<

ตอนนี้พระเอกก็ยังไม่มีบทแหะ

Link to comment
Share on other sites

เมื่อไหร่อารอนจะมาช่วยกันน้าาา //ปูเสื่อรอ

 

น่าติดตามมากๆ ตื่นเต้นจัง ลูเซียจะหนีออกไปได้มั้ยนะ >_<

Link to comment
Share on other sites

อยากเห็นฉากสู้กันแล้วอะ ใช้พลัง อะไรแบบนี้ เป็นอีกฉากที่น่าจะเขียนยากน่าดูเลย

Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 2 คลอดแล้วครับผม และเป็นฉากเปิดตัวละครหลักตัวที่ 2! พร้อมแล้วก็เชิญพบกับฟิคตอนนี้ได้เลย~

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

ความเดิมตอนที่แล้ว – ปราสาทไลท์เทนเนียถูกยึดโดยกองทัพปริศนาที่นำโดยชายผมขาว เขาได้จับตัวพระราชาและพระราชินีเอาไว้ และขังเจ้าหญิงลูเซียไว้ในคุกใต้ดิน แต่ท่ามกลางความสิ้นหวังของเธอภายในคุกนั้น เธอได้ฝันเห็นคนสำคัญคนหนึ่งในอดีตนามว่า อารอน ทำให้เธอกลับมามีกำลังใจอีกครั้ง และวางแผนแหกคุกจนแอบหนีออกมาได้สำเร็จ แต่หลังจากที่เธอหนีออกมาได้ไม่นาน พวกยามลาดตระเวนก็รู้ตัวแล้วว่าเธอได้แหกคุกออกไปแล้ว...

 

 

Heart Remedy 2nd Memory: Light in the Darkness (แสงสว่างท่ามกลางความมืด)

 

 

แก๊งๆๆๆๆๆๆ!!!!!!

 

 

“เจ้าหญิงหนีไปเรอะ!? ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ!?”

 

 

“หาภายในหอกลางนี้ให้ทั่วเลย! เจอแล้วจับมันมาให้ได้!!”

 

 

“ปิดประตูทางออกหอกลางให้หมด! อย่าให้มันหนีรอดไปได้!!”

 

 

เสียงลั่นระฆังเตือนภัยหน้าคุกใต้ดินรัวอย่างต่อเนื่องเมื่อเกิดเหตุนักโทษแหกคุกออกไปได้ เหล่ายามเฝ้าคุกต่างก็รีบสั่งการให้ไล่จับลูเซียกันจ้าละหวั่น จนคำสั่งนี้แพร่กระจายไปทั่วส่วนหอกลางของปราสาท ซึ่งเป็นที่ตั้งของคุกอย่างรวดเร็ว ระฆังเตือนภัยทั่วหอกลางเริ่มส่งเสียงดังต่อๆกันไปตามจุดต่างๆเป็นลูกโซ่ หากนักโทษที่หนีออกไปได้ครั้งนี้ไม่ใช่บุคคลสำคัญที่ต้องการตัวเป็นอันดับหนึ่งอย่างลูเซียละก็ คงไม่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้แน่

 

 

และแน่นอนว่าเจ้าหญิงลูเซียที่กำลังหาทางหนีออกจากปราสาทอยู่ ก็รู้ตัวจากเสียงระฆังแล้วเช่นกันว่าเธอเริ่มถูกตามล่าแล้ว “ย-แย่ละสิ! แล้วฉันจะไปซ่อนที่ไหนดีล่ะ!?”

 

 

“เฮ้ย! อยู่นั่นไง!! จับมัน!!”

 

 

ยังไม่ทันขาดคำ ทหารเผ่าบีสต์คนหนึ่งก็พบตัวลูเซียเข้าให้แล้ว เขาตะโกนเรียกพรรคพวกที่อยู่บริเวณนั้นให้ไล่จับตัวเธอทันที เด็กสาวใจหายวาบ เธอไม่มีเวลามองหาที่หลบซ่อนตัวแล้ว เธอเร่งฝีเท้าหนีพวกทหารเผ่าบีสต์ตามทางเดินอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่มีเวลาคิดแม้กระทั่งจะเลือกว่าเธอต้องไปทางไหนต่อเมื่อเธอพบทางแยกหรือบันไดไปชั้นต่างๆ บางครั้งเธอก็หนีเสือปะจระเข้ไปพบกับทหารเผ่าบีสต์อีกกลุ่มหนึ่ง บีบให้เธอต้องรีบกลับไปอีกทางหนึ่งโดยเร็ว

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

เด็กสาวหนีหัวซุกหัวซุนมาจนถึงดาดฟ้ารูปวงกลมของหอกลางที่เต็มไปด้วยดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่ไม่มีเส้นทางให้เธอวิ่งหนีต่อได้อีกแล้ว...ด้านหลังของลูเซียก็เป็นทหารเผ่าบีสต์สามนายที่ค่อยๆย่างสามขุมเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มสะใจที่พวกมันถือไพ่เหนือกว่าอย่างชัดเจน

 

 

“หึๆๆ แม่หนูน้อย...ฉันนึกอยู่แล้วว่าเธอต้องมีพิรุธอะไรซักอย่างที่ไม่ชอบมาพากลตอนอยู่ในคุก ไอ้ฉันก็สงสัยเธอแล้วนะ แต่ฉันชะล่าใจไปเอง นับว่าเธอแน่มากที่หนีออกมาจากคุกใต้ดินได้ แต่ก็ได้แค่นี้แหละนะ” ทหารเผ่าบีสต์รูปแบบหมาป่าหน้าตาเจ้าเล่ห์คนหนึ่งเป็นคนพูด มันเป็นคนเดียวกับยามในคุกใต้ดินคนที่เคยมองลูเซียอย่างสงสัยก่อนที่เธอจะหลบหนีออกมา ลูเซียค่อยๆก้าวถอยหลังไปเองด้วยความหวาดกลัวจนหลังติดรั้วดาดฟ้า “หวา!?”

 

 

เธอเกือบเสียการทรงตัว แต่ก็รีบเอามือยันรั้วไว้ก่อนที่จะหันไปมองความสูงของรั้วดาดฟ้าจนถึงพื้นดินเบื้องล่างของปราสาท ไม่มีระเบียงหรืออะไรให้เธอเกาะไว้ทั้งสิ้นหากเธอโดดลงไป เธอหันกลับมาและเห็นเพียงจุดจบที่อยู่ตรงหน้าเธอเท่านั้น...ความหวังที่เธอเคยมีถูกปกคลุมไปด้วยความกลัว ความกลัว และความกลัวเท่านั้น ณ เวลานี้ เหงื่อแตกพลั่ก มือเท้าสั่นจนร่างกายไม่ยอมทำตามคำสั่ง หายใจแรงอย่างควบคุมไม่ได้

 

 

“(แฮ่ก...แฮ่ก...อย่านะ...ทั้งๆที่เราอุตส่าห์หนีพวกมันมาได้จนถึงขนาดนี้แล้วแท้ๆ...)”

 

 

พวกทหารเผ่าบีสต์ค่อยๆเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ...

 

 

“(ไม่ไหวแล้ว...แฮ่ก...ใครก็ได้ช่วยฉันที...)”

 

 

พวกมันเริ่มเอาเชือกออกมาเตรียมตัวจะมัดมือมัดเท้าลูเซียแล้ว...

 

 

“(คนๆนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมาช่วยเรา...แต่ว่าเรานึกถึงคนอื่นไม่ออกแล้ว...แฮ่ก...)”

 

 

ยามมนุษย์หมาป่าเก็บดาบของตนและยื่นมือตรงเข้าหาเจ้าหญิง ลูเซียหลับตาแน่นอย่างหวาดกลัว ค่อยๆลงไปกองกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง...

 

 

“(ถ้าสวรรค์เมตตาเรา...แฮ่ก...ได้โปรดเถอะ...อารอน!...ช่วยฉันด้วย!!)”

 

 

ทั้งๆที่หมดสิ้นแล้วซึ่งทุกความหวัง ในใจลึกๆของเธอยังคงภาวนาอ้อนวอนต่อความหวัง ราวกับแสงสว่างเล็กๆท่ามกลางความมืด...

 

 

...แต่แสงเล็กๆเพียงดวงเดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะนำทางให้ไปถึงจุดหมายได้

 

 

ฉึก!!!! ฉัวะ!!!!

 

 

“อั่ก!?!?”

 

 

จู่ๆทหารเผ่าบีสต์สองนายข้างๆเจ้ามนุษย์หมาป่าก็ร้องลั่นและถูกอาวุธมีคมแทงจนเลือดกระเซ็น คนหนึ่งถูกดาบยาวเรียวแหลมแทงทะลุอก อีกคนถูกมีดเสียบเข้าที่ข้างลำคอจนทั้งคู่กำลังจะร่วงลงไปกับพื้น ทหารยามหมาป่าที่กำลังจะหันหลังกลับไปด้วยความสงสัยก็ถูกบุคคลหนึ่งที่อยู่ข้างหลังของมันถีบเข้าให้เต็มแรงจนหน้าคว่ำไปฟาดกับพื้น และถูกมีดแทงซ้ำเข้ากลางหลังด้วยฝีมือของคนๆเดียวกันจนแน่นิ่งไป ภาพทั้งหมดนี้เกิดขึ้นต่อหน้าลูเซียอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น...แต่สิ่งที่ทำให้ลูเซียตกตะลึงนั้นไม่ใช่ความรวดเร็วของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

 

 

ชายคนที่ค่อยๆลุกขึ้นพร้อมกับถอนมีดออกจากหลังของศัตรูแล้วเก็บดาบยาวของตนเข้าฝักข้างเอว มองตรงมายังเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า...เผยให้เห็นใบหน้าที่แสดงถึงความเป็นเผ่าบีสต์รูปแบบมนุษย์แมวขนสีน้ำเงิน ดวงตาสีฟ้าของเขาเปล่งประกายสวยงามท่ามกลางสีขนบนใบหน้าของเขา ครึ่งใบหน้าตั้งแต่จมูกของเขาลงไปมีขนสีขาวที่ตัดกับขนสีน้ำเงินอย่างชัดเจน สวมเสื้อคลุมและกางเกงขายาวสีดำเทาที่มีกระดุมและขอบเสื้อสีเงินช่วยตัดกัน บนอกซ้ายของเขามีตราสัญลักษณ์ของอาณาจักรที่บ่งบอกว่าเป็นผู้ที่ทำงานให้กับราชวงศ์ ชายเสื้อคลุมของเขาด้านหลังยาวจนถึงข้อรองเท้าบูทหนังมันขลับสีดำที่เขาสวม

 

 

ชายคนนี้ค่อยๆยื่นมือที่สวมถุงมือหนังสีเทามาหาลูเซีย...เขาคนนี้คือชายคนที่ลูเซียเห็นในฝันนั่นเอง ประกอบกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้านหลังของเขาแล้ว ยิ่งทำให้การปรากฏตัวของเขาดูสง่างามอย่างน่าประหลาด

 

 

“อ...อารอนนนนน!?!?” ลูเซียร้องเรียกชื่อของเขาด้วยความดีใจ

 

 

“ไม่เป็นไรใช่มั้ยขอรับองค์หญิง!?” อารอนถามเจ้าหญิงคนสำคัญของเขาอย่างเป็นห่วง ลูเซียก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอารอนยื่นมือมาให้เธอจับ เธอทำตามนั้นและค่อยๆลุกขึ้นโดยมีอารอนช่วยพยุงให้ พอเธอลุกขึ้นยืนได้ซักพัก เธอก็เริ่มร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นจากความกดดันที่เธอได้ประสบมาตลอดการหลบหนี “ฮึก....แง้ง้ง้ง้ง้ง้ง้!!!!”

 

 

ลูเซียโผเข้ากอดอารอนอย่างไม่เกรงกลัวเลยว่าจะมีทหารเผ่าบีสต์ตามขึ้นมาถึงข้างบนนี้รึเปล่า อารอนตกใจเล็กน้อย แต่ก็ช่วยลูบหลังเบาๆ คอยปลอบประโลมให้เธอรู้สึกดีขึ้น “ไม่เป็นไรแล้วนะขอรับ กระผมอยู่นี่แล้ว...”

 

 

ซักพักอารอนก็ต้องให้ลูเซียหยุดร้อง เพราะพวกเขาไม่มีเวลาที่จะดราม่ากันแล้ว เขามองไปยังพื้นที่ปราสาทเบื้องล่าง “เอาล่ะ เรารีบหนีไปจากที่นี่กันดีกว่าขอรับ ปราสาทถูกศัตรูยึดแล้ว แถมตอนนี้ทางเข้าออกถูกปิดไว้แน่นหนา เวรยามเต็มไปหมด กระผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะฝ่าพวกมันออกไปได้รึเปล่า แต่กระผมจะพยายามขอรับ”

 

 

“ง...งือ...” ลูเซียทำเสียงอู้อี้ เช็ดน้ำมูกน้ำตาให้แห้งแล้วจึงพูดต่อ “ฉันรู้จักทางลับที่จะตรงออกไปจากปราสาทนี้โดยไม่ต้องฝ่าศัตรูออกไปตรงๆนะ”

 

 

“จริงเหรอขอรับ!?” อารอนหันมาถามองค์หญิงของเขาอย่างประหลาดใจ “อื้อ ตอนแรกฉันจะหนีออกไปคนเดียว แต่ถูกพวกมันไล่ต้อนมาจนถึงที่นี่น่ะ ขอแค่เธอช่วยจัดการพวกศัตรูระหว่างทางที่จะไปยังทางลัด พวกเราจะหนีออกไปได้แน่ๆ”

 

 

“เฮ้ย! ยัยเด็กนั่นอยู่นี่ไง!” จู่ๆพวกทหารเผ่าบีสต์อีกราวๆหกเจ็ดนายก็กรูกันขึ้นมาที่ดาดฟ้าแห่งนี้ แต่ลูเซียไม่ได้กลัวเจ้าพวกนี้อีกแล้ว เพราะตอนนี้เธออยู่ข้างหลังอารอน...บุคคลที่พร้อมจะปกป้องเธอไม่ว่าเวลาใด

 

 

อารอนชักดาบยาวเรียวแหลมที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมาจากฝัก และชี้ตรงไปยังใบหน้าของพวกศัตรูที่หวังจะจับตัวลูเซีย พร้อมกับสีหน้าแห่งความมุ่งมั่น “ถ้าพวกแกต้องการตัวองค์หญิงขนาดนั้นละก็ เข้ามาเลย!”

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

To be continued in 3rd Memory.

  • Like 2
Link to comment
Share on other sites

สั้นกว่าที่คิดแฮะ แต่ไม่เป็นไร พระเอกเปิดตัวแล้วให้อภัยได้ # ผิดส์

 

ปรากฏตัวได้สมกับเป็นพระเอกจริงๆ ฮาาา หล่อมากเลยอารอน >_<

 

ทั้งสองคนจะหนีออกไปได้มั้ยนะ ไม่สิ ต้องถามว่าก่อนจะหนีออกไปได้จะเจออุปสรรคอะไรมากกว่า

 

ปูเสื่อรอตอนต่อไปค่ะ ~

Link to comment
Share on other sites

โดเรม่อน เอ้ยไม่ใช่ อารอนสิ เป็นเผ่าบีสต์รึแล้วทาเป็นองครักษ์ให้ราชวงศ์เผ่ามนุษย์เหรอ

Link to comment
Share on other sites

โดเรม่อน เอ้ยไม่ใช่ อารอนสิ เป็นเผ่าบีสต์รึแล้วทาเป็นองครักษ์ให้ราชวงศ์เผ่ามนุษย์เหรอ


เรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปครับ ต้องรอติดตาม :D
Link to comment
Share on other sites

  • 2 weeks later...

Heart Remedy 3rd memory - Secret Passage(เส้นทางลับ)

กด spoiler เพื่ออ่านครับผม

Spoiler

ความเดิมตอนที่แล้ว – ลูเซียแหกคุกใต้ดินของปราสาทออกมาได้สำเร็จ แต่เธอก็ต้องหนีจากการตามจับของพวกทหารเผ่าบีสต์ในสังกัดของชายผมขาวมาจนถึงดาดฟ้าของหอกลาง และที่นี่ อารอน อัศวินเผ่าบีสต์ที่ลูเซียเห็นในความฝันก็ปรากฏตัวมาช่วยเธอจริงๆ พวกเขาวางแผนที่จะใช้ทางลับของปราสาทหนีออกไปจากที่แห่งนี้ด้วยกัน แต่แล้วพวกเขาก็ถูกกลุ่มทหารเผ่าบีสต์กลุ่มหนึ่งขัดขวางไว้ซะก่อน ทำให้อารอนต้องแสดงฝีมือในการต่อสู้กับพวกมัน...

 

 

Heart Remedy 3rd Memory: Secret Passage(เส้นทางลับ)

 

พวกทหารเผ่าบีสต์เริ่มกระจายกลุ่มออกเป็นรูปครึ่งวงกลม คอยตั้งท่าพร้อมโจมตีไว้ตลอดเวลา โดยมีทหารคนหนึ่งเป็นมนุษย์หมูป่าตัวอ้วนล่ำเขี้ยวใหญ่เริ่มบุกเข้าหาอารอนก่อน อารอนจึงชักดาบกลับและเริ่มต่อสู้ในแบบของเขาทันที ลูเซียเริ่มถอยกลับไปห่างๆเพื่อให้สะดวกต่อการต่อสู้ของเขา

 

 

“ย้ากกกก!!” ทหารหมูป่าคำรามเรียกพลัง แล้วหมุนตัวเหวี่ยงดาบจากด้านขวาฟันเข้าใส่อารอนเต็มแรง แต่อารอนก็เข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่เจ้าหมูป่าจะฟันดาบลงมา แล้วก็ใช้มีดเสียบเข้าไปที่หน้าอกของมันแบบนิ่มๆ ซวบ!! จบการต่อสู้อย่างง่ายดาย

 

 

ทหารหมาป่าอีกสองตัวที่คอยเฝ้าระวังอยู่นอกสุดของกลุ่มยังไม่ค่อยตกใจอะไรมากนัก และพุ่งเข้าโจมตีจากทางซ้ายและขวาของอารอนทันที แต่อัศวินแมวหนุ่มที่มองเห็นการเคลื่อนไหวของทั้งสองแล้ว เหลือบหางตาไปยังศัตรูฝั่งขวา ใช้ดาบเรเปียร์เรียวแหลมในมือขวาของเขาที่ว่างอยู่เข้าฟันศัตรูตัวขวาอย่างรวดเร็วจนมันเปิดช่องว่าง ชักดาบกลับแล้วทิ่มเข้าที่ท้องของเจ้าหมาป่าอย่างแม่นยำจนล้มลงไป จากนั้นก็ใช้มีดเล่มหนาผิดกับทั่วไปในมือซ้ายของเขาปัดดาบเซเบอร์ของทหารหมาป่าอีกคนไปให้พ้น แคร้ง!! แล้วถอนดาบข้างขวาไปปาดคอมันอย่างรวดเร็ว “อั่ก! แค่กๆ!!...”

 

 

ทหารไฮยีน่าอีกสามตัวที่เหลือเห็นท่าไม่ดี ตรงเข้ารุมอัศวินแมวน้ำเงินพร้อมๆกันทันที แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขากลัวแต่อย่างใด

 

 

“แดช!!(Dash)”

 

 

อารอนตั้งท่าแล้วพุ่งเข้าหามนุษย์ไฮยีน่าทั้งสามด้วยความเร็วราวกับแสง

ใช้ดาบแทงหน้าอกตัวขวาต่อด้วยมีดแทงท้องตัวซ้าย และใช้หัวโหม่งชาร์จเข้าไปที่ท้องของเจ้าไฮยีน่าตัวกลางพร้อมๆกัน ระหว่างที่ไฮยีน่าตัวกลางลงไปนอนกองกับพื้นด้วยแรงอัดจากการชน อัศวินแมวหนุ่มก็เดินเอามีดมาเสียบท้องของมันจนแน่นิ่ง เป็นอันจบการต่อสู้

 

 

แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เจ้าหญิงลูเซียที่เฝ้ามองการต่อสู้อยู่ก็ตกตะลึงในความสามารถของอารอนที่จัดการศัตรูทั้งหมดได้ในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้ สายตาของเธอมองเขาอย่างชื่นชม “ย...ยอดเลยอารอน นี่เธอใช้พลังอาคมแห่งแสงได้แล้วสินะ?”

 

 

“ขอรับ กระผมลองดัดแปลงให้เข้ากับวิธีการต่อสู้ที่ถนัด และก็ออกมาในรูปแบบนี้แหละขอรับ” อารอนเก็บดาบแล้วกลับมาพาลูเซียให้ไปจากที่นี่ “รีบไปกันเถอะขอรับ เราต้องรีบแล้ว”

 

 

“อื้อ!” เจ้าหญิงตอบรับ แล้วทั้งสองคนก็รีบลงบันไดไปจากดาดฟ้าแห่งนี้

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

อารอนและลูเซียหลบหนีไปตามทางเดินต่างๆของหอกลางโดยมีลูเซียคอยนำทางให้ไปยังจุดหมายของพวกเขา ทั้งสองพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้ที่ไม่จำเป็น คอยแอบฝ่าศัตรูให้ผ่านพื้นที่นั้นๆไปโดยไม่ให้ถูกพบตัว หรือหากถูกพบตัวพวกเขาก็ต้องใช้กำลังจัดการศัตรูไปให้พ้นทาง เส้นทางที่พวกเขาผ่านมีทั้งห้องเสบียงอาหาร คลังอาวุธห้องโถงสำหรับทำพิธีกรรมทางศาสนา ระเบียงทางเดิน จนในที่สุดทั้งสองคนก็มาถึงห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดที่อยู่ชั้นล่างสุดของหอกลางแห่งนี้ อารอนเปิดประตูและมองเข้าไปในห้อง เขาไม่พบความผิดปกติใดๆในห้องนี้เลย หน้าตาเหมือนห้องเก็บของทั่วๆไปที่ดูรกๆและมีแต่กลิ่นอับเต็มห้อง...

 

 

“ทางนี้จ้ะอารอน” ลูเซียค่อยๆเดินหลบข้าวของในห้องนี้พร้อมกับเรียกอารอนให้ตามเธอมา อารอนก็ค่อยๆปิดประตูแล้วเดินตามเธอไปอย่างอยากรู้อยากเห็น ลูเซียมาหยุดอยู่ที่ลังไม้ขนาดใหญ่ที่เก็บผืนธงเก่าๆไว้เต็มลัง เธอเรียกอารอนให้มาช่วยเธอรื้อผืนธงเหล่านี้ออกให้เหลือแต่ลังเปล่าๆ ซึ่งต้องรื้อออกเยอะพอสมควร แต่ซักพักเจ้าแมวหนุ่มก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมต้องรื้อผืนธงออก เมื่อเขาเห็นกลอนประตูกลแบบติดตั้งพื้นที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนธงเหล่านั้น

 

 

“ว้าว...ถ้าแบบนี้พวกแม่บ้านหรือคนใช้ก็ไม่มีทางสังเกตเห็นแน่ๆเลยขอรับ ขนาดกระผมเองยังไม่นึกเลยว่าทางลับจะอยู่ในที่แบบนี้” อารอนพูดอย่างตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ ลูเซียหัวเราะคิกคัก พลางปลดกลอนและเปิดประตูออก เผยให้เห็นอุโมงค์ที่มีบันไดลงไปยังชั้นใต้ดิน แล้วทั้งสองคนก็มุดตัวลงไปในทางเดินลับนี้โดยที่ลูเซียถือตะเกียงน้ำมันจากห้องเก็บของติดไปด้วย

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

ด้วยแสงไฟจากตะเกียงน้ำมันของลูเซีย ทำให้มองเห็นลักษณะภายในอุโมงค์นี้ที่อับทึบ เต็มไปด้วยฝุ่นหินและหยากไย่ และแคบจนคนสองคนไม่น่าเดินสวนกันได้ แต่เพดานยังสูงพอที่อารอนจะเดินตัวตรงได้อยู่ ผนังเป็นดินแข็งที่ถูกขุดตกแต่งไว้ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่ก็ดีพอที่ดินจะไม่หลุดลอกออกมาเมื่อเอามือจับ ภายในนี้พวกเขายังได้ยินเสียงที่ดังมาจากพื้นดินข้างบนแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

 

 

“ดูเหมือนว่าทางเดินนี้จะไม่ค่อยลึกลงไปมากนะขอรับ...ว่าแต่ทำไมถึงมีอุโมงค์ทางลับแบบนี้อยู่ได้ล่ะขอรับ?” อารอนกระซิบถาม

 

 

“ท่านพ่อสร้างไว้เผื่อเวลาฉุกเฉินที่จำเป็นต้องหลบภัยน่ะ...แต่สุดท้ายท่านพ่อกับท่านแม่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้เส้นทางนี้หนีออกมาด้วยกัน...” ลูเซียพูดเสียงต่ำ อารอนเหมือนจะฟังออกว่าเธอรู้สึกยังไงเรื่องพ่อกับแม่ของเธอ

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ องค์ราชากับองค์ราชินีจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอนขอรับ เจ้าพวกนั้นยังต้องการใช้ประโยชน์จากพวกท่านอยู่ องค์หญิงอย่าได้กังวลไปเลยขอรับ” อารอนพยายามพูดปลอบใจลูเซียอยู่เสมอ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ลูเซียรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับเขา แม้จะเจอศัตรู หรืออยู่ในทางเดินที่มืดมิดนี้ก็ตาม

 

 

“จะว่าไป เส้นทางนี้จะเชื่อมต่อไปยังที่ไหนหรือขอรับ?”

 

 

“ถ้าฉันจำไม่ผิด ฉันคิดว่าเส้นทางนี้จะเชื่อมต่อไปยังอุโมงค์ระบายน้ำที่อยู่เกือบออกนอกเมืองนะ”

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

หลังจากนั้นอีกหลายนาที อารอนและลูเซียต้องปีนบันไดเหล็กลึกลงไปอีกราวๆสี่ห้าเมตร ก่อนที่จะถึงประตูเหล็กที่ต้องใช้การหมุนวาล์วเพื่อเปิด แต่การเปิดเป็นไปได้ค่อนข้างยากเนื่องจากสนิมจับ ทั้งสองคนต้องช่วยกันหมุนวาล์วประตูนี้จนหมุนออกได้สำเร็จ เมื่อประตูเปิดออกก็เป็นอย่างที่ลูเซียพูดเอาไว้ พวกเขาโผล่ออกมาที่อุโมงค์ระบายน้ำที่กว้างกว่าอุโมงค์ทางลับเมื่อกี้พอสมควร เส้นทางเป็นอุโมงค์ทรงครึ่งวงกลม แบ่งพื้นที่อย่างละครึ่งระหว่างพื้นที่สำหรับเดิน และร่องน้ำขนาดใหญ่ที่ไว้สำหรับให้น้ำไหล และตามทางก็มีดวงไฟสลัวๆหลายดวงที่ยังสว่างพอที่จะมองเห็นบรรยากาศรอบๆได้ชัดในระดับหนึ่ง

 

 

“ที่นี่เหม็นจัง...” ลูเซียย่นจมูก แม้จะไม่ได้แคบอึดอัดอย่างเมื่อกี้แล้ว แต่ที่นี่ก็มีกลิ่นเหม็นที่แรงกว่าเนื่องจากเคยมีน้ำเสียระบายมาที่นี่ แถมยังชื้น สกปรก และเต็มไปด้วยคราบที่เกาะตามจุดต่างๆของร่องน้ำ “เราเดินไปตามทางเดียวกับที่น้ำไหลออกไปเถอะ เราจะได้ไปโผล่ที่ปลายทาง"

 

 

อารอนและลูเซียเดินไปตามริมทางเดินอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่นี้ไปอย่างเงียบๆ ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของกระแสน้ำที่ไหลทิ้งลงมาสู่ร่องน้ำ ที่ดังก้องไปทั่วทั้งเส้นทางอุโมงค์ระบายน้ำแห่งนี้ พวกเขาเริ่มรู้สึกใจชื้นขึ้นมาก แม้ที่นี่จะมีสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาดนัก แต่พวกเขาก็รอดแล้ว หนีออกมาจากปราสาทได้แล้ว เหลือแค่ออกจากที่นี่ให้ได้เท่านั้น แล้วหลังจากนั้นค่อยว่ากันใหม่ว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป ระหว่างทางมีทั้งใยแมงมุมและแมงมุมตัวเล็กตัวน้อยอยู่ตามทางประปราย ซึ่งก็ไม่แปลกที่จะมีอยู่ที่นี่ เพราะที่มืดๆอับชื้นแบบนี้เป็นสถานที่ทำรังของแมงมุมอย่างดี รวมทั้งโครงกระดูกที่จมอยู่ในน้ำ...

 

 

"เฮ้ย!?"

 

 

ทั้งสองคนแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตาเห็นโดยบังเอิญเมื่อกี้นี้ พวกเขาหันกลับไปดูอีกครั้ง และถึงกับผงะเมื่อพบว่ามันคือโครงกระดูกมนุษย์จริงๆที่จมอยู่ข้างรางน้ำ แถมยังคงมีร่องรอยของเศษเสื้อผ้าที่เกี่ยวอยู่ตามชิ้นส่วนโครงกระดูกนี้อีกด้วย...

 

 

"ไม่จริงใช่มั้ย?...ท...ทำไมถึงมีโครงกระดูกอยู่ในที่แบบนี้ได้ล่ะ?" ลูเซียพูดเสียงสั่นเครืออย่างหวาดกลัว...

 

 

"จะว่าไปแล้ว...กระผมก็เคยได้ยินข่าวลือมาเหมือนกันนะขอรับ ว่าเคยมีเจ้าหน้าที่ประปาเคยเข้ามาดูแลที่นี่ และหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าใครที่เข้าไปตามหาก็หายตัวไปเหมือนกับเขา เลยเป็นสาเหตุที่ไม่มีใครมาดูแลอุโมงค์ระบายน้ำแห่งนี้อีกเลยขอรับ" อารอนบอก ตอนนี้เขาเองก็รู้สึกไม่ปลอดภัยเช่นกัน...

 

 

เขาเริ่มเพ่งมองเส้นทางข้างหน้าที่เป็นทางน้ำไหลอย่างพินิจพิจารณา และพบว่ามีทั้งใยแมงมุมขนาดใหญ่ และขนาดเล็กมากมายที่อยู่ในเส้นทาง แถมยังมีโครงกระดูกที่คล้ายๆที่พวกเขาเห็นอยู่ขณะนี้ ห้อยคาใยแมงมุมขนาดใหญ่อยู่อีกสองสามโครง...

 

 

"องค์หญิง รีบไปจากที่นี่กันดีกว่าขอรับ" อารอนที่เห็นท่าไม่ดี จับข้อมือลูเซียเตรียมจะพาเธอไปจากที่นี่โดยเร็ว ดูเหมือนเขาจะรู้แล้วว่ามีอะไรบางอย่างที่อันตรายอย่างยิ่งยวดรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า "เอ๋!? ทำไมล่ะ เราจะออกจากที่นี่ได้อยู่แล้วนะ!?"

 

 

ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ.....

 

 

เสียงอะไรบางอย่างที่ฟังดูคล้ายเสียงฝีเท้าที่เล็กและหนัก ไม่เหมือนฝีเท้าของมนุษย์ ดังมาจากทิศที่อารอนเห็นกลุ่มใยแมงมุม...พวกเขาหันกลับไปมองทันที

 

 

พวกเขาไม่เห็นอะไรผิดปกติ จนกระทั่งลูเซียเหลือบตาไปดูข้างบนโดยบังเอิญ...

 

 

มีแมงมุมตัวสีดำขนหนารุงรัง บนตัวมันมีลวดลายริ้วสีแดงที่แปลกตาไปจากแมงมุมทั่วไป และตัวสูงใหญ่ราวๆสองเมตร เกาะห้อยหัวอยู่บนเพดานเหนือหัวพวกเขา...

 

 

"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!"

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

To be continued in 4th memory.

 

 

Link to comment
Share on other sites

อืมมมม ตอนนี้เหมือนยังไม่มีอะไรเพิ่มเติมมากแฮะ 

อารอนได้โชว์สกิลหน่อยๆ ก็ยังโอเค เนื้อเรื่องยังไม่อืด ~

เจอของดีเข้าให้แล้วสิ สงสัยงานนี้หนักแน่ๆ //มองสปอยคำว่าปางตาย ...

Link to comment
Share on other sites

เจอมินิบอสระหว่างทางสินะ จะได้เห็นอารอน สู้เต็มๆละ อยากรู้จะประยุกต์ใช้อาคมแห่งแสงที่ว่าออมาใช้ต่อสู้ยังไง

Link to comment
Share on other sites

  • 1 month later...

ผมกลับมาจากเกณฑ์ทหารแล้ว!! หลังจากนี้ผมก็จะแต่งฟิคและลงในนี้ต่อได้เหมือนเดิมละนะครับ

ว่าแล้วก็เชิญรับชมตอนที่ 4 นี้กันเลยครับ!

Spoiler

ความเดิมตอนที่แล้ว – เจ้าหญิงลูเซียและอารอน อัศวินองครักษ์ของเธอช่วยกันหลบหนีออกจากปราสาทโดยใช้อุโมงค์ทางลับที่ซ่อนไว้อย่างดี จนทั้งสองคนโผล่ออกมาที่อุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นหนทางที่จะพาพวกเขาหนีออกไปสู่โลกภายนอกได้ แต่ระหว่างทางพวกเขาก็ต้องพบกับรังแมงมุมที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกของผู้เคราะห์ร้ายที่หลงเข้ามาในบริเวณนี้ และแมงมุมขนาดยักษ์ที่ปรากฏตัวเข้าโจมตีทั้งสองโดยไม่รู้ตัว...

 

 

 

Heart Remedy 4th Memory: Spider Rampage(แมงมุมคลั่ง)

 

 

 

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงกรีดร้องของลูเซียที่พบกับแมงมุมขนาดยักษ์ตัวสูงกว่ามนุษย์ที่จ้องจะทำร้ายเธอ อารอนก็รีบคว้าแขนเธอแล้วพาวิ่งออกไปจากที่นี่อย่างเร่งรีบก่อนที่เจ้าแมงมุมยักษ์จะเริ่มใช้ขาหน้ายาวๆของมันคว้าตัวทั้งสองคนเอาไว้

 

 

 

“น-นั่นมันอะไรกันน่ะ!? มีแมงมุมตัวใหญ่ขนาดนี้ในโลกด้วยเหรอ!?” ลูเซียตะโกนถามอย่างตื่นตระหนก เท้าก็พยายามวิ่งไปพร้อมๆกับอารอนให้ทัน

 

 

 

“เจ้านั่นไม่ใช่แมงมุมธรรมดาขอรับ! มันคือเมก้าโทรพ็อดแมงมุม! เดี๋ยวผมค่อยอธิบายทีหลังขอรับ!” อารอนตอบอย่างเร่งรีบ

 

 

 

“พวกเราจะหนีไปทางไหนน่ะอารอน!?” ลูเซียถามทั้งที่หน้ายังมองตรงไปข้างหน้าอยู่ อารอนก็เช่นกัน “อย่าเพิ่งสนใจทางออกขอรับองค์หญิง! หนีจากเจ้านั่นให้ได้ก่อน! ตามกระผมมาขอรับ!”

 

 

 

แม้เจ้าแมงมุมยักษ์จะไล่กวดทั้งสองคนได้เร็วมาก แต่อารอนกับลูเซียก็พยายามเร่งฝีเท้าอย่างสุดความสามารถของพวกเขาแล้ว พวกเขาวิ่งหนีเข้าตามแยกตามซอกหลืบต่างๆที่คิดว่าเจ้าแมงมุมตัวนั้นไม่น่าจะหาพวกเขาเจอ ระหว่างทางลูเซียก็ลื่นหกล้ม หรือก้าวพลาดตกไปตามร่องระบายน้ำบ้างด้วยคราบสกปรกลื่นๆตามทางจนทำให้เนื้อตัวลูเซียสกปรกเลอะเทอะ แต่เวลานี้เธอไม่มีเวลาจะมาเช็ดเนื้อตัวให้สะอาดแล้ว เธอชักจะเริ่มรู้สึกรำคาญเสื้อผ้าอันแสนเกะกะนี้ขึ้นมาทุกที แถมคิดจะฉีกเสื้อผ้าส่วนหนึ่งทิ้งให้คล่องตัวขึ้นด้วยซ้ำถ้าทำได้

 

 

 

“แฮ่ก!...แฮ่ก!...เฮ้อ!...” ลูเซียเริ่มเหนื่อยจนวิ่งได้ช้าลง เธอพยายามวิ่งตามหลังอารอนอย่างเต็มที่แล้ว จนลูเซียต้องหลบข้างทางเพื่อขอเวลาหยุดพักหายใจก่อน...จนเมื่อเธอตั้งสติได้ เธอก็เพิ่งจะรู้ตัวว่า อารอนไม่ได้หยุดรอเขา เธอกับเขาคลาดกันแล้ว “อ...เอ๋?”

 

 

 

เด็กสาวเริ่มกระวนกระวาย หันซ้ายขวามองหาอารอนพร้อมกับเดินวนไปมารอบๆบริเวณนั้น เจ้าแมงมุมไม่ได้ไล่ตามเธอมาแล้ว แต่เธอก็ไม่พบอารอนเช่นกัน เธอคิดจะตะโกนเรียกอารอน แต่เธอก็กลัวเช่นกันว่าเสียงตะโกนของเธอจะทำให้เจ้าแมงมุมยักษ์รู้ตัวหรือไม่ บางทีอารอนเองก็น่าจะรู้ถึงข้อจำกัดนี้ เธอจึงไม่ได้ยินเสียงตะโกนเรียกหาชื่อเธอจากเขาเลย สภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้สร้างความกดดันให้กับลูเซียอย่างมากจนเธอแทบไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรต่อจากนี้แล้ว

 

 

 

และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ก็แทบทำให้ลูเซียเกือบจะหลุดปากตะโกนด้วยความตกใจ มันคือโครงกระดูกผู้เคราะห์ร้ายอีกคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะถูกเมก้าโทรพ็อดนี้ฆ่าตายในอุโมงค์ระบายน้ำนี้เช่นกัน ยิ่งลูเซียนึกภาพของตัวเองที่อาจจะต้องกลายเป็นโครงกระดูกตายซากอยู่ที่นี่เช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ก็ยิ่งทำให้เธอกลัวจนต้องกุมบริเวณหัวใจตัวเองที่เต้นแรงเสียจนร่างกายของเธอสั่นสะท้านไปตามจังหวะของมัน


 

 

แต่แล้วสิ่งๆหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสนใจมันมากพอที่จะรวบรวมความกล้าก้มลงไปเก็บสิ่งนี้ขึ้นมาจากบริเวณใกล้ๆโครงกระดูก มันเป็นขวดแก้วใบเล็กหนาขนาดเล็กกว่าฝ่ามือที่ปิดฝาไว้สนิทเรียบร้อย ภายในมีของเหลวข้นสีม่วงแดงเข้มคล้ายน้ำลูกพรุน เธอพลิกดูฉลากกระดาษที่แปะไว้รอบข้างขวด ซึ่งอ่านตัวหนังสือบนฉลากนั้นได้ว่า ‘สำหรับแก้พิษเมก้าโทรพ็อดทั่วไป รับประทานให้หมดภายในขวดเดียว’

 

 

 

“ยาแก้พิษงั้นเหรอ?...” ลูเซียพูดขึ้นเบาๆ เธอเก็บมันไว้กับตัว สิ่งนี้จำเป็นสำหรับเธอมากหากพลาดพลั้งถูกพิษของเจ้าแมงมุมยักษ์เข้า “บางที คนๆนี้อาจจะเตรียมยาแก้พิษมาเพื่อป้องกันตัวเองจากเจ้าแมงมุมตัวนั้น...แต่ก็ถูกฆ่าตายก่อนที่จะได้ใช้ยานี้เสียอีกสินะ...”

 

 

 

ลูเซียค่อยๆลัดเลาะไปตามผนังอุโมงค์ระบายน้ำอย่างระมัดระวัง ตอนนี้เธอมีสติมากพอที่จะคอยสอดส่องสายตาไปรอบๆว่าเจ้าแมงมุมตัวนั้นจะโผล่มาจากทางไหน ขอเพียงอย่าให้มันโผล่มาทางหัวมุมทางแยกที่เธอมองไม่เห็นเท่านั้น

 

 

 

แผละ!!

 

 

 

ลูเซียเผลอไปเหยียบกลุ่มลูกกลมๆสีแดงที่มีเส้นใยสีขาวๆเกาะจำนวนหลายลูกจนแตกเละคาเท้า เลอะไปด้วยเมือกสีแดงใสๆยืดๆ และมีแมงมุมขนาดจิ๋วคลานยั้วเยี้ยออกมาจากเศษซากเละๆเหล่านั้น...มันคือไข่ของเจ้าแมงมุมยักษ์ตัวนั้นเอง

 

 

 

“กรี๊ดดดดด!!!!!”


 

 

ลูเซียตะโกนร้องลั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เธอสะดุ้งถอยกรูดไปให้ห่างจากไข่แมงมุมเหล่านั้นไกลๆ แล้วรีบล้างเท้าของเธอด้วยน้ำในรางระบายน้ำด้วยความรังเกียจ...แต่นั่นก็ทำให้เจ้าแมงมุมยักษ์ที่อยู่ห่างออกไปจากตัวเธอหลายสิบเมตรรู้ตัวเข้าแล้วด้วยเสียงร้องของเธอที่ดังก้องไปทั่วทั้งอุโมงค์ ลูเซียที่ล้างเท้าจนเสร็จแล้วก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอตะโกนเสียงดังเกินไปแล้ว เธอหันซ้ายหันขวาครู่หนึ่ง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เจ้าแมงมุมยักษ์ตัวนั้นกำลังวิ่งตรงมาทางเธอ!

 

 

 

“ไม่เอาแล้วววววววว!!!!” ลูเซียรีบวิ่งหนีแมงมุมยักษ์ที่กำลังซอยเท้าไล่หลังเธอใกล้เข้ามาทุกที แม้ว่าเธอจะฝืนออกแรงวิ่งจนสุดกำลังแล้วก็ตาม แต่ไม่นานเธอก็วิ่งเหยียบตะไคร่น้ำลื่นล้มตกลงไปในรางระบายน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ ลูเซียที่กลิ้งโค่โล่ไปตามแรงกระแสน้ำพยายามลุกขึ้นยืนแล้วก็รีบปีนขึ้นฝั่งให้เร็วที่สุด...แต่เธอทำไม่ได้ เธอรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแสบปวดร้อนที่เริ่มส่งสัญญาณออกมา ข้อศอกของเธอมีแผลถลอกขนาดใหญ่จากการลื่นล้มเมื่อครู่นี้ ลูเซียพยายามกัดฟันทนบาดแผลปีนกลับขึ้นฝั่งให้ได้ แต่เจ้าแมงมุมยักษ์ตัวนั้นก็ไล่ตามเธอทันแล้ว มันหันเข้าหากำแพงแล้วตั้งใจจะไต่เพดานข้ามไปหาตัวเธอ...

 

 

 

“ย้ากกกกกกกกก!!!!!”

 

 

 

ฉัวะ!!! อารอนโผล่มาช่วยลูเซียไว้ได้ทันหวุดหวิด เขาพุ่งเข้ามาใช้ดาบฟันขาข้างขวาของเจ้าแมงมุมขาดไปหนึ่งข้าง ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้มันตกใจและร่วงหล่นลงมาบนพื้นอุโมงค์อีกครั้ง แต่มันยังไม่ตาย มันดีดตัวเข้าใส่อารอนที่ไม่ทันระวังจนลงไปกองบนพื้นทั้งคู่ในสภาพที่เจ้าแมงมุมคร่อมอารอนเอาไว้ ตุ้บ!!

 

 

 

“โธ่เว้ย!! ปล่อยนะ!!!” อารอนที่ถูกยึดไว้ด้วยขาหน้าสี่ข้างของแมงมุมยักษ์ลายแดงพยายามดิ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย และมันยิ่งทำให้เขาตื่นกลัวมากขึ้นไปอีกเมื่อใบหน้าของเจ้าแมงมุมเริ่มกางเขี้ยวพิษออกมาพร้อมจะสังหารเขาอย่างทรมาน...แต่ในที่สุดแขนซ้ายของเขาก็เป็นอิสระ เขารีบคว้ามีดที่เหน็บไว้ด้านหลังมาแทงเข้าที่ใต้ตัวมันซ้ำๆหลายครั้งจนมันกรีดร้องเสียงแหลมอย่างเจ็บปวด ของเหลวสีเหลืองเหนียวเหนอะจากบาดแผลของมันอาบบนคมมีดที่อารอนถอนออกมา เขารีบถอยหนีออกให้ห่างจากเจ้าแมงมุมตัวนั้นโดยเร็ว

 

 

 

แต่แล้วแมงมุมยักษ์ก็หมุนตัวหันก้นของมันมาทางอารอน แล้วพ่นเส้นใยเหนียวๆสีขาวเป็นใยฟูฟ่องคล้ายสายฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าใส่ขาของแมวหนุ่ม อารอนที่ถูกฉีดเส้นใยแมงมุมเข้าใส่พยายามจะหันหลังวิ่งหนี แต่ไม่กี่วินาทีเขาก็รู้สึกเหมือนร่างกายถูกตรึงไว้ด้วยความเหนียวของยางที่หนืดจนขยับขาไม่ได้ดังใจ รองเท้าของเขาก็ถูกดูดหนึบหนับติดกับพื้นเหมือนเหยียบก้อนหมากฝรั่งขนาดใหญ่ จนสุดท้ายเขาหมดแรงและล้มลงไป เจ้าแมงมุมเดินกะเผลกๆเข้ามาหาเหยื่อของมันที่ถูกมัดตรึงไว้ด้วยเส้นใย...

 

 

 

“แฮ่ก...แฮ่ก...แขนยังพอขยับได้นิดหน่อย...แต่ขาไม่ไหวแล้ว...” อารอนพยายามโงหัวขึ้นมองเจ้าแมงมุมที่เข้ามาใกล้ตัวเขาอีกไม่กี่เมตรข้างหน้า เขาพยายามยกแขนข้างที่กำดาบเรเปียร์ขึ้นมาให้ได้ แต่ในสายตาของลูเซียที่อีกฟากหนึ่งของรางระบายน้ำ อารอนทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ขืนเธออยู่เฉยแบบนี้ต่อไปอารอนต้องถูกฆ่าแน่ เธอรีบมองหาเศษหินเศษปูนบริเวณนั้นที่น่าจะเอามาปาใส่เจ้าแมงมุมยักษ์ได้ ข้อศอกของเธอเจ็บก็จริง แต่เธอไม่มีเวลาจะสนใจความเจ็บปวดตอนนี้แล้ว

 

 

 

อึก!! อื๊อออออออออ!!!!!!!

 

 

 

ไม่ถึงนาทีหลังจากนั้น เสียงร้องอันเจ็บปวดของอารอนที่ฟังดูเลวร้ายอย่างยิ่งสำหรับลูเซียก็ดึงเธอให้หันขวับกลับไปมองอารอนทันที...แต่เขาถูกเจ้าแมงมุมยักษ์ฝังเขี้ยวพิษขนาดใหญ่เข้าให้ที่ไหล่ขวาแล้ว

 

 

 

“ไม่นะ!!!” ลูเซียตกใจร้องลั่น เธอรีบลุยน้ำกลับไปหาอารอนทันที เธอไม่สนใจแล้วว่าจะเอาอะไรไปสู้เจ้าแมงมุมที่เพิ่งจะฆ่าอารอนไป ขอแค่รู้ว่าอารอนจะรอดตายหรือไม่เป็นพอ

 

 

 

ทว่า เมื่อลูเซียเข้าไปมองใกล้ๆก็กลับไม่ใช่อย่างที่เธอคิด แมงมุมยักษ์ตัวนี้แน่นิ่งไปแล้ว มันถูกดาบของอารอนเสียบเข้าไปจนทะลุออกกลางหลังพร้อมๆกับที่มันกัดอารอนด้วย แท้จริงแล้วอารอนยอมให้ตัวเองโดนกัดเพื่อหาโอกาสในการสังหารเจ้าแมงมุมตัวนี้นั่นเอง ลูเซียมองอย่างกล้าๆกลัวๆก่อนที่จะตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งมาผลักศพของเจ้าแมงมุมตัวนี้ให้ลงไปในรางระบายน้ำให้พ้นทาง แล้วเธอก็ก้มลงดูอาการของอารอนทันที “อารอน! ไม่เป็นไรนะ!”

 

 

 

แต่ดูเหมือนอาการของอารอนจะห่างไกลจากคำว่าไม่เป็นไรไปมาก ปากของเขาเริ่มสั่น หายใจแผ่วและถี่ ใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างทรมาน และดูเหมือนเขาจะพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาส่งเสียงไม่ได้เลย ลูเซียเข้าใจดีว่าเธอจะปล่อยเวลาให้เสียไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ก่อนที่เธอจะรักษาพิษของอารอนไม่ทันเวลา ลูเซียหยิบขวดยาแก้พิษที่เธอพบออกมา บิดฝาเปิดแล้วใช้มือข้างหนึ่งประคองหัวอารอนขึ้น ค่อยๆป้อนยาให้อารอนกลืนเข้าไป “ขอร้องล่ะอารอน อย่าตายนะ...”

 

 

 

น้ำยาข้นสีม่วงแดงค่อยๆไหลลงไปในลำคอของอารอนจนหมดขวด มีบางครั้งที่ยาไหลล้นออกมาจนปากของเขาเลอะเทอะ แต่อารอนที่ยังมีสติหลงเหลืออยู่ก็พยายามกลืนยาลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ที่เหลือก็รอให้ตัวยาซึมซับและออกฤทธิ์ยับยั้งให้ได้เท่านั้น ระหว่างที่คอยนี้ลูเซียก็แกะใยแมงมุมที่จับตามตัวอารอนอย่างลำบากยากเย็นพร้อมทั้งเฝ้าดูอาการของอารอนอย่างใกล้ชิด

 

 

แต่ละนาทีที่ผ่านไป ลูเซียรู้สึกแปลกใจที่สีหน้าของอารอนดีขึ้นเรื่อยๆอย่างเห็นได้ชัด เธอไม่นึกเลยว่ายาแก้พิษที่เธอเก็บมาได้จะออกฤทธิ์ได้ดีขนาดนี้ การหายใจเริ่มกลับมาเป็นปกติ ใบหน้าของเขาเริ่มชื้นไปด้วยเหงื่อแม้จะถูกปกคลุมด้วยขนแมว สีหน้าเริ่มผ่อนคลายลง...จนกระทั่งเวลาผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมง ในที่สุดอารอนก็ค่อยๆลุกขึ้นนั่งเองได้

 

 

 

“อา...ค่อยยังชั่ว ยาที่องค์หญิงให้เนี่---เหวอ!”

 

 

 

อารอนรู้สึกตกใจที่จู่ๆลูเซียก็โผเข้ากอดเขาด้วยความดีใจ เธอกอดเขาไว้แน่นราวกับว่าจะไม่ยอมปล่อยให้อารอนต้องไปจากเธออีกแล้ว “โล่งอกไปที! ดีจังเลยที่เธอปลอดภัย...ฮึก...ฉันนึกว่าเธอจะต้องตายแล้วซะอีก...”

 

 

 

“(ท่าทางจะกลัวมากเลยสินะ...)” อารอนคิดในใจ เขาแอบเห็นว่าลูเซียน้ำตาซึมนิดหนึ่งด้วย เขาถอนหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะลูบหลังของลูเซียเบาๆรับการโอบกอดที่อบอุ่นของเธอ

 

 

 

“อื้ม...กระผมไม่ตายง่ายๆหรอก...ก็กระผมเป็นอัศวินขององค์หญิงนี่ขอรับ”

 

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

 

To be continued in 5th Memory.
 

ติชมกันได้ตามสะดวกนะฮะ:pika01:

Link to comment
Share on other sites

อารอนเกือบตายแล้วสิ ดีนะที่ได้ยาช่วยทัน //สกิลพระเอกสินะ # ผิด

ลูเซียกับอารอนรอดมาได้แล้ว ต่อไปจะออกไปที่ไหนกันนะ ติดตามค่ะ :3

Edited by + Pangtor Girl +
  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

เช่นเคยนะฮะ พอดีครั้งนี้ลงฟิคช้าไปหน่อยเพราะไปออกทริปที่ประจวบ+พม่าอยู่ และตอนนี้ตัวละครใหม่ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวแล้วครับ เชิญรับชมกันได้เลยกับตอนที่ 5 ครับผมมมม

Spoiler

ความเดิมตอนที่แล้ว – ลูเซียถูกแมงมุมขนาดยักษ์ไล่ทำร้ายในอุโมงค์ระบายน้ำใต้ดิน แต่อารอนก็มาช่วยเธอ  และฆ่าเจ้าแมงมุมลงได้ แต่เขาเองก็ถูกพิษของมันเช่นกัน ลูเซียใช้ยาแก้พิษที่เธอพบรักษาอารอนจนหายดี ก่อนที่พวกเขาจะหาทางออกจากที่นี่ในภายหลัง...

 

 

Heart Remedy 5th Memory: Angel Appear (นางฟ้าปรากฏกาย)

 

 

หลังจากที่อารอนรู้สึกตัวแล้ว พวกเขาพักกันอยู่ครู่หนึ่งราวๆชั่วโมงกว่า ก่อนที่พวกเขาจะลุกขึ้นเดินตามทางน้ำไหลเพื่อหาทางออกจากอุโมงค์ระบายน้ำแห่งนี้ต่อไป เรี่ยวแรงของพวกเขาใกล้หมดลงเต็มทีจากการวิ่งหนีเมก้าโทรพ็อดแมงมุม แต่พวกเขาก็คิดว่าไม่น่าจะมีใครมาทำร้ายพวกเขาระหว่างนี้อีกแล้ว ถ้ามี พวกเขาก็คงยอมแพ้ตั้งแต่ตรงนี้เสียเลยดีกว่า

 

 

โครกกกกก.....

 

 

“หิวจังเลย...นี่เราหนีจนลืมทานข้าวมานานแค่ไหนแล้วนะ?” ลูเซียลูบท้องตัวเองเบาๆ เธอรู้สึกเหมือนกระเพาะของเธอสั่นโครกครากอยู่ข้างในจนดังออกมาข้างนอก แม้ความจริงมันไม่ได้ดังออกมาขนาดนั้นก็ตาม

 

 

“อดทนหน่อยขอรับองค์หญิง เราไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไรแล้ว ถ้าเราออกไปข้างนอกได้ กระผมจะรีบพาองค์หญิงไปซื้ออะไรให้ทานรองท้องทันทีเลยขอรับ” อารอนคอยพยายามประคองตัวลูเซียที่อ่อนเพลียและเนื้อตัวมีบาดแผลไว้ตลอดเวลา ทั้งที่ตัวเขาเองก็สภาพย่ำแย่ไม่น้อยไปกว่ากันเลย จนลูเซียอดว่ากลับด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “โธ่! ห่วงตัวเองก่อนเถอะ!”

 

 

แล้วเธอก็นึกถึงคำถามที่เธอถามค้างไว้ตอนที่หนีเจ้าแมงมุมยักษ์ขึ้นมาได้ “ว่าแต่อารอน...นั่นน่ะเหรอคือเมก้าโทรพ็อด? ฉันเคยได้ยินแต่ที่ท่านพ่อเล่าให้ฟัง ตัวจริงน่ากลัวขนาดนั้นเลยสินะ”

 

 

“ขอรับ มันเคยเป็นแมลงธรรมดามาก่อน แต่แมลงบางจำพวกจะกลายพันธุ์จนเป็นเมก้าโทรพ็อดนี่แหละขอรับ กระผมเองก็เคยต่อสู้กับพวกมันมาก่อนขอรับ”

 

 

อารอนเริ่มถามต่อ “จะว่าไปแล้วยาแก้พิษนั่น องค์หญิงได้มาจากไหนหรือขอรับ?”

 

 

“ฉันไปพบแถวๆโครงกระดูกของคนที่เคยพยายามจะเข้ามาที่นี่น่ะ แต่ท่าทางพวกเขาจะตายก่อนที่จะได้ใช้ยาเสียอีก...” ลูเซียหลุบตาลงเล็กน้อยด้วยสีหน้าเศร้าๆ เธอเอ่ยถามต่อ “อารอน...ฉันอยู่แต่ในวังมาตลอด อ่านหนังสือมาก็มาก รูปภาพก็มีมากมาย มองดูพวกทหารซ้อมรบกันก็เคยบ้าง แต่ของจริง...มันน่ากลัวมากเลย...การต่อสู้น่ะ”

 

 

อัศวินแมวหนุ่มตอบด้วยใบหน้าจริงจัง “การต่อสู้ของจริงก็เป็นเช่นนี้แหละขอรับ ความรู้สึกที่องค์หญิงสัมผัสมานั้นหาไม่ได้จากการซ้อมหรือยืนดูการซ้อมเฉยๆ เพราะคู่ซ้อมของเราไม่ต้องการให้เราบาดเจ็บหรือตาย ไม่มีรังสีฆ่าฟัน หรือจิตสังหารเหมือนกับศัตรูในสนามรบที่หวังจะเอาชีวิตจริงๆน่ะขอรับ”

 

 

“งั้นเหรอ...”

 

 

“...เอ๊ะ!? ดูนั่นสิขอรับองค์หญิง! เราถึงทางออกแล้วขอรับ!”

 

 

อารอนที่ตะโกนบอกอย่างตื่นเต้นชี้ไปข้างหน้าให้ลูเซียดู มีแสงสว่างของตะวันตกดินยามใกล้พลบค่ำ และภาพบรรยากาศของโลกภายนอกอยู่ที่ปลายทาง ความกดดันบนใบหน้าลูเซียก็พลันถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น และกำลังจะระเบิดความดีใจออกมา ทั้งเธอและอารอนรีบวิ่งไปที่ปลายทางโดยลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่พวกเขามีไปจนหมดสิ้น

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

และแล้ว อารอนกับลูเซียก็มาถึงปลายทาง พวกเขาอยู่กลางป่าอันกว้างใหญ่ยามเย็น พื้นที่ไม่กี่เมตรรอบๆบริเวณนี้มีหญ้าขึ้นสูงและก้อนหินน้อยใหญ่อยู่ตามพื้นดิน น้ำขุ่นๆจากอุโมงค์ระบายน้ำไหลลงสู่ลำธารที่จะไหลตรงออกไปยังแม่น้ำสายใหญ่ แต่ยังคงมีเศษขยะที่ติดค้างอยู่ตามต้นน้ำลำธาร พวกเขาต้องค่อยๆปีนขึ้นฝั่งบริเวณที่ปลอดภัยและไม่สกปรกเสียก่อน...และก็ได้เวลาแห่งความยินดีปรีดาของพวกเขาแล้ว

 

 

“อารอน! พวกเรารอดแล้ววววว!! ดีใจจังเลยยยยยย!! ฮะๆๆๆ!!!”

 

 

ลูเซียกอดอารอนด้วยความดีใจ หัวเราะได้อย่างเต็มที่ เธอรู้สึกโล่งอกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความจริงอารอนก็ดีใจมากเช่นกัน บัดนี้เขาจะได้หายใจอย่างเต็มปอดเสียที พวกเขาเป็นอิสระแล้ว พวกเขาหนีออกมาจากการถูกกักขังได้แล้ว ไม่ว่าหลังจากนี้พวกเขาจะต้องทำอย่างไรต่อ แต่การที่หนีออกมาได้นี้นับว่าเป็นก้าวแห่งความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขา เขาไม่เคยรู้เลยว่าอ้อมกอดของคนที่เขาคอยปกป้องอยู่ตลอดนั้นจะอบอุ่นราวกับได้ผิงไฟ...

 

 

“(หืม? อุ่น?)”

 

 

ยังไม่ทันที่อารอนจะรู้สึกตัวถึงความอุ่นที่ผิดปกติ ลูเซียค่อยๆทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างควบคุมไม่ได้ “แฮ่ก...จ....เจ็บ...เจ็บจัง....”

 

 

“หา? องค์หญิง? องค์หญิงขอรับ!”

 

 

บรรยากาศที่ควรจะน่ายินดีของพวกเขากลับตาลปัตรไปในบัดดล อารอนก้มลงดูอาการของเธอด้วยความตกใจ เธอกุมแขนซ้ายตัวเองไว้อย่างแน่นหนาและมีสีหน้าเจ็บปวดอย่างรุนแรง แผลถลอกขนาดใหญ่ที่เธอเคยลื่นล้มในอุโมงค์ระบายน้ำขณะนี้กลับเริ่มมีสีคล้ำอย่างน่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้น ไข้ของเธอกลับสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สาเหตุที่เขารู้สึกได้ถึงความอุ่นของร่างกายลูเซียที่ผิดปกตินั้นมาจากสิ่งนี้นั่นเอง

 

 

“แผลติดเชื้องั้นเหรอ? แย่แล้ว...” เหตุร้ายเกิดขึ้นอย่างกระทันหันจนอารอนปรับอารมณ์แทบไม่ทัน ความกลัวและกระวนกระวายเริ่มครอบงำจิตใจ เขาพยายามหันซ้ายหันขวามองหาคนเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ที่นี่คือกลางป่า แถมยังอยู่ในถิ่นศัตรู ไม่มีความช่วยเหลือใดๆที่จะหยิบยื่นให้เขาได้อีกแล้ว...แต่สภาพมืดแปดด้านเช่นนี้ เขาไม่สนใจแล้วว่าพวกเขาอยู่ในถิ่นศัตรูหรือไม่ องค์หญิงของเขาต้องได้รับการรักษาให้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป!

 

 

“ค-ใครก็ได้!!! ช่วยด้วยครับ!! มีคนป่วยครับ!!!”

 

 

สิ้นเสียงตะโกนเรียกของอารอนผ่านไปราวๆห้าวินาที ก็ยังไม่มีสิ่งใดตอบรับกลับมาเลย เขาเริ่มประคองอุ้มลูเซียขึ้นแล้วพาเดินมองหาคนให้ความช่วยเหลือในป่าอย่างไร้ทิศทาง เขาคิดอะไรไม่ออกว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาควรจะทำแล้วในตอนนี้

 

 

“ช่วยด้วยครับ!!! มีเด็กบาดเจ็บครับ!!! ถ้าใครอยู่ช่วยตอบด้วยครับ!!!”

 

 

ดูราวกับว่าความหวังของอารอนจะยิ่งริบหรี่ลงไปเรื่อยๆตามแสงตะวันที่ค่อยๆมืดลง แสงสีเหลืองอันอบอุ่นของอาทิตย์อัสดงกำลังเลือนหายไป และกำลังจะถูกแทนที่ด้วยท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มอันมืดหม่น เขายังคงมองเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างชัดเจนด้วยคุณสมบัติของสายตาแมวของเขาอยู่ แต่มันก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี

 

 

จนในที่สุด ความเหนื่อยล้าสะสมตลอดการหลบหนีทำให้อารอนเดินต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เขาพยายามวางร่างของลูเซียลงกับพื้นอย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่ามันจะไม่ทำให้อาการของลูเซียดีขึ้นเลยก็ตาม

 

 

“อารอน...ฉัน...ปวดหัว...” ลูเซียเปล่งเสียงออกมาอย่างอ่อนล้า แถมอาการของเธอมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ อารอนได้ยินเสียงของเธออย่างชัดเจน แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เขาไม่เคยรู้สึกมืดแปดด้านขนาดนี้มาก่อนเลย เขาทำได้เพียงกุมมือข้างหนึ่งของเธอและหลับตาไว้แน่น และภาวนาขอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นเท่านั้น

 

 

“ได้โปรด...ถ้าสวรรค์หรือนางฟ้ามีจริง...ช่วยองค์หญิงลูเซียให้ปลอดภัยด้วยเถอะ!…”

 

 

…………………

 

 

…………

 

 

 

 

ซวบ...ซวบ...ซวบ…

 

 

“(หือ? เสียงใบไม้?)” อารอนคิด

 

 

“เอ่อ...เด็กคนนี้เป็นอะไรรึเปล่าคะ?”

 

 

เสียงเล็กๆที่อ่อนหวานของหญิงสาวทำให้อารอนรู้สึกตัวและลืมตามองเจ้าของเสียงทันที...เขาแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น คนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นหญิงสาวที่มีผมสีน้ำเงินสลับฟ้าเป็นริ้วๆและเป็นประกาย สวมหมวกใส่นอนทรงสามเหลี่ยมสีน้ำเงินประดับดาวสีขาว มีเครื่องประดับรูปปีกแทนที่หูของเธอ ดวงตาสีชมพูแสนอ่อนโยน หน้าตาน่ารักใสซื่อเหมือนนางฟ้า แต่กลับสวมผ้าคลุมสีเทาปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดดูแล้วลึกลับผิดกับหน้าตาที่ใสซื่อของเธอ แต่อย่างไรก็ตาม เท่านี้อารอนก็รู้สึกประหลาดใจมากแล้วที่หญิงสาวสวยราวกับนางฟ้าคนนี้จะปรากฏตัวมาหาพวกเขาจริงๆ

 

 

“องค์---ไม่สิ เพื่อนของผมบาดเจ็บครับ! เธอมีแผลติดเชื้อ ไข้สูงมาก อาการไม่ดีเลยครับ!” อารอนพูดอย่างเร่งรีบจนหญิงสาวผมน้ำเงินไม่ทันได้ตั้งตัว “หวาๆๆ! ใจเย็นๆก่อนนะคะ! เอ่อ...เธอป่วยแล้วก็มีแผลสินะคะ…”

 

 

หญิงสาวเข้ามาดูอาการของลูเซียอย่างคร่าวๆ ก่อนที่เธอจะเริ่มกุมมือทั้งสองข้างไว้ที่หน้าอกคล้ายกับการขอพร และทำปากขมุบขมิบเบาๆเหมือนขยับปากสวดมนต์ ก่อนที่จะกางมือแผ่ออกลงไปเหนือร่างของลูเซียที่นอนอยู่…

 

 

“ด้วยพลังแห่งดวงดาว ฉันขออธิษฐานให้เด็กสาวคนนี้ได้รับการเยียวยาบาดแผลและโรคภัยให้กลับมาหายดีด้วยเถิด วิชชิ่ง สตาร์(Wishing Star)”

 

 

และทันใดนั้นเอง อารอนถึงกับอ้าปากค้างเมื่อประกายแสงรูปดาวปรากฏออกมาจากใต้ฝ่ามือของหญิงสาว กลุ่มก้อนแสงรูปดาวนี้ระเบิดโพละออกมาเหมือนลูกโป่งแตก แล้วร่างกายของลูเซียก็เริ่มเรืองแสงออกมาอย่างน่าอัศจรรย์ แผลของลูเซียค่อยๆจางหายไปราวกับเวทมนตร์ สีหน้าของเธอก็เริ่มผ่อนคลายขึ้น ดูไม่ทรมานเหมือนอย่างเก่าแล้ว ก่อนที่แสงนั้นจะค่อยๆจางลง อารอนเองก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ที่เขาพอจะเดาได้ในตอนนี้คือ องค์หญิงของเขาพ้นขีดอันตรายแล้ว

 

 

“ฉันรักษาอาการของเธอให้แล้วนะคะ...เอ๊ะ? คุณเองก็แผลเต็มตัวเหมือนกันเลยนี่คะ ให้ฉันรักษาคุณด้วยนะคะ” หญิงสาวคนนั้นเห็นสภาพของอารอนแล้วก็ทำท่าประหลาดใจ พร้อมทั้งทำท่าจะรักษาเขาด้วยวิธีการแบบเดียวกับลูเซียเมื่อกี้นี้

 

 

“เดี๋ยวๆๆ ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมไม่เป็น---อะ...อา…” ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่สนความเกรงใจของเจ้าแมวหนุ่ม กลุ่มก้อนแสงรูปดาวระเบิดออก และร่างกายของอารอนก็เรืองแสงออกมาเหมือนกับลูเซียเช่นกัน อารอนรู้สึกผ่อนคลายลงอย่างมากราวกับร่างกายล่องลอยไปในอากาศ ความเจ็บปวดและเมื่อยล้าที่เคยมีค่อยๆหายไปราวกับโกหก เขากลับมามีเรี่ยวแรงเหมือนเดิมแล้ว

 

 

“ข...ขอบคุณมากครับ! คุณช่วยชีวิตพวกเราไว้แท้ๆ! พวกเราไม่รู้จะตอบแทนคุณยังไงดี” อารอนคุกเข่าขอบคุณหญิงสาวผู้มีพระคุณตรงหน้าอย่างอัศวิน สร้างความเกรงใจต่อเธอสุดๆ “ย-อย่าคุกเข่าเลยค่ะ! ทำแบบนี้ฉันก็รู้สึกเกรงใจขึ้นมาแทนนะคะ”

 

 

“อ...อืม...รู้สึกเหมือนฝันร้ายเลยเมื่อกี้นี้” ลูเซียค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างงัวเงียเพราะเสียงของอารอนกับหญิงสาว เธอตกใจเล็กน้อยเมื่อได้พบคนอื่นนอกจากเธอและอารอนเป็นครั้งแรก “เอ๊ะ!? อารอน คนๆนี้คือ?”

 

 

“ฉันชื่อสเตลล่าค่ะ เป็นแค่นักเดินทางที่ผ่านมาแถวนี้น่ะค่ะ” หญิงสาวผู้อ่อนหวานนามว่าสเตลล่าแนะนำตัวเอง

 

 

“คนๆนี้ช่วยรักษาบาดแผลขององค์หญิงให้หายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะขอรับ” อารอนช่วยเสริมให้ โดยไม่ทันคิดว่าเขาเรียกลูเซียว่าองค์หญิงให้สเตลล่าได้ยินไปแล้ว “เอ๊ะ? องค์หญิง? หมายความว่าไงกันน่ะคะ?”

 

 

“องค์หญิงลูเซีย เป็นเจ้าหญิงของเมืองที่อยู่ด้านหลังนี้น่ะครับ” อารอนแนะนำตัวลูเซียให้แทน เธอใช้โอกาสนี้แสดงการขอบคุณสเตลล่าด้วยการถอนสายบัวให้กับเธอเล็กน้อย “ขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกเรานะคะ”

 

 

สเตลล่าออกอาการชะงักงันต่อคำว่า ‘เจ้าหญิง’ ไปราวสามวินาที ก่อนที่เธอจะเริ่มเข้าใจว่าลูเซียเป็นใคร “หวาาาา!!! ขออภัยที่เสียมารยาทแก่ร่างกายของท่านนะคะ! ยกโทษให้ดิฉันด้วยเถอะค่ะ! ขออภัยด้วยนะคะ!!” เธอคุกเข่าพร้อมก้มหัวปะหลกๆแก่ลูเซียหลายครั้งหลายหน

 

 

“โธ่~! ยืนขึ้นเถอะค่ะคุณสเตลล่า ทำแบบนี้ฉันก็ลำบากใจนะ” ลูเซียให้สเตลล่าลุกขึ้นก่อน เธอไม่อยากให้ใครมาปฏิบัติตัวกับเธออย่างห่างเหินขนาดนี้เท่าไหร่นัก สเตลล่าลุกขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยคำถาม “ว่าแต่ว่า...พวกคุณทำไมเนื้อตัวเลอะเทอะขนาดนี้เลยล่ะคะ? แถมยัง...เอ่อ...ขอโทษนะคะ แหะๆ”

 

 

จู่ๆสเตลล่าก็ยกมือขึ้นมาปิดจมูกเพราะทั้งหัวเราะแก้เขิน ทั้งอารอนและลูเซียเข้าใจได้ทันทีว่าเธอเหม็นกลิ่นตัวพวกเขาที่เพิ่งไปผจญภัยในท่อระบายน้ำมา...

 

 

“อา...ขออภัยด้วยครับที่สภาพพวกเราอาจจะน่ารังเกียจนิดนึง เรื่องนี้ผมจะเล่าให้ฟังเองครับ แต่ก่อนอื่นหารถที่จะพาพวกเราไปยังเมืองถัดไปก่อนเถอะครับ ตอนนี้ก็มืดแล้วด้วย” อารอนเสนอ ทั้งลูเซียและสเตลล่าต่างก็เห็นพ้องต้องกัน และพวกเขาก็ตัดสินใจรีบออกจากป่าเพื่อเดินทางไปยังเมืองถัดไป...

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

To be continued in 6th Memory.

 

คอมเม้นต์กันมาได้นะฮะ:pika01:

Link to comment
Share on other sites

  • 1 month later...

เอาล่ะครับ เรากำลังจะผ่านพ้นไปอีกปีแล้ว ว่าแต่นี่ผมแต่งฟิคกันข้ามปีเลยเหรอนี่ ช่างเป็นเวลาที่ยาวนานจริงๆ //ฮา

แต่ก่อนที่เราจะเข้าสู่ปีถัดไป ผมจะขอลงฟิคตอนสุดท้ายของปีนี้ก่อนละครับ นั่นคือตอนที่ 7 นั่นเอง!

*Edit* เพิ่มตอนที่ 6 ลงไปด้วยเนื่องจากเผลอลบรีพลายตัวเองนะฮะ

******************

Heart Remedy 6th Memory: Fallen Angel (นางฟ้าตกสวรรค์)

Spoiler

ความเดิมตอนที่แล้ว – ในที่สุดอารอนและลูเซียก็ออกมาจากท่อระบายน้ำของเมืองได้สำเร็จ แต่ลูเซียก็เกิดอาการป่วยจากแผลติดเชื้อ อารอนที่กำลังอับจนหนทางอยู่นั้นได้หญิงสาวคนหนึ่งนามว่าสเตลล่า มาช่วยรักษาอาการป่วยและบาดแผลของลูเซียให้หายดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ แล้วพวกเขาก็ได้รวมกลุ่มกันเพื่อเดินทางไปยังเมืองต่อไปที่อยู่ใกล้ๆกัน...

 

 

Heart Remedy 6th Memory: Fallen Angel (นางฟ้าตกสวรรค์)

 

 

อารอน ลูเซีย และเพื่อนร่วมทางคนใหม่ของพวกเขา สเตลล่า ได้ช่วยกันหาทางออกจากป่าจนกระทั่งพวกเขาโผล่ออกมาที่ริมถนนโล่งๆแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองที่พวกเขาจากมามากนัก แม้จะเป็นเวลากลางคืนที่ดูไม่ปลอดภัย แต่ดูเหมือนสิ่งนั้นจะไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับพวกเขาในการหาทางออกจากป่าเลย

 

 

“ฮ้า! ในที่สุดเราก็ออกมาจากป่าได้ซะที~” ลูเซียกล่าวอย่างโล่งอกพร้อมกับบิดขี้เกียจ

 

 

“คุณสเตลล่านี่ยอดไปเลยนะครับ ผมเพิ่งรู้ว่าเราสามารถหาทิศเหนือจากดวงดาวบนฟ้าได้ด้วย” อารอนกล่าวชมสาวน้อยในผ้าคลุมสลับกับมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดาวระยิบระยับ รวมทั้ง ‘ดาวเหนือ’ ที่เขากล่าวถึง

 

 

“ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แหะๆ ฉันมีความรู้เรื่องดาราศาสตร์อยู่นิดหน่อยน่ะค่ะ” ดูท่าทางสเตลล่าจะดีใจไม่น้อยที่มีคนชมเธอ ความจริงแล้วสเตลล่าตัวสูงกว่าอารอนและลูเซียอีก แต่กิริยาที่ดูใสซื่อเหมือนเด็กของเธอก็ทำให้อารอนอดมองเธออย่างเอ็นดูไม่ได้เลย

 

 

“จะว่าไปแล้ว คุณสเตลล่ามาทำอะไรที่นี่เหรอ?”

 

 

“เอ่อ...พอดีฉันมีธุระที่เมืองโนวาโปลิซน่ะค่ะ แต่พอไปถึงหน้าประตู ฉันก็เห็นมีทหารหน้าตาท่าทางน่ากลัวหลายคนยืนปิดประตูทางออกไว้ ฉันเองก็ไม่กล้าเข้าไปถามพวกเขาด้วย ก็เลยพยายามลัดเลาะป่าหาทางเข้าทางอื่น...แต่ผลที่ได้ก็คือหลงทางซะเองน่ะค่ะ” สเตลล่าตอบแบบเขินๆ

 

 

“แต่เรื่องของคุณอารอนและเจ้าหญิงก็น่าตกใจไม่น้อยเลยนะคะ...ถ้าปราสาทถูกยึดแบบนั้น ความมั่นคงของอาณาจักรนี้ก็คงเริ่มสั่นคลอน...เป็นปัญหาที่ใหญ่มากเลยนะคะ” สเตลล่าพูดอย่างกังวล

 

 

“เพราะอย่างนั้น พวกเราก็เลยคิดจะหาทางกู้ปราสาทคืนมาให้ได้น่ะ แต่พวกเรายังไม่มีแผนอะไรกันเลย” อารอนกล่าว

 

 

“ถ้าอย่างนั้น...ฉันรู้ว่ามันจะเป็นการรบกวนเวลาอันมีค่าของพวกท่าน แต่ถ้าไปถึงเมืองถัดไปแล้ว ช่วยรับฟังเรื่องที่ฉันจะขอร้องได้มั้ยคะ? ที่ผ่านมาไม่มีใครที่จะช่วยเหลือฉันได้แล้วจริงๆ...”

 

 

“อา...ได้สิคุณสเตลล่า พวกเราจะรับฟังให้นะ” ลูเซียตอบรับด้วยรอยยิ้ม แม้เธอจะสงสัยว่าทำไมสเตลล่าต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เล่าตอนพวกเขาเดินทางถึงเมืองถัดไป แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าเธอจะต้องถามอะไรจากอารอนต่อ “ว่าแต่เราจะเดินทางต่อไปยังไงกันดีล่ะอารอน?”

 

 

“คงต้องเดินไปเท่านั้นแหละขอรับ พวกเราไม่มีเงินจ่ายค่าโดยสารเลยนะขอรับ” อารอนตอบแบบท้อๆ เขาเพิ่งจะคิดได้ว่าถ้ารู้อย่างนี้น่าจะเอาทรัพย์สินจากปราสาทติดตัวมาด้วย

 

 

“เอ่อ...ถ้าไม่มีเงิน จะใช้สิ่งนี้ก็ได้นะ?”

 

 

อารอนประหลาดใจกับคำพูดขององค์หญิง เขาหันไปมองและพบว่าเธอหยิบเอาสิ่งหนึ่งออกมาจากกระเป๋าใบเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในชุดกระโปรงขาดๆเลอะๆที่ลูเซียสวมอยู่ มันคือตราสัญลักษณ์ของผู้ปกครองแผ่นดินของเธอนั่นเอง มันมีเข็มอยู่ที่ด้านหลังตราคล้ายกับเข็มกลัด แต่เข็มกลัดทั่วไปไม่มีการทำขอบทองหรือใช้แซฟไฟร์เม็ดโตกว่าหัวแม่มือเป็นองค์ประกอบหลักแน่ๆ อีกทั้งยังมีสัญลักษณ์รูปหัวใจสีขาวบางๆถูกพิมพ์ไว้บนอัญมณีแซฟไฟร์ขนาดใหญ่อีกด้วย

 

 

แต่สิ่งนี้เป็นของล้ำค่ามากเกินกว่าที่อารอนจะยอมให้ลูเซียขายเพื่อเพียงใช้เงินยังชีพ เขาคัดค้านทันที “เดี๋ยวก่อน! ไม่ได้นะขอรับ สิ่งนี้เป็นของสำคัญมากสำหรับตระกูลขององค์หญิงไม่ใช่หรือขอรับ!?”

 

 

“ไม่เป็นไรหรอก มันก็แค่ของที่ใช้สำหรับบ่งบอกฐานะและตัวตนของฉันเท่านั้นเอง ถึงฉันจะขายมันไปก็ไม่ได้หมายความว่าตัวฉันจะหายไปซักหน่อย ตอนนี้เราต้องใช้เงินนี่ ใช่มั้ย?” ลูเซียพูดอย่างไม่เสียดายกับตราสัญลักษณ์ที่เธอคิดจะขายมันเลย แต่อารอนไม่คิดอย่างนั้น เขาคิดว่าเจ้าหญิงของเขายังคิดตื้นเกินไป

 

 

“องค์หญิงขอรับ ท่านได้คิดเผื่อกรณีที่จะถูกกดราคาต่ำกว่าความจริงที่ท่านควรจะได้หรือเปล่า พวกเราไม่มีความรู้เรื่องการซื้อขายอัญมณี และตอนนี้พวกเราไม่มีเวลาจะไปศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมเลยขอรับ อีกอย่าง แม้สิ่งนี้จะสามารถทำขึ้นใหม่อีกกี่ครั้งก็ได้ แต่องค์หญิงลองคิดดูก่อนนะว่า ถ้าวันนึงเรื่องที่ท่านเอาตราสัญลักษณ์ของผู้ปกครองแผ่นดินไปขายให้กับภายนอกเกิดแดงขึ้นมาให้คนทั่วไปได้รับรู้ ท่านคิดว่าประชาชนจะยังไว้ใจในการปกครองดินแดนนี้ในนามตระกูลของท่านได้อีกหรือขอรับ?”

 

 

ความเงียบเกิดขึ้นกับพวกเขาชั่วขณะ ไม่มีใครพูดอะไรออก ล้วนแต่อยู่ในอาการตกตะลึง จนอารอนอดคิดไม่ได้ว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า “อ...เอ่อ...กระผมเพียงแค่พูดเพื่อเตือนสติท่านด้วยความเห็นส่วนตนเท่านั้น ถ้ากระผมพูดอะไรผิดไปหรือรุนแรงไป ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงด้วยขอรับ” เขาคุกเข่าลงทันที แต่ลูเซียก็รีบห้ามเขาไว้

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกอารอน! ลุกขึ้นเถอะ! เธอพูดถูกแล้วแหละ...ฉันอุตส่าห์รักษาสิ่งนี้ไว้กับตัวได้ แถมยังมีความสำคัญมากต่อตระกูลของฉัน แต่ฉันกลับคิดจะขายมันเพื่อเอาตัวรอด...พวกเราต้องไม่ยอมแพ้สินะ ฉันจะเก็บมันไว้ต่อไปก็แล้วกัน” ลูเซียมองดูตราสัญลักษณ์ในมือของเธอ ก่อนที่จะเอามันเก็บกลับเข้ากระเป๋าที่กระโปรง อารอนที่เห็นดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเปลาะหนึ่ง

 

 

“เอ่อ ถ้ามีปัญหาเรื่องค่าโดยสาร ฉันจะช่วยออกให้ก็ได้นะคะ เรื่องเล็กน้อยเท่านี้เอง” สเตลล่าอาสาอย่างแข็งขัน ลูเซียรู้สึกดีใจมาก “จริงเหรอ! ขอบคุณมากเลยนะสเตลล่า!”

 

 

“เป็นพระคุณอย่างสูงสำหรับพวกเราเลยล่ะครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะมองหารถให้นะครับ” อารอนยืดตัวชะเง้อมองซ้ายมองขวาไปตามถนนที่ไกลๆ ซักพักหนึ่งเขาก็อุทานออกมาด้วยความดีใจขึ้นมา “เจอรถโดยสารแล้วล่ะขอรับ!”

 

 

บนถนนฝั่งที่ทอดยาวออกมาจากเมืองโนว่าโปลิซ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรนี้ หรือก็คือเป็นเมืองที่พวกอารอนจากมานั่นเอง มียานพาหนะคันหนึ่งที่วิ่งมาด้วยความเร็วพอเหมาะมาตามถนน อารอนได้โบกมือเพื่อให้สิ่งนี้จอดข้างๆพวกเขา มันคือรถยนต์โดยสารที่มีล้อผอมๆสี่ล้อ ไฟหน้ากลมๆทั้งสองดวงถูกติดตั้งไว้ห่างออกจากกันพอสมควร ภายในรถเปิดโล่งด้านซ้ายขวา มีผ้าใบกันฝนที่ถูกกางให้คลุมไว้ทั่วโครงหลังคารถตั้งแต่ท้ายรถจนถึงเหนือที่นั่งคนขับ เบาะหนังสีดำด้านมีกระดุมติดเป็นลายเบาะชวนให้รู้สึกดูหรูหรา

 

 

ผู้ขับขี่รถคันนี้ซึ่งเป็นชายหนุ่มสวมเครื่องแบบชุดสูทยาวสีดำพร้อมหมวกเดอบี้กลมๆแบบคนขับรถทั่วไป ได้ยื่นหน้าออกมาพูดกับพวกอารอน “เอ่อ...พวกคุณเนื้อตัวสกปรกชะมัดเลยนะ แถมเนื้อตัวยังเหม็นเป็นบ้า พวกคุณนั่งไม่ได้หรอกนะ เดี๋ยวทั้งคราบทั้งกลิ่นติดรถผมจะเดือดร้อนนะ”

 

 

แล้วชายคนนั้นก็ขับรถจากไปต่อหน้าต่อตาพวกอารอนทันที…

 

 

“ตั้งแต่เกิดมาฉันเพิ่งจะเคยโดนรังเกียจเข้าจังๆขนาดนี้เป็นครั้งแรกเลย ฮะๆๆๆ…” ลูเซียหัวเราะทั้งน้ำตา ทำหน้าตาที่ดูไม่ออกว่าจะดีใจหรือร้องไห้ดี เธอทำสีหน้าอารมณ์ไม่ถูกเลยหลังจากที่เจ้าหญิงอย่างเธอถูกปฏิเสธแม้กระทั่งรถโดยสารของชาวบ้าน

 

 

“ถ้าพวกเราได้อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด พวกเราอาจจะได้โดยสารรถไปแล้วนะขอรับ น่าเสียดายจัง” อารอนมองดูสภาพของตัวเองและองค์หญิงของเขาอย่างเวทนา “แต่คิดในแง่ดีก็ คุณสเตลล่าไม่ต้องจ่ายค่าโดยสารแล้วนะครับ แหะๆๆ”

 

 

“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ พวกคุณกำลังลำบากอยู่นี่นา” สเตลล่ากล่าว อารอนเพิ่งจะสังเกตว่าสเตลล่าดึงฮู้ดขึ้นมาปิดบังใบหน้าส่วนหนึ่งไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่เธอยังคงพูดคุยกับเขาได้อยู่ “ถ้างั้นก็มีแต่ต้องเดินไปแล้วสินะคะ…”

 

 

“เดี๋ยวก่อนนะครับทุกคน”



จู่ๆอารอนก็ทำท่าเหมือนจะมองเห็นอะไรบางอย่างอีกครั้งจากทิศเดิมที่มีรถโดยสารวิ่งผ่านมาเมื่อกี้นี้ เขาเพ่งมองอยู่ซักพักก่อนที่จะหันกลับมาหาลูเซียกับสเตลล่าด้วยสีหน้าที่มีความหวัง “ถ้าเป็นคันนี้ละก็อาจจะมีสิทธิ์นะขอรับ”

Spoiler

 

ทั้งสองสาวต้องรอซักพักกว่าจะได้รู้ความหมายที่อารอนพูด รถที่อารอนพูดถึงกลับเป็นรถกระบะขนของธรรมดาๆที่ท่าทางนั่งไม่สบายเลยแม้แต่นิดเดียว ตัวรถทรงเหลี่ยมๆมนๆสภาพค่อนข้างเก่าที่ตรงท้ายติดกระบะรถสีฟ้า พื้นกระบะบุด้วยแผ่นไม้กระดานหลายๆแผ่นต่อกันเป็นแนวยาว ภายในกระบะนั้นว่างไม่มีสินค้าหรือกล่องใดๆ มีพื้นที่ให้พวกเขาทั้งสามคนเข้าไปนั่งได้สบายๆ

 

 

“ขอโทษนะคร้าบบบบบบบ จอดด้วยคร้าบบบบบบบ” อารอนโบกมือเรียกจนรถกระบะคันนี้จอดข้างๆพวกอารอน และมีคนขับเป็นลุงแก่ๆสวมหมวกฟางและเสื้อคนงานมอมๆยื่นหน้าออกมามองพวกเขาด้วยความสงสัย “พวกเราขอติดรถไปเมืองอินิเชียโล่ได้รึเปล่าครับ?”

 

 

“หลังกระบะเลยไอ้หนู รถนี่ขี่ไม่นิ่มนะบอกไว้ก่อน รีบขึ้นให้ไว” ลุงคนขับชี้ไปที่กระบะรถด้านหลังอย่างห่ามๆ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่พวกอารอนต้องการ พวกเขาพากันขึ้นหลังรถกระบะโดยให้อารอนที่ขึ้นไปก่อนคอยยื่นมือรับลูเซียกับสเตลล่าให้ขึ้นมาอีกที เมื่อสเตลล่าขึ้นมาบนกระบะรถได้ประมาณวินาทีเดียว รถคันนี้ก็กระชากตัวอย่างฉับพลันไปข้างหน้าจนสเตลล่าล้มก้นจ้ำเบ้า ก่อนที่รถจะเริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างปกติ “โอ๊ยยยย! เจ็บจัง…”

 

 

รถกระบะคันนี้เป็นรถที่โดยสารไม่สะดวกเอาเสียเลย เมื่อรถคันนี้วิ่งเหยียบหลุมดินบนถนน รถก็จะสั่นสะเทือนจนพวกอารอนแทบจะลอยขึ้นจากพื้นกระบะ พวกเขารู้สึกราวกับที่ๆพวกเขานั่งอยู่นี้กระแทกกับพื้นดินเปล่าๆโดยไม่มีล้อรองรับเลย ซึ่งนี่เป็นเรื่องปกติของรถเก่าที่ไม่มีระบบรองรับการสั่นสะเทือนที่ดีนักอยู่แล้ว แม้พวกเขาจะรู้สึกเจ็บก้นตลอดเส้นทาง แต่ถ้าให้เลือกระหว่างนั่งรถไปกับเดินไป พวกเขาก็คงเลือกที่จะนั่งรถไปอยู่ดี

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

ซักพักรถกระบะคันนี้ก็เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองอินิเชียโล เมืองนี้แม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็เป็นสถานที่ๆคึกคักไม่แพ้เมืองใหญ่ๆ สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่สร้างด้วยอิฐบล็อกแบบเตี้ยๆที่ดูแล้วอาคารที่สูงที่สุดไม่น่าเกินห้าชั้น พื้นถนนยังคงเป็นหน้าดินเหมือนถนนนอกเมือง โคมไฟที่ให้แสงสีเหลืองนวลตามริมถนนช่วยสร้างความสว่างไสวและมีชีวิตชีวาแก่ทุกๆเส้นทาง มีต้นไม้และสวนที่ปลูกตามริมทางมากมายแม้จะไม่ได้มีสีสันสวยงามอะไร ถนนในเมืองดูกว้างเสียจนทำให้ทัศนียภาพภายในเมืองนี้ดูไม่แออัด โล่งสบายตาพอสมควรถึงแม้จะมีพวกร้านแผงลอยขายขนมหรือของเล็กๆน้อยๆที่กระจายขายของอยู่เป็นหย่อมๆก็ตาม ส่วนลักษณะผู้คนภายในเมืองนี้ก็ไม่ค่อยแตกต่างไปจากที่อารอนกับลูเซียเคยเห็นในเมืองของตนเท่าไหร่ คือส่วนใหญ่เป็นมนุษย์ มีอยู่เพียงส่วนน้อยที่เป็นเผ่าบีสต์อยู่ตามท้องถนน

 

 

ยังดีที่รถคันนี้จอดอย่างนิ่มนวลมากพอที่พวกอารอนจะไม่ไถลไปกองกับด้านหน้ากระบะ พวกเขาพากันลงจากรถอย่างระมัดระวัง กล่าวขอบคุณคุณลุงผู้ที่พาพวกเขามาถึงจุดหมาย และเริ่มมองหาสิ่งที่พวกเขาต้องทำเป็นอันดับแรก ซึ่งจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก อาบน้ำให้ชื่นใจเสียก่อน

 

 

“ที่เมืองนี้ไม่มีโรงอาบน้ำก็จริง แต่ถ้าเป็นโรงแรมก็น่าจะใช้ได้นะคะ” สเตลล่าแนะนำทั้งสองคน และนำทางพวกเขาไปยังโรงแรมถูกๆแห่งหนึ่งในเมืองนี้

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

แม้พนักงานที่โรงแรมจะตกใจพอสมควรกับสภาพของพวกอารอน แต่หลังจากที่อารอนช่วยอธิบาย(โกหก)ว่าพวกเขาพลัดตกไปยังบ่อน้ำทิ้งของเมืองมา ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปล้างเนื้อล้างตัวได้ เมื่อสเตลล่าจ่ายค่าที่พักให้กับทุกคนแล้ว พวกเขาก็ได้ห้องพักห้องหนึ่งที่ดูดีกว่าภายในที่พักอาศัยของชาวเมืองนิดหน่อย คือเตียงสองเตียงสีขาวที่ผ้าปูถูกดึงไว้เรียบตึง โซฟาตัวยาว โคมไฟทองเหลือง ห้องน้ำสองห้อง และสิ่งอำนวยความสะดวกเล็กๆน้อยๆอื่นๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำหรับพวกอารอนที่ต้องการจะอาบน้ำอาบท่าให้หายเหม็นก่อนเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว โดยสเตลล่าจะอาสาไปหาซื้อเสื้อผ้าชั่วคราวถูกๆให้พวกอารอนสวมใส่

 

 

ซักพักใหญ่ๆอารอนก็เดินออกมาจากห้องน้ำในชุดคลุมอาบน้ำนุ่มๆสีขาว แล้วก็ล้มตัวคว่ำลงนอนบนเตียง สีหน้าท่าทางผ่อนคลาย สบายอย่างบอกไม่ถูก ชนิดที่ว่าลบภาพเดิมที่เขาชอบทำหน้าตาจริงจังอยู่ตลอดเวลาไปจนหมด “ฮ้าาาาาาาา เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ อะแหะๆๆๆ…”

 

 

ผ่านไปซักพัก…

 

 

“หืม? ท่าทางเตียงนี้จะนอนสบายนะอารอน?” เจ้าแมวหนุ่มที่เพิ่งรู้สึกตัวด้วยเสียงของลูเซียที่กลับออกมาจากห้องอาบน้ำแล้วในชุดเดียวกับเขา รีบผลุดลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว กลับมายืนอย่างเรียบร้อย “อะแฮ่ม! ขออภัยด้วยขอรับ พอดีเผลอตัวไปหน่อย…”

 

 

ซักพักสเตลล่าก็กลับมาจากซื้อเสื้อผ้าให้อารอนกับลูเซีย ทั้งสองคนเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำอีกครั้ง อารอนออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดเสื้อคอปกบางๆสีขาวและกางเกงขายาวสีน้ำตาลพร้อมสายโยงบ่า ส่วนลูเซียก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดกระโปรงสองชั้นแขนสั้นสีส้มอ่อน แม้จะไม่ใช่เสื้อผ้าที่สวยหรือคุณภาพดีนัก แต่ดูท่าทางทั้งสองจะรู้สึกพึงพอใจมาก “ขอบคุณมากเลยนะสเตลล่า พวกเราเป็นหนี้บุญคุณเธอจริงๆ” ลูเซียกล่าวอย่างร่าเริง

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าเทียบกับเรื่องที่ฉันจะเล่าให้ฟัง ค่าใช้จ่ายที่ฉันออกให้นี้ยังนับเป็นเรื่องเล็กน้อยค่ะ” สเตลล่ากล่าวเสียงต่ำที่ฟังดูจริงจัง เธอเดินไปปิดม่านหน้าต่างและล็อกประตูให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินมาหาอารอนกับลูเซียที่กำลังสงสัยในการกระทำของเธอ “สิ่งที่ฉันจะให้พวกคุณดู ห้ามเอาไปบอกกับใครเป็นอันขาดเลยนะคะ”

 

 

แม้จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่อารอนกับลูเซียก็รับปาก “ครับ พวกเราจะไม่บอกใครทั้งนั้น”

 

 

สเตลล่าค่อยๆถอดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นเสื้อผ้าจริงๆของเธอที่อยู่ใต้ผ้าคลุมที่ดูลึกลับนั้น เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวประดับลายประสีฟ้าที่ประดับด้วยปุยนุ่นสีขาวคล้ายเมฆสีฟ้าอ่อน ทับเสื้อเปลือยไหล่แขนสั้นและกระโปรงชั้นในสีขาว มีสายหนังสานพันที่รอบต้นคอ ข้อมือและข้อเท้าของเธอ และใส่รองเท้าแตะหนังรัดส้น ลักษณะโดยรวมของเธอแล้วเหมือนนางฟ้ามากๆ แต่เมื่อเธอค่อยๆถอดผ้าคลุมออกจนหมด สิ่งที่อารอนและลูเซียได้เห็นนั้นสร้างความตื่นตาตื่นใจกับพวกเขามากทีเดียว

 

 

หญิงสาวคนนี้มีปีกขนาดใหญ่สีขาวอยู่ที่กลางหลัง เธอคือนางฟ้าจริงๆชัดๆ

 

 

“ป...ปีกงั้นเหรอ!?” อารอนอุทาน “งั้นปีกที่อยู่ที่หูนั่นก็...”

 

 

“ค่ะ ที่หูของฉันไม่ใช่เครื่องประดับ แต่เป็นปีกจริงๆน่ะค่ะ จริงๆแล้วมันใช้เพื่อกรองเสียงแบบใบหูของมนุษย์น่ะค่ะ” เธอพูดยิ้มๆพลางกระดิกหูปีกของเธอเล็กน้อย

 

 

“ถ้าอย่างนั้น...คุณก็คือชาวเซเลสเทียเหรอเนี่ย!?” ลูเซียพูด อารอนรู้สึกสงสัยในชื่อเรียกที่เธอกล่าวถึง

 

 

“ปีกของฉันบาดเจ็บน่ะค่ะ...ฉันถูกฟ้าผ่าเข้าระหว่างที่บินบนท้องฟ้า แล้วก็ร่วงลงมายังโลกราวๆหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา” สเตลล่าหันหลังให้พวกอารอนดู มีรอยไหม้ขนาดใหญ่อยู่ที่ปีกของเธอจริงๆ ปีกของเธอข้างหนึ่งถูกเผาไหม้จนหายไปเกินกว่าครึ่งของเนื้อที่ปีกทั้งหมด แล้วเธอก็หันกลับมา “จริงๆแล้วมีวิธีรักษาอยู่ แต่ยาทั่วไปบนโลกนี้ไม่สามารถรักษาฉันให้หายได้ ต้องใช้สารสกัดจากเมล็ดปุยฝ้ายในจำนวนที่มากพอ และสารสกัดของไวเวิร์นนภาในอัตราส่วนที่เหมาะสมด้วยน่ะค่ะ”

 

 

“ไวเวิร์นนภา...เดี๋ยวก่อนนะ นั่นมันสิ่งมีชีวิตในตำนานไม่ใช่เหรอ!? มันมีจริงบนโลกด้วยเหรอ!?” ลูเซียถามต่อ

 

 

“มีค่ะ...แต่ไม่ใช่บนโลก แต่เป็นบนท้องฟ้า พื้นที่ๆพวกเราชาวเซเลสเทียอาศัยอยู่นี่แหละค่ะ”

 

 

“ถ้าอย่างนั้น...เราจะช่วยเหลือเธอยังไงดีล่ะ...” ลูเซียเริ่มรู้สึกว่าปัญหานี้มันใหญ่เกินกว่าที่เธอคาดคิด เธอไม่นึกเลยว่าสเตลล่าจะเป็นคนของเผ่าเซเลสเทียอันลึกลับนี้

 

 

“อา...บางทีปัญหานี้อาจจะใหญ่โตเกินไปสำหรับพวกคุณจริงๆสินะ...ถึงได้บอกน่ะค่ะว่าทำได้แค่ ‘รับฟัง’ ถึงฉันจะมีความหวังอยู่นิดๆว่าจะมีใครซักคนที่จะช่วยพาฉันไปรักษาและได้กลับไปยังดินแดนของฉัน” สเตลล่าพูดอย่างเศร้าๆ “แต่มันไม่ง่ายเลยที่ฉันจะหาคนช่วยเหลือได้ด้วยตัวเอง ฉันต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ฉันอาจจะถูกพวกแองเจิลฮันเตอร์ตามล่าเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าฉันถูกพบตัวเข้า...”

 

 

“เอ๋? แองเจิลฮันเตอร์?” ลูเซียรู้สึกสงสัย

 

 

ในขณะที่บรรยากาศรอบตัวของพวกอารอนเริ่มตึงเครียดด้วยการเปิดเผยตัวตนของสเตลล่า ภัยร้ายใหม่ของพวกอารอนก็เริ่มคืบคลานเข้ามาในเมืองนี้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาเป็นชายฉกรรจ์ชุดน้ำตาลแดงกลุ่มเล็กๆที่บางคนพกมีดดาบ บางคนก็สะพายอาวุธยาวทรงกระบอกชนิดหนึ่งไว้บนหลัง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อปืนไรเฟิล...

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

To be continued in 7th Memory.


 

******************

Heart Remedy 7th Memory: Angel Hunter (นักล่านางฟ้า)
 

Spoiler

ความเดิมตอนที่แล้ว – ในที่สุดอารอนและลูเซียก็ออกมาจากท่อระบายน้ำของเมืองได้สำเร็จ แต่ลูเซียก็เกิดอาการป่วยจากแผลติดเชื้อ อารอนที่กำลังอับจนหนทางอยู่นั้นได้หญิงสาวคนหนึ่งนามว่าสเตลล่า มาช่วยรักษาอาการป่วยและบาดแผลของลูเซียให้หายดีได้อย่างน่าอัศจรรย์ แล้วพวกเขาก็ได้รวมกลุ่มกันเพื่อเดินทางไปยังเมืองอินิเชียโล่ ที่นั่นพวกเขาได้รู้ความจริงว่าสเตลล่าคือชาวเซเลสเทีย ซึ่งเป็นเผ่ามนุษย์มีปีก เธอได้ร้องขอพวกอารอนให้ช่วยหาทางที่จะพาเธอกลับไปยังดินแดนเซเลสเทีย แต่ขณะเดียวกันก็มีกลุ่มคนปริศนากลุ่มหนึ่งปรากฏตัวภายในเมืองนี้…

 

 

Heart Remedy 7th Memory: Angel Hunter (นักล่านางฟ้า)

 

 

ภายในห้องพักห้องหนึ่งของโรงแรมเล็กๆที่พวกอารอนใช้เป็นที่พักและหลบซ่อนตัวอยู่ อารอนและลูเซียรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดอันน่าประหลาดที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นจากคำขอร้องของสเตลล่า และยังคงจะเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ...

 

 

“พวกแองเจิลฮันเตอร์ เป็นพวกมนุษย์ที่รวมตัวกันเพื่อตามล่าเผ่าเซเลสเทียอย่างเรา โดยเฉพาะเพศหญิง เพื่อจับพวกเราไปขายในตลาดมืด ซึ่งจะมีพวกเศรษฐีหรือชนชั้นสูงในวงการใต้ดินเข้ามาประมูลและซื้อพวกเราไป สำหรับพวกเราแล้ว การถูกจับและเอาไปขายต่อให้แก่พวกใต้ดินนั้น เป็นนรกสำหรับพวกเราเลยล่ะ”

 

 

“เมื่อก่อนพวกเรายังเคยอาศัยในดินแดนของพวกเราบนฟากฟ้าอย่างสงบสุข แต่พอมีชาวเซเลสเทียคนหนึ่งตกลงมายังพื้นโลกด้วยอุบัติเหตุ พวกเราที่เหลือก็ลงไปตามหาเธอ ณ เบื้องล่าง แต่ก็ปรากฏว่าทุกคนที่ลงไปยังพื้นโลกนั้นถูกพวกมนุษย์จับไปหมด...หลายเดือนให้หลัง มีพรรคพวกของเราคนหนึ่งที่หนีรอดมาได้ เล่าประสบการณ์อันเลวร้ายให้พวกเราที่ยังอยู่ได้ฟัง...นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของความหวาดกลัวของพวกเรา”

 

 

“แล้ว...เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา ที่ไม่กลับขึ้นมาล่ะ?”

 

 

แม้อารอนจะไม่ได้ตั้งใจ แต่คำถามของเขาก็ดูเหมือนจะสร้างความลำบากใจที่จะตอบแก่สเตลล่าไม่น้อยจนถึงกับทำให้เธอชักสีหน้า ได้แต่ก้มมองพื้นไม้ของห้องพัก นั่นทำให้เขารู้สึกผิดขึ้นมาทันที แต่ในที่สุดเธอก็ได้ตัดสินใจพูดมันออกไป

 

 

“พวกเขามีทั้งถูกใช้งานสำหรับแสดงโชว์เพื่อเรียกเงินเหมือนสัตว์เลี้ยง...ถูกนำไปเป็นหนูทดลองของพวกนักวิทยาศาสตร์...หรือแม้กระทั่งใช้เป็นเครื่องสนองตัณหาทางเพศ”

 

 

“ตายแล้ว!” ลูเซียตกใจจนเกือบเอามือปิดปากที่กำลังจะร้องลั่นไว้ไม่ทัน ตัวเธอในฐานะเจ้าหญิงที่ไม่ค่อยได้รู้เรื่องราวของโลกภายนอก ไม่เคยรู้เลยว่ามีพวกมนุษย์เช่นเดียวกับเธอที่กระทำการไร้มนุษยธรรมขนาดนี้ได้ลงคอ ความรู้สึกที่เอนเอียงไปทางการตอบรับที่จะช่วยเหลือเทวดาตกสวรรค์อย่างสเตลล่าคนนี้เริ่มก่อตัวขึ้นมาในจิตใจของลูเซีย แม้ว่าเธอจะยังไม่รู้วิธีที่จะช่วยเหลือเลยก็ตาม

 

 

“กระผมทราบนะขอรับว่าองค์หญิงคิดอะไรอยู่”

 

 

เสียงพูดของอารอนที่เบาแต่แฝงไว้ด้วยความหนักแน่นดึงสติของลูเซียให้รู้ตัว และหันไปมองอารอนด้วยความประหลาดใจ รวมทั้งสเตลล่าด้วย

 

 

“กระผมเข้าใจความรู้สึกของท่านดี แต่ตอนนี้พระราชา พระราชินี และทั้งอาณาจักรนี้เหลือพวกเราเป็นที่พึ่งสุดท้ายนะขอรับ และพวกเราก็ยังไม่ทราบวิธีที่จะช่วยเหลือเธอเลยด้วยซ้ำ...กระผมไม่ได้คัดค้าน เพียงแค่ต้องการย้ำเตือนให้องค์หญิงไม่ลืมภาระหน้าที่ของเราที่กำลังแบกรับอยู่นะขอรับ”

 

 

ราวกับว่าคำเตือนของอารอนจะสร้างทางเลือกอันหนักอื้งสำหรับลูเซียขึ้นมาเสียแล้ว เธอต้องเลือกระหว่างจิตใจของตัวเองที่ไม่อาจดูดายต่อการกระทำของแองเจิล ฮันเตอร์และช่วยเหลือสเตลล่าโดยเร็ว กับภาระอันยิ่งใหญ่ของลูเซียและอารอนที่มีชีวิตของพ่อแม่ของเธอ และอนาคตของทั้งอาณาจักรเป็นเดิมพัน

 

 

ถึงกระนั้น อารอนก็ไม่ใช่คนที่ใจไม้ไส้ระกำ เขารู้ดีว่าคำพูดของเขาสามารถทำลายความหวังของสเตลล่าลงได้ เขาคิดเช่นนั้นแล้วก็เดินเข้าไปปลอบโยนเด็กสาวมีปีก “คุณสเตลล่า พวกเราต้องขอโทษจริงๆที่ทำให้คุณต้องได้ยิน ผมเองก็ต้องการจะช่วยเหลือคุณเหมือนกัน แต่พวกเราเองก็กำลังมีภาระหน้าที่ในแบบของพวกเราเองเหมือนกัน...แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจขององค์หญิงอยู่ดี เพราะผมเองก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะตัดสินใจแทนได้”

 

 

อารอนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่สเตลล่าส่งยิ้มเล็กๆให้กับเขา “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันชินแล้วล่ะ”

 

 

สเตลล่าหันกลับไปเปิดหน้าต่างมองดูชาวเมืองที่อยู่ด้านนอก ราวกับว่าเธอกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างเกี่ยวกับผู้คนเหล่านั้น “ฉันพบเจอผู้คนมากมายบนโลกใบนี้ แต่ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ฉันจะเปิดเผยความจริงที่ว่าฉันมาจากดินแดนเซเลสเทีย และขอความช่วยเหลือกับพวกเขาได้ ถึงจะไม่มีใครสามารถช่วยเหลือฉันได้เลยก็เถอะ...แต่ฉันก็ดีใจทุกครั้งเลยนะเวลาที่พวกเขาเหล่านั้นรับฟัง-----ไม่นะ!!!”

 

 

สเตลล่าปิดผ้าม่านหน้าต่างอย่างแรงจนแทบจะทำมันขาด สาวเท้าหลบไปอยู่ที่มุมห้องอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเธอที่เคยมีความอาลัยอาวรณ์แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนก มือกุมหน้าอกบริเวณหัวใจไว้อย่างแน่นหนาราวกับต้องการจะให้มันสงบลงโดยเร็ว ทั้งอารอนและลูเซียต่างก็ตกตะลึงที่เพิ่งจะเคยเห็นเธอรู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้เป็นครั้งแรก

 

 

“องค์หญิงหลบมุมให้พ้นหน้าต่างก่อนนะขอรับ” อารอนกำชับ และขยับตัวไปอยู่ข้างๆหน้าต่าง เขาแง้มผ้าม่านเพียงเล็กน้อยเพื่อมองไปยังข้างนอกหน้าต่าง หาสิ่งที่น่าจะสร้างความหวาดกลัวต่อสเตลล่าได้ถึงเพียงนี้

 

 

ไม่นานเขาก็ได้พบกลุ่มคนที่น่าสงสัยกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างจากพวกเขาออกไปเพียงไม่กี่ช่วงตึก เป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ในชุดหนังโทนสีน้ำตาลและแดง สวมหมวกปีกคล้ายพวกคาวบอยหรือกลุ่มมาเฟียอะไรซักอย่าง และบางคนในกลุ่มมีอาวุธปืนยาวสะพายไว้ที่หลัง แต่ที่น่ากลัวก็คือพวกเขาเริ่มมองและชี้มายังโรงแรมที่พวกเขากำลังซ่อนตัวอยู่นี้แล้ว อาจเป็นเพราะพวกเขาเห็นความผิดปกติที่ผ้าม่านถูกกระชากปิดเมื่อครู่นี้ก็ได้

 

 

“องค์หญิงแล้วก็คุณสเตลล่าช่วยหาที่ซ่อนตัวก่อนนะขอรับ กระผมจะลงไปขับไล่เจ้าพวกนั้นเสียก่อน” เขาหยิบดาบและมีดแล้วออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงลูเซียที่สงสัยในคำเตือนของอารอนไว้เท่านั้น เธอเริ่มเลียนแบบอารอนด้วยการขยับไปข้างๆหน้าต่าง และแง้มผ้าม่านมองดูสถานการณ์ภายนอกหน้าต่างบานนี้...

 

 

O………………………………………………………………….O

 

 

อารอนตรงไปยังกลุ่มคนชุดหนังสีน้ำตาลแดงอย่างระมัดระวัง และเขาคิดไว้ว่าตั้งใจจะทำเป็นเดินผ่านมองดูลาดเลาว่าพวกเขาจะเป็นกลุ่มแองเจิลฮันเตอร์จริงๆหรือไม่ แต่กลับกลายเป็นว่าพอพวกเขาเห็นอารอน พวกเขาที่มีอยู่ราวๆเจ็ดแปดคนก็กระจายกำลังล้อมอารอนไว้เป็นแนวครึ่งวงกลม และจับตามองอารอนไว้อย่างไม่ละสายตา แม้ว่าจะยังคงมีผู้คนเดินผ่านไปมาก็ตาม

 

 

“พวกแกคิดจะทำอะไรน่ะ?” อารอนลองหยั่งเชิงด้วยคำถาม มือข้างหนึ่งของเขาตกอยู่ข้างตัวพร้อมที่จะชักมีดที่อยู่ข้างหลังออกมาได้ทุกเมื่อ

 

 

“หึๆ เปล่าซะหน่อย พวกเราแค่จะถามคำถามซักสองสามข้อเฉยๆเท่านั้นเองเจ้าแมวเอ๋ย” หนึ่งในกลุ่มชายชุดน้ำตาลแดงเริ่มเดินออกมาข้างหน้านิดหนึ่ง และเริ่มถามคำถาม “แกอยู่ที่โรงแรมตรงนั้นข้างหลังแกใช่รึเปล่า?”

 

 

“หืม? แล้วยังไง?” อารอนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ถามกลับ

 

 

“แกเห็นผู้หญิงมีปีกเข้ามาพักในโรงแรมรึเปล่าวะ?”

 

 

“ไม่รู้สิ ฉันไม่เคยเห็นผู้หญิงมีปีกซักหน่อย”

 

 

“พอดีพวกฉันรู้จักกับผู้หญิงมีปีกที่ว่านั่นน่ะ พวกฉันอยากจะไปหาเธอคนนั้นซักหน่อย”

 

 

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะหือ?”

 

 

“ปล๊าว~ พอดีฉันเห็นแกเดินออกมาจากโรงแรมนั้นน่ะ ก็เลยนึกว่าแกจะรู้จักยัยนั่นซักหน่อย งั้นพวกฉันขอไปค้นที่โรงแรมนั่นหน่อยได้มั้ยล่ะ?”

 

 

อารอนตั้งใจอยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ให้พวกมันเข้าใกล้โรงแรมเด็ดขาด เขาปฏิเสธพวกมันไป “คงไม่ได้ล่ะนะ พอดีเพื่อนฉันไม่ชอบให้มีคนบุกห้องพักของเขาน่ะนะ”

 

 

“ไม่เอาน่า~ แค่ไปตรวจสอบอะไรนิดหน่อยเท่านั้นเอง เดี๋ยวพวกเราก็ไปแล้ว” พวกเขาเริ่มทำเป็นจับมีดดาบที่อยู่ข้างตัวเหมือนจะขู่ว่าถ้าไม่ยอม จะต้องมีการเลือดตกยางออกกันอย่างแน่นอน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่อารอนจะกลัวอยู่แล้ว ที่เขาสงสัยและรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินั้น ในตอนแรกเขาตั้งใจไว้ว่าจะถ่วงเวลารอให้ตำรวจซักนายที่คอยดูแลเมืองนี้ผ่านมาพบ และใช้ช่วยในการกีดกันไม่ให้พวกคนกลุ่มนี้เข้าใกล้สเตลล่า แต่เวลาผ่านไปเป็นนาทีแล้วกลับไม่มีตำรวจซักนายเดินผ่านมาเลย

 

 

“ฉันขอล่ะ เพื่อนฉันขี้ตกใจง่าย ที่อื่นก็มีตั้งเยอะตั้งแยะทำไมไม่ไปดูล่ะ” อารอนพยายามใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลสุดๆในแบบของเขาแล้ว แต่กลับยิ่งทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เริ่มหมดความอดทน และชี้หน้ามาทางอารอน “เฮ้ย! แกนี่มันดื้อชะมัดเลยว่ะ ไม่เคยได้ยินชื่อแองเจิลฮันเตอร์รึไงห๊ะ?”

 

 

“(หึ...ใช่อย่างที่คิดจริงๆซะด้วยแฮะ)” อารอนยิ้มอย่างมีเลศนัย หนึ่งในกลุ่มคนที่อารอนแน่ใจแล้วว่าคือพวกแองเจิลฮันเตอร์เดินเข้ามาใกล้อารอน ดูเหมือนหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้จะไม่ใช่การพึ่งตำรวจ แต่เป็นการพึ่งตัวเองแล้ว เขาคิดเช่นนั้นแล้วก็ทำหน้าตื่น ชี้ตรงไปยังด้านหลังพวกมันทันที “เฮ้ย! นั่นรึเปล่าผู้หญิงที่พวกแกตามหาน่ะ?”

 

 

พวกแองเจิลฮันเตอร์หันหลังตามนิ้วของอารอนกันพรึ่บพรั่บ พยายามสอดส่องสายตามองหาคนที่เขาพูดถึง กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าพวกมันโดนหลอก และหันหลังกลับมา หนึ่งในสมาชิกของมันที่เดินไปหาอารอนในตอนแรกก็ถูกเขาใช้มีดปาดคอตายไปแล้ว “อื๊อ!!!” มันล้มลงแน่นิ่งกับพื้นถนนลานดินพร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็น

 

 

“เฮ้ย!! ไอ้นี่!!?” แองเจิลฮันเตอร์อีกคนหนึ่งชักดาบแล้ววิ่งตรงเข้าฟันอารอนทันที แต่อารอนก็รอจังหวะนี้อยู่แล้ว เขาใช้สันมีดเหวี่ยงใส่ดาบของศัตรูที่ฟาดลงมาอย่างแรงจนมันเสียหลัก และถูกอารอนใช้ด้านคมฟันกลับจนสร้างบาดแผลให้กับมันได้

 

 

ปัง!!! หนึ่งในพวกมันชักปืนยาวที่เรียกว่าไรเฟิลยิงเข้าใส่อารอน และเขาถูกยิงเฉี่ยวเข้าที่แขน เสียงปืนที่ดังลั่นเริ่มสร้างความแตกตื่นให้กับชาวเมืองที่อยู่บริเวณนั้น บางคนก็วิ่งหนีออกห่างจากแถวนั้นไปไกล อารอนเริ่มรู้สึกว่าเขามีปัญหากับพวกใช้อาวุธระยะไกล แต่ก่อนอื่นเขาต้องจัดการกับศัตรูที่ตรงเข้ามารุมเขาทีเดียวสองคนเสียก่อน

 

 

อารอนชักดาบออกมาฟันศัตรูไปพร้อมๆกับเหลือบมองศัตรูอีกคนที่หาจังหวะเข้ามาช่วยโจมตี ซึ่งเป็นงานที่ยากสำหรับเขาพอสมควร เขาใช้ทั้งดาบทั้งมีดปัดป้องและโจมตีศัตรูทั้งสองคนจนสุดตัว จนกระทั่งเพื่อนของมันที่ใช้ปืนยิงใส่อารอนนัดที่สอง ปัง!!! คราวนี้เขาถูกยิงเข้าที่ต้นขาจนเขาเสียหลัก และเจ็บปวดเอาเรื่อง แต่เขาจะหยุดอยู่แค่นี้ไม่ได้ เขากัดฟันแล้วใช้ดาบฟันศัตรูคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆอารอนได้สำเร็จ และสำเร็จโทษด้วยการแทงเข้าที่อก

 

 

ทว่า ระหว่างที่อารอนกำลังถอนดาบออก เขาก็เหลือบไปเห็นว่าศัตรูที่อยู่ข้างๆมือปืนเมื่อกี้ก็ชักปืนไรเฟิลของเขาขึ้นมาเช่นกัน เขาต้องไม่รอดแน่ถ้ามีคนช่วยยิงปืนสองคนเช่นนี้ แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นมือปืนคนที่สองนี้ถูกอะไรบางอย่างปักเข้าที่หน้าผากของมันอย่างแรงจนร่วงลงไปกองกับพื้นพร้อมๆกับปืนของมัน

 

 

มือปืนคนแรกหันไปดูเพื่อนของมันทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น...ก้านไม้ยาวที่มีเส้นขนหลากสีติดกันเป็นแผงตรงหัวก้านไม้ปักคาหน้าผากจนเกือบทะลุ มันคือลูกธนูแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย อารอนที่เห็นลูกธนูก็ยิ้มออก เขารู้จักผู้ที่ใช้ธนูคนนี้ เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายช่วยเหลือเขา อารอนหันกลับไปยังทิศที่ลูกธนูถูกยิงมาทันที

 

 

“เครสต์!? นี่นาย!?”

 

 

“ไงเพื่อน!” เจ้าของลูกธนูทักทายอย่างรวดเร็ว

 

 

O………………………………………………………………….O

 

 

To be continued in 8th  Memory.

 

ติชมกันได้ตามสะดวก และสวัสดีปีใหม่ครับผม!!:pika01:

Link to comment
Share on other sites

เอิ่มพระเอกนี่กดสูตรอมตะ หรือเปล่า โดนยิงตั้งสองนัดนี่แค่เจ็บเองรึ

Link to comment
Share on other sites

แค่ถากๆตรงแขนกับโดนยิงที่ขาเองครับแหม่ ไม่ได้ยิงโดนจุดสำคัญเลย

Link to comment
Share on other sites

  • 4 weeks later...

กลับมาอัพเดตฟิคกันอีกแล้วนะฮะ อาจจะช้าไปหน่อย เกือบข้ามเดือนเลย ฮ่าๆ แต่ก็ถือเป็นฟิคตอนแรกของปีนี้เลยนะครับ วันนี้ขอลงทีเดียวสองตอนรวด!

 

Heart Remedy 8th Memory: Angel Saver (ผู้กอบกู้นางฟ้า)

Spoiler

ความเดิมตอนที่แล้ว – ขณะที่สเตลล่ากำลังเล่าเรื่องความน่าสะพรึงกลัวของกลุ่มแองเจิลฮันเตอร์ ซึ่งเป็นองค์กรล่าชาวเซเลสเทียให้อารอนกับลูเซียฟังนั้น เธอก็พบกับพวกของมันที่อยู่นอกโรงแรมเข้า อารอนจึงอาสาออกไปขับไล่พวกแองเจิลฮันเตอร์เพียงลำพัง แต่ไม่นานเขาก็กำลังจะเสียท่าให้กับพวกมัน ทว่า ทันใดนั้นเองก็มีผู้ใช้ธนูปริศนามาช่วยอารอนเอาไว้ และดูเหมือนว่าอารอนจะรู้จักกับเขาเป็นอย่างดีเสียด้วย…

 

 

Heart Remedy 8th Memory: Angel Saver (ผู้กอบกู้นางฟ้า)

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่นาทีหลังจากการต่อสู้ระหว่างอารอนกับพวกแองเจิลฮันเตอร์ได้เริ่มต้นขึ้น...ณ โรงแรมที่ลูเซียและสเตลล่าซ่อนตัวอยู่ ลูเซียกำลังแอบแง้มผ้าม่านหน้าต่างบานหนึ่งของโรงแรม เฝ้ามองการต่อสู้ของอารอนที่อยู่ห่างออกไปด้วยใจที่ภาวนาอย่างเต็มที่ให้อารอนเอาชนะพวกมันให้ได้

 

 

“ท่านเจ้าหญิงลูเซีย...”

 

 

“เห๊ะ?” เสียงสั่นเครือของสเตลล่าช่วยดึงสมาธิของลูเซียให้กลับสู่ปัจจุบัน เธอหันไปถามสเตลล่าที่สวมผ้าคลุมหลบมุมอยู่ที่ฝั่งซ้ายมือของห้องอย่างหวาดระแวง “มีอะไรเหรอ?”

 

 

สเตลล่าถอนหายใจครั้งหนึ่งเพื่อสงบจิตใจของตนก่อนที่จะกล่าวถาม “คุณอารอนคงไม่ใช่ว่ากำลังต่อสู้กับพวกแองเจิลฮันเตอร์อยู่ใช่มั้ยคะ?...”

 

 

ลูเซียส่ายหน้าและตอบยิ้มๆ “เขาทำอย่างที่เธอว่าอยู่แหละจ้ะ”

 

 

    ปัง!!!

 

 

เสียงลั่นไกปืนลูกซองของพวกแองเจิลฮันเตอร์ที่ดังสนั่นมาถึงภายในห้องนี้ทำให้ลูเซียหันขวับกลับไปมองด้วยความตกใจ ผู้คนเบื้องล่างเริ่มเกิดการแตกตื่นวิ่งหนีห่างออกไปจากพื้นที่บริเวณที่อารอนและพวกแองเจิลฮันเตอร์ปะทะกัน เธอดูไม่ออกว่าอารอนถูกยิงเข้าหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าอารอนยังคงสามารถประดาบกับพวกมันได้อย่างไม่ย่อท้อ

 

 

“น-นั่นแหละค่ะ! ปืนที่พวกนั้นใช้ล่าพวกฉัน ศัตรูมีอาวุธปืนแบบนั้นจะไม่เป็นไรเหรอคะ!? พวกแองเจิลฮันเตอร์น่ะน่ากลัวมากเลยนะคะ!” สเตลล่ากล่าวอย่างเป็นห่วง ลูเซียเองก็รับรู้ได้ว่าสเตลล่าห่วงอารอนเพียงใด เพราะอารอนเองก็สำคัญต่อเธอยิ่งกว่านั้นเสียอีก เธอก็กำลังเฝ้ามองดูการต่อสู้นี้อย่างไม่วางตา เพียงแต่ความเชื่อใจของเธอที่มีต่ออารอนนั้นต่างกันออกไป

 

 

“ไม่ต้องห่วงไปหรอกสเตลล่า ฉันเชื่อว่าอารอนสู้พวกเขาได้อยู่แล้วล่ะ ไม่งั้นพวกเราก็คงไม่รอดออกมาจากปราสาทหรอก”

 

 

ขณะที่ลูเซียกำลังพูดให้สเตลล่ารู้สึกผ่อนคลายและวางใจมากขึ้นท่ามกลางเสียงปืนที่ดังขึ้นอีกนัดอยู่นั้น จู่ๆก็เกิดเหตุการณ์ที่เธอไม่คาดคิด เมื่อมีชายหนุ่มคนหนึ่งพร้อมธนูในมือ เข้ามาร่วมการต่อสู้ด้วยการยิงธนูเข้าที่หัวของหนึ่งในพวกแองเจิลฮันเตอร์จนล้มลงแน่นิ่งไป

 

 

“อ๊ะ!? มาดูนี่สิสเตลล่า! มีคนมาช่วยอารอนด้วยล่ะ!” ลูเซียร้องอย่างตื่นเต้น จนสเตลล่ารู้สึกใจเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด “จ...จริงเหรอคะ?”

 

 

แม้เธอจะรู้สึกลังเลอยู่นิดหนึ่ง แต่สเตลล่าก็สงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว และเดินมาแง้มผ้าม่านมองดูที่หน้าต่างบานเดียวกับที่ลูเซียกำลังมองดูการต่อสู้ของอารอนและพวกแองเจิลฮันเตอร์ที่กำลังจะจบลงในไม่ช้า

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

ตัดกลับมาที่จุดๆหนึ่งในเมืองอินิเชียโล ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากโรงแรมไม่ถึงร้อยเมตร ท่ามกลางความตกตะลึงของพวกชายสวมชุดหนังสีน้ำตาลแดงที่เรียกตัวเองว่าแองเจิลฮันเตอร์นั้น ด้านหลังของอารอนมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เขารู้จักดียืนอยู่

 

 

ผมสีน้ำตาลของเขามีหมวกปีกทรงแข็งสีเขียวพร้อมขนนกสีขาวสวมเอาไว้ ใช้เข็มกลัดทรงอัญมณีสีฟ้ากลัดผ้าคลุมไหล่ลายสีขาวและเขียวเข้มเข้าไว้ด้วยกัน สวมเสื้อและกางเกงสีน้ำตาลอ่อนคล้ายสีของกระสอบข้าว พร้อมเข็มขัดหนังและถุงมือหนัง ผ้าคลุมเอวที่มีสีเดียวกันกับผ้าคลุมไหล่ ติดเกราะขาที่ดูเด่นสะดุดตาสีเขียวเข้มไว้เหนือรองเท้าบูทหนังที่เขาสวม แต่สิ่งที่โดดเด่นเหนือเครื่องแต่งกายของชายคนนี้ในสายตาของอารอน คือคันธนูสีเหลืองขนาดใหญ่ที่เข้าคู่กับซองธนูสีเดียวกันที่เขาสะพายอยู่นั่นเอง

 

 

แต่ตัวของชายคนนี้ก็ไม่ได้อยู่เฉยๆเพื่อให้ทุกคนชื่นชมการปรากฏตัวของเขาเล่นๆเท่านั้น เขาง้างคันธนูสีเหลืองนี้ยิงเข้าใส่หนึ่งในพวกแองเจิลฮันเตอร์ตรงที่ขาของมันอีกดอกอย่างแม่นยำจนมันล้มลงไปอย่างไม่เป็นท่า “โอ๊ย!!!”

 

 

และอารอนที่เห็นดังนั้นก็ได้ใจ เขาชี้ปลายอันแหลมคมของดาบของเขาไปทางพวกแองเจิลฮันเตอร์ที่เหลืออยู่และกำลังตกอยู่ในสภาพหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด สังเกตจากกิริยาของพวกมันที่เริ่มชักเท้าถอยหนี และสีหน้าที่เคร่งเครียด อารอนเริ่มขู่พวกมัน “ถ้าพวกแกยังรักชีวิตอยู่ก็รีบออกไปจากเมืองนี้ซะ แต่ถ้าไม่ ฉันกับเครสต์ก็จะสงเคราะห์พวกแกให้เป็นผีเฝ้าเมืองอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”

 

 

สิ้นเสียงของอารอนไม่นาน พวกแองเจิลฮันเตอร์ที่เหลืออยู่ก็ชักสีหน้า พากันก้าวถอยห่างออกจากพวกอารอนอย่างช้าๆไม่กี่ก้าว ก่อนที่จะหันหลังกลับแล้วเร่งฝีเท้าพากันวิ่งหนีไปจนลับสายตาท่ามกลางอาคารบ้านเรือนในเมือง...

 

 

อารอนมองดูพวกแองเจิลฮันเตอร์ที่หลบหนีไปจนแน่ใจแล้วว่าพวกมันไม่น่าจะกลับมาหาเขาอีก เขาก็ทำสิ่งที่อยากจะทำในตอนนี้ได้อย่างสนิทใจ นั่นคือหันไปทักทายเพื่อนเก่าของเขาที่เพิ่งจะปรากฏตัวเมื่อครู่อย่างตื่นเต้น “เครสต์! นายหายไปไหนมา? ฉันตามหานายทั่วปราสาทแต่ก็ไม่เจอนายเลย?”

 

 

“ขอโทษทีนะเพื่อน ตั้งแต่ปราสาทถูกพวกเทอร์เรอร์ยึดไป ฉันจำเป็นต้องชิงหนีออกจากปราสาทมาตั้งหลักข้างนอกก่อนที่สถานการณ์มันจะเลวร้ายไปกว่านี้” แม้ว่าชายที่ชื่อว่าเครสต์คนนี้จะรู้สึกดีใจกับการได้พบเพื่อนของเขาอีกครั้งเช่นกัน แต่ก็ยิ้มออกมาได้ไม่เต็มปาก เพราะเขาเองก็มีเรื่องที่น่ากังวลที่อารอนจำเป็นต้องได้รับรู้เตรียมมาด้วย “ช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี่ฉันได้ข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจมาเพียบ อยากฟังมั้ย?”

 

 

“แบบนี้ท่าทางเรื่องจะยาวแฮะ...งั้นพวกเราไปคุยที่โรงแรมตรงนั้นกันเถอะ” อารอนชี้ไปยังโรงแรมที่ลูเซียและสเตลล่าพักอาศัยอยู่ “องค์หญิงลูเซียแล้วก็เพื่อนร่วมทางอีกคนหนึ่งของพวกเราพักอยู่ที่นั่นแหละ”

 

 

“จริงเหรอ!? ยอดเลยอารอน! งั้นพวกเราไปกัน---เอ๋?”

 

 

เครสต์ดีใจได้เพียงครู่เดียว เขาก็เห็นร่างเพื่อนหน้าขนของเขาเริ่มเซซ้ายทีขวาทีจนชักจะเห็นท่าไม่ดี ต้องรีบไปประคองตัวอารอนที่กำลังจะล้มคะมำมาข้างหน้าไว้ก่อน “เฮ้ย!? เป็นอะไรรึเปล่าอารอน! นี่นายบาดเจ็บหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

 

อารอนที่เบลอจนคอพับไปข้างหน้าก็พยายามแข็งใจเงยสีหน้าเพลียแรงของเขาขึ้นมาพูดกับเครสต์ “ห...หิวข้าวอ่ะ...ตั้งแต่หนีออกมาจากปราสาทก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย...”

 

 

“เอ๋า~ ไอ้เราก็นึกว่านายบาดเจ็บหนักขนาดนั้นเนอะ” ชายหนุ่มกลับรู้สึกโล่งใจที่เพื่อนของเขาไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงขนาดนั้น “เดี๋ยวฉันซื้อไส้กรอกให้ เนี่ยขายหน้าโรงแรมอยู่พอดี”

 

 

เครสต์กล่าวเช่นนั้นแล้วก็จับแขนของอารอนพาดบ่าอีกข้างของตนแล้วค่อยๆประคองพาเดินกลับไปยังบริเวณโรงแรมด้วยกัน

 


@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

Spoiler

 

ด้วยความเป็นห่วงที่ลูเซียเห็นอารอนถึงกับต้องให้อีกคนช่วยพยุงร่างพาเดินกลับมา เธอบอกให้สเตลล่าคอยอยู่ในห้องและลงมารอรับเขาที่หน้าโรงแรม ในตอนนั้นเองเธอก็ได้รู้ว่าใครคือคนที่มาช่วยอารอน และพาอารอนเดินกลับมาถึงที่นี่ เพราะเธอเองก็รู้จักเขาเช่นกัน

 

 

“เครสต์! นี่เธอเองเหรอเนี่ย!? ขอบคุณมากนะที่ช่วยอารอนเอาไว้!” ลูเซียกล่าวอย่างดีใจ และก็ตกใจกับสภาพของอารอนที่มีแผลอยู่ทั่วตัวเช่นกัน “ตายจริง! เธอถูกยิงด้วยนี่นา! ยังไหวอยู่รึเปล่าอารอน?”

 

 

“อา...ไม่เป็นไรขอรับองค์หญิง กระผมแค่หิวนิดหน่อย แหะๆ” อารอนตอบด้วยรอยยิ้มแม้จะกำลังบาดเจ็บ ซึ่งมันก็ช่วยทำให้ลูเซียค่อยคลายความกังวลลงไปได้บ้าง

 

 

เครสต์คำนับให้กับเจ้าหญิงลูเซียนิดหนึ่งเพื่อเป็นการทักทาย “กระผมนายทหาร เครสต์ ยินดีอย่างยิ่งเช่นกันที่องค์หญิงปลอดภัยขอรับ กระผมเองก็มีข่าวสารสำคัญที่ต้องแจ้งให้องค์หญิงได้รับทราบ แต่ก่อนหน้านั้น กระผมคิดว่าเราควรจะซื้ออาหารที่หน้าโรงแรมนี้ก่อน แล้วค่อยขึ้นไปที่ห้องกันเถอะขอรับ”

 

 

หลังจากพวกอารอนได้จัดแจงซื้ออาหารที่ขายหน้าโรงแรมแล้ว ก็พากันกลับขึ้นมาที่ห้องพักของพวกเขาได้อย่างปลอดภัยในที่สุด และสเตลล่าก็กำลังรอคอยการกลับมาของพวกเขาอย่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

 

“คุณอารอน! ดีใจจังที่คุณปลอดภัย---อ๊า! นี่คุณถูกยิงด้วยนี่นา!” สเตลล่าตกใจกับสภาพของอารอนยิ่งกว่าลูเซียเสียอีก เธอรีบจัดแจงปิดประตูห้อง เตรียมพื้นที่สำหรับการรักษาอารอนทันที “เดี๋ยวฉันจะช่วยรักษาให้คุณเองนะคะ!”

 

 

สเตลล่าค่อยๆรับอารอนมาจากชายคนที่สเตลล่าไม่รู้จัก แต่เธอยังไม่มีเวลาจะทำความรู้จักกับเขาในตอนนี้ เธอต้องทำในสิ่งที่เธอควรจะทำก่อน ด้วยการค่อยๆนำอารอนลงไปนั่งพิงฝาอย่างเบาแรง เธอสังเกตบาดแผลกระสุนปืนที่แขนและขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เริ่มกุมมือไว้ที่อก ขยับปากท่องคาถาบางอย่าง

 

“วิชชิ่ง สตาร์(Wishing Star)”

 

 

หญิงสาวกางมือแผ่ลงไปที่แผลบริเวณต้นขาของอารอน ไล่เหนือขึ้นไปถึงแผลที่แขนของอารอน ก่อนที่จะวาดมือออกเล็กน้อยให้ปรากฏกลุ่มก้อนแสงรูปดาวขึ้นด้วยพลังเวทมนตร์ของเธอเหมือนอย่างเคย มันได้แตกออกดังโพละ แผลที่แขนและขาของอารอนก็เรืองแสงอันอบอุ่นออกมา แผลทั้งสองจุดสมานตัวอย่างรวดเร็วจนหายเป็นปลิดทิ้ง รวมทั้งอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของเขาด้วย สีหน้าของอารอนดีขึ้นอย่างทันตา “อือ...ขอบคุณมากเลยสเตลล่า”

 

 

โครกกกกกกกกกกกกก.....

 

 

เกิดเสียงครางพิลึกๆดังขึ้นมาจนทุกคนได้ยินและหันขวับมาทางต้นเสียงที่อยู่ข้างหน้าสเตลล่านี้...

 

 

“เอ่อ...ดูเหมือนว่าเวทมนตร์ของเธอจะยับยั้งอาการหิวไม่ได้นะ แหะๆๆ” อารอนพูดอย่างอายๆ จนทุกคนแอบขำให้กับความเปิ่นแบบน่ารักๆของเขาไม่ได้

 

 

“อุ๊บ ฮะๆๆๆ ไม่เอาน่าอารอน หิวก็มาทานสิ ฉันเองก็หิวเหมือนกันแหละจ้ะ” ลูเซียชักชวนอารอนอย่างร่าเริง ในขณะที่เครสต์กำลังจัดแจงเคลียร์พื้นที่สำหรับมื้อค่ำแบบบ้านๆของพวกเขาให้

 

 

และแล้ว ปาร์ตี้รวมมิตรของพวกเขาก็เริ่มขึ้น อารอน ลูเซีย สเตลล่า และเครสต์นั่งพื้นล้อมรอบจานกระดาษหลายใบที่มีทั้งไส้กรอกย่าง บาบีคิว ขนมปังปิ้ง และแพนเค้กวางเรียงรายอยู่ตรงกลางของวง พร้อมเหยือกน้ำดื่มสำหรับเติมใส่แก้วของแต่ละคน เกือบทุกคนยกเว้นลูเซียไม่รอช้า รีบหยิบอาหารที่ตนเล็งไว้มากินในจานแบ่งของตัวเองอย่างว่องไว

 

 

“เฮ้ อารอน กินไม่พูดไม่จาซักคำเลยนะ ดูท่าทางนายจะอดอยากมาจริงๆนะเนี่ย...” เครสต์แอบแซวเพื่อนของเขาที่ตั้งหน้าตั้งตากินสารพัดทุกอย่างที่มีอยู่กลางวงอย่างละนิดอย่างละหน่อยแบบไม่หยุดปาก แม้จะกินจนคราบติดเต็มรอบริมฝีปาก อารอนก็ไม่ได้ใส่ใจ กินอย่างเดียว

 

 

“โธ่~ อารอนนี่ละก็ ไม่ต้องรีบทานขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวเธอก็ติดคอหรอก” ลูเซียพูดเตือนพลางยื่นแก้วน้ำให้อารอน ดูเจ้าแมวหนุ่มจะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย จนกระทั่งเขาเคี้ยวจนหมดปากแล้วจึงกล่าวขอบคุณเธอ “ขอบพระคุณขอรับองค์หญิง”

 

 

“หืม? ท่านเจ้าหญิงลูเซียไม่ทานเหรอคะ?” สเตลล่าที่เพิ่งกินแพนเค้กเสร็จนึกสงสัยกับจานของลูเซียที่ว่างเปล่า เธอไม่ได้หยิบอะไรมากินเลย

 

 

“เอ๊ะ? เอ่อ...ขอโทษทีนะจ๊ะ คือว่า...ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับวิธีทานอาหารข้างนอกพระราชวังเท่าไหร่น่ะ...” ลูเซียมองไปยังจานใส่อาหารตรงกลางวงด้วยท่าทีลำบากใจเล็กน้อย จริงๆแล้วเธอก็หิวมากพอๆกับอารอนเหมือนกัน แต่ด้วยวิธีรับประทานแบบชาวบ้านทั่วไปที่ใช้ไม้เสียบจิ้มกินแทนการใช้ช้อนส้อมหรือมีด ทำให้เธอรู้สึกลังเลใจอยู่บ้าง

 

 

อารอนที่หยุดพักจากการกินก็ได้ถือโอกาสให้คำแนะนำแก่ลูเซีย “ไม่เป็นไรหรอกขอรับ ที่นี่ไม่ใช่พระราชวัง จากนี้ไปท่านเองก็จะต้องเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอย่างประชาชนทั่วไป การที่ท่านเสียสละความสะดวกสบายสมัยอยู่ที่พระราชวัง จะทำให้ท่านสามารถดำรงชีพในสภาวะที่ลำบากที่พวกเราจะต้องพบเจอนะขอรับ”

 

 

“ยังงั้นเหรอ...” ลูเซียรำพึง เธอค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบบาร์บีคิวเสียบไม้มาถือไว้ตรงหน้าอย่างงงๆ “แล้วก็...กัดดึงออกมาทั้งๆแบบนี้เลยเหรอ?”

 

 

“ใช่แล้วขอรับ กัดแบบดึงออกด้านข้างนะขอรับ ถ้าท่านกัดจากด้านบนตรงๆไม้อาจจะทิ่มข้างในเอาได้ขอรับ” อารอนช่วยสอนไปด้วย ขยับแขนของลูเซียให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมไปด้วย “เชิญทานได้เลยขอรับ”

 

 

ด้วยความหิวของลูเซียที่เริ่มอดใจไม่ไหว เธอกัดเนื้อชิ้นหนึ่งของไม้บาบีคิวแบบที่อารอนสอนทันที...ซักพักเธอก็ยิ้มออกมาทั้งๆที่ยังเคี้ยวอยู่ เอามือจับแก้มตัวเองอย่างขวยเขินไปด้วย เป็นเพราะบาบีคิวอร่อยหรือตื่นเต้นที่เรียนรู้วิธีกินแบบเสียบไม้เป็นครั้งแรกก็ไม่ทราบได้ “อ...อร่อยจัง...”

 

 

เพียงอารอนช่วยสอนวิธีกินให้กับลูเซียเพียงครั้งเดียว ดูเหมือนเธอจะรู้สึกตื่นเต้นกับการกินอาหารแบบคนทั่วไปมากทีเดียว จากที่มองอาหารอย่างลังเล กลายเป็นกินเอาๆเกือบเร็วเท่าอารอนเลยทีเดียว ทำเอาทุกคนอดรู้สึกสนุกตามเธอไปด้วยไม่ได้...จนกระทั่งทุกคนกินอาหารของตนจนหมดจาน

 

 

“โอย...อิ่มไม่ไหวแล้ว...” อารอนลูบท้องตัวเอง เขากินเยอะเสียจนไม่อยากลุกออกไปไหนอีกแล้ว

 

 

“เป็นมื้ออาหารที่สนุกที่สุดเลยล่ะ แปลกใหม่มากเลย” ลูเซียพูดอย่างร่าเริง

 

 

“ว่าแต่คุณคือคนที่ช่วยคุณอารอนต่อสู้กับพวกแองเจิลฮันเตอร์สินะคะ?” สเตลล่าหันไปถามเครสต์ที่นั่งข้างๆเธอ “คุณเป็นใครเหรอคะ?”

 

 

“ผมมีชื่อว่าเครสต์ครับ ผมเองก็เป็นนายทหารเช่นเดียวกับอารอนที่ปราสาทไลท์เทนเนียแหละครับ เพียงแต่ผมทำงานในหน่วยสำรวจ ไม่ได้เป็นองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงอย่างอารอนครับ” เขาถอดหมวกแนะนำตัว จากนั้นก็ถามกลับบ้าง “แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ?”

 

 

อารอนเหมือนจะเห็นแว้บๆว่าเครสต์แอบจัดทรงผมเวลาแนะนำตัวแก่สเตลล่าเล็กน้อย แถมยังส่งสายตาแบบหล่อๆโปรยเสน่ห์ไปยังสเตลล่าด้วย แต่อย่างหลังอารอนอาจจะคิดไปเองก็ได้...

 

 

“ฉันชื่อสเตลล่าค่ะ เอ่อ...” เธอรู้สึกลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะพูดมันออกไป “เป็นชนเผ่าเซเลสเทียค่ะ”

 

 

สเตลล่าค่อยๆถอดผ้าคลุมออก เผยให้เห็นปีกสีขาวขนาดใหญ่ที่อยู่กลางหลังของเธอให้เครสต์ได้เห็น เขาอ้าปากค้าง ดูท่าทางจะตกตะลึงยิ่งกว่าที่สเตลล่าคาดเอาไว้เสียอีก “ม...ไม่น่าเชื่อเลย ว่าแต่ปีกของเธอไม่เป็นไรเหรอ?”

 

 

“เพราะปีกของฉันเป็นเช่นนี้ ฉันก็เลยกลับไปบนฟ้าไม่ได้ ถ้าไม่มีคุณเครสต์ แล้วก็คุณอารอนช่วยขับไล่พวกแองเจิลฮันเตอร์ไป ฉันก็คงถูกจับได้โดยพวกเขาแน่ๆ ฉันต้องขอบคุณทั้งสองคนจากใจจริงๆเลยนะคะ” สเตลล่าก้มหัวให้กับทั้งสองคนเป็นการขอบคุณ

 

 

“เงยหน้าขึ้นเถอะครับคุณสเตลล่า ผมเองก็แค่ผ่านมาเจออารอนกำลังตกที่นั่งลำบากจากพวกนั้นเท่านั้นเอง” เครสต์กล่าวอย่างเกรงใจ

 

 

“ส่วนผม ผมก็เพียงแค่ปกป้องไม่ให้เจ้าพวกนั้นมาจับตัวคุณไปเท่านั้นเองแหละครับ ผมยินดีช่วยอยู่แล้วล่ะ” อารอนยิ้มให้กับสเตลล่า แล้วเขาก็หันไปถามเครสต์เพื่อนของเขาต่อ “แล้วข่าวสารที่นายบอกว่าจะเล่าให้พวกเราฟังล่ะ?”

 

 

“นั่นสินะ...อะแฮ่ม! เอาล่ะ” ชายหนุ่มเริ่มทำสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที และมองไปยังเจ้าหญิงลูเซีย “องค์หญิงขอรับ สิ่งที่กระผมจะบอกเกี่ยวกับทุกคนก็คือ ข้อมูลข่าวสารตั้งแต่ที่กระผมหนีออกมาจากปราสาทเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนจนถึงปัจจุบัน ตั้งใจฟังให้ดีนะขอรับ”

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

To be continued in 9th Memory.

Heart Remedy 9th Memory: First Step (ก้าวแรก)

Spoiler

ความเดิมตอนที่แล้ว – ผู้ที่ปรากฏตัวเข้ามาช่วยเหลืออารอนคือเครสต์นั่นเอง เขาและอารอนได้ขับไล่พวกแองเจิลฮันเตอร์ออกไปจากเมืองอินิเชียโลได้สำเร็จ ก่อนที่พวกเขาจะพากันกลับมายังโรงแรม และทานมื้อค่ำอย่างสนุกสนานด้วยกัน ลูเซียได้รู้จักความรู้สึกที่ได้กินอาหารกับหมู่เพื่อนด้วยกันเป็นครั้งแรกอย่างตื่นเต้น และหลังจากนั้น เครสต์ก็กำลังจะแจ้งข่าวสารจากภายนอกปราสาทที่จำเป็นต้องทราบแก่อารอนและลูเซีย…

 

 

Heart Remedy 9th Memory: First Step (ก้าวแรก)

 

 

ในห้องๆเล็กๆห้องหนึ่งของโรงแรมเมืองอินิเชียโล พวกอารอนกำลังจะได้รับรู้เรื่องสำคัญจากปากของเครสต์ ทุกคนพยักหน้าเตรียมพร้อมรับฟัง

 

 

“มีข่าวลือว่าองค์กรกรมตำรวจแห่งอาณาจักรไลท์เทนเนียถูกพวกเทอร์เรอร์ทำลายอย่างสายฟ้าแลบจนหมดสภาพ ตั้งแต่ก่อนที่ปราสาทจะถูกยึดแล้ว”

 

 

“ว่ายังไงนะ!? / เรื่องจริงเหรอ!?” ทั้งอารอนและลูเซียร้องอย่างตกใจแทบจะพร้อมกัน

 

 

“กระผมเองก็ไม่อยากจะยืนยัน แต่จากการสอบถามจากพวกนักขายข่าวและสังเกตการณ์ของกระผม เขาว่ากันว่าผู้บัญชาการตำรวจเบรนแดนถูกลอบสังหาร รวมทั้งผู้บริหารตำแหน่งสูงๆคนอื่นด้วย แต่กว่าข่าวนี้พวกประชาชนจะรู้กันเป็นวงกว้างก็ตั้งแต่หลังจากปราสาทถูกยึดไปแล้ว เพราะพวกเทอร์เรอร์เองก็แบ่งกำลังหลายๆส่วนไปยึดโรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ สถานีตำรวจแห่งใหญ่ๆในเมืองที่ใกล้เคียงก็ถูกทำลาย ตำรวจที่เคยประจำการตามเมืองต่างๆถูกเกณฑ์กำลังฉุกเฉินให้ไปจัดการพวกเทอร์เรอร์ แต่ก็ไม่มีใครรอดกลับมาแม้แต่คนเดียว การปฏิบัติการครั้งนี้เกิดขึ้นในเวลาที่ไล่เลี่ยกันภายในวันเดียว หลังจากนั้นวันสองวันถัดมา พวกมันก็เริ่มลอบเข้ามายึดปราสาทนี่แหละขอรับ”

 

 

“มันเป็นไปได้ยังไง!? พวกมันต้องใช้เวลาเดินทางเป็นวันเลยนะกว่าจะข้ามไปโจมตีเมืองต่างๆได้น่ะ? นายฟังมาผิดรึเปล่า?” อารอนค้าน

 

 

“ฉันเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันแหละ แต่ฟังจากพวกนักขายข่าวหลายๆคนแล้ว ข่าวล่าสุดที่พวกนั้นได้มา มีทั้งเรื่องสถานีตำรวจและโรงพิมพ์ถูกทำลายในเวลาไล่เลี่ยกันเหมือนกันหมด แถมพวกเขาได้ข่าวนี้มาเมื่อประมาณสองวันก่อนที่ปราสาทจะถูกยึดแทบจะทุกคน ไม่ขาดไม่เกินนี้ ฉันว่าถ้าจะให้ข่าวมีโอกาสล่าช้า อย่างช้าที่สุดก็วันเดียวแหละ เพราะเหยี่ยวข่าวพวกนี้ล่าข่าวเร็วใช้ได้อยู่”

 

 

แล้วเครสต์ก็ทำท่าครุ่นคิด และลองสันนิษฐาน “การที่ได้ข่าวที่คล้ายๆกันมาหลายๆคน ฉันคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วล่ะที่เจ้าพวกเทอร์เรอร์มันจะทำได้ มันอาจจะใช้วิธีการอะไรบางอย่างที่พวกเราคาดไม่ถึงก็ได้ในการโจมตีพร้อมกันหลายแห่งแบบนี้ นี่ยังไม่นับรวมเรื่องวิธีการลอบเข้ามายึดปราสาทของพวกมันโดยไม่ทันรู้ตัวเลยนะ…

 

“เดี๋ยวก่อนสิเครสต์” ลูเซียเป็นฝ่ายแทรกขึ้นมาบ้าง “ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้จริง พวกชาวเมืองก็ควรจะวุ่นวายโกลาหล หรือไม่ก็แสดงการต่อต้านแล้วไม่ใช่เหรอ แต่ตอนที่พวกเรามาถึงเมืองนี้ ทุกคนยังใช้ชีวิตกันตามปกติอยู่เลยนี่นา”

 

 

“มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นแหละขอรับองค์หญิง แต่ว่า...” เครสต์เว้นวรรคหายใจนิดหนึ่งก่อนที่จะอธิบายต่อ “ด้วยการจู่โจมในรูปแบบลอบเข้าปราสาทมา ทำให้ไม่ค่อยมีใครทราบสถานการณ์ของปราสาทในขณะนั้นได้ในทันที พอวันรุ่งขึ้นหลังจากปราสาทถูกยึดแล้ว มีพวกทหารของมันมาแจกใบประกาศที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ ในนั้นมีเนื้อหาที่ประกาศว่า ทไวไลท์ได้ยึดครองปราสาทไลท์เทนเนียแล้ว ขอให้ประชาชนทุกคนอย่าแตกตื่น การปกครองอาณาจักรไลท์เทนเนียจะยังคงมีต่อไป เขาจะไม่ทำอันตรายหรือคุกคามแก่ประชาชน ขอเพียงเชื่อมั่นในฝีมือในการปกครองของเขานับจากนี้ต่อไปเท่านั้น”

 

 

“พวกประชาชนเชื่อฟังกันง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

 

“ก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกขอรับ แต่พอมีคนที่ต่อต้าน พวกทหารฝ่ายเทอร์เรอร์ก็แสดงอำนาจด้วยการฆ่าพวกคนที่ต่อต้านเหล่านั้นทันที...ทำให้พวกประชาชนพากันจำยอมต่อการปกครองของพวกเทอร์เรอร์ ยิ่งไปกว่านั้น พอพวกชาวเมืองยอมอยู่เฉยๆ พวกเทอร์เรอร์ก็ไม่ได้คุกคามอะไรกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจริงๆอย่างที่ในประกาศนั้นอ้าง ทำให้ทุกคนเริ่มปล่อยวาง และปรับตัว ทำใจยอมรับกับสถานการณ์ในตอนนี้ จนทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นแหละขอรับ”

 

 

ไม่มีคำพูดใดๆเล็ดลอดออกมาจากปากของลูเซียอีกหลังจากที่ได้ฟังสาเหตุ เธอไม่คิดเลยว่าประชาชนที่พ่อแม่ของเธอปกครองดูแลมาตลอดจะเปราะบางและยอมรับสภาพการถูกปกครองโดยคนเลวได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้

 

 

“การรายงานข่าวสารของกระผมจบลงแต่เพียงเท่านี้ขอรับ องค์หญิง” เครสต์กล่าวจบการแจ้งข่าวสารของเขา และมองดูคนอื่นๆที่นั่งล้อมรอบวง ทั้งสามต่างก็รู้สึกสับสน และเคร่งเครียดจากการได้รับรู้ความจริง ทั้งตำรวจและทหารต่างก็ถูกพวกเทอร์เรอร์ยึดครองและกำจัดจนหมดสิ้น หนทางที่จะรวบรวมกำลังจำนวนมากเพื่อบุกยึดปราสาทคืนนั้นช่างเลือนลางสำหรับพวกเขาเหลือเกิน สเตลล่าเองก็พลอยคิดมากกับปัญหาใหญ่โตของอาณาจักรนี้โดยไม่จำเป็น ทั้งที่เรื่องที่เธอกลับไปบนดินแดนบนฟ้าของเธอไม่ได้ก็แย่พออยู่แล้ว

 

 

“ทีนี้ล่ะ อารอน ฉันได้เล่าสิ่งที่พวกนายอยากรู้ไปหมดแล้ว” เขาหันไปทางเจ้าแมวหนุ่ม และเริ่มเอ่ยปากถามหลังจากที่เขาเป็นฝ่ายพูดมาเสียยืดยาว “ตานายเล่าให้ฉันฟังแล้วล่ะ ว่าพวกนายมาทำอะไรที่นี่ และหนีออกมาจากปราสาทได้ยังไง?”

 

 

อารอนพยักหน้า และเริ่มรับบทเป็นฝ่ายเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เครสต์ได้ฟังบ้าง ตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาและลูเซียหาทางหลบหนีจากปราสาท จนถึงตอนที่พวกเขาได้เข้ามายังเมืองอินิเชียโลนี้ รวมทั้งเรื่องที่สเตลล่าตกลงมายังพื้นโลกด้วย

 

 

“เรื่องราวเป็นอย่างนี้เองเหรอเนี่ย...น่าทึ่งสุดๆไปเลยแฮะ เรื่องที่องค์หญิงลูเซียหลบหนีออกมาได้ก็ดี เรื่องเมก้าโทรพ็อดแมงมุมก็ดี ไหนจะเรื่องไวเวิร์นนภาที่มีอยู่จริงอีก” เครสต์กล่าวอย่างประหลาดใจ

 

 

“แต่ก็อย่างที่นายว่ามาแหละเครสต์ โลกภายนอกมันลงเอยอย่างนี้ ตอนนี้พวกเราไม่รู้จะทำยังไงต่อไปกันดี…เฮ้อ...” อารอนถอนหายใจ บรรยากาศการสนทนากลับมาไม่น่าพิสมัยอีกครั้ง จนลูเซียเองเริ่มจะทนไม่ไหว

 

 

“อย่าพูดอะไรให้น่ากลุ้มใจอีกเลยนะอารอน พวกเราอุตส่าห์หนีออกมาได้ แถมยังได้เจอเครสต์แล้วก็สเตลล่าที่ได้เป็นเพื่อนกับพวกเราอีก ฉันคิดว่าพวกเราค่อยๆคิดหาทางไปจะดีกว่านะ ยังไงเสีย เมืองโนว่าโปลิสก็ไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว* หนทางที่จะช่วยกอบกู้ปราสาทคืนมา  และช่วยเหลือท่านพ่อและท่านแม่ได้ เราต้องพบแน่ๆ”

 

 

*หมายเหตุ - ดัดแปลงจากสำนวน “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว”

 

 

“จะว่าไปแล้ว จากที่กระผมได้ฟังเรื่องราวของคุณสเตลล่า กระผมเองก็พอรู้จักสถานที่ๆน่าจะได้พบไวเวิร์นนภานะขอรับ”

 

   

ราวกับหมอกควันแห่งความกดดันถูกพายุลูกใหม่พัดให้กระจายหายไปอย่างรวดเร็ว ประโยคที่เป็นดั่งความหวังใหม่ของสเตลล่าจากปากของเครสต์ ทำให้ทั้งสามหันมาหาเจ้าของเสียงแทบจะในทันที “หา! จริงเหรอ!?”

 

 

“ใช่แล้วขอรับ ถ้าออกจากเมืองนี้ตรงไปยังทิศใต้ ที่นั่นจะมีเขาลูกหนึ่งชื่อภูเขาสกายไลน์ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดของอาณาจักรนี้ และมีตำนานกล่าวขานกันว่าเป็นสถานที่พักผ่อนของไวเวิร์นนภาที่แวะมาเป็นครั้งคราวเมื่อหลายร้อยปีก่อนขอรับ และถ้าเรื่องไวเวิร์นนภาตามเรื่องของคุณสเตลล่าเป็นเรื่องจริง กระผมคิดว่ามีโอกาสที่เราจะได้พบมันนะขอรับ ถ้าคุณสเตลล่าต้องการแค่สารสกัดของมันละก็ พวกเศษเล็กเศษน้อยจากร่างกายมันเช่นเล็บหรือขน ก็น่าจะใช้ได้นะขอรับ”

 

 

“ย...อย่างนั้นเองหรอกเหรอ...แม้แต่ฉันที่เป็นชนเผ่าเซเลสเทียแท้ๆยังไม่เคยรู้มาก่อนเลย” สีหน้าของสเตลล่าในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวัง ยิ้มกว้างเสียจนดูไม่เหมือนคนที่เพิ่งทำหน้าเคร่งเครียดมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

 

 

“ดีละ! ฉันตัดสินใจแล้ว!”



             จู่ๆลูเซียก็ลุกขึ้นยืนและตะโกนด้วยน้ำเสียงตั้งมั่น จนสร้างความสงสัยแก่ทุกคนในห้อง ก่อนที่เธอจะพูดสิ่งที่น่าเหลือเชื่อขึ้นมา

Spoiler

 

“พวกเราจะออกเดินทางตามหาพรรคพวกที่จะช่วยพวกเราต่อสู้กับพวกเทอร์เรอร์ เพื่อชิงปราสาทคืนมาให้ได้ แล้วก็จะหาทางพาสเตลล่ากลับบ้านให้ได้ด้วย!”

 

 

“จริงเหรอคะ!?” สเตลล่าลุกขึ้นยืนตามลูเซียด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง

 

 

“อื้อ! ลำพังตัวพวกเราในตอนนี้ยังไม่สามารถต่อสู้กับพวกเทอร์เรอร์ได้ในทันที แต่เราได้เบาะแสที่จะช่วยเหลือเธอให้กลับไปยังที่ๆเธอจากมาได้จากเครสต์แล้ว ฉันก็เลยจะทำทั้งสองอย่างนี้พร้อมๆกัน ระหว่างที่พวกเราออกเดินทางกัน ก็จะหาทางช่วยเหลือเธอให้กลับบ้านได้ด้วย” ลูเซียพูดอย่างกระตือรือร้น แล้วก็หันมาหาอารอน “เธอล่ะเห็นด้วยมั้ย?”

 

 

“กระผมเคารพการตัดสินใจขององค์หญิงอยู่แล้วล่ะขอรับ” เจ้าแมวหนุ่มลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะตอบพร้อมกับรอยยิ้ม “กระผมเองก็เห็นสมควร ด้วยเหตุผลดังที่องค์หญิงกล่าวมา และยินดีจะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ขอรับ”

 

 

“ถ้างั้นกระผมก็ขอร่วมทางไปกับท่านด้วยขอรับ” เครสต์ลุกขึ้นยืนตามอีกคน และปฏิญาณตน “กระผมยินดีติดตามองค์หญิงและอารอนในการออกเดินทาง ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกำลังที่จะทวงปราสาทไลท์เทนเนียจากพวกเทอร์เรอร์คืน และนำทางทุกคนไปยังเขาสกายไลน์ให้เองขอรับ”

 

 

“ฮึก….อะฮึก….ฮือ…”

 

 

เสียงสะอึกสะอื้นของสเตลล่าที่ทั้งสามคนได้ยิน ทำให้พวกเขาหันมองไปยังสเตลล่าที่กำลังยืนร้องไห้เอามือปิดหน้าไว้เป็นสายตาเดียวด้วยความประหลาดใจ จนลูเซียต้องปราดเข้าไปถามเธอ “เป็นอะไรไปน่ะสเตลล่า? ร้องไห้ทำไมเหรอ? หรือว่าฉันพูดอะไรผิดไปน่ะ?”

 

 

หญิงสาวมีปีกค่อยๆเงยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา หากแต่ว่ามันไม่ใช่น้ำตาของความเศร้าโศกหรือผิดหวัง เพราะบนใบหน้าของเธอเปื้อนรอยยิ้มอันแสนตื้นตันใจอยู่

 

 

“ข...ขอโทษค่ะ...ฮึก….แต่ฉัน...รู้สึกดีใจอย่างที่สุดเลยค่ะ...ตัวฉันที่ไม่มีกำลังอะไรเลยต้องออกตามหาคนที่จะช่วยเหลือฉันได้...ถึงจะเป็นความหวังแค่ลมๆแล้งๆ...ฮึก...แต่วันนี้...เวลานี้...คนที่ยินดีจะช่วยเหลือฉัน...ฮึก...กลับอยู่ตรงหน้านี้แล้ว...ฉันขอบคุณจริงๆนะคะ ฮือ….”

 

 

“โถ สเตลล่า ไม่ต้องร้องน้า…” ลูเซียลูบหลังให้กับสเตลล่าเป็นการปลอบโยนและยิ้มให้เธอ “ถ้าเธอได้กลับไปยังบ้านของเธอที่อยู่บนฟ้าได้ ฉันจะดีใจมากๆเลยนะ”

 

 

สเตลล่าเช็ดน้ำตาก่อนที่จะตอบรับเด็กสาว “อ...อื้ม! เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นจนกว่าฉันจะกลับไปยังบนฟ้าได้ ฉันก็จะช่วยเหลือพวกคุณทุกอย่างเลยนะคะ! ท่านเจ้าหญิงลูเซีย!”

 

 

“ยินดีเลยจ้ะสเตลล่า ฮะๆ” ลูเซียหัวเราะให้กับเธออย่างเบิกบาน แลดูเป็นภาพที่ดูน่ารักและอบอุ่นมากในสายตาของอารอนที่เฝ้ามองอยู่ จากนั้นลูเซียก็หันมายังทุกคนอีกครั้ง และวาดมือขวามาข้างหน้าอย่างวางมาด

 

 

“เอาล่ะ! ถ้างั้นก่อนอื่นที่สำคัญที่สุดเลย ฉันอยากให้ทุกคนเป็นเพื่อนกัน พวกเราจะออกเดินทางกันในฐานะเพื่อนร่วมทาง ไม่ใช่ในฐานะเชื้อพระวงศ์ที่มีข้ารับใช้ติดตาม ฉะนั้น ทุกคนใช้คำสามัญพูดคุยกับฉันได้อย่างปกติเหมือนที่พวกเธอคุยกับเพื่อนได้เลยนะ”

 

 

แน่นอนว่าสิ่งนี้ก็สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนได้อีกเช่นกัน เครสต์เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อนอย่างกล้าๆกลัวๆ “เอ่อ...จะดีเหรอขอรับองค์หญิง?”

 

 

“แหนะๆ เมื่อกี้ฉันก็เพิ่งพูดไปหยกๆว่าพูดคุยกับฉันแบบธรรมดาได้ ไม่เอาน่าเครสต์ ทำตัวตามสบายเถอะ อารอนเขาก็เป็นคนสอนฉันเองนี่นาว่าฉันต้องเรียนรู้วิถีชีวิตแบบประชาชนทั่วไปน่ะ?” ลูเซียทำท่าทางดุๆเล็กน้อย ในขณะที่อารอนแอบได้ยินเธอพาดพิงถึงเขาก็ทำหน้าเหยเกเหมือนคิดว่าผิดวัตถุประสงค์ที่เขาต้องการไปหน่อย เครสต์มีท่าทีลังเลและสับสนเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆพูดมันออกมา

 

 

“ถ้างั้น...ลูเซีย ฉันพูดแบบนี้โอเคนะ?”

 

 

“อื้อ แบบนั้นแหละกำลังดี” ลูเซียพยักหน้า

 

 

“ฉันเองก็คิดว่าแบบนี้คุยกันง่ายกว่าเดิมเยอะเลยนะคะ คุณลูเซีย” สเตลล่าเองก็เริ่มเรียนรู้วิธีการพูดคุยอย่างเป็นกันเองอย่างรวดเร็ว แฝงไปด้วยความอ่อนน้อมตามแบบฉบับของเธอ ลูเซียก็ยิ้มให้แทนคำตอบ

 

 

มีเพียงอารอนเท่านั้นที่ดูเหมือนจะทำตามที่ลูเซียบอกไม่ลง เขาเกาแก้ม และหลุบตาลงอย่างอายๆ “อา...กระผมไม่ชินจริงๆแหละขอรับ ได้โปรดให้กระผมเรียกองค์หญิงเช่นนี้ต่อไปเถิดขอรับ กระผมจะรู้สึกสบายใจกว่าถ้าได้ให้ความเคารพกับองค์หญิงเช่นนี้ต่อไปน่ะขอรับ”

 

 

ลูเซียมองดูอารอนอย่างพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆยิ้มออกมาอย่างวางใจ และให้คำตอบ

 

 

“ได้สิ ไม่ว่าเธอจะเรียกฉันยังไงก็เถอะ สำหรับฉัน เธอก็เป็นทั้งอัศวิน และเพื่อนสนิทของฉันอยู่ดีนี่นา”

 

 

ทั้งสองคนสบตากันอย่างไว้เนื้อเชื่อใจกัน และยินดีในการตัดสินใจของทั้งสองฝ่าย ดูมีความผูกพันระหว่างทั้งสองคนอย่างลึกซื้ง พวกเขาได้ยิ้มให้ราวกับรู้ใจกัน

 

 

“ว่าแต่…เธอตัวสูงชะมัดเลยแฮะ”

 

 

จู่ๆเครสต์ก็พูดขึ้น ทั้งลูเซียและอารอนหันไปมองเครสต์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆสเตลล่า ภาพที่ทั้งสองเห็นดูสุดโต่งกว่าที่พวกเขาคิดไว้อีก เพราะเดิมทีสเตลล่าก็ตัวสูงกว่าอารอนอยู่แล้ว แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ เครสต์กลับมีส่วนสูงที่ดูเตี้ยกว่ามาตรฐานชายทั่วไปเสียอีก จนลูเซียกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวแล้ว “อุ๊บ! ฮะๆๆๆๆๆ!!!”

 

 

อารอนเองก็แอบขำไปตามลูเซียเหมือนกัน “หึๆ นายนี่มันหล่อเสียของจริงๆเลยเครสต์ หน้าตาดีแต่ดันตัวไม่สูง พอยืนคู่กับสเตลล่าแล้วมันเหมือนคู่หูสูงต่ำเลยนะเพื่อน”

 

 

“พวกเราไม่ใช่คู่หูสูงต่ำนะคะ! / นะเฟ้ย!” ทั้งสเตลล่าและเครสต์ค้านพร้อมกันเหมือนนัดกันมา แต่ภายใต้สีหน้าที่เขินอายและประหลาดใจของทั้งสองนั้น ก็มีความรู้สึกที่เบิกบานซ่อนอยู่เหมือนกับอารอนและลูเซียเช่นกัน

 

 

สายสัมพันธ์เล็กๆที่ยิ่งใหญ่ได้กำเนิดขึ้นภายใต้ค่ำคืนแห่งโชคชะตา การเดินทางอันน่าตื่นเต้นและยากจะคาดเดาของพวกเขาทั้งสี่คนกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้านี้แล้ว…

 

 

@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@-----@

 

 

To be continued in 10th Memory.

ติชมกันได้นะครับผม:pika01:

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.
×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.