Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

[Fiction] ตามหาหัวใจที่หายไปของนายต่างโลก


Nameless-san

Recommended Posts

สวัสดีค่ะ :spinda1: กลับมาอีกครั้งพบกับ Nameless-san ในช่วงของฟิคชันหรือนิยายนะคะ ในกระทู้นี้จะนำเสนอเรื่องราวแฟนตาซีของเด็กสาว ม.ปลาย ธรรมดาคนหนึ่ง กับหนุ่มแวมไพร์สุดหล่อ(?) ทั้งบนโลกมนุษย์และโลกของแวมไพร์ กับการผจญถัยที่แสนจะท้าทายของทั้งสองคนพร้อมกับเพื่อนร่วมชั้นของเธอ ในเรื่อง "ตามหาหัวใจที่หายไปของนายต่างโลก" นั่นเองค่ะ

ว่าแล้วก็ดูสารบัญข้างล่างได้เลยค่ะ

 

  • Like 2
Link to comment
Share on other sites

ณ ห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ที่มีผ้าปิดคลุมทั้งเพดาน มีแสงสว่างจากหลอดไฟน้ำเงินเท่านั้น มีคนๆหนึ่ง คลุมทั้งหน้า กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าลูกแก้ว ได้ทักทายผู้ชายคนหนึ่ง

"สวัสดี เจ้าเป็นใคร ถึงอยากมาดูดวงที่นี่" เสียงเข้มๆนั้นดังขึ้น

"ช่วงนี้ข้าต้องการรู้ว่าความรักต่อจากนี้เป็นยังไง"

ชายผู้คลุมผ้าได้นิ่งเงียบ และพูดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว และในลูกแก้วลูกใหญ่นั้นก็ได้ปรากฏเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินริมถนน

"เจ้าอาจจะพบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เธอคนนั้นไม่ได้มีพลังเวทย์มนต์และเผ่าพันธุ์เดียวกันกับพวกเรา แต่เจ้าจะได้เห็นเสน่ห์ของเด็กคนนั้น แล้วเด็กคนนั้นอาจจะมีผลในชีวิตเจ้า"

"งั้นหรอ... แล้วข้าจะได้เจอเด็กคนนั้นที่ไหนละ"

"ข้ารู้นะว่า เจ้าต้องการไปที่โลกมนุษย์ เจ้าคงได้เจอเด็กคนนั้นที่นั่น ขอให้เจ้าโชคดี"

เมื่อหมอดูพูดจบ ชายที่มาดูดวงนั้น ได้เดินออกไปจากห้องดูดวง

...แล้วเด็กคนนั้นเป็นใครกัน

  • Like 2
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 1 พบกันครั้งแรก

สอบเสร็จแล้ว!!!

ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ พวกเราสอบเสร็จแล้วจริงๆ แล้วก็รอทำความสะอาดห้องเป็นครั้งสุดท้ายของชั้นปี พวกเราจึงได้อ่านนิตยสารที่พวกเราสนใจอย่างเช่น I-like, Zenshu กัน

อ้อ! ลืมแนะนำตัวไปเลยค่ะ ฉันชื่อ ‘ไวท์’ อายุ 15 ปี เกิดราศีเมษ เป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่ 1 ที่ปีหน้า กำลังจะขึ้นปีที่ 2 ฉันอยู่ในโรงเรียนเฉพาะของมัธยมปลายแห่งหนึ่งค่ะ เป็นโรงเรียนสหศึกษา ฉันเรียนอยู่สาย วิทย์-คณิต ค่ะ

“ไวท์ ราศีเธอบอกว่าอาจจะเจอคนที่ถูกใจน่ะ” เพื่อนของฉันที่ชื่อ ‘ไมไม’ ได้เอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังอ่านนิตยสาร

“แล้วมันดีตรงไหนละ รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย” ฉันตอบกลับไป

ไมไม หญิงสาวตัวสูง 160 เซนติเมตร ผมยาวสีดำ ไว้หน้าหม้า เป็นคนที่ชอบอ่านเรื่องดูดวงมาก และในนิตยสารเล่มนั้น ทำนายตรงร้อยละ 70% - 80% ซะด้วยสิ อีกอย่าง นั่นเป็นนิตยสารรายเดือนนะ เจอคนที่ถูกใจนี่ ตอนไหนยังไม่รู้เลย

“ดูเนื้อหาทั้งหมดหน่อยสิ” ฉันขอหยิบขึ้นมาดู

ราศีเมษ วันที่ xx – xx มีนาคม 25xx

อาจจะพบเจอคนที่ถูกใจ หรือคนที่ใช่ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่เข้ามาจะแย่เสียทีเดียว และจะเป็นคนที่คอยช่วยเหลือคุณตลอดแทบทุกเรื่องเลยทีเดียวละ

ฉันอ่านเสร็จ ก็หยิบคืนให้ไมไม แล้วเธอก็พยักหน้ากลับ

 

“ประกาศ ขอให้นักเรียนทุกห้อง หลังจากสอบเสร็จแล้ว อย่าลืมทำความสะอาดห้องเรียนให้เรียบร้อย เก็บโต้เก้าอี้ไว้ที่มุมห้อง เก็บของทุกอย่างออกจากโต๊ะ ให้เสร็จภายในวันนี้ด้วยค่ะ” พอสิ้นเสียงคุณครูฝ่ายประชาสัมพันธ์ลง ฉันและเพื่อนๆทุกคนก็ช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดห้องจนเสร็จเรียบร้อยภายใน 1 ชั่วโมง รวมถึงทำความสะอาดตรงทางเดิน ระเบียง ให้เรียบร้อย เพราะหลังจากนี้จะไม่มีใครขึ้นมาอีก จนกว่าจะเปิดเทอม

หลังจากที่พวกเราเดินลงมาจากอาคารเรียน คุณครูให้ฉันและเพื่อนๆช่วยกันถางหญ้า ทำความสะอาดส่วนหย่อมใกล้ๆกับอาคารเรียน และในขณะเดียวกัน ถึงแม้อากาศจะค่อนข้างร้อน สุดท้ายก็ทำงานจนเสร็จด้วยดี

 

“ไวท์ กลับก่อนนะ”

“โชคดีๆ เจอกันเปิดเทอมนะ”

“เจอกันเปิดเทอม ปีหน้าขอให้ได้อยู่ห้องเดียวกัน”

“ยังไม่ประกาศผลสอบเลยนะ ใจเย็นๆสิ”

ทั้งหมดนี่คือเสียงเพื่อนๆที่โบกมือลาฉันกับพวกเขา ส่วนฉันก็เดินขึ้นรถบัสไปที่บ้าน

 

ในขณะที่ฉันนั่งอยู่บนรถบัสนั้น เมื่อมองบนหน้าต่าง จู่ๆท้องฟ้าค่อยๆมืดลง คล้ายจะฝนตก ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังแดดแรงเลย ฉันมองหน้าต่างเรื่อยๆจนถึงบ้านที่อยู่ฝั่งเดียวกับถนน ฉันลุกขึ้นกดกริ่งแล้วเดินออกไป

 

...ท้องฟ้ายังดูมืดแฮะ ฝนไม่ตกสักที

 

ฉันสังเกตว่าท้องฟ้าตอนนี้มืดลงกว่าเดิมจนแทบจะเป็นกลางคืน ฉันดูนาฬิการในโทรศัพท์มือถือพบว่า ตอนนี้ยัง 15.27 น. อยู่ และอยู่ๆ หลอดไฟหน้าบ้านก็สว่างขึ้น

ฉันขอเล่าให้ฟังก่อนว่า ฉันเป็นลูกคนเดียว พ่อแม่ของฉันเสียชีวิตไปตั้งแต่มัธยมต้นจากอุบัติเหตุ หลังจากที่พ่อแม่เสีย ก็ไม่มีใครดูแลฉันอีกเลย ฉันจึงใช้เงินจากมรดกของพ่อแม่อย่างประหยัด และในเร็วๆนี้ ฉันคิดว่า คงจะต้อง ‘ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย’ แล้วละ

บ้านของฉันที่อยู่ในปัจจุบันคือบ้านชั้นเดียว เมื่อก่อนพ่อแม่เคยสร้างไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง ส่วนบ้านหลังเดิม 2 ชั้นได้ถูกธนาคารยึดไปหลังจากที่พ่อแม่เสีย ฉันจึงจำใจขนของมาอยู่บ้านขนาดคอนโด 1 ห้องและมีห้องน้ำที่พอจะอยู่คนเดียวได้

บ้านของฉันเดินเข้าไปในป่าอีก 1 กิโลเมตร ซึ่งปกติก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอยู่แล้ว นอกจากพวกแมลง แต่วันนี้ฉันได้ยินเสียงแปลกๆ อธิบายไม่ถูก เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ฉันเห็นเงาเหมือนกับคน ซึ่งโดยปกติแล้ว ที่นี่แทบจะไม่มีใครอาศัยอยู่เลยนอกจากแถวนี้มีห้องพักของร้านสะดวกซื้อที่อยู่ถนนหน้าบ้านของฉัน และฉันก็ได้กลิ่นของ ‘เลือด’

ซอมบี้!!!

ฟังไม่ผิดหรอกค่ะ นั่นซอมบี้จริงๆ ตัวสีเขียวๆ ผ้าขาดๆ ดวงตาหาย เห็นจากแสงไฟจางๆ

 

วิ่งหนีสิรออะไรเล่า!!!

 

ฉันรีบวิ่งหนีเข้ามาในบ้านเรื่อยๆ จนกระทั่งมีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาเหมือนทำท่าจะบังตัวฉัน

 

“อันตราย!!!”

“แฮ่!!!”

 

ผู้ชายคนนั้นได้กอดแล้วล้มทั้งฉันทั้งเขาลงไป

 

“เจ้าไม่เป็นไรนะ” เสียงชายคนนั้นดังขึ้น

ฉันหลับตาส่ายหน้าเบาๆ

“ถ้าเจ้าโดนพวกนั้นทำร้าย เจ้าคงตายแน่ๆ ข้าอาจจะต้องทำอะไรสักอย่าง”

 

และจู่ก็ได้กลิ่นเลือดของตัวเอง และรู้สึกเจ็บที่คอ

...ผู้ชายคนนี้ เค้ากัดคอฉันหรอ

เจ็บชะมัด ในความเจ็บนั้นฉันก็ค่อยๆหลับตาลงและเผลอหลับไป

  • Like 4
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 2 ยินดีที่(ไม่)รู้จัก

...ตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ย

ฉันลุกมาดูนาฬิกาในตอนนี้ 7.00 น. และรู้สึกว่า มีพลาสเตอร์แปะที่คอด้วย

...ใช่ เมื่อคืนฉันโดนกัดที่คอ ฉันจะกลายเป็นอย่างอื่นไหมเนี่ย

เมื่อฉันลุกขึ้นจากเตียงก็พบว่า มีผู้ชายคนหนึ่ง ผมสีน้ำเงินเหมือนทองฟ้ายามกลางคืน ผมยาวถึงหู ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กำลังหลับอยู่บนโซฟาของฉันซึ่งอยู่ข้างเตียงนอกฝั่งศีรษะ

...จะลุกไล่ให้ไปนอนที่อื่นซะเลยดีไหมนะ

ฉันค่อยๆเดินเข้าไปดูที่โซฟาแล้วก็เดินออกมา พบว่าผู้ชายคนนั้นหลับสนิท ฉันจึงไปล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำ แล้วจึงมาทำอาหารเช้า ซึ่งนั่นก็คือไข่เจียว แน่นอนว่าทำให้ “ผู้ชายคนนั้น” ด้วย

 

“หืม? กลิ่นอะไรเนี่ย ทำไมเหมือนหอมๆเหมือนอาหารเลย” ผู้ชายคนนั้นได้ตื่นขึ้นและถามขึ้นมา ส่วนฉันก็นิ่งเงียบไป แล้วเดินไปดูที่หม้อหุงข้าว

“อ้าว ตื่นแล้วหรอคะ?” ฉันถามเขา

“ใช่ แล้วนี่เจ้าเป็นคนทำหรอ?” เขาถามถึงไข่เจียวที่วางอยู่บนจาน

“ใช่ค่ะ ทำไมหรอคะ?”

“เปล่า ข้าแค่อยากรู้ ว่าเจ้าเป็นคนทำจริงรึเปล่า เท่านั้นเอง”

...ก็มีแต่ฉันคนเดียวที่แหละที่ทำ

ข้าวหุงเสร็จแล้ว! ฉันรีบตักข้าวแล้วแบ่งสองจาน เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่มีคนอื่นมากินข้าวด้วยในขณะที่ปกติฉันจะไปกินกับเพื่อนๆในชั้นเรียนเป็นประจำ

 

“เจ้าชื่ออะไร?” เขาถามชื่อฉัน

“ไวท์ค่ะ แล้วท่านละคะ?” ฉันถามกลับ ไม่รู้จะเรียกสรรพนามอะไรดี

“ข้าชื่อคิริน ข้าเป็นเจ้าชายจากดินแดนดาร์คแพลนท์ (Darkplant)”

“ห้ะ?” ดินแดนอะไรไม่เคยได้ยินเลย

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง ถ้ามีโอกาสไปกับข้านะ”

เดี๋ยวนะ อยู่ดีๆฉันจะไปไหนกับเขาทั้งๆที่รู้จักกันวันแรกนี่มันใช่ไหมละ

“อาหารของเจ้าอร่อยดีนะ ถ้าอยู่ที่นี่ข้าคงอิ่มได้หลายวัน” เขาพูดขึ้นในขณะที่นั่งลูบท้องตัวเอง

“เอ๊ะ? ขนาดนั้นเลยหรอคะ?” ฉันถามในขณะที่ล้างจาน

“ปกติข้ากินอะไรก็ไม่ค่อยอยู่ท้องน่ะ ยิ่งช่วงนี้ดินแดนข้ายังเป็นฤดูหนาวด้วย หาพืชผลยาก กินได้แต่ของที่มาจากสัตว์ อย่างพวกเนื้อ เลือด เครื่องใน อะไรแบบนี้”

ฉันเงียบไปพักหนึ่ง เก็บจานที่ล้าง แล้วเขาพูดขึ้นต่อ

“น่าแปลกนะ ที่ตอนนี้เจ้าไม่รู้สึกกลัวข้าเลย จะบอกว่า เมื่อวานนี้ ข้าเป็นคนกัดคอเจ้าเอง แล้วหากุญแจมาเปิดบ้านหลังนี้ แล้วคิดว่า น่าจะเป็นบ้านของเจ้า ว่าแต่... นอกจากเจ้าคนเดียวไม่มีใครอยู่เลยหรอ?”

จู่ๆฉันก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา

“เป็นลูกคนเดียวค่ะ พ่อกับแม่เสียเมื่อ 2 – 3 ปีก่อน แล้วไวท์ต้องทำหน้าที่เองทุกอย่างในบ้านเล็กๆหลังนี้เลยค่ะ” ฉันตอบไป เริ่มมีน้ำตาเอ่อล้นออกมา ทั้งจากความน่ากลัวของคิรินและคิดถึงพ่อแม่ด้วย

“ข้าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เจ้าคิดหรอก นานๆเข้าเดี๋ยวก็รู้เอง” คิรินพูดขึ้น

“คือว่า ปกติไม่เคยมีคนแบบนี้เข้ามาในบ้านหรือในชุมชนของไวท์เลยค่ะ พวกแวมไพร์ ซอมบี้ อะไรแบบนี้ เลยรู้สึกกลัวเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ” ฉันพูดขึ้นในขณะที่น้ำตาไหลและนั่งอยู่ข้างๆอ่างล้างจาน

 

“ข้าดื่มเลือดเจ้าไว้เป็นสัญลักษณ์น่ะ ในดินแดนก็มามนุษย์แบบเจ้ายากมากด้วย อีกอย่างหนึ่งคือ เผ่าพันธุ์พวกข้า เมื่อดูดเลือดใครก็ตาม อีกฝ่ายจะไม่ได้เป็นแวมไพร์ตามนะ” คิรินพูดขึ้น และพูดต่อไป

“ทีนี้เจ้าหายกลัวข้ารึยังละ?”

ฉันพยักหน้า และค่อยๆลุกขึ้น

“ซอมบี้ ก็มาที่โลกมนุษย์เพื่อต้องการอาหาร นั่นคือสมอง ส่วนแวมไพร์อย่างข้า หลักๆก็มาหาอาหาร นั่นก็คือเลือด บางคนโชคร้าย อาจจะกลายเป็นแวมไพร์ได้เลย ส่วนข้า... สัญญาว่า จะไม่ทำให้เจ้าตายละกัน” เขาพูดเสร็จแล้วยิ้มให้

“ค่ะ” ฉันขานรับแล้วเดินเล่นรอบๆภายในบ้าน

 

“นี่เจ้าทำอะไรน่ะ?” คิรินถามขึ้น

“เดินออกกำลังกายไงคะ เพิ่มพลังงาน” ฉันตอบ แล้วเดินต่อไป

“อ่อ ข้าเดินบ้างก็ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“เดินได้ค่ะ แต่อย่าใช้เวทมนต์ก็พอ”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าแวมไพร์อย่างข้าใช้เวทมนต์ได้”

“รู้ละกันค่ะ”

แล้วหลังจากนั้น ฉันก็เดินออกกำลังกับเขาภายในบ้าน

 

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง คิรินก็เดินไปเอาผ้าเช็ดตัวที่อยู่ราวตากผ้า

“จะใช้หรอ เสื้อผ้ามีไหม” ฉันถามเขา

“มีแล้ว ข้าขาดแต่ผ้าเช็ดตัว อาบน้ำไว้ก่อน ตอนเย็นๆค่อยออกไป”

“ค่ะ ได้ค่ะ ตามสบายนะคะ”

  • Like 4
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 3 นัดกินหมูกระทะกัน

ในช่วงบ่าย คิรินตั้งใจว่านอนหลับบนโซฟาตัวเดียวกับเมื่อเช้า ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาเป็นแวมไพร์แล้วมักจะไม่ชอบแสงแดด แต่ฉันก็อดที่จะเปิดหน้าต่างไม่ได้เพื่อให้อากาศถ่ายเท “ไวท์ เจ้าปิดหน้าต่างได้ไหม ข้าจะนอนหลับสักพัก”

“ใช้ผ้าปิดตาแทนได้ไหมคะ”

“ได้ๆ” แล้วฉันก็หยิบผ้าปิดตาจากในลิ้นชักมาให้คิริน

“ขอบใจเจ้ามาก”

 

ในขณะที่ฉันกำลังเล่นเกม Cookie Run อยู่นั้น จู่ๆก็ได้รับข้อความใหม่ทำให้ฉันต้องตัวเกมนั้นค้างไปพักหนึ่ง คงรอจบเกมละกัน ค่อยเปิดดู

“<3 MaiMai <3: (มีข้อความใหม่)”

ข้อความของไมไม?

หลังจากที่ฉันแพ้เกม ฉันรีบเปิดข้อความทันที และแล้ว...

 

<3 MaiMai <3 (13.20): ไวท์ๆ อยู่ไหม

White_Tomato (13.30): อยู่ๆ มีอะไรหรอ

<3 MaiMai <3 (13.32): ไปกินหมูกระทะหลังเรียนจบกัน

White_Tomato (13.32): วันนี้หรอ

<3 MaiMai <3 (13.33): Yes!

White_Tomato (13.33): กี่โมง

<3 MaiMai <3 (13.33): ทุ่มนึง

White_Tomato (13.34): ร้านไหนอ่ะ

<3 MaiMai <3 (13.35): Japon Japan Shabu อ่ะ ร้านที่อยู่ใกล้ๆร้านการ์ตูนกับป้ายรถเมล์โฆษณาเกมมือถืออ่ะ

White_Tomato (13.35): มีใครไปบ้าง

<3 MaiMai <3 (13.40): เยอะแยะไป ห้องเราทั้งนั้นแหละไป งานนี้ครูเลี้ยงเว้ย

White_Tomato (13.39): ได้เลย เดี๋ยวเจอกัน

 

แล้วฉันกลับไปนั่งเล่นเกมต่ออย่างสบายใจ จนกว่าคิรินจะตื่นนั่นแหละ

เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง แม้ฉันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว คิรินก็ไม่มีท่าทีจะตื่น ยังหลับสนิทโดยมีผ้าปิดตายังปิดอยู่ แล้วหลังจากนั้น...

คิริก็เปิดผ้าปิดตาขึ้นมาพร้อมถามฉันว่า

“กลางวันที่นี่ทำไมถึงยาวนานจัง”

“ตอนนี้เป็นฤดูร้อนไงคะ แต่ช่วงเวลาที่กลางวันยาวนานที่สุดก็ยังไม่ใช่ช่วงนี้ค่ะ”

“อีกกี่ปีถึงจะกลางวันยาวนานละ” คิรินถาม

“อีก 3 เดือนค่ะ”

 

คิรินมองฉันอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วจึงถามว่า

“เจ้าจะแต่งตัวไปไหน?”

“ไปทานข้าวกับเพื่อนค่ะ”

“งั้นข้าไปด้วย ข้าก็จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน”

ห้ะ? ทำไมอยู่ดีๆคิรินอยากไปด้วยละ

หลังจากนั้น คิรินก็เดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที

 

เวลาผ่านไป คิรินเดินออกมา แล้วก็พูดว่า...

“คือ... ข้างต้องการออกไปสำรวจข้างนอกหน่อยว่าอะไรผิดปกติรึเปล่า เพราะข้าเองมาที่โลกมนุษย์นี่ก่อนที่จะมาเจอเจ้าแล้วรู้สึกสังหรใจแปลกๆ”

ฉันทำหน้างงไปพักหนึ่ง เขาจึงพูดต่อ

“อย่างที่เจ้าเห็นเมื่อคืนนั่นแหละ หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีก ข้าก็ไม่ทราบได้ เลยอยากสำรวจจริงๆจังๆคืนนี้ก่อน”

“ค่ะ” ฉันขานรับเขาให้รู้ว่าฉันยังรับฟังอยู่

“ว่าไป ชุดนี้เหมาะกับเจ้าดีนะ ไม่เหมือนตอนเมื่อวานที่ยังเป็นชุดนักเรียนเลย”

เอ่อ... ขนาดนั้นเลย

 

เรื่องของเรื่องคือ ฉันไว้ผมสั้น ใส่แว่นสีชมพู ใส่เสื้อฮู้ดแขนสั้นสีเทาลายแมว ใส่กระโปรงเอี๊ยมลายแมวสีขาว ใส่ถุงเท้าสลับสีเหลือง-ชมพู

“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”

ส่วนคิรินก็... ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า กางเกงขายาวสีดำ เข็มขัดสีแดง คงดูดีสำหรับเขาละมั้งนะ

 

ตอนนี้เวลาหกโมงครึ่ง เสียงข้อความดังอีกแล้ว

<3 MaiMai <3 (18.30): มาได้แล้วเพื่อน!!

White_Tomato (18.31): แป๊บนะเธอ เดี๋ยวไป

 

“เจ้าจะไปได้รึยัง?” คิรินถามฉัน

“ค่ะๆ ไปได้แล้วค่ะ” ฉันตอบรับแล้วหันไปข้างหลัง

“กุญแจบ้านอยู่ที่ข้านะ”

อ้าว??? ไหงงั้นละ

 

ฉันนั่งรถประจำทางมาพร้อมกับคิรินเพราะเขาไม่อยากบินไป (จริงๆเขาบินได้แต่แต่บอกว่าขี้เกียจ) ฉันรู้สึกสังหรใจแปลกๆถึงความไม่สบายใจ

“เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า” คิรินถามแล้วมองหน้าฉันใกล้ๆ

“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”

 

ทำไมอยู่ดีๆก็หน้าร้อนผ่าวเลย...

 

มีข้อความดังอีกแล้ว

 

<3 MaiMai <3 (18.55): ไม่ต้องมาแล้วนะ พอดีเกิดเรื่อง นิชชินได้รับบาดเจ็บ

 

ห้ะ? นั่นนิชชินเพื่อนของเรานี่ เปลี่ยนอารมณ์ไม่ทันแล้ว!!!

 

 

  • Like 3
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 4 อันตรายในร้านหมูกระทะ

“เอ่อ...” ฉันพูดแล้วสะกิดคิรินเบาๆ “ช่วยกดกริ่งตรงนั้นได้ไหม ใกล้ถึงแล้ว” คิรินลุกขึ้นแล้วยกแขนขึ้นไปกดกริ่ง

...ว่าแต่ คิรินรู้จักกริ่งด้วยหรอ?

 

“คนละ 25 บาทครับ”

ลุงคนขับรถพูดขึ้น ฉันจึงให้ธนบัตร 50 บาทให้แล้วบอกลุงว่า “2 คนค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ลุงคนขับรถยิ้มให้แล้วพวกเราทั้งคู่เดินลงไป

 

ณ ป้ายรถเมล์ที่ไมไมพูดถึง ยังมีกลิ่นเลือดลอยมาบริเวณรอบๆ

“กลิ่นเลือดนี้ ข้าสัมผัสได้...” คิรินพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบๆ

 

“ไวท์!! ช่วยด้วย!!!”

นั่นเสียงไมไมนี่

 

ฉันรีบวิ่งไปฝั่งตรงข้ามอย่างทันทีโดยที่ลืมดูสัญญาณไฟ

แต่แล้ว...

หมับ!

ชายคนหนึ่งได้จับคว้ามือฉันเอาไว้ในขณะที่รถข้างหน้าวิ่งมาด้วยความเร็ว

“ข้ามถนนน่ะ ระวังด้วย อะไรชนเข้า ข้าไม่มีเวทมนต์ชุบชีวิตนะ” คิรินพูดขึ้น

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ...” ฉันพูดเบาๆแล้วคอตกไปพักหนึ่ง

 

ถัดจากป้ายรถเมล์เป็นร้านหนังสือที่ยังคงเปิดให้บริการ ฉันกับคิรินพากันเดินไปที่สัญญาณไฟข้ามถนน แล้วยืนรอสัญญาณไฟ ในขณะที่คิรินยังคงจับมือฉันไว้แน่น

 

...เป็นห่วงฉันถึงต้องจับมือแน่นขนาดนั้นเลยหรอ

 

หลังจากที่ข้ามฝั่งมาที่ร้านหมูกระทะมาแล้ว ฉันปล่อยมือคิริน แล้วมองบรรยากาศรอบๆที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่า ทั้งหมูกระทะที่ปิ้งทิ้งไว้จนไหม้ ผักที่เปื่อยยุ่ย ผักที่อยู่บนจานก็เกี่ยวฉัน หมูดินที่เริ่มส่งกลิ่นเหมือนใส่สารบางอย่าง โต๊ะและเก้าอี้กระจัดกระจาย และในขณะนั้น ไมไมกับเพื่อนชายของฉันอีกคน คอปเตอร์ กำลังแบกเพื่อนชายคนหนึ่งที่ชื่อนิชชินออกมาจากห้องครัวของร้าน

“ไวท์ เจ้านิชชินมันหมดสติอ่ะ พอจะมีวิธีทำให้ฟื้นบ้างไหม” คอปเตอร์ถามขึ้น

“ไปโรงพยาบาลไหมละ?” ฉันตอบ

“ก็ยังหายใจอยู่นะ แค่สลบไปเท่านั้นเอง” คิรินนั่งคุกเข่าแล้วลองตรวจสอบอัตราการเต้นของนิชชินด้วยตัวเอง

“ไมไม มีคนมามากกว่านี้อีกไหม” ฉันถาม “คนที่กลับไปก่อนหน้านี้คือ ครูพัชนี จอห์นสัน พัตตี้ พัตเตอร์ มิลิน ส่วนคนที่โดยทำร้ายมีเค้า (หมายถึงตัวไมไมเอง) นิชชิน คอปเตอร์ มะลิ ที่เหลือยังไม่มาแต่ฉันส่งข้อความให้ทุกคนกลับไปบ้านแล้ว” ไมไมตอบ

“ไมไม แล้วมะลิละ?” ฉันถามกลับ

“ล่าสุดอยู่ที่ครัวของร้านนะ ไม่แน่ใจว่า ‘พวกมัน’ เอามะลิไปไว้ที่ไหน”

“พวกมัน?” คิรินถามขึ้น

“พวกมันคือ เป็นตัวสีเขียวๆ มีเลือดชุ่ม เสื้อผ้าขาดๆ มีหลายตัวอยู่นะ” คอปเตอร์ได้อธิบาย

“แล้วคนที่ข้างไวท์นี่ใครอ่ะ? ใช่กลุ่มเดียวกับพวกที่คอปเตอร์เล่ารึเปล่า” ไมไมถาม

“ข้าชื่อคิริน ข้าเป็นแวมไพร์ที่มีพลังเวทย์ แต่ที่ๆ ข้าอยู่กับพวกเจ้าอยู่แล้ว พวกซอมบี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง” คิรินพูดขึ้น

“อ๋อๆ เข้าใจละ ถึงว่า ตัวซีดๆเชียว แต่เสื้อผ้าก็ไม่ได้ขาดอะไรนะ ดูเรียบร้อยดี ต่างจากที่คิดไว้เยอะ” ไมไมพูดขึ้น

“ที่แน่ๆ พวกเจ้าต้องช่วยกันตามหาเพื่อนของเจ้าก่อน แล้วข้าจะอยู่แถวๆนี้” คิรินกล่าว

“นายเอาก้อนเลือดหมูที่อยู่ตรงนั้นไปกินก่อนไหมอ่ะ คงกินได้นะ” คอปเตอร์พูดขึ้นแล้วชี้ไปที่โต๊ะของอีกฝั่ง

“ขอบใจเจ้ามาก งั้นเดี๋ยวข้าจะดูแลเด็กคนนี้ไปก่อนละกัน” คิรินพูดขึ้นแล้วอุ้มนิชชินมาที่เก้าอี้หน้าร้าน

แล้วฉัน คอปเตอร์ และไมไม ก็เดินไปที่หลังห้องครัวของร้าน เพื่อตามหามะลิ ส่วนคิรินก็เฝ้านิชชินไว้

 

ในระหว่างที่พวกฉันเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็ได้กลิ่นเลือดอีกครั้ง แถมกลิ่นแรงกว่าตอนที่อยู่ป้ายรถเมล์เสียอีก

“แล้วไวท์รู้จักกับแวมไพร์ได้ยังไงเล่า” ไมไมถาม

“เขามาช่วยไวท์ไว้ แล้วไปอยู่บ้านด้วยคืนนึงนะ เพิ่งรู้จักกันเมื่อวานนี้เอง” ฉันพูดขึ้น

“ไว้ใจเร็วจังเลยแฮะ ปกติไวท์ก็ไม่ค่อยสนิทกับใครนอกจากพวกเราเนอะ สมัยนี้ไว้ใจใครยากจะตาย” คอปเตอร์พูดขึ้น

แล้วฉันก็พบกับมะลิ ผมยาวสีฟ้า ใส่เสื้อสีขาว ใส่มินิสเกิร์ตสีฟ้า ไม่ใส่รองเท้า กำลังนอนอยู่กองเลือด และเห็นรองเท้าสีฟ้าวางอยู่ข้างๆ ซึ่งมีรอยเลือดติดอยู่

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

  • Like 2
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 5 รวมตัวกันในท่ามกลางความโหดร้าย

“เกิดอะไรขึ้นกับมะลิของพวกเรา??” คอปเตอร์ได้กล่าวขึ้น ในขณะเดียวกัน มะลิ เพื่อนของพวกเราได้ลืมตาขึ้น

“เอ้อ มะลิ เป็นไรป่าว เจ็บตรงไหนไหม” ไมไมได้ถามขึ้น

“เจออะไรมาไม่ดีละเนี่ยห้ะ” ฉันถามบ้าง

“พวกแกใจเย็นก่อนนะเว้ย ฉันแค่สลบเฉยๆ แต่เดี๋ยว กรี๊ด!!! ทำไมมันหนืดอย่างนี้” มะลิได้พูดขึ้นและสังเกตว่า เลือดมีความเหนียวมาก “เลือดเหนียวขนาดนี้เลย ดูสิ”

“ไมไม คอปเตอร์ ช่วยกันยกมะลิขึ้นมาที ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว” ฉันพูดขึ้นด้วยเสียฮึกเหิม

“เอาให้ทันเวลานะ ก่อนที่ ‘พวกมัน’ จะมา” มะลิพูดขึ้น

ฉัน ไมไม และคอปเตอร์ ช่วยดึงมะลิขึ้นมา ดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ขึ้นเสียที จนมีคนๆหนึ่งถือถึงน้ำมา

“พอดีสิ่งนี้น่าจะพอช่วยตัดเลือดได้นะ แต่คงต้องใช้เวลาหน่อย” เด็กสาวใส่แว่นกลมผมสีชมพูสั้น นัยน์ตาสีฟ้านั้นได้ทักทายกับพวกเรา

“จ๊ะจ๋า!!!”

จ๊ะจ๋าคือเพื่อนร่วมชั้นอีกคนหนึ่งของพวกเรา เธอเก่งฟิสิกส์มาก ว่าแต่ เธอไม่ได้อ่านข้อความของไมไมเลยหรอ

ไม่ทันไรจ๊ะจ๋าก็สาดน้ำใส่พวกเรารวมถึงมะลิ เลือดหนืดๆก็ลดลงไปเล็กน้อย แล้วที่เหลือก็ช่วยกันดึงจนเลือดขาด

 

“โอ๊ย! เจ็บชะมัด” มะลิร้องเสียดังถึงแม้จะมีเลือดติดมาบ้าง “รองเท้าฉันละ”

“อยู่นี่!” ไมไมชี้ไปที่รองเท้าของมะลิที่เปื้อนเลือดเพียงเล็กน้อย

“ขอบใจ กรี๊ด!” มะลิโดนเลือดดึงไปอีกครั้ง

“ต้องเอามีดมาไหมจ๊ะจ๋า” ฉันถามจ๊ะจ๋า

“เอาไม่อยู่มั้ง” จ๊ะจ๋าตอบ

“ไม่ลองไม่รู้น่า” คอปเตอร์ได้พูดขึ้น แล้วไปหยิบมีดปอกผลไม่ที่อยู่ในครัว แล้วเดินกลับมาตัดเลือดด้วยความรวดเร็ว

และในขณะนั้นเอง

“Hello Everybody!”

“นิชชิน!!!”

ฟังไม่ผิดหรอก นิชชินฟื้นแล้วสินะเนี่ย ว่าแต่ ใครช่วยกันนะ

“ว่าไงไวท์ เอ้า เจ้ากำลังช่วยเหลือเพื่อนอยู่หรอ” คิรินเดินมาจากด้านหลังของจ๊ะจ๋า

“ค่ะ” ฉันตอบ

 

“ตัดไม่ขาดเลย ทำไงดี” คอปเตอร์พูดขึ้น

“งั้นเดี๋ยวข้าจัดการเอง” คิรินพูดขึ้นแล้วเสกไฟจากมือของตัวเอง

 

หลังจากนั้น เลือดเหนียวๆก็ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว

ได้ผล!!! ทุกคนรวมถึงฉันปรบมือด้วยความดีใจสุดๆ

“ขอบคุณมากค่ะ!!!” มะลิของคุณด้วยความปลื้มปิติ

 

“ส่วนเพื่อนของพวกเจ้าที่สลบไป ฟื้นขึ้นมาเอง แล้วซอมบี้ก็มา ข้าก็จัดการให้ และอาจจะมีข้างหลังอีกก็ได้”

ในขณะที่คิรินพูดขึ้น ซอมบี้ก็โผล่มาจากหลังครัวอีกหลายตัว

“เดี๋ยวข้าจัดเอง พวกเจ้าหนีไป” คิรินพูดขึ้น

“ครับ/ค่ะ” แล้วพวกเราก็วิ่งออกจากห้องครัว จนข้ามฝั่งไปที่ร้านหนังสือซิ่งใกล้ใกล้เวลาปิดร้านแล้ว

 

“เหมือนได้กลิ่นคาวๆจากร้านหนังสือนะ” นิชชินพูดขึ้น

“อยากกลับบ้านแล้วเนี่ย” จ๊ะจ๋าพูดขึ้น ทุกคนรู้สึกต่างกัน

 

ตอนนี้เวลาเกือบๆ 4 ทุ่มแล้ว คิรินจะเป็นยังไงบ้างนะ...

 

“เอ้อ เดี๋ยวกลับก่อนนะ ที่บ้านเป็นห่วงแย่แล้ว”

“โชคดีๆ แล้วเจอกันเปิดเทอม”

“เจอกันๆ”

ทุกคนได้โบกมือล่ำลาและบางคนก็เตรียมข้ามฝั่งเพื่อขึ้นรถบัสกลับบ้านของตัวเองไป ส่วนฉันก็นั่งรอคิรินอยู่หน้าร้านหมูกระทะ และบางคนเช่น นิชชิน ไมไม กลับทางเดียวกับฉันแต่จะลงก่อน

 

“เหมือนสังหรณ์ใจอะไรแปลกๆไหม เหมือนกลิ่นจะยังคงอยู่นะ” ไมไมพูดขึ้น และกลิ่นนั้นเริ่มเข้าใกล้เรื่อยๆ

“เฮ้ ทางโน้นได้กลิ่นเลือดไหม” ฉันตะโกนถามคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

 

“ได้กลิ่น เอ้ย! รถมาแล้ว ไปก่อนนะทุกคน” จ๊ะจ๋าตะโกนแล้วรีบขึ้นรถพร้อมกับคนอื่นๆทันที

อ่ะ รถมาแล้วนี่ แต่ฉันยังขึ้นไม่ได้

“ไวท์ไม่ขึ้นไปหรอ หรือว่ารอแวมไพร์คนนั้นอยู่” ไมไมถามขึ้นก่อนที่จะขึ้นรถ

ฉันพยักหน้ากลับ

“เอ้ยๆ มีแฟนแล้วจริงดิ เร็วไปนะเนี่ย” ไมไมพูดขึ้นด้วยความล้อเลียน

“เดี๋ยว ไม่ใช่นะ!” ฉันพูดตะโกนเสียงดัง

“เดี๋ยวเจอกันนะเพื่อน” นิชชินพูดขึ้นแล้วรถค่อยๆแล่นไป

“รอบหน้ารอบทุดท้ายนะหนู อีก 15 นาที” คุณป้าท่านหนึ่งซึ่งคาดว่าเป็นกระเป๋ารถเมล์ตะโกนลงมา

และในขณะนั้นเอง

“ข้ากลับมาแล้ว อ้าว ไปแล้วหรอ เราต้องรอหรือจะให้ข้าไปส่ง” คิรินเดินมาในขณะที่รถบัสวิ่งผ่านไป

“รถรออบสุดท้ายอีก 15 นา... หาว...” ฉันพูดไปก็เริ่มง่วงแล้ว

“เจ้าง่วงแล้วหรอ” คิรินถามแล้วมายืนอยู่ใกล้ๆฉัน

“ค่ะ แต่รอรถก่อนดีกว่าค่ะ”

 

เวลาต่อมา รถบัสก็มาถึง ฉันกับคิรินก็รีบขึ้นทันที และตอนนี้ถ้าไม่รวมคนขับก็เหลือ 2 คนแล้ว

ตลอดทางกลับบ้าน ฉันได้เห็นซอมบี้อยู่ขอบทางเป็นระยะๆ รวมทั้งกลิ่นเลือดด้วย เพียงแต่ ยังไม่เจอเลือดหนืดๆเหมือนที่เจอกับมะลิเท่านั้น

 

และฉันก็ถึงบ้านเสียที ฉันก็เริ่มหาวอีกครั้ง

“เหมือนเจ้าจะง่วงหนักนะ อ่ะนี่ ข้าหยิบมาจากร้านด้วย” คิรินพูดขึ้นแล้วยื่นขวดน้ำส้มให้ฉัน

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” แล้วฉันก็เปิดหลอดแล้วดูดน้ำส้มไป เดินไป

 

คืนนี้เป็นคืนที่ดูวุ่นวายเสียจริง

  • Like 3
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 6 กลางวันนี้เปลี่ยนไป

ตอนนี้ก็เที่ยงแล้วสินะ เป็นวันที่สามแล้วที่ได้เจอกับเขา เขาเองก็หลับอยู่ แต่รู้สึกเพลียแฮะ

ในขณะที่ฉันกำลังจะเปิดเกมอยู่นั้น ข้อความจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

 

<3 MaiMai <3 (12.04): เมื่อคืนเป็นยังไงบ้าง

White_Tomato (12.05): ง่วงจัดอ่ะ เมื่อคืนหลับทั้งๆที่ไม่ได้อาบน้ำเลย

<3 MaiMai <3 (12.05): เอ้าหรอ

<3 MaiMai <3 (12.05): วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างเนี่ย เริ่มกลัวละสิ

White_Tomato (12.05): นั่นสิ แล้วคนอื่นละ

<3 MaiMai <3 (12.05): นิชชินกับมะลิน่าจะยังไม่ตื่นนะ เพราะสองคนนั้นก็เจอหนักเอาเรื่องเหมือนกัน

 

อย่าให้พูดถึงเรื่องเมื่อคืนเล๊ย แถมคิรินก็ยังไม่ตื่นอีกต่างหาก เฮ้อ

 

ฉันลุกขึ้นจากที่นอนแล้วลุกไปอาบน้ำ ฉันก็คิดอยู่นะว่า ทำไมช่วง 2 – 3 วันที่ผ่านมา ทำไมซอมบี้มาป่วนที่เมือง ถึงแม้จะเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนก็เถอะ แล้วแวมไพร์นอกจากคิริน มีใครอีกไหมที่มาบนโลกใบนี้

 

หลังจากที่ฉับอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จ ก็ยังสงสัยว่า คิรินมาทั้งๆที่ชุดๆเดียว เขาใช้เสื้อผ้าที่ไหนกันนะ ที่แน่ๆ ไม่ใช่จากบ้านฉันแน่ๆเพราะเสื้อผ้าของพ่อแม่เอาไปลงตลาดนัดในตัวเมืองและขายไปหมดแล้วด้วย

 

ฉันเดินไปเปิดโน้ตบุ๊คที่ตรงข้ามโซฟา และเสียงข้อความก็ดังขึ้นจากมือถือ

 

ต้นมะลิ (12.49): ว่าไง คนกลับช้าเมื่อคืน

 

มะลิหรอ ตอนนี้ดีขึ้นรึยัง

 

White_Tomato (12.50): ซักรองเท้ารึยัง

ต้นมะลิ (12.50): ว่าจะซักเองแล้ว แม่ซักให้ก่อนที่ฉันจะตื่น

ต้นมะลิ (12.50): นี่เพิ่งตื่นหรอ

White_Tomato (12.51): สักพักละ

ต้นมะลิ (12.51): ว้าย! คนตื่นสาย

White_Tomato (12.51): มะลิไม่ต่างกันหรอก แล้วเมื่อคืนไปทำอีท่าไหนถึงโดนเลือดหนืดเมื่อคืนเนี่ย

ต้นมะลิ (12.55): เรื่องของเรื่องนะ ตอนที่พนักงานเสิร์ฟหมูอยู่ นิชชินก็ไปห้องน้ำตรงหลังร้าน แล้วทีนี้ ไม่รู้ว่ามีอะไรแปลกๆเข้ามา คนที่อยู่ในร้านอื่นๆก็รีบวิ่งหนีเหลือเพียงไม่กี่คน แล้วตอนที่ฉันจะเข้าไปช่วยไอ้นิชชินอ่ะ เท้าไปเหยียบอะไรไม่รู้แล้วล้มลงไปแล้วสลบไปพักนึงละมั้ง

White_Tomato (12.56): อ่าเค เดี๋ยวลองถามนิชชินดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมื่อคืน

 

หลังจากที่ฉันวางมือถือไป ฉันก็มาดูในนิวส์ฟีดหน้า Facebook

“เกิดเหตุเมื่อคืนหน้าร้านหมูกระทะแห่งหนึ่งในจังหวัด xx ได้มีสิ่งมีชีวิตสีเขียวเข้ามาบุกในร้านทำให้ทุกคนเกิดความกลัวแล้วหนีจากร้านกระทะโดยไม่สนใจ”

นั่นข่าวเมื่อคืนหรอกหรอ?

ฉันเลื่อนนิวฟีดส์มาเรื่อยๆ สุดท้ายก็เจอข่าวพวกนี้ รูปภาพ วิดิโอ ไลฟ์สด

...ให้ตายสิ เยอะแยะไปหมด

 

ฉันรู้สึกเบื่อกับนิวส์ฟีดที่เกิดขึ้น จนหันไปเล่นเกมแนว RPG แล้วได้ยินเสียงอะไรสักอย่างเหมือนมีคนละเมอ

 

“อย่า...จาก...ข้า...ไป... ข้า…”

 

ฉันหลังไป คิรินนี่เอง เฮ้อ

 

“ช่วย...ข้า...ด้วย...”

 

ยัง... ยังไม่หยุด

แล้วคิรินก็ตกลงจากโซฟาจนได้

 

“โอ๊ย เจ็บๆๆ” นั่นแหละ เสียงคิริน

“เป็นอะไรมากรึเปล่าคะ” ฉันถาม

“ข้าแค่ปวดไหล่เฉยๆ” คิรินพูดถึง

“งั้นไปนอนบนเตียงเถอะค่ะ จะได้ไม่ตกโซฟาเหมือนเมื่อกี๊”

“งั้นก็มานวดไหล่ให้ข้าก่อนสิ”

เอ๋!!! จะให้นวดไหล่เนี่ยนะ

คิรินยิ้มให้ฉันเหมือนมีอะไรแอบแฝงบางอย่าง

  • Like 3
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 7 แววตาในยามแดดจ้า

 

“แล้วเจ้ากินอะไรบ้างรึยังละ” คิรินถามขึ้นในขณะที่ฉันนวดไหล่ให้

“ยังเลยค่ะ นี่จะตื่นจริงๆแล้วใช่ไหมคะ” ฉันถามด้วยความสงสัย

“ถ้าใช่แล้วจะทำไม” คิรินพูดขึ้นพร้อมกับเอามือข้างขวาแตะที่มือซ้ายของฉันพร้อมส่งยิ้มให้ “พอได้แล้วละ”

“เอ่อ... ค่ะ”

หลังจากนั้นฉันก็รีบไปเตรียมครัวทันที

...มาม่าเกาหลีซัมยัง (Samyang) รสชีสเหลือ 2 ห่อแฮะ กินคนละห่อละกัน

 

ในระหว่างที่ฉันกำลังรอน้ำเดือดอยู่นั้น...

“เจ้าทำอะไรน่ะ” คิรินถามขึ้น รู้ตัวอีกทีก็มานั่งที่โต๊ะอาหารรอแล้ว

“อาหารมื้อเที่ย... เดี๋ยว มารอตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ฉันหันไป นั่นแหละ... อย่างที่คิดจริงๆด้วย มารอโดยยังไม่ทันได้บอกเลย

“อาหารของเจ้าอร่อยมาก ว่าแต่ เจ้าหัดทำอาหารเองตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“เมื่อ 4 – 5 ปีที่แล้วค่ะ” ฉันตอบ

“แล้วเรียนรู้มาจากใครบ้างเนี่ย”

“เริ่มแรกเรียนรู้จากแม่เบื้องต้นค่ะ หลังจากที่พ่อกับแม่เสียแล้ว เลยซื้อหนังสือหรืออ่านฉลากมาทำเอาค่ะ”

“โอ้ เจ้าก็เก่งเหมือนกันนะเนี่ย แถมยังเป็นอาหารที่ดินแดนข้าซะด้วย มาครั้งนี้ข้าไม่ได้ห่ออาหารมาเลย”

“เอ๋? เคยมาที่โลกนี้มาก่อนหรอคะ?” ฉันถามด้วยความสงสัยอีกครั้ง

“ใช่ ข้าเคยมาที่นี่ 2 – 3 ครั้งแล้ว แต่ข้าจำไม่ได้ว่ามาล่าสุดเมื่อไหร่”

“อ่อ แล้วเสื้อผ้าละคะ?” หลังจากนั้น น้ำในหม้อเดือดพอดี

“ข้ามีถุงเล็กๆเท่าฝ่ามือที่ขยายเป็นกระเป็นใบใหญ่ได้ แล้วก็ย่อได้ด้วย ไว้เดี๋ยวกินข้าวเที่ยงนี้เสร็จจะเอาออกมาให้ดู”

“ค่ะ” ฉันขานรับแล้วนำน้ำเดือดใส่ถ้วยแล้วปิดจาน

 

“รอประมาณ 8 – 10 นาทีค่ะ” ฉันพูดขึ้นในขณะที่รอน้ำเดือด

“นานจังแฮะ แล้วที่เป็นซองๆนั่น ยังไม่ใส่หรอ” คิรินถาม

“ยังค่ะ ต้องรอให้สุกแล้วเทน้ำออกค่ะ”

“ทำไมเจ้าต้องเทด้วยละ”

“กินแบบแห้งไงคะ ถ้าแบบน้ำไปซื้อเย็นนี้”

“เจ้าจะออกไปข้างนอกเย็นนี้หรอ”

“ใช่ค่ะ มีอะไรรึเปล่าคะ”

“เปล่า ข้าจะไปกับเจ้า ไปส่งเจ้าด้วย”

“เอ่อ... ค่ะ”

 

หลังจากกินจนอิ่มแล้ว ฉันสังเกตที่คิริน จากหน้าขาวๆเป็นหน้าแดงๆเลยทีเดียว

“เป็นอะไรรึเปล่าคะ ห้าๆๆ” ฉันพูดไปขำไป

“เจ้าอะไรให้ข้ากินเนี่ย ข้าร้อนหมดแล้ว”

ใช้เวทย์ไฟได้แต่ไม่ได้หมายความว่าทนมาม่าเผ็ดไม่ได้เลยสินะ

 

“ข้าขอย้ายที่นอนหน่อยนะ ข้าไม่อยากตกเตียงอีกแล้ว เจ้าไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม” คิรินถามขึ้นในขณะที่กำลังนอนอยู่บนเตียงฉัน

“ตามสบายเลยค่ะ เดี๋ยวคืนนี้นอนไวท์บนโซฟาก็ได้ค่ะ” ฉันตอบแล้วไปนั่งเล่นเกมต่อ

“แล้วคืนนี้จะไปไหนรึเปล่า เดี๋ยวข้าไปส่ง”

“เดี๋ยวเย็นนี้ไปซื้อของกันค่ะ แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าเย็นนี้ฝนตกค่ะ”

“เย็นนี้ปลุกข้าด้วย” คิรินพูดขึ้นแล้วหลับไป

เดี๋ยวนะ ไปปิดหน้าต่างแป๊บนึง

 

“ข้ายังอยากอยู่ในความฝันต่อไป ข้า...ชอบเจ้านะ”

คิรินละเมออะไรของเขานะ...

 

ในช่วงเย็น ฉันปิดโน้ตบุ๊คแล้วไปปลุกคิริน และในขณะทีฉันจะเอื้อมมือไปสะกิดนั้น จู่ๆฉันก็โดนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา

 

“เดี๋ยวก่อนค่ะ!!” ฉันร้องด้วยความตกใจ แถมหน้าร้อนผ่าวอีกครั้ง

“เอ้า นี่เจ้าเองหรอ” คิรินพูดพร้อมกับหูแดงด้วย “ข้าขอโทษ ข้าคงละเมอมากไป เจ้ามาปลุกข้าใช่ไหม”

“ค่ะ” อยู่ๆก็รู้สึกหัวใจเต้นรัวขนาดนี้ คือไม่เคยอยู่ใกล้ผู้ชายขนาดนี้มาก่อนเลยนะ

“เจ้าน่ารักดีนะ อยากอยู่แบบนี้นานๆจัง” คิรินพูดเสียงเบาเหมือนกระซิบแต่ฉันได้ยิน

“เอ๋!!!”

…นี่หมายความว่ายังไงกัน

 

ฉันรีบลุกขึ้นจากเตียง แล้วมานั่งเตรียมกระเป๋าและร่มรอที่โซฟา “จะอาบน้ำไหมคะ ถ้าไม่อาบจะไปเลย”

“วันนี้ข้าไม่อาบละกัน” คิรินตอบ

...เอาที่สบายใจเลย

 

ฉันและคิรินขึ้นรถบัสและฝนตกมาระหว่างทาง แล้วลงตรงที่ห้างสรรพสินค้าแห้งหนึ่ง

“เดี๋ยวข้ากางร่มให้นะ เจ้าตัวเล็กกว่า” คิรินพูดขึ้นขณะที่ลงจากรถ

“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบ

“จับมือข้าไว้ แล้วเจ้าก็นำทางข้าไปได้เลย” คิรินพูดขึ้นแล้วเอามืออีกข้างจับมือฉัน

 

...นี่มันเกิดอะไรขึ้น หน้าแดง หัวใจเต้นรัว ไม่หยุดเลยจริงๆ

  • Like 3
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 8 ไม่มีอะไรเลย (จริงๆนะ)

 

ตอนนี้ฉันอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งมีทั้งหมด 6 ชั้น ในตอนนี้ฉันจะไปเพียงแค่ชั้น 1 คือ ชั้นซุปเปอร์มาร์เกตและศูนย์อาหารเท่านั้น

“ไวท์ เครื่องนี้เอาไว้ทำอะไร” คิรินถามขึ้นเมื่อมาถึงหน้าประตูที่มีเครื่องสวมถุงหุ้มร่มเปียก

“เอาไว้สวมร่มเวลาร่มเปียกค่ะ ใช้ได้แค่ร่มทันคันยาวๆเท่านั้นค่ะ เอ้ย หลบก่อนๆ” ฉันตอบ

“อ่อ เข้าใจละ เจ้าหุบร่มให้หน่อยสิ ข้าทำไมเป็น”

เดี๋ยวนะ ไม่หุบร่มเองเล่า

“ตรงปลายร่มมีปุ่มอยู่ค่ะ แล่วรูดลงมาเลยค่ะ”

“แบบนี้ใช่ไหม” คิรินลองทำตามที่ฉันบอกให้ดู

“แบบนั้นแหละค่ะ”

“งั้นข้าจับมือเจ้าต่อนะ มือเจ้านิ่มดี”

ฉันถึงต้องยืนอึ้งไปพักหนึ่งทันที...

 

ด้านในห้างสรรพสินค้ามีของกินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร ร้านขายขนมปัง ซุปเปอร์มาร์เกต และอาหารสด อีกทั้งยังมีผู้คนมากมายที่เข้ามาซื้ออาหารที่นี่ ฉันจูงมือคิรินเข้าไปที่ซุปเปอร์มาร์เกตและมืออีกข้างก็ถือตะกร้าไป

“เจ้าเอาไปไหวหรอ” คิรินถาม

“ก็เดี๋ยวเรา 2 คนก็ช่วยกันถือไงคะ”

“ได้ๆ”

ในขณะที่ฉันกับคิรินกำลังเลือกซื้ออาหาร ทั้งอาหารสดและอาหารสำเร็จรูปอยู่นั้น จู่ฉันก็เจอเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งที่กำลังเลือกซื้อสินค้าเหมือนที่ชั้นของขนมปัง

“เอ้า ไวท์ หวัดดี”

“เอ้า นิชชิน มาซื้ออะไรหรอ”

“มาซื้อขนมปังกับแยม พอดีของที่บ้านหมด เอ้า สวัสดีครับ” นิชชินตอบแล้วหันไปทักทายคิรินบ้าง

“อ่อ หวัดดี” คิรินทักทายนิชชิน

“แล้วเป็นไงบ้างละช่วงนี้” ฉันถาม

“ก็รู้สึกเพลียนิดหน่อย วันนี้ก็พอเดินออกมาซื้อของซะหน่อย”

“อ่อ ดีๆ งั้นเจอกันนะ” ฉันพูดขึ้น

“บ๊ายบาย” นิชชินโบกมือลาแล้วไปที่ชั้นอื่นต่อ

 

“ทั้งหมด 985 บาทค่ะ” พนักงานบอกเงินที่ควรชำระ ฉันก็ให้ธนบัตร 1000 บาทไปให้

“เงินทอน 15 บาท ขอบคุณมากค่ะ”

“นี่เจ้าต้องซื้อเยอะขนาดนี้เลยหรอ” คิรินถาม

“ทุกๆ 15 วันซื้อทีนึง รอบนี้อุตส่าห์ซื้อก้อนเลือดให้ด้วยนะคะ”

“แต่เลือดของเจ้าก็อร่อยกว่าอยู่ดี”

ไม่แปลกใจหรอก ที่แวมไพร์อย่างเขาจะชอบเลือดของมนุษย์มากกว่า

 

ฉันดูนาฬิกาบนเพดาน ตอนนี้ก็ 18.52 แล้ว พวกเราคงจะเดินกันนานไปหน่อย แล้วฉันก็เดินออกจากห้างฯ แล้วฝนก็ยังคงตกอยู่

“งั้นข้ากางร่มให้” คิรินพูดขึ้นแล้วพยายามกางร่มที่หน้าประตูทางออก

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

“แปลกแฮะ วันนี้ไม่มีซอมบี้ หรือเป็นเพราะวันนี้ฝนตก” คิรินพูดขึ้น

“ก็ดีแล้วนี่คะ” แล้วฉันกับคิรินเดินไปฝั่งตรงข้ามเพื่อที่จะกลับบ้านอย่างไม่ลังเล

 

ในระหว่างทางกลับบ้าน จู่ๆคิรินก็ล้มตัวมาซบที่ไหล่ฉัน ซึ่งโดยปกติแวมไพร์ก็ไม่ได้นอนกวลากลางคืนนะ

...นี่เขาเป็นอะไรรึเปล่า

 

เมื่อใกล้ถึงบ้าน ฉันก็รีบปลุกคิริน “ตื่นค่ะ ถึงบ้านไวท์แล้ว”

“เอ่อ... ถึงบ้านละหรอ” คิรินถามขึ้นในขณะที่ดูง่วงๆ

“ถึงแล้วค่ะ” ฉันดันตัวให้คิรินลุกไปกดกริ่ง

“20 บาทครับ 2 คน 40 ครับ” ลุงกระเป๋ารถบัสได้พูดขึ้น แล้วฉันก็จ่ายเงินให้

 

เหมือนฉันจะเจอคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าบ้าน ต้องไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่ซอมบี้แน่ๆ

  • Like 3
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 9 อย่าลืมความจริง ที่เคยทิ้งเราไป

 

เมื่อฉันกับคิรินลงจากรถ สิ่งที่เห็นนั่นคือ หญิงสาวคนหนึ่ง ผมสียาวม่วง นัยน์ตาสีม่วง ผมปิดตาข้างขวา ยืนสวยๆ(?)อยู่หน้าบ้าน

“นั่นใครคะ? เหมือนแวมไพร์เลย” ฉันถามคิรินเบาๆ

“นั่นแฟนเก่าข้าเองแหละ ชื่อเมย่า”

“หา?? แฟนเก่า??”

“ใช่ ข้าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธอด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง จะบอกว่า เธอไม่ใช่คนดีสำหรับข้าอีกแล้วก็คงไม่ผิดนักหรอก”

ฉันพยักหน้ากลับ

 

“ไง คิริน สบายดีนะ เจ้าไปเอาสาวมาดูดเลือดที่ไหนมาอีก” เมย่าได้ถามขึ้น

“แถวนี้แหละ” คิรินตอบและเข้ามากอดฉัน

“เหยื่อคนนั้นควรจะเป็นของข้านะ ใช่ไหม”

ฉันส่ายหน้าทันที

 

“เจ้าชื่ออะไร” เมย่าถามขึ้น

“เด็กคนนี้ชื่อไวท์ เธอเป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น” คิรินตอบ

“ยังไงดีละ จะปล่อยเด็กคนนั้นมาหาข้าหรือว่ายังไง” เมย่าถามขึ้นอีกครั้ง

“ไวท์ เดี๋ยวข้าไปส่งที่ร้านใกล้ๆก่อน ถ้าอยู่ตรงนี้เจ้าจะโดดกัดเป็นครั้งที่ 2” คิรินพูดกับฉันเบาๆ

“ค่ะ ได้ค่ะ” ฉันขานรับแล้วคิรินพาฉันไปที่ร้านสะดวกซื้อ

 

“สวัสดีค่ะ เชิญค่ะ” พนักงานทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนนะ เสร็จแล้วจะกลับมารับ” คิรินพูดกับฉันแล้วเดินจากไป

 

...เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ

 

ฉันมองทั้งสองคนต่อสู้กันผ่านกระจกร้าน คิรินมีเวทมนต์ทั้งน้ำแข็งและไฟ ส่วนเมยาก็มีเวทมนต์ความมืด ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างสูสี และขณะที่กำลังดูอยู่นั้น

“ตอนนี้สี่ทุ่มแล้วนะคะคุณลูกค้า ยังไม่กลับอีกหรอคะ” เสียงพนักงานพูดขึ้น

“อีกสักพักนะคะ” ฉันตอบพนักงานแล้วเดินไปหยิบขนมแล้วมาจ่ายเงิน

ที่จริงฉันซื้อมาแล้วละ ฉันฝากที่ด้านหน้าร้าน หวังว่าคงจะไม่โดนขโมยนะ

 

หลังจากที่ฉันไปจ่ายเงิน พบว่า คิรินไม่ได้อยู่ตรงหน้าทางเข้าบ้านแล้ว...

...แต่มาอยู่ด้านหลังฉันแทน

“แล้วผู้หญิงคนนั้นละคะ” ฉันถามคิริน

“เขากลับไปแล้วละ” คิรินตอบ “นี่เจ้าหิวอีกแล้วหรอ กินของที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ก่อนไหม”

“หิวจริงๆนี่คะ” ฉันตอบ

“งั้น พวกเรากลับละกัน ข้าเองอาจจะขอคุยกับเจ้าหน่อย” คิรินพูดขึ้น

“ขอบคุณนะคะคุณลูกค้า โอกาสหน้ามาใหม่นะคะ” พนักงานโบกมือลาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ส่วนฉันก็ยืนหาวสักครั้งก่อนที่ฉันจะเดินออกจากร้าน

...ไม่สะทกสะท้านเรื่องต่อสู้เมื่อกี๊จริงๆหรอ

 

เมื่อถึงบ้าน ฉันกับคิรินก็ผลัดกันเก็บของ อาบน้ำ และแปรงฟัน แล้วกลับมาคุยกันที่โซฟา ฉันเองก็รู้สึกง่วงแล้ว

“นอนตักข้าสิ เจ้าง่วงไม่ใช่หรอ หืม?” คิรินพูดถึงในขณะที่ฉันเพิ่งอาบน้ำและแปรงฟันเสร็จ

“เอ่อ ตรงนั้นมีหมอนอยู่ไม่ใช่หรอคะ” ฉันตอบแล้วเดินเข้าไปนั่งบนโซฟา จนสุดท้ายฉันไปอยู่บนตักของคิรินตอนไหนก็ไม่รู้ “เดี๋ยวก่อน! ให้มานอนบนตักได้ยังไงคะเนี่ย”

“เร็วๆนี้ข้าจะกลับไปที่ดินแดนของข้า และจะพาเจ้าไปด้วย ช่วงนี้เจ้าปิดเทอมใช่ไหมละ เผื่อเจ้าอยากไปเปิดหูเปิดตาข้างนอกหน่อยดีกว่า จะได้มีอะไรน่าทำหน่อย” คิรินพูด “เจ้าไม่ต้องห่วงนะ ข้าจะดูแลเจ้าต่อจากนี้เอง”

...อยากให้เราไปโลกโน้นหรอ จะว่าไป โลกโน้นจะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้เลย

“ทำไมถึงอยากให้ไปนอกจากจะให้ไวท์มีอะไรทำและเปิดโลกบ้างละคะ” ฉันถามขึ้น

“ไม่รู้สิ ข้าอยากให้เจ้าไปด้วย แม้เราจะรู้จักกันแค่ 2 – 3 วันเท่านั้นเอง” คิรินตอบ “เจ้าเชื่อใจข้าไหมละ ถ้าเชื่อใจก็ไปกับข้า ถ้าเจ้าไม่เชื่อใจข้าก็จะกลับไปที่ดินแดนและสัญญาว่า ข้าจะไม่กลับมาหาเจ้าอีก”

ฉันคิดอยู่นะ ว่าจะไปด้วยทั้งๆที่รู้จักกันแค่ไม่กี่วัน เขาจะทำไม่ดีไม่ร้ายฉันรึเปล่าไม่รู้

“งั้น ข้าให้เวลาคิดอีก 2 คืน คืนนี้และคืนพรุ่งนี้ ถ้าเจ้าไม่ตอบอะไร ถือว่าเจ้าจะต้องไปกับข้าอย่างไม่มีข้อแม้นะ”

คิรินพูดขึ้น

เอ่อ... เอางั้นเลยหรอ

“งั้น เจ้าลุกขึ้นได้แล้ว เดี๋ยวข้าเอาหมอนมาให้”

“ค่ะ” ฉันขานรับ ประเด็น หมอนอยู่ปลายเท้า

หลังจากนั้นฉันก็ลุกไปเอาหมอนแล้วมาหนุนศีรษะ

“เอ่อ มีเรื่องจะถามอีกหนึ่งค่ะ”

“ว่าไง?”

“จะโดนกัดคอเหมือนคราวนั้นไหมคะ”

“มีโอกาสนะ แต่ข้าคงไม่ทำบ่อยหรอก ข้าไม่ใช่คนกระหายเลือดขนาดนั้น แล้วไม่อยากทำให้เจ้าต้องตายเพราะแค่ดูดเลือดของข้า”

นั่น ‘แค่’ หรอน่ะ

“ถ้างั้นก็ ราตรีสวัสดิ์นะ ข้าจะไปนอนที่เตียงเจ้า”

“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

 

ฉันยังอดคิดไม่ได้เลยว่า จะไปกับเขาดีไหม ปกติฉันก็ดูแล้วตัวเองได้ แต่ถ้าไปโลกโน้น ฉันกลัวคนอื่นจะมองว่าเป็นอาหารจัง ฉันเองก็ไม่อยากเสี่ยง แต่ฉันกลับมีเจ้าชายอย่างคิรินอยู่ทั้งคนนี่นะ เอายังไงดีละ

ฉันหลับตาลงแต่ยังหลับไม่สนิท ยังได้ยินเสียงคนเดิมมากัดคอฉัน

ฉันรู้แล้วละว่าใคร... พรุ่งนี้จะตื่นสายอีกไหมนะ

  • Like 3
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 10 วันที่ต้องตัดสินใจ

 

ตอนนี้ห้าโมงเย็นกับอีกยี่สิบนาที ที่จริงฉันตื่นตั้งแต่บ่ายโมงแล้ว ยังอดคิดไม่ได้เลยว่า จะไปกับเขาดีไหม ซึ่งคนที่พูดถึงนี้ก็กำลังหลับสนิท ทีนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับโลกใหม่แทบจะไม่มีเลย ต้องถามคิรินคนเดียว ถ้าถามว่าเขาเป็นคนดีไหม เอ้อ เขาก็เป็นดีนะ แต่นับวันก็ยิ่งทำตัวแปลกขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าตอนนี้คิดอะไรของเขากันนะ...

หลังจากที่ปิดโน้ตบุ๊คแล้ว ฉันเดินไปที่ตู้เย็นเพื่อเอาไข่กับหมูสับ (เอามาแค่ครึ่งเดียว) เอามาทำไข่เจียวหมูสับสำหรับ 2 คน พอฉันทำเสร็จ ก็เอาฝาชีครอบไว้ทั้งจานข้าวและไข่เจียว แล้วเปิดเมือถือเพื่อเล่น Cookie Run ต่อ

คิดไปคิดมา ไปดีกว่าแฮะ ดีกว่าไม่มีอะไรทำอยู่ที่นี่ ฉันเองก็ไม่ได้สมัครพาร์ทไทม์ไว้ซะด้วยสิ

ในระหว่างนั้น คิรินได้ตื่นขึ้นเขาเดินไปอาบน้ำแต่ฉันไม่สนใจอะไร เล่นเกมต่อเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง คิรินมานั่งที่โต๊ะจนฉันต้องหยุดเล่นเกมไป

หลังจากที่ฉันเปิดฝาชี บทสนทนาจึงได้เริ่มต้นขึ้น

“เมื่อคืนเจ้าหลับสบายดีไหม” คิรินถามขึ้น

“เอ่อ... สบายดีค่ะ สบายจนนึกว่าสลบไปเลย”

“เอ่อจริงด้วย เมื่อวานข้าขอโทษนะ”

“ขอโทษเรื่องอะไรคะ”

ฉันสังเกตว่าคิรินหูแดง (อีกแล้ว)

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร”

“ค่ะ” ฉันขานรับแล้วถอนหายใจไปพักหนึ่ง

 

“เรื่องเมื่อคืน เจ้าตัดสินใจได้รึยังละ” คิรินถามขึ้น จนตอนนี้ต่างคนต่างเหลือข้าวแค่ครึ่งจานเท่านั้น

“คงไปแหละค่ะ เพราะอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว”

“ได้ๆ พอดีพรุ่งนี้มิติระหว่างที่นี่กับดินแดนของข้ารอยต่อเลื่อนเฉพาะพรุ่งนี้น่ะ”

“มิติรอยเลื่อน?”

“ใช่ เจ้าคงไม่รู้จักสินะ”

“ไม่เคยได้ยินมากกว่าค่ะ” คิรินเงียบไปพักหนึ่งจนฉันถามต่อ “คืนนี้ต้องเตรียมของเลยไหมคะ”

“เตรียมเลยสิ ตอนนี้ก็ยังได้” คิรินพูดขึ้น “พรุ่งนี้มิติรอยเลื่อนจะอยู่แถวๆร้านหมูกระทะที่พวกเจ้าไปกันเมื่อวันก่อนนั่นแหละ ตรงนั้นน่าจะมีถังขยะไม่ก็ท่อน้ำอยู่”

“ตรงนั้น เท่าที่สังเกตจะมีฝาท่อน้ำที่ยังปิดไม่สนิทนะคะ”

“ตรงนั้นแหละ พวกเราจะไปกันตอนช่วงเย็นๆ”

“ค่ะ” ฉันขานรับแล้วกินข้าวต่อ

 

หลังจากกินข้าวหมดแล้ว ฉันเป็นล้างจานเหมือนเดิม คิรินจึงพูดต่อ

“ที่ดินแดนของข้า ในตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว บางครั้งฝนก็ตก ยังไงเจ้าก็อย่าลืมเอาเสื้อกันหนาวไปด้วยละกัน”

“ค่ะ” ฉันขานรับแล้วถามต่อ “แล้วกลางวันกับกลางคืนยาวนานเท่าไหร่คะ”

“มีแค่ช่วงเย็นกับกลางคืน รวมๆกัน 20 ชั่วโมง ละก็ เวลาจะเดินเร็วกว่าที่นี่ คือ ทุกๆ 3 วัน คือ 1 วันของที่นี่ ดังนั้น ถ้าเป็นที่นั่น จะไม่เห็นดวงอาทิตย์เลย แต่จะเห็นพระจันทร์ 2 ดวงในท้องฟ้าเดียวกัน”

“เอ๋? พระจันทร์สองดวง แล้วจะไม่ชนกันหรอคะ”

“ไม่ชนกันหรอก แล้วพระจันทร์มีตำนานด้วยนะ ไว้ข้าจะเล่าให้ฟัง”

“ค่ะ” หลังจากนั้นฉันเดินไปเตรียมของทันที

“เอ้อ กระเป๋าข้ามีอีกใบนะ ไว้ใส่กับของข้าก็ได้”

“อ่อ ขอบคุณค่ะ”

คิรินใช้เวทมนต์บางอย่างแล้วกระเป๋าสีฟ้าใบใหญ่ไปหนึ่งตกลงมาใส่ศีรษะของฉัน

“โอ๊ย! เจ็บๆๆ ทำไมต้องมาลงเอาตรงนี้ด้วย”

“อ้าว ข้าขอโทษ เจ็บตรงไหนรึเปล่า”

“ไม่เป็นไรค่ะ สบายมาก”

และแน่นอนว่า ฉันเตรียมของจนเสร็จภายในชั่วโมงครึ่ง แล้วไปนอนที่โซฟา ส่วนคิรินก็ไปนอนที่เตียงเหมือนเดิม

 

เช้าวันรุ่งขึ้น กระเป๋ายังคงอยู่ที่เดิม ส่วนคิริน แน่นอนว่าตราบใดยังคงเห็นแสงอาทิตย์ ยังไม่ตื่นง่ายๆหรอก ฉันเตรียมพวกของกินไปด้วยเพราะกลัวว่าจะกินอาหารที่นั่นไม่ได้ อาหารสดยังเอาใส่ตู้เย็น ส่วนอาหารสำเร็จรูปก็ใส่ในกระเป๋า แถมยังเอาน้ำขวดเล็กๆไปด้วยเพราะฉันไม่รู้ว่าน้ำที่นั่นจะดื่มได้ไหม สะอาดพอที่จะดื่มไหม

 

พอถึงตอนบ่ายสามโมง ฉันสำรวจของจนเสร็จ แล้วคิรินก็ตื่นขึ้น

“หาว เท่าไหร่แล้วเนี่ย” คิรินถามขึ้น

“บ่ายสามค่ะ ตื่นไวเหมือนกันนะคะนี่”

“ไปช่วง 5 – 6 โมง ข้าว่าคงทัน” คิรินพูดถึงแล้วหันไปที่นาฬิกาปลุกลายมินเนียน

“โอเคเลยค่ะ ต้องทำอะไรก่อนรึเปล่าคะ”

ตอนนี้ฉันอยู่ในชุดเอี๊ยมยีนส์กางเกงขาสั้น เสื้อยืดแขนสั้น

“ข้าว่าเจ้าอาจจะต้องเปลี่ยนชุดซะหน่อย อย่างที่ข้าบอกว่าอากาศหนาว”

นี่เขาคงไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ใช่ไหม

 

ฉันกลับไปเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขายาว ใส่เสื้อแขนยาวฮู้ดกระต่ายสีชมพู ทองเท้าผ้าใบสีชมพูลาย Marie เป็นชุดที่ไม่ได้รู้สึกว่าร้อนจนเกินไป แต่อาจจะหนาวบ้างเพราะไม่ได้อุ่นพอที่จะกันหนาวได้มาก

“แบบนั้นแหละ จะได้เหมาะกับสภาพอากาศหน่อย”

“ค่ะ” ฉันขานรับ

หลังจากที่คิรินเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เขาก็ใช้เวทมนต์ย่อกระเป๋าลงให้เหลือไว้พอดีมือ และฉันก็เอาเป้าเพื่อใส่มือถือและของอื่นๆที่จำเป็นใช้ เช่น ผ้าปิดตา เครื่องสำอาง ไว้ด้วย

 

เมื่อฉันขึ้นรถมาที่ร้านหมูกระทะที่เคยมาตอนนั้น คิรินก็พยายามเปิดฝาท่อออก ภายในแทนที่จะเป็นท่อน้ำกลับเป็นห้วงมิติสีม่วง-ดำอยู่ข้างใน

“ที่นี่แหละ ข้าและเจ้าจะต้องเข้าไป” คิรินเงียบแล้วจึงลงไปก่อน “งั้น เจ้าตามมานะ แล้วก็ปิดฝาท่อด้วย”

“ค่ะ” ฉันขานรับแล้วหลังจากนั้นก็กระโดดลงไปโดยที่ไม่มีใครเห็น

 

ท่ามกลางความมืดสนิท ไม่มีแสงไฟ ฉันจึงเปิดไฟฉายพบว่าไม่ช่วยอะไร ตัวยังรู้สึกลอยๆด้วย

“อีกกี่นาทีถึงคะ” ฉันถาม

“อีกสักพักแหละ เจ้าหลับตาแล้วจับมือข้าไว้นะ”

“ค่ะ” ฉันขานรับแล้วทำตามที่คิรินบอก

 

ฉันสัมผัสได้ถึงอากาศเย็นทีละน้อยๆ แล้วหนาวจนแทบจะเป็นขั้วโลกอยู่แล้ว จนในที่สุด ทองเท้าของฉันก็แตะลงไปในบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายจะเป็นทราย แต่ก็ไม่ใช่

“เอาละ เจ้าลืมตาได้แล้ว จะปล่อยมือข้าก็ได้นะ”

ฉันลืมตา ก็พบว่าเป็นทางหิมะสุดลูกหูลูกตา ท้องฟ้าสีม่วงลายตารางสลับกับสีดำ มีดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว 2 ดวงลอยอยู่บนท้องฟ้า

ที่นี่คือที่ไหนกัน...

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 11 สำรวจเส้นทาง

ที่นี่ที่ไหนไม่รู้ รู้แค่ว่า ที่นี่มีแต่หิมะและท้องฟ้าสีม่วงสลับดำลายตาราง ไม่มีต้นไม้เลยสักต้น ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ และฉันก็รู้สึกหนาวสั่นแทบบ้า อุณหภูมิที่วัดในมือถือ ตอนนี้อยู่ที่ -10 องศาเซลเซียส ไม่ระบุพิกัด แสดงว่าอินเทอร์เน็ตที่นี่ใช้ได้แฮะ แปลกดีเหมือนกัน

“นี่ถุงมือ เหมือนเจ้าจะไม่ได้พกในกระเป๋านะ” คิรินพูดขึ้นแล้วยื่นถุงมือให้

“ขอบคุณค่ะ” ฉันรับถุงมือแล้วถามคิริน “แล้วที่นี่ที่ไหนคะ”

“สโนว์กราวนด์น่ะ ที่นี่มีแต่หิมะ แถวนี้ไม่ได้มีอะไรใกล้ๆด้วย”

บรื๋อ หนาว หนาวมาก ฉันกระโดดย่ำอยู่กับที่เพื่อที่จะให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมาบ้าง

“เจ้าหนาวหรอ อ่ะ” พอคิรินพูดจบเขาใช้เวทมนต์เพื่อเปิดกระเป๋าของฉัน

“กระเป๋าของไวท์ใช่ไหมคะ ขอบคุณค่ะ” ฉันรีบถอดกระเป๋าเป้แล้วหยิบเสื้อแขนยาวของตัวเองเข้ามาใส่

“ดีขึ้นไหม” คิรินถามในขณะที่ฉันกลับมาแบกกระเป๋าเป้และคิรินใช้เวทมนต์อีกครั้งเพื่อเก็บกระเป๋า

“ดีขึ้นบ้างค่ะ” ฉันตอบ “แล้วต้องเดินอีกไกลไหมคะ”

“ไกลนะ เผลอๆพวกเราเจอพายุหิมะอีก” คิรินพูดขึ้น “อย่างที่ข้าบอกว่าตอนนี้เป็นฤดูหนาว ฤดูหนึ่งใช้เวลา 50 ปี และตอนนี้เข้าปีที่ 22 แล้ว”

“หา?? นานขนาดนั้นเลยหรอคะ”

“ปกติของที่โลกใบนี้เลยแหละ”

 

ฉันกับคิรินเดินมาเรื่อยๆอย่างไร้ทิศทาง ถึงแม้ว่าจะอีกไกลแค่ไหนก็ตาม ในขณะที่เดินฉันได้เปิด Google Map แล้วพบว่า... ไม่มีข้อมูลของโลกใบนี้เลย

“เฮ้อ ใช้เน็ตได้แต่เปิด Google Map ไม่ได้นี่แย่ชะมัด” นั่นแหละ เสียงฉันเอง

“เดี๋ยวข้าขอดูแผนที่ในกระเป๋าก่อนนะว่ามีของที่นี่ไหม” คิรินพูดขึ้น “ถ้าให้เปรียบเทียบกับโลกของเจ้า ที่นี่ ถ้าไม่ใช่ขั้วโลกเหนือ ก็ขั้วโลกใต้สินะ”

“เอ่อ... อันนั้นเป็นกลุ่มน้ำแข็งค่ะ หิมะตกลงมาก็มีเหมือนกัน”

ฉันกับคิรินหยุดเดินแล้วให้เขาลองเปิดแผนที่ “เจ้ามีเข็มทิศไหม”

“สักครู่นะคะ” ที่จริงฉันไม่มีเข็มทิศหรอก มีแต่ในมือถือ เปิดขึ้นมาก็ใช้ได้เลยแฮะ

“ขอบใจเจ้ามาก” ฉันยื่นมือถือให้คิรินแล้วต่างคนต่างนั่งลงบนหิมะ

 

“ตอนนี้พวกเราหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ถ้าเดินทางมาทางทิศใต้จะเป็นสโนวฟอเรสต์”

“ป่าหิมะสินะคะ ถ้าตัวไวท์เองจะเรียกว่าป่าทุนดราค่ะ” ฉันพูดขึ้น

“นี่มือถือเจ้า พวกเราต้องเดินกลับมา”

“ค่ะ” ฉันขานรับแล้วเก็บมือถือไป

 

ป่าหิมะเนี่ย เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที หนาวก็หนาว

“เอ่อ วิ่งได้ไหมคะ” ฉันถามคิริน

“แล้วแต่เจ้า” คิรินตอบ พูดเสร็จันก็รีบวิ่งเลย “รอข้าด้วย”

ที่ฉันต้องการวิ่ง เพื่อร่างกายอบอุ่นนะ ฉันไม่เคยเจออากาศหนาวขนาดนี้ในชีวิตเลยสักครั้ง

 

หลังจากที่ฉันกับคิรินวิ่งมาเรื่อยๆจนถึงป่าหิมะ ฉันก็นั่งพักอยู่ใต้ต้นสนที่มีหิมะเกาะอยู่

“เหนื่อยเลย แค่ร่างกายอบอุ่นก็ดีใจแล้วเนี่ย แฮ่ก ๆๆ”

หลังจากนั้น ก้อนหิมะก็ตกลงมา

“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ฉันพูดขึ้นท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมเต็มตัว

“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่ควรไปนั่งตรงนั้นด้วยซ้ำ เดี๋ยวข้าช่วยเอาออกให้” หลังจากนั้นคิรินก็เอาหิมะออกให้จนหมด

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ฉันขอบคุณแล้วพูดขึ้นต่อ “พักตรงนี้หน่อยไหมคะ วิ่งจนเหนื่อยเลย โชคดีที่ตอนนี้พอมีแสงสว่างบ้าง”

“ได้ๆ ตามสบายเจ้าเลย” คิรินตอบ “ว่าแต่ ถ้าพูดถึงหิมะเจ้านึกถึงอะไร”

“ความหนาวเย็นค่ะ ที่ๆไวท์อยู่ ฤดูหนาวไม่มีหิมะหรอกค่ะ” ฉันพูดขึ้น “แต่แปลกนะคะ ที่นี่ไม่มีตัวอะไรอาศัยอยู่เลย”

“ดีแล้ว ถ้ามีคงลำบากเจ้าแล้วละ” คิรินพูดขึ้น “ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตตัวไหนอาศัยอยู่ได้เลย แม้แต่พวกข้าก็เถอะ”

หลังจากนั้น ฉันลูกขึ้นเพื่อวอร์มอัพร่างกาย เพราะสภาพอากาศที่นี่ฉันเองก็ไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่

“ไปต่อไหมคะ เกรงว่าจะมืดลง ที่นี่ก็ไม่มีบ้านพักเลยด้วย” ฉันถามคิริน

“เจ้าดูคึกดีนะ ไปต่อก็ได้ ถ้าหาที่พักแถวนี้ได้ก็จะพัก” คิรินตอบ

ฉันเดินไปเรื่อยๆ จนพ้นป่าหิมะ ตอนนี้เห็นบ้านอยู่หลังหนึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวท่ามกลางป่าสน ซึ่งตอนนี้หิมะเริ่มน้อยลงจากที่เดินผ่านเมื่อครู่นี้

ฉันนั่งลงที่ท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ขอพักหายใจก่อน

“เหนื่อยแล้วหรอ” คิรินถาม

“ค่ะ ขอนั่งพักสักครู่นะคะ” ฉันตอบ “ตอนนี้เราจะไปที่ไหนกันคะ”

“ถ้าเอาที่ใกล้ที่สุด ข้าจะพาไปพักที่บ้านตากอากาศของข้าก่อน ใช้เวลา 2 วัน กว่าจะเดินถึง” คิรินตอบ

“2 วัน!!!” อะไรเนี่ย ยิ่งกว่าค่ายเนตรนารีที่ฉันเดินอีก

“เอาน่า เจ้าเพิ่งเคยเดินทางใกล้ครั้งแรก ใช่ไหม?” คิรินพูดขึ้น “เหมือนหลายปีก่อนในโลกของเจ้านั่นแหละ”

“ค่ะ” ฉันขานรับ ว่าแต่อยากหาอะไรอุ่นๆมาดื่มบ้างจัง

“ข้าว่า หาอะไรมาผิงไฟแถวนี้ไหม เผื่อเจ้าจะอุ่นขึ้น” คิรินถามแล้วมองหาไม้ใกล้ๆ

“ก็ดีนะคะ” ฉันตอบ ตอนนี้ถึงแม้จะเห็นหิมะบ้าง จากที่เปิดในมือถือ อุณหภูมิยังติดลบอยู่เลย

“เดี๋ยวข้าไปหาไม้สักครู่นะ เดี๋ยวจะรีบกลับมา”

หลังจากนั้น คิรินก็เดินไปเก็บไม้ตามทาง

ตอนนี้ก็มืดแล้ว คืนนี้ขอพักตรงนี้ละกันเนอะ

  • Like 2
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 12 ลมหนาวที่ปรับแทบตัวไม่ทัน

 

หลังจากนั้น คิรินก็เดินกลับมาพร้อมกับเศษไม้ แล้ววางลงบนพื้น

“เจ้าช่วยเรียงไม้พวกนี้ให้หน่อย เดี๋ยวไฟจะติดนิดเดียว แล้วก็แบ่งไว้พรุ่งนี้ด้วย” คิรินพูดขึ้น

“ค่ะ” แล้วฉันก็เป็นคนเรียงไม้แล้วคิรินใช้เวทมนต์ในการจุดไฟ

“ไฟติดแล้ว เราจะพักกันที่นี่สักคืน หวังว่าคืนนี้คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ” คิรินพูดขึ้น “ในกระเป๋าของเจ้ามีอะไรให้กินไหม”

“ไม่ได้เอาเนื้อสัตว์มานะคะ อาหารสำเร็จรูปมีแต่ทำมาจากพืช” ฉันพูดขึ้น

“ไม่เป็นไร ข้ากินได้” คิรินพูดขึ้น แล้วฉันยื่นธัญพืชแท่งให้ 2 ชิ้น “ขอบใจเจ้ามาก”

 

กาลเวลาผ่านผ่านไป ฉันกับคิรินกินธัญพืชแท่งจนอิ่มแล้ว ฉันก็นอนลงทันทีแล้วถอดแว่นออก

“ท้องฟ้าที่นี่สวยเหมือนกันนะ” ฉันพูดขึ้น “เป็นอะไรที่แปลกตาดี”

ท้องฟ้าตอนนี้เป็นสีม่วงเข้มสลับดำแบบตาราง ตรงสีดำนั้นยังมีดวงดาวส่องสว่างอยู่ แต่ไม่เห็นดวงจันทร์เลย

“ตรงม่วงๆนั่นคืออะไรคะ” ฉันถามคิริน

“นั่นคือชั้นบรรยากาศ ถูกสร้างขึ้นโดยไม่สมบูรณ์แบบ”

“ไม่สมบูรณ์แบบ?”

“ข้าอธิบายไป เจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก” คิรินพูดขึ้น “ไม่มีใครรู้ด้วยว่าชั้นบรรยากาศตรงนั้นเป็นยังไง คนบนโลกนี้ยังไม่เคยไปสำรวจเลยถึง ถึงข้าบินไป ไม่ถึงหรอก มันสูงมาก สูงกว่าที่เจ้าคิดอีก”

หลังจากนั้น จากที่คิรินนั่งอยู่ตรงข้ามฉัน ตอนนี้ย้ายมานอนหัวชนหัวกับฉันเลย

“ถ้าเจ้าหนาว ข้ายินดีให้นอนกอดนะ” แล้วคิรินก็หัวเราะคิกคัก

ฮัลโหล! ไม่เอาแบบนี้ได้ไหม

 

“งั้นคืนนี้ก็นอนหลับละกันนะ ราตรีสวัสดิ์” คิรินพูดขึ้นแล้วก็หลับตาลง

“ค่ะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” ฉันพูดขึ้น ตอนนี้คงหลับไปแล้วแหละ

 

เช้าวันรุ่งขึ้น (ไม่น่าเรียกว่าเช้า ยังมืดอยู่เลย) ฉันก็พบว่า กองไฟที่คิรินทำไว้ ก็ดับไปแล้ว ฉันลุกขึ้นแล้วดื่มน้ำ ระหว่างนั้นคิรินก็ลุกขึ้นบ้าง

“ตื่นแล้วหรอ” คิรินถามฉัน

“ค่ะ ตื่นแล้วค่ะ”

“หลับสบายดีไหม”

“สบายดีค่ะ แต่รู้สึกว่าอากาศเย็นอยู่ค่ะ”

ตอนนี้ก็พบว่า -3 องศาเซลเซียส จะเดินทางต่อดีไหมนะ

 

“เจ้าหาอะไรส่องไฟก็ได้นะ เจ้าจะได้มองเห็นด้วย” คิรินพูดขึ้น แล้วฉันก็หยิบกระบอกไฟฉายขึ้นมา

“ผ่านป่าต้นสนนี้แล้วจะไปที่ไหนต่อคะ”

“ก็จะเป็นป่าดงดิบ ตรงนั้นก็จะมีบ้านของข้าอยู่” คิรินพูดขึ้น “แต่อีกพักใหญ่ๆน่าจะถึง ถ้าเทียบกับโลกของเจ้าก็คือเย็นนี้”

ถึงเย็นนี้เลยหรอ

 

ในที่สุดก็มาถึงทางเข้าป่าดงดิบ ตรงใกล้ๆทางเข้านั้นยังมีถ้ำหิมะอยู่

“ข้างในนั้นมีคืออะไรคะ” ฉันถามด้วยความสงสัย

“ตรงนั้นค่อนข้าอันตราย มีค้างคาวที่ชอบปล่อยพิษอยู่ และตรงนั้นยังเป็นรอยเลื่อนระหว่างมิติไปอีกโลกหนึ่ง ซึ่งตอนนี้น่าจะยังไม่เปิด” คิรินพูดขึ้น

“เอ๋? ที่นี่เชื่อมหลายโลกเข้าด้วยกันหรอคะ”

“ใช้ แต่เรื่องพวกนี้ยังไม่เข้าถึงเจ้าเท่าไหร่”

“ยังไม่เข้าถึง?”

“ถ้าให้ข้าอธิบาย คงเรื่องเยอะแหละ แต่ไม่ได้หมายความว่า โลกใบนี้เป็นศูนย์กลางของรอยเลื่อนมิตินะ”

ฉันกับคิรินเดินเข้ามาในป่าดงดิบ แล้วก็เห็นผลไม้นานาชนิดอยู่เต็มไปหมด

“พวกนี้กินได้ไหมคะ” ฉันถาม

“ได้ๆ อยากกินก็กินสิ แถมที่นี่มาของแปลกๆที่เจ้าไม่เคยกินมาก่อนด้วยนะ บางชนิดไม่ต้องแกะเปลือกด้วย” คิรินพูดขึ้น “เดี๋ยวข้ากินด้วย”

 

หลังจากที่เก็บมาได้จำนวนหนึ่ง (เทียบได้ประมาณกล่องไปรษณีย์ขนาด ค) พวกเราก็ช่วยกันกินจนอิ่ม

“ข้าจะบอกว่า ผลไม้บางชนิด เพิ่มพลังงานได้เหมือนข้าวที่เจ้ากิน เช่น ผลม่วงๆที่เป็นฟักข้าวโพดนี่” คิรินพูดขึ้น

“อิ่มจังเลย” หลังจากนั้นฉันก็นอนหงายไปกับพื้นพร้อมกับลูกท้องตัวเอง “อิ่มกว่าอาหารสำเร็จรูปที่ไวท์ซื้อมาอีก”

“เอ้อ ข้ามีบางอย่างที่จะให้เจ้าชิม” คิรินเดินออกไปตรงต้นไม้ที่มียางใกล้ๆ

เดี๋ยวๆๆ นี่จะให้กินยางไม้รึไง

 

ฉันลุกขึ้นแล้วสังเกตว่าคิรินตัดเปลือกไม้ของต้นไม่ชนิดหนึ่งเพื่อเอายางไม้ แล้วใช้แก้วของตัวเองขนาดใหญ่มาเติมยางไม้นั้น เวลาผ่านไปไม่นาน คิรินก็เดินกลับมา

“ว่าจะลองให้เจ้าชิมดู ปกติที่โลกของเจ้าไม่ดื่มยางไม้ใช่ไหม” คิรินถาม

“ใช่ค่ะ” แล้วฉันก็ลองชิมดู

 

ยางไม้เป็นสีเขียวใสๆ ทำไมกลิ่นเหมือนกับมัทฉะลาเต้ที่ฉันเคยดื่มตามร้านคาเฟ่กันนะ...

“อร่อยไหม” คิรินถาม

“อร่อยมากค่ะ กลิ่นคล้ายๆชาเขียวเลย” พอฉันพูดจบ ลมหนาวก็เริ่มพัดมาในป่าดงดิบอีกครั้ง

“วันนี้พักที่นี่ละกัน กว่าจะไปถึงบ้านพักตากอากาศของข้าน่าจะเป็นวันพรุ่งนี้” คิรินพูดขึ้น “นอนบนหญ้าเหมือนเมื่อคืนแหละ”

ต้นไม้ต่างๆ ใบสีเขียว กำลังพัดแกว่งเบาๆไปมา คล้ายกับว่าเต้นรำกลางป่า

“หวังว่าไม่มีอะไรตกลงมานะ” ฉันพูดขึ้น แถวนี้ร่มดีจัง ใกล้ต้นไม้ใหญ่ด้วย

 

ตกค่ำฉันเห็นสิ่งมีชีวิตที่มีหิ่งห้อยแต่มีหลากหลายสีบินกันว่อนอย่างสวยงาม ฉันเลยหยิบกล้องโพลาลอยด์ของตัวเองมาถ่ายรูปแล้วถ่ายออกมา คิรินที่นอนอยู่ข้างๆก็เกิดความสงสัย

“เจ้าทำอะไรน่ะ” คิรินถาม

“ถ่ายรูปค่ะ เห็นธรรมชาติที่นี่สวยดี แล้วเกิดอยากถ่ายขึ้นมาค่ะ”

“ดูเหมือนเจ้าจะตื่นเต้นกับที่นี่มากเลย ตามสบายเจ้านะ”

“ค่ะ” ฉันขานรับ

 

ฉันถ่ายเรื่อยๆจนหยุดไป ก็พบว่า คิรินหลับไปแล้ว จะละเมอีกไหมนั่น ฉันเองก็นอนบ้างละ เริ่มง่วงแล้ว ในระหว่างที่ฉันนอนอยู่นั้น จู่ๆคิรินเอาแขนมาทับตัวฉัน แล้วขยับเข้ามาใกล้ๆ

รู้สึกอุ่นดีแฮะ ขอหลับก่อนละกัน คืนนี้เป็นอีกคืนที่หลับสบายไม่แพ้คืนก่อนหน้า

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 13 บันเทิงเริงใจ (ซะเมื่อไหร่)

 

ฉันตื่นขึ้นมาท่ามกลางป่าสีเขียว ถึงแม่ตอนนี้จะยังมืดอยู่ แต่ก็สังเกตได้ว่า เหล่าหิ่งห้อยได้หายไปหมดแล้ว ฉันหันไปด้านข้างก็พบว่า..

คิรินยังไม่ตื่น แถมยังกอดฉันแน่นอย่างกับหมอนข้างแนะ พอพูดถึงแล้วก็ลืมตาขึ้น

“เมื่อคืนหลับสบายดีไหม” คิรินถามขึ้น

สบายไหม... ก็ไม่เชิงนะ โดนกอดตลอดคืนนี่มันอะไรกัน!!!

 

ฉันลุกขึ้นนั่งด้วยความมึนงง แล้วกินผลไม่ที่เก็บมาเมื่อวานต่อ รู้สึกว่าของพวกนี้อยู่ท้องกว่าที่ฉันเอามาเสียอีก

“เมื่อคืนละเมอหรอคะ” ฉันถามคิริน

เขาก็ไม่ตอบอะไร ได้แต่หูแดง (อีกแล้ว)

“เจ้ารู้ได้ยังไง” คิรินถาม

“เมื่อกอดไวท์ซะแน่นมากจนเกือบหายใจไม่ออกแล้วค่ะ”

“อ่อ ข้าขอโทษ” คิรินพูดขึ้น “แล้วที่ข้ากอดเมื่อคืน อุ่นขึ้นไหมละ”

เดี๋ยวนะ จะให้ฉันตอบยังไงดีเล่า!!!

 

ผลไม้หมดแล้ว ส่วนคิรินก็ไปเก็บมาใหม่อีกเป็นจำนวนมาก มากจนที่ว่า กินได้สัก 3 วัน

“เอามาขนาดนี้จะกินหมดไหมคะ” ฉันถาม

“หมดนะ แต่คงไม่ใช่วันนี้แน่ๆ” พอคิรินพูดจบคิรินก็เอาผลไม้ต่างๆใส่ในถุงไว้แล้วย่อส่วนเหมือนกระเป๋า “ถ้าอยากกินอีกค่อยขยายเอา”

“ค่ะ ถ้าเอาไปที่บ้านตากอากาศละคะ” ฉันถามขึ้น

“พื้นที่เยอะแยะน่า” คิรินพูดขึ้น “เดินทางต่อละกัน”

แล้วเราทั้งคู่ก็เดินทางต่อไป

 

“ป่าที่นี่เงียบดีแฮะ เงียบซะจนไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไรอาศัยอยู่เลยนอกจากหิ่งห้อยเนี่ย” ฉันพูดจบแล้วเอากล้องโพลาลอยด์ถ่ายรูปอีกครั้ง

“เหมือนเจ้าจะชอบทำอะไรแบบนี้นะ” คิรินทักขึ้น

“ความชอบส่วนตัวค่ะ ไปต่างถิ่นที่ไหน ไวท์ชอบถ่ายรูปแล้วเอารูปออกมาค่ะ แบบนี้” ฉันอธิบายแล้วส่งรูปที่ปริ้นออกมาให้คิรินให้ดู

“สวยดีแฮะ” คิรินพูดขึ้น “แล้วถ่ายเจ้าได้บ้างไหมเนี่ย”

“อยากถ่ายหรอคะ” ฉันถาม “กดตรงนี้ถ่ายค่ะ แล้วกดตรงนี้เพื่อเอารูปออกมาจากกล้อง ก่อนถ่ายก็นับด้วย”

แล้วหลังจากนั้น ฉันก็วิ่งออกมาเพื่อโพสต์ท่า

“เอาละนะ หนึ่ง สอง สาม” แล้วคิรินก็ถ่ายฉันไป ได้ราวๆ 5 รูป ท่าไม่ซ้ำกัน “ข้าขอเก็บรูปเจ้าได้ไหม”

“ได้ค่ะ” ฉันตอบ “ถ่ายได้ดีเหมือนกันแฮะ”

“ข้าเก่งใช่ไหมละ” คิรินพูดขึ้นด้วยความดีใจ

นั่นใช่อยากที่ควรจะเป็นรึไงกัน

 

“ถึงบ้านตากอากาศของข้าแล้วละ” คิรินพูดขึ้น ภาพที่เห็นตอนนี้คือบ้านไม้หลังหนึ่งที่ติดกับต้นไม้ เป็นบ้านสองชั้น มีแสงจากต้นไม้ส่องเข้ามาในบ้าน

“นี่แหละ บ้านตากอากาศของข้า ปกติแล้ว ข้าอยู่ราชวังนะ เดินทางจากที่นี่อีก 4 วัน ”

“4 วัน!!” แน่นอนว่าฉันตกใจมาก “แล้วเดินทางไปยังไงคะเนี่ย”

“ถ้าข้าขี้เกียจบิน ข้าก็จะเรียกมังกรออกมา” คิรินตอบ “เดี๋ยวก็รู้เองแหละ”

หลังจากนั้น คิรินพาฉันเดินเข้าไปในบ้าน

 

ภายในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้แทบจะทั้งหมด ทั้งโต๊ะและเก้าอี้ยาว รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ต่างๆก็เป็นธรรมชาติทั้งสิ้น นี่ยังไม่ได้ขึ้นชั้นเลยนะ

“ไวท์ เจ้าไปเก็บของก่อนที่ชั้นบนก่อนนะ เดี๋ยวข้าขึ้นไปด้วย” ว่าแล้วคิรินก็เอากระเป๋าทั้งหมดไว้ที่ชั้นบน ซึ่งมีห้องเดียวคือห้องนอนและโต๊ะอ่านหนังสือ ส่วนเตียง เป็นเตียงเดี่ยวติดกันสองเตียง แต่ความสูงของเตียงไม่เท่ากัน เตียงที่อยู่ด้านในเป็นเตียงที่เตี้ยกว่า

“ขอเตียงข้างล่างนะคะ” ฉันบอกคิริน

“ได้ๆ เราจะอยู่ที่นี่กัน 3 วัน เจ้าตกลงไหม”

“ตกลงค่ะ”

ว่าแล้วฉันก็วางของใช้จำเป็นต่างๆ เช่น มือถือ กล่องแว่นตา มือถือ ไว้ที่บนโต๊ะข้างที่นอน แล้วฉันก็เดินลงไปข้างล่าง

 

“แต่ก่อนข้าเคยอยู่ที่นี่กับน้องสาว พอน้องตายไป ก็เป็นบ้านของข้า ท่านพ่อท่านแม่รู้ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรข้าอยู่แล้ว ข้าอยากอยู่ในที่สงบๆอยู่แล้วละ”

“เอ๋ น้องเป็นอะไรตายคะ”

“โดนพวกปิศาจเอาไปกินน่ะ เกิดขึ้นบริเวณวังของข้านั่นแหละ” คิรินพูดขึ้น “แต่เจ้าก็มีนิสัยบ้างอย่างเหมือนน้องข้านะ เช่น ขี้ตกใจ ชอบทำให้ข้าแกล้งอยู่บ่อยๆ”

เดี๋ยวนะ อย่างนี้ก็ได้หรอ

 

“ที่นี่อุ่นกว่าข้างนอกบ้างไหม” คิรินถามขึ้นในขณะที่ฉันนั่งเล่น Cookie Run

“อุ่นขึ้นค่ะ จากก่อนหน้านี้ อุณหภูมิ -5 องศาค่ะ ส่วนด้านในนี้วัดไม่ได้” ฉันตอบ

“วันนี้ตามสบายนะ เดี๋ยวข้าไปอาบน้ำก่อน” คิรินบอกฉันแล้วเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ

 

อยู่แบบนี้ก็สบายดีนะ แต่เวลาฉันเข้าไปในวังจะลำบากไหมเนี่ย ยิ่งฉันเป็นมนุษย์จากโลกอื่นซะด้วยสิ

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 14 ครั้งแรก

 

2 วันต่อมา ฉันนอนเล่น Cookie Run บนห้องอย่างสบายใจหลังทานผลไม้ยามเช้า (?) เสร็จ ส่วนคิรินเพิ่งลงไปกินผลไม้ข้างล่างต่อ ซึ่งเหลือไม่มากนัก พอคิรินกินเสร็จแล้วก็เดินขึ้นมาที่ห้องนอน

“ไวท์ วันนี้เจ้าจะไปเก็บผลไม้กับข้าไหม วันพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแล้ว” คิรินถามขึ้น “แล้วพรุ่งนี้เจ้าอาจจะต้องเปลี่ยนชุด”

โดยปกติแล้ว ฉันจะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ออกจากบ้าน ว่าแต่ ทำไมต้องเปลี่ยนด้วยนะ

“รับทราบค่ะ ว่าแต่ ทำไมต้องเปลี่ยนชุดละคะ” ฉันถามขึ้นในขณะที่ปิดเกม

“คือ เจ้ามีพวกชุดที่เป็นกระโปรงไหม” คิรินถาม

“มีค่ะ เป็นเดรสก็มีค่ะ”

“ดีๆ พรุ่งนี้ข้าจะให้เจ้าแต่งเดรสไป” คิรินพูดขึ้น “งั้นก็ไปช่วยข้าเก็บผลไม้เลยละกัน”

“ได้ค่ะ เดี๋ยวขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ” ตอนนี้ฉันอยู่ในสภาพชุดนอนแขนยาวอยู่เลย

 

วันนี้ฉันมาเก็บผลไม้กับคิรินเพื่อเอาไปกินต่อที่ในวังเพราะคิรินกลัวว่าฉันจะกินอาหารที่วังไม่ได้ ส่วนอาหารสำเร็จรูปที่ซื้อมาฉันก็กินตลอดนะ กินสลับกับผลไม้นี่แหละ

“เก็บไว้กินประมาณกี่วันคะ” ฉันถาม

“คราวนี้แล้วแต่เจ้าเลย หรือจะกินของที่เจ้าซื้อมาก็ได้” คิรินตอบ

“ค่ะ” ฉันขานรับ

 

คราวนี้ฉันเก็บมาเป็นตะกร้าใหญ่เลย ประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่ของกระสอบข้าวเลย

“ผลไม้พวกนี้ จะอยู่ได้กี่วันคะ” ฉันถามในขณะที่แบกกลับ

“ประมาณ 7 วันได้นั่นแหละ” คิรินตอบ “เจ้าหยุดเดินก่อนได้ไหม”

ห้ะ เดี๋ยว จะให้หยุดเดิน คืออะไร

“แล้วเจ้าก็วางตะกร้าลง” คิรินพูดขึ้น

เดี๋ยวๆๆ จะให้ทำอะไรกันแน่

“แล้วก็หลับตาลง อย่าขัดขืนข้านะ”

สรุปจะให้ทำอะไรกันแน่?

 

คำตอบคือ ฉันถูกผู้ชายคนหนึ่งใช้แขนข้างหนึ่งกอดเอาไว้ แล้วแขนอีกข้างหนึ่งดึงท้ายทอยเอาไว้ แล้วเขาก็ใช้ปากประกบกับริมฝีปากฉัน ใช้เวลา 5 นาที ถึงแม้มันจะนานแต่ฉันกลับรู้สึกชอบอย่างน่าประหลาด บอกตรงๆเหมือนกันว่าเคลิ้มไปด้วยนี่สิ

 

“รู้สึกดีไหม” ชายคนนั้นได้ถอนจูบแล้วถามขึ้น

ฮัลโหล ใครก็ได้ช่วยด้วย มีคนขโมยจูบแรกของฉันไป ฮือ

 

ฉันกลับมาที่บ้านพักด้วยอารมณ์ยังค้างอยู่ พอถึงบ้านแล้ววางตะกร้าผลไม้ลง แล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองทันที

“เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ” คิรินถามขึ้น

“อย่าตามขึ้นมาก็แล้วกันค่ะ” ฉันตะโกนบอกไป

 

โอ๊ย ตายแล้ว ฉันส่งกระจกที่เอามาจากบ้าน หน้าแดงก่ำเชียว ฮือ ความรู้สึกยังติดตาอยู่เลยเนี่ย

 

ฉันรีบเอาหมอนทับศีรษะตัวเอง แล้วเขย่าหมอน คือหน้าแดงไม่หยุดจริงๆเลย แล้วหลังจาก มีคนๆหนึ่งเดินขึ้นมาสะกิดฉัน

“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม” คิรินถามขึ้น ฉันพยายามลุกขึ้นแต่หมอนยังเอาหมอนปิดหน้าอยู่ “เหมือนเจ้าเงียบนะ มีอะไรบอกข้าได้”

“คือว่า...” ฉันพูดด้วยเสียงเบา “ไม่มีใครทำแบบนี้กับไวท์มาก่อนเลยค่ะ”

”งั้นหรอ เจ้าเลยมีอาการแปลกๆแบบนี้ใช่ไหม”

ฉันพยักหน้าในคำตอบของเขา

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” คิรินพูดขึ้น “งั้นเอาแบบเมื่อกี๊อีกรอบไหมละ เจ้าจะได้ชิน”

ไม่นะ ไม่เอาแล้ว

“เวลาเจ้าเขินก็น่ารักดีนะ”

ยัง ยังไม่หยุด ไม่เอาแล้ว ฮือ

 

ในช่วงเย็น ฉันกินผลไม้กับคิริน สีหน้าตอนนี้เศร้าปนอายๆอยู่

“ว่าแต่ เจ้าเคยมีความรักมาก่อนไหม”

“เคยค่ะ เรื่องมันนานแล้ว สมัยไวท์ยังเป็นเด็กๆค่ะ”

“อ่อ ข้าก็เคยมีแบบนั้น เจ้าจำได้ไหม”

“ลืมไปแล้วค่ะ”

“งั้นข้าไม่ถามต่อละ”

แล้วฉันกับคิรินก็กินผลไม้กันอย่างเงียบๆ

 

ตกกลางคืน มืดสนิท แต่ตายังเปิดอยู่ เอาผ้าห่มปิดหน้าตัวเอง

‘เวลาเจ้าเขินก็น่ารักดีนะ’

เขาพูดแบบนั้นจริงๆหรอ เขารู้สึกแบบนั้นเลยหรอ เขาคิดอะไรอยู่

ฉันยังตอบไม่ได้ว่าฉันรู้สึกยังไงกับเขา ฉันไม่รู้ว่าฉันชอบเขารึเปล่า แต่ที่แน่ๆ ฉันเริ่มหวั่นไหวแล้วละ...

เฮ้อ หลับดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเข้าพระราชวังของคิรินแล้ว

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 15 ระหว่างเดินทางนั้น

 

วันนี้เป็นวันที่จะต้องเดินทางออกจากบ้านพักตากอากาศเพื่อไปยังเมืองที่คิรินอยู่ปัจจุบัน วันนี้เขาให้แต่งชุดเดรส แต่แล้ว...

“วันนี้เจ้าไม่ต้องแต่งเดรสก็ได้ เจ้าแต่งแบบเดิมเหมือนเดิมเถอะ” คิรินพูดขึ้น “ช่วงนี้สภาพอากาศไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่”

ชุดเดรสที่ฉันแต่งเป็นชุดสีขาว-แดง เป็นเดรสสายเดี่ยวและเสื้อประมาณศอก มีโบว์สีแดงติดตรงหน้าอก ตกแต่งด้วยกระดุมสีแดงตรงเดรสลงไปถึงกระโปรง ปักลายเชอร์รีตรงกระโปรง ชาย

กระโปรงเป็นลายสก็อตสีขาว-แดง รองเท้าแตะแบบสวมลายเชอร์รี ฉันเลยเปลี่ยนกลับเป็นเสื้อฮู้ดแขนสั้นลายแมวสีเทาทับกับเสื้อแขนยาวไหมพรมสีน้ำเงิน กางเกงยีนส์สีขาว รองเท้าผ้าใบสีฟ้า

“สภาพอากาศไม่น่าไว้ใจ?” ฉันถามคิริน “หรือว่าจะเป็นฝนคะ”

“พายุเลยแหละ” คิรินบอก “ร่มของเจ้าเอาไม่อยู่หรอก”

จริงด้วย! ไม่ได้เอาร่มประจำตัวมา อยู่อีกโลกโน่นเลย

 

ฉันเดินออกมาจากบ้านพักตากอากาศแล้ว ว่าแต่ ใช้เวลา 4 วันเลยหรอกว่าจะเดินไปถึง

“เจ้าไม่ลืมอะไรแล้วใช่ไหม” คิรินถามขึ้น

“ไม่ลืมแล้วค่ะ”

 

เราออกเดินทางกันตั้งแต่ตอนเช้า จนบ่ายแล้วยังไม่พ้นป่าสักที

“เมื่อไหร่เราจะพ้นป่าแห่งนี้ซะทีคะ” ฉันถาม

“ค่ำๆเลยแหละ” คิรินตอบ

แล้วกะจะเวลายังไงดีละเนี่ย เวลากลางวันที่นี่ก็มีไม่นานซะด้วยสิ

 

จนถึงตอนค่ำ ก็ยังคงเป็นป่าอยู่ แต่เป็นป่าที่ดูรกกว่าที่เราผ่านมาก่อนหน้านี้ แถมยังมืดทึบกว่า ยังมีเห็ดขึ้นอีกด้วย คุณครูบอกว่า เห็ดสวยๆส่วนใหญ่มักจะเป็นเห็ดพิษ ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปใกล้ๆเลย

 

“คืนนี้พักที่นี่ไหม หรือจะให้เดินต่อ” คิรินถามฉัน

“ใจก็อยากพักแต่ไม่อยากพักที่นี่ค่ะ” ฉันตอบ เขาจะงงไหมนะ

“เจ้าไม่อยากพักที่นี่สินะ” คิรินพูดขึ้น “แถวๆนี้น่าจะมีถ้ำอยู่นะ”

หลังจากนั้น ฉันกับคิรินเดินต่อ เห็นถ้ำอยู่ไกลๆ แต่สุดท้าย ได้ยินเสียงฝนตก แล้วเม็ดฝนก็ตกลงมาทีละน้อยๆ

“อ้าว ฝนตกนี่” คิรินพูดขึ้น “แต่ถ้ำอยู่ข้างหน้า กลัวเธอจะลื่นนี่สิ”

“เอ่อ เอาไงดีคะ” ฉันถาม

“งั้นขั้นจัดการเอง” หลังจากนั้นคิรินก็ไปหักพืชชนิดหนึ่งที่สูงเกือบๆ 2 เมตร มีลักษณะคล้ายกับต้นหน้าวัวแต่ไม่มีเกสรและมีสีเขียว แล้วเดินกลับมา “เผื่อสิ่งนี้จะช่วงเจ้าได้ หักต้นเดียวก็ใหญ่แล้ว”

ใช่ ต้นที่คิรินหักมา สามารถกันฝนได้ 2 คนพอดีจริงๆด้วย

“งั้นเราไปพักในถ้ำกัน” แล้วฉันกับคิรินเดินเข้าไปในถ้ำ

 

ในถ้ำแห่งนี้ คิรินบอกว่า เมื่อก่อนเป็นแหล่งหาแร่ชั้นดี จนตอนนี้ เหลือแค่ชั้นลึกๆเท่านั้นที่ต้องขุดเข้าไป ถ้ำนี้จึงไม่มีใครใช้งานมาสักระยะแล้ว ด้านในยังมีเก้าอี้หินริมผนังถ้ำที่มีคนเคยมาหาแร่ได้ทำเอาไว้ เดินลึกเข้าไปอีกก็จะมีน้ำสะอาด ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดเข้ามาทำร้ายผู้บุกรุกเท่าไหร่นัก

“คืนนี้ข้าว่า คืนนี้พักที่นี่ดีกว่า อีกอย่าง ฝนตกหนักมากด้วย” คิรินพูดถึงแล้วสังเกตฝนที่ตกอยู่ข้างนอก ตกหนักมากจริงๆด้วย

“แล้วจะนอนยังไงคะ” ฉันถาม

“พิงไหล่ข้าไม่ก็... นอนตักก็ได้นะ ข้ายินดี”

เอ่อ... เอาแบบนั้นเลยหรอ จะว่าไป พื้นที่ในถ้ำก็แคบเกินไปที่จะนอนได้จริงๆ เพราะปกติพวกเรานอนกันพื้นหญ้าตลอดเลย

 

หลังจากนั้น คิรินเอาเทียนที่อยู่ในกระเป๋ามาจุดที่พื้นอีกฝั่งที่เรานั่งกันอยู่

“เผื่อเจ้าจะมองเห็นบ้าง” คิรินพูดขึ้นหลังจากที่ใช้เวทมนต์จุดไฟ “เจ้าหนาวไหม ข้ามีผ้าห่มอยู่ในกระเป๋าที่เอามาจากบ้านตากอากาศของข้า”

“เอาค่ะ” ฉันตอบแล้วดึงผ้าห่มให้พอดีกับสองคน ผ้าห่มกว้างมาก ถึงเท้าเลย “แล้วจะเปื้อนไหมคะ”

“เดี๋ยวข้าให้คนใช้ซักในวังก็ได้” คิรินตอบ

“อ่อค่ะ”

 

คิรินหลับไปแล้ว ตอนนี้ฝนก็ยังตกเรื่อยๆ ส่วนฉันก็ยังนอนไม่หลับเท่าที่ควร ทั้งที่อากาศเย็นขนาดนี้ สักพัก คิรินก็ละเมอเอื้อมแขนให้ฉันอยู่ในอ้อมอกของเขา ฉันรู้สึกอุ่นขึ้นอย่างประหลาดใจ ได้กลิ่นเหมือนกาแฟลาเต้ในตัวเขา

ว่าแล้วฉันก็เผลอหลับไป

 

จู่ๆฉันก็ฝันว่าที่บ้านของฉันนั้นฝนตกหนักจนไปโรงเรียนไม่ได้ จนต้องโทรบอกเพื่อนๆว่า วันนี้ไปโรงเรียนไม่ได้ เพื่อนๆที่ไปกันได้เขาก็โอเคแล้วจะฝากกันแจ้งว่าลาเรียนไว้

 

ที่ฝันว่าฝนตกนี่ ลางดีสินะ...

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 16 พักระหว่างทางในเมือง

 

ผ่านมา 2 วันแล้ว ฝนก็หยุดตกซะที ฉันย้ายมานั่งข้างๆเทียนไขที่เคยดับไปแล้วเพราะไม่อยากให้อาการบางอย่างนั้นเกิดขึ้นอีก ว่าแต่ว่า จะออกจากที่นี่ตอนนี้หรือว่าจะเดินเข้าไปข้างในดีนะ

“ไวท์หิวน้ำค่ะ” ฉันพูดขึ้น “น้ำในขวดหมดแล้วด้วย”

“งั้นข้าไปส่ง” คิรินพูดขึ้น “ตรงนั้นน่าจะมีทางลัดไปสู่เมืองของข้า”

“ค่ะ”

 

เดินมาครึ่งชั่วโมง ก็พบน้ำสีฟ้าสดใสกลางบึงที่ลึกประมาณเมตรครึ่ง ฉันลองตักน้ำตัวเองแล้วลองชิมดู

“น้ำเย็นมากค่ะ รสชาติไม่ต่างจากที่เคยดื่มเลย จะบอกว่านี่คือน้ำเปล่าก็คงไม่ผิดเลยละค่ะ” ฉันพูดขึ้น

“งั้นเจ้าก็เติมไว้เต็มขวดเลย เจ้าคงชินกับกลิ่นน้ำแบบนี้ใช่ไหม”

“ค่ะ” ฉันขานรับ “แล้วต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวใช่ไหมคะ”

“ใช่” คิรินพูดขึ้น “แล้วจะเจอกับอีกเมืองๆหนึ่ง เราไปพักตรงนั้นกันก่อนดีกว่า”

แล้วฉันกับคิรินเดินต่อไปข้างหน้า

 

“ที่นี่คือ เบบี้คอตตอนทาวน์ (Babycotton) เมืองที่มีแวมไพร์ที่สงบสุขที่สุด” คิรินพูดขึ้น “น่าจะพักที่นี่สักคืน”

“ว้าว ชอบมากค่ะ เมืองแบบนี้” ฉันพูดขึ้น “บ้านแต่ละหลังดูสีสันสดใสทั้งนั้นเลย ทุกอย่างเป็นพาสเทล!”

“เจ้าดูร่าเริงดีนะ วันนี้ข้าจะพาเจ้าชมเมืองเอง”

บ้านแต่ละหลัง อย่างที่บอกเลย ทั้งผนังทั้งหลังคา ทุกอย่างดูเป็นสีพาสเทล! แต่ท้องฟ้าสีม่วงสลับตารางดูไม่กลมกลืนกับเมืองสักเท่าไหร่

คิรินบอกว่า ที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่กันอย่างสงบสุข ผู้คนที่อาศัยที่นี่ส่วนใหญ่มักจะเป็นแวมไพร์ที่เป็นกันเองมาก เวลาเชิญแขกแต่ละครั้งก็เหมือนเชิญครอบครัวตัวเองเลย

“ว้าว! เจ้าชายเมืองดาร์กแพลนท์ (Darkplant) นี่”

“นั่นเจ้าชายหรอ เอาใครมาน่ะ”

“คนนั้นเหมือนไม่ใช่แวมไพร์นะ น่าจะเป็นมนุษย์มากกว่า”

เสียงชาวเมืองแต่ละคนพูดขึ้น เอ่อ มีแต่คนตกใจเราแฮะ เรื่องปกติละมั้งนะ

 

“ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นทางผ่านเพื่อกลับเมืองของข้าเท่านั้น พวกเจ้าไม่ต้องต้อนรับข้าขนาดนี้ก็ได้” คิรินพูดขึ้นแล้วชาวเมืองก็แยกย้าย “เจ้าคงเบื่อผลไม้แล้ว อยากกินอะไรกันก่อนไหม เหลือไม่มากแล้วนี่”

“คือ แถวนี้มีพวกเค้ก ชาเขียว นม พวกที่เป็นอาหารในร้านคาเฟ่ มีไหมคะ” ฉันถามขึ้น จะหาได้ไหมนะ อยากกินของพวกนี้มากเลย

“มีร้านเค้กกับสเต็ก เจ้าจะเอาอะไรละ” คิรินถาม “ที่นี่มีน้ำแค่จากถ้ำที่เราออกมาเมื่อกี๊เองนะ”

“เค้ก!!!”

“เค้กก็เค้ก แต่ถ้าจะเจ้าลองชิมก็ไม่เสียหายอะไรนี่นะ”

 

ฉันกับคิรินเข้าไปที่ร้านคาเฟ่เค้กแห่งหนึ่ง ถูกตกแต่งไปด้วยบรรยากาศวันวาเลนไทน์ แต่นี่ก็ผ่านมาแล้วนี่นา หรือว่าไวท์เดย์ หรือว่านอกจากนั้น แถมพนักงานแก็แต่งด้วยชุดเมดแขนยาวสีฟ้าอีกด้วย

“เชิญลูกค้า... เอ้ย เจ้าชาย นั่งได้เลยค่ะ” พนักงานถามขึ้น “กี่ที่คะ”

“2 ที่ครับ” คิรินพูด “ขอเมนูด้วยครับ”

“ได้ค่ะ”

หลังจากนั้น พนักงานก็เดินไปเอาเมนูทันที

 

“พนักงานชุดน่ารักจังแฮะ” ฉันพูดขึ้น “ตอนที่ไวท์ทำพาร์ทไทม์ไม่เคยเจอแบบนี้เลย”

“พาร์ทไทม์?” คิรินสงสัย “เจ้าพูดถึงอะไรน่ะ”

“พาร์ทไทม์เป็นงานที่ทำนอกเหนือจากเวลาเรียนหรือเวลางานค่ะ” ฉันตอบ “ตอนนี้ไวท์ก็ยังเรียนอยู่ เคยทำงานพาร์ทไทม์ด้วย ได้เงินก็เอามาเลี้ยงตัวเองช่วงเปิดเทอมค่ะ”

“เมนูมาแล้วค่ะ” พนักงานยื่นแผ่นเมนูให้กับพวกเรา

ไม่ใช่ภาษาที่เรารู้จักเลย ภาษาโบราณชัดๆ แปลไม่ออกเลยด้วย รูปภาพก็มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้จุใจเท่าไหร่

 

“เจ้าอยากกินรถแบบไหนละ” คิรินถามขึ้น

“แบบไหนก็เอามาเถอะค่ะ ไม่มีภาษาอังกฤษให้อ่านเลย”

“พนักงานครับ เอาเค้กราสเบอร์รี 2 ที่ครับ” คิรินบอกกับนพนักงานว่าจะเอาอะไร

“จะเหมือนที่ไวท์เคยกินรึเปล่านะ” ฉันพูดขึ้นด้วยเสียงเบา

“อันนี้ข้าก็ไม่รู้นะ ข้าก็สุ่มดู เพราะไม่รู้จะสั่งอะไรให้”

 

หลังจากนั้น อาหารก็ถูกเสิร์ฟ พวกเราก็กินกันอย่างอร่อย

“ไม่ได้กินอะไรหวานๆแบบนี้มาสักพักแล้ว” ฉันพูดขึ้น “ราสเบอร์รี่นี่ก็ราสเบอร์รี่จริงๆ รสชาติไม่ต่างจากที่เคยกินเลย”

“จะให้ข้าซื้อเก็บไว้ไหมละ เผื่อเจ้าอยากกินอีก” คิรินถาม

“ไม่ต้องละค่ะ ของเสียง่าย ถ้าไม่แช่แข็งแป๊บเดียวก็เสียแล้วค่ะ” ฉันตอบ

 

หลังจากที่พนักงานคิดเงินให้คิรินแล้ว พวกเราก็เดินไปที่โรงแรม ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองพอดี เป็นโรงแรมที่ทำจากไม้สีต่างๆ มี 4 ชั้น เราได้พักชั้น 2 มีเตียงเดี่ยวสองเตียง ห้องน้ำส่วนตัว กระติกน้ำร้อน โต๊ะเขียงหนังสือ เป็นโรงแรมที่คิรินเคยพักมาก่อนแล้ว

 

“จะพักผ่อนไหมละ ตามสบายนะ” คิรินพูดขึ้นแล้วเตรียมเสื้อผ้าเพื่อที่จะไปอาบน้ำ

“เดี๋ยวขอดูวิวที่นี่ก่อนค่ะ”

ห้องที่เราอยู่นี้มีดาดฟ้าด้วย ฉันก็ยังไม่พ้นเรื่องการถ่ายรูปอยู่ดี ฉันรีบหยิบกล้องโพลาลอยด์มาถ่ายรูปอีกครั้ง พอถ่ายรูปจนพอใจแล้วก็กลับมาเติมกระดาษโพลาลอยด์แล้วนอนเล่น Cookie Run เรื่อยๆจนกระทั่งในเมืองฝนตกหนัก

“พรุ่งนี้จะออกไปได้ไหมเนี่ย เดินทางตั้งอีก 2 วันแน่ะ” ฉันพูดขึ้น และคิรินก็เดินมาจากข้างหลัง

“ต้องเดินทางได้สิ ฝนตกแป๊บเดียวเอง” เขาพูดขึ้น “ไปอาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวจะหนาวเอา”

หลังจากนั้นฉันก็รีบเอาเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมอาบน้ำทันที

 

หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีกนะ ชักสังหรใจไม่ค่อยดีซะแล้วสิ...

  • Like 2
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 17 รวดเร็วทันใจ

 

เช้าวันต่อมา ยังไม่มีท่าทีว่าฝนจะหยุดตกเลยแม้แต่น้อย ฉันและคิรินเก็บของเสร็จตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่เพราะวันนี้ต้องเดินทางต่อ

“จริงๆต้องออกจากโรงแรมก่อนเที่ยง” คิรินพูดขึ้น

“เช็คเอาท์ค่ะ” ฉันพูดแก้คำ

“นั่นแหละ เพราะเดี๋ยวจะคิดเงินเพิ่ม แต่ว่าจะทำยังไงนี่สิ”

“งั้นเอาของทั้งหมดลงไปข้างล่างดีกว่าค่ะ” ว่าแล้วฉันกับคิรินเอาของทั้งหมดลงไปที่ชั้นล่าง

 

“จะเช็คเอาท์แล้วหรอคะ” พนักงานเป็นคุณยายแก่ๆถามขึ้น

“ครับ แต่ตอนนี้ยังออกไปไหนไม่ได้เลย” คิรินตอบ

“ทางเราสามารถเรียกรถสุนัขหรือยูนิคอร์นมาใช้ได้นะคะ” พนักงานได้กล่าวขึ้น

“ยูนิคอร์น!!!” ฉันนี่แหละ ตกใจ

“ไม่ใช่ตัวสีขาวๆอย่างที่เจ้าคิดนะ!!” คิรินพูดขึ้นบ้าง

“แฮ่ๆ ขอโทษค่า” ฉันหัวเราะปนอายๆ (เหมือนทำอะไรผิดมา)

“สุนัขและยูนิคอร์นที่ดิฉันพูดถึง ตามรูปนี้เลยค่ะ สุนัขจะเป็นทางบก ส่วนยูนิคอร์นจะเป็นทางอากาศค่ะ” แล้วพนักงานก็หยิบรูปขึ้นมาดู

ภาพสองภาพนั้นคือ สุนัขที่ดูท่าทางดุร้ายตัวสีดำ และรูปยูนิคอร์นซึ้งมีทั้งสีขาวและดำ

“ไหนบอกว่าไม่มียูนิคอร์นสีขาวไงคะ” ฉันพูดแล้วหันไปทางคิริน

“ข้าขอโทษ เพราะข้าก็ไม่เคยเห็นยูนิคอร์นสีขาวน่ะ” คิรินพูดขึ้น

“ยูนิคอร์นสีขาวตอนนี้หายากค่ะคุณลูกค้า จะใช้บริการเลยไหมคะ” พนักงานถาม

“ยังครับ เอ้อ ห้องน้ำข้างล่างใช้ได้ไหมครับ”

“ใช้ได้ค่ะ”

“ไวท์ เจ้าเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงได้แล้ว” คิรินบอก

“รับทราบค่ะ”

หลังจากนั้นไม่นาน ฝนก็หยุดตกซะที

 

เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาทางบกถึง 2 วัน คิรินเลยเลือกยูนิคอร์น ซึ่งเป็นสีดำ มันมารอที่หน้าโรงแรมแล้ว โดย 1 ตัวสามารถขี่ได้ 2 คน ไม่รวมสัมภาระ

“ไปกัน ไปเมืองดาร์กแพลนท์ (Darkplant) กัน จับไว้แน่นๆนะ” คิรินพูดขึ้น

แล้วยูนิคอร์นก็พาฉันลอยไปข้างบน ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง

“อย่าเพิ่งถืออะไรนะ ของตกลงไปไม่รับผิดชอบด้วย” คิรินพูดขึ้น

ว่าแต่ ลอยบนอากาศแบบนี้ เหมือนนั่งเครื่องบินเลย แต่เหมือนเป็นเครื่องบินระยะสั้นนะ ชั่วโมงเดียวก็ถึง

 

หลังจากที่มาถึง ยูนิคอร์นของพวกเราก็เดินทางมาส่งที่เมืองที่คิรินอยู่ เฮ้อ ถึงซะที

“เฮ้ เจ้าชายมาแล้ว”

นั่นเสียงชาวเมืองหรอ

“เอาใครมาด้วยเนี่ย”

“เจ้าหญิงจากเมืองอื่นหรอ”

ฉันควรบอกดีไหมว่าตัวเองเป็นมนุษย์

 

ฉันลงจากยูนิคอร์นก่อนแล้วตามด้วยคิริน แล้วยูนิคอร์นก็บินจากเราไป ฉันได้ยินเสียงจากหลายๆที่เสมือนเป็นการต้อนรับของคิรินซึ่งเป็นเจ้าชายเมืองนี้

“พี่ผู้หญิงคนนี้คือใครฮะ” เด็กผู้ชายแวมไพร์คนหนึ่ง ผมสีน้ำตาลถามฉัน

“ชื่อไวท์จ้า หนูชื่ออะไรเอ่ย”

“ผมชื่อไดโนฮะ” ไดโนทักด้วยความยิ้มแย้ม “แล้วพี่ไวท์มาจากที่ไหนฮะ”

“มาจากโลกมนุษย์จ้ะ รู้จักไหม” ฉันถามเด็กคนนั้น

“เจ้าตามสบายนะข้าคงอยู่แถวนี้แหละ ตามสบายเจ้านะ” คิรินพูดขึ้น

“ค่ะ” ฉันขานรับ เด็กก็ส่ายหน้าแฮะ เหมือนจะไม่คุ้นกับเราจริงๆ

 

“ไง เจอกันอีกแล้วนะ” เมย่าเดินเข้ามาทักทายฉันในขณะที่ฉันเล่นกับเด็กๆ “ตกลงเจ้าเป็นอะไรกับเจ้าชายกันแน่”

เอ๊ะ ทำไมต้องถามคำถามนี้ด้วย

“ไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ ทำไมหรอคะ” ฉันพูดขึ้นบ้าง

“งั้นหรอ ก็เห็นไปไหนมาไหนกันบ่อยนี่” เธอพูดขึ้น ฉันจึงหันไปหาเด็ก

“เค้าเป็นใครหรอฮะ” ไดโนถามขึ้น

“ข้าชื่อเมย่า ข้าเป็นแฟนเก่าของคิรินน่ะ และข้าต้องการตัวคิริน”

“เอ่อ...” ฉันได้แต่อึ้ง “ต้องการตัวคิรินทำไมคะ”

“ให้คิรินกลับคบกับข้าอีกครั้งหนึ่งไงละ”

เพื่ออะไรเนี่ย...

 

คิรินบอกว่า ตอนนี้ติดธุระ จึงอนุญาตให้ฉันไปอยู่ที่บ้านไดโนได้ ส่วนเมย่าก็ไปหาคิริน

บ้านของไดโนเป็นบ้านหลังเล็กๆ เป็นบ้านไม้ที่เริ่มผุพังไปตามกาลเวลา มีน้องเล็กชื่อลิซ่าซึ่งยังเป็นทารก ในบ้านมีแต่แม่ของ ไดโน และลิซ่า เพราะพ่อไปมีรักใหม่ที่ต่างเมือง

“หนูทานขนมก่อนไหม หวังว่าหนูคงจะทานได้นะ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” ฉันรับขนมปังกรอบและน้ำเชอร์รี่ (ที่สีจะคล้ายไวน์แดงหน่อยๆ)

“ไวท์ หนูเป็นมนุษย์จริงๆหรอ ทำไมจู่ๆถึงมาที่นี่ได้”

“อ่อ เจ้าชายมาพาละค่ะ”

“เจ้าชายคิริน? เค้ารู้จักหนูได้ยังไง?”

“ไปเจอกันที่บ้านของไวท์พอดีค่ะ”

“งั้นหนูตามสบายนะ”

หลังจากนั้น ฉันนั่งเล่น Cookie Run เล่นเกมไดโนและลิซาสักพักใหญ่ๆจนกว่าคิรินจะกลับมารับ

พูดถึงเขาก็มาพอดีแฮะ ว่าแต่ เขาจะมาบอกอะไรรึเปล่า

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

  • 2 weeks later...

ตอนที่ 18 ทำความรู้จักกัน

 

“ไวท์ ข้ามารับแล้ว ไปราชวังกัน”

ห้ะ ทำไมต้องไปราชวังก่อนด้วย

“ไว้ว่างๆจะมาเที่ยวใหม่นะคะ” ฉันพูดพร้อมโบกมือลา

“โชคดีฮะพี่” ไดโนกับแม่ของไดโนก็โบกมือลาแล้วเดินเข้าบ้านไป

 

สิ่งที่นึกถึงครั้งแรกก็คือ ปราสาทต้องมืดสลัว มีไฟเล็กน้อย แต่พอเห็นข้างในจริงๆ ไฟสว่างมากๆ ถึงแม้จะมีหยากไย่บ้าง แต่คงเป็นธรรมดาของที่นี่แหละมั้ง

“วันนี้ข้าจะให้เจ้ามาพบกับพ่อแม่ของข้า แล้วเดี๋ยวจะพาเจ้าไปพักผ่อน” คิรินพูดขึ้น

บรรยากาศรอบๆเป็นสีทอง มีทหารชุดเกราะยืนทั้งสองข้างตลอดทาง จนกระทั่งมาเจอกับคู่ชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ที่นั่งหรูๆสักอย่างในราชวงศ์สูงๆ ทั้งสองแต่งกายด้วยของประดับประดาที่ดูสง่างาม

“นี่ลูกเอาสาวที่ไหนมาอีกเนี่ย!” ผู้หญิงคนหนึ่งได้พูดขึ้นด้วยเสียงโมโห

“ใจเย็นๆครับแม่ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ร้ายอะไรนะครับ” คิรินพูดกับแม่

“สวัสดีค่ะ” ฉันพูดแล้วโค้งคำนับ

“เธอชื่ออะไร” ผู้หญิงคนนั้นถามขึ้น

“ไวท์ค่ะ”

“เธอคิดยังไงถึงตามลูกชายชั้นมา ห้ะ?”

“ใจเย็นๆก่อนได้ไหม” ผู้ชายอีกคนหนึ่งพูดขึ้นบ้าง “เธอเป็นมนุษย์ใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ” ฉันตอบ

“มนุษย์คนนี้จะมาหลอกอะไรพวกเรา ฮึ” ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น

ฉันเงียบไป ปล่อยให้ทั้งคู่ทะเลาะกัน

“เดี๋ยวผมไปส่งไวท์ขึ้นที่ห้องก่อนนะครับ” คิรินพูดขึ้นแล้วจูงมือฉันไปที่ไหนสักแห่ง

 

เมื่อฉันเดินมาถึงชั้นบนซึ่งเป็นชั้นสาม เป็นห้องนอนของคิริน ประตูถูกปิดเอาไว้ คิรินเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป

“เจ้าอยู่ที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวข้ามา” คิรินพูดขึ้น

ฉันพยักหน้าแล้วเขาก็เดินออกไป ฉันจึงอยู่ในห้องคนเดียว

 

ห้องนอนของคิรินมีเตียงนอน 2 เตียง มีระเบียงอยู่ด้านข้าง เห็นดวงจันทร์ทั้งสองและท้องฟ้าได้ชัดเจน มีโคมไปตรงโต๊ะข้างเตียงและโต๊ะเขียนหนังสือ

นี่ห้องนอนของคิรินกับน้องสาวสินะ...

 

ฉันเปิดในกระเป๋าของตัวเองก็พบว่า ผลไม้ใกล้จะหมดเต็มที ฉันตัดสินใจกินผลไม้จนหมดแล้วนอนพักบนที่นอนที่อยู่ใกล้กับระเบียง บนระเบียงนี้คาดว่าประตูกระจกนี้คงเปิดอยู่ตลอดเวลาเพื่อรับอากาศ ฉันนอนเล่น Cookie Run แล้วเผลอหลับไป

 

จนกระทั่ง... มีคนมาเคาะประตู ใครกันนะ...

 

ฉันลุกไปเปิดประตู ก็พบว่า เป็นพ่อของคิรินที่เราเจอกันเมื่อครู่นี้นี่เอง

“มีอะไรรึเปล่าคะ?” ฉันถาม

“เรื่องของลูกชายน่ะ” เขาพูดขึ้น

“คิรินหรอคะ”

“ใช่”

 

“ข้ามีชื่อว่า ‘มอร์นิฟ’ เป็นพ่อของคิรินเอง” ท่านมอร์นิฟพูดขึ้น “พอดีลูกชายเคยเอาสาวๆมานอนที่ห้องบ่อยๆน่ะ แล้วแต่ละคนใช่ว่าแม่ของเค้าจะไว้ใจละนะ”

“เอ่อ ที่ผ่านมา มันดูแย่ขนาดนั้นเลยหรอคะ” ฉันถาม

“ใช่ จนแม่ของคิรินโกรธตายเลยละ” ท่านมอร์นิฟพูดต่อ “ส่วนคุณแม่ของคิรินชื่อ ‘รินเน่’ น่ะนะ จริงๆเธอเป็นคนใจดีมาก แต่ฉันไม่รู้ว่า คนที่อยู่ตรงหน้านี้ จะทำให้ฉัน รินเน่ และคนอื่นๆ ไว้ใจได้รึเปล่า เท่านั้นแหละ”

“ค่ะ” ฉันขานรับ

“เธอไม่ต้องกังวล มีอะไรบอกลูกชายหรือฉันได้” ท่านมอร์นิฟพูดขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป

 

ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ ที่ชั้นล่างเกิดอะไรขึ้น และฉันก็เกิดความสงสัยที่ว่า ในปราสาทนี้ มีกี่ชั้นกันแน่ แต่คาดว่าน่าจะ 5 – 6 ชั้นเลยแหละ คงใหญ่เท่าห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆแหละมั้ง

 

ในขณะที่ฉันนั่งๆนอนๆอยู่บนเตียงอยู่นั้น จู่ๆก็มีคนเปิดประตูเข้ามา นั่นคือคิริน...

 

“เป็นไงบ้าง” คิรินถามขึ้น

“เตียงนิ่มมากๆค่ะ นอนสบายดี เมื่อสักครู่นี้เห็นท่าน... เอ่อ มอร์นิฟมั้ง เข้ามาคุยกับไวท์ด้วยละค่ะ” ฉันตอบ

“อ่อ พ่อของข้านี่เอง” คิรินพูดขึ้น “แล้วพ่อของข้าบอกอะไรกับเจ้าบ้าง”

“เล่าเรื่องของท่านรินเน่ให้ฟังค่ะ แล้วเขาก็บอกว่า ถ้ามีปัญหาอะไรก็บอกเขาได้ค่ะ”

“อ่อ เข้าใจละ งั้นเจ้าพักผ่อนตามสบายเลยนะ”

 

จู่ๆฉันก็รู้สึกไม่สบายตัวเหมือนกับจะเป็นไข้หวัด น่าจะเป็นเพราะที่เราตากฝนมาแน่ๆ ฉันเลยรีบทานยาพาราเซตามอลแล้วรีบเข้านอน

“เมื่อก่อน ตอนที่ข้ายังเจ้าชู้อยู่ ข้าชอบเอาผู้หญิงมานอนด้วยกับเธอนี่แหละ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ทำให้แม่ของข้าไว้ใจไม่ได้ แม่ข้าเลยโกรธ รวมถึงเจ้าด้วย” คิรินพูดขึ้น

“อ่อค่ะ เคยได้ยินแล้วละค่ะ” ฉันพูดขึ้น “ไวท์ไม่รู้ว่า การที่เอาไวท์มาเสี่ยงด้วยแบบนี้ ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีรึเปล่านะคะ”

“เจ้าไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจัดการให้” คิรินพูดขึ้น “ว่าแต่ เจ้าเหงื่อท่วมตัวเลยนะ”

ไม่สบายสินะเนี่ย เฮ้อ

“น่าจะเป็นไข้แหละค่ะ ทั้งตากฝน ทั้งอากาศหนาวเย็น ร่างกายของไวท์ปรับตัวไม่ทันเลยละค่ะ”

“ไม่เป็นไร ข้าจะดูแลเจ้าเอง” คิรินพูดขึ้น “เจ้าควรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”

“ค่ะ ได้ค่ะ” ฉันพยายามลุกขึ้นเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนฤดูหนาวที่หนาๆ ใส่ผ้าโพกศีรษะที่แถมมากับชุด แล้วก็กลับไปนอนที่เดิม

เฮ้อ ทำอะไรไม่ไหวจริงๆ ขอหลับซะหน่อยแล้วกันนะ

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 19 อากาศเปลี่ยนแปลง

 

(Begin Kirin says…)

ผมเพิ่งรู้ว่า มนุษย์อย่างไวท์ จะป่วยได้ง่ายๆเพราะสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป เพราะที่ผ่านมา เธอคงเคยชินกับอากาศร้อนมากจนเกินไปรึเปล่า แล้วพอเธอเดินทางมากับผม เธอไม่เคยบอกผมเลยว่ามีโอกาสที่ไม่สบาย

ช่วยไม่ได้แฮะ ผมคงต้องอยู่ดูแลเธออีกสักระยะ

ตลอดเวลาที่รู้จักเธอ ผมรู้สึกว่า เธอไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆที่เคยคบกันมา เธอมีความทะเยอะทะยานสูงมาก ชอบลองทำอะไรใหม่ๆ อีกทั้ง... เธอเคยมีความรักแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ตอนนี้ เธอกำลังนอนหลับด้วยท่าทีที่น่าเป็นห่วง เธอนอนกอดตุ๊กตาที่อยู่ข้างเตียงจนแน่น ผ้าห่มของเธอคลุมแทบจะทั้งตัว เห็นแค่ศีรษะเท่านั้น

และในระหว่างนั้นเอง...

“ปิด... หน้าต่าง... ด้วย.. ค่ะ... หนาว... จะ... แย่...” เสียงหวานๆของเธอ พยายามพูดขึ้นอย่างช้าๆ เธอพูดในขณะที่หลับตาอยู่

ผมจึงเดินไปปิดประตูตรงระเบียงเพื่อให้เธอนอนสบายขึ้น

 

จะว่าไป ตอนที่จูบครั้งแรกตอนนั้น ไม่นึกไม่ฝันว่า เธอจะเขินจนต้องเอาหมอนปิดหน้าตัวเอง เด็กอะไร เขินได้น่ารักมาก แต่ผมก็ไม่รู้ว่า เธอชอบผมจริงๆรึเปล่า แต่ผมชอบนะ ชอบตั้งแต่แรกพบเลย แม้ว่าผมจะเข้าไปกัดคอเธอเองก็ตาม

 

ในขณะที่ผมนั่งมองดูเธออยู่ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

ก๊อก... ก๊อก...

“เข้ามาได้เลยครับ”

คนที่เข้ามาคือพ่อของผมนี่เอง

 

“อ้าว แล้วไวท์ละ” แล้วทำไมพ่อผมถึงถามหาไวท์ก่อนละ

“ไวท์ไม่สบายครับ” ผมตอบ

พ่อพยักหน้า

“เธอไปทำอะไรมาน่ะ ถึงไม่สบาย” พ่อถามขึ้น

“อากาศเปลี่ยนครับ” ผมตอบ “เธอคงไม่ชินกับสภาพอากาศแบบนี้ครับ”

“อ่อ แล้วไป หาน้ำซุปวัวให้เธอด้วยละ”

“ครับ”

 

เธอกินของจากเนื้อวัวได้รึเปล่านี่แหละ แต่จะว่าไป... ผมเคยเห็นเธอดื่มนมจากวัวนะ น่าจะดื่มได้นี่แหละ

ผมเดินออกจากห้อง ทิ้งไวท์ให้นอนอยู่ในห้องตามลำพัง ลงไปหาคนรับใช้คนหนึ่ง ใส่ชุดเมดสีดำ ผมรวบยาวสีชมพู เธอเป็นคนรับใช้ประจำชั้น 2 ชื่อเลน่า

“เลน่า มีเรื่องรบกวนหน่อย”

“คะ?”

“ช่วยไปต้มกระดูกวัวให้หน่อย ลองถามเมลินดู”

เมลินคือ คนที่เป็นแม่ครัวประจำปราสาทแห่งนี้ ช่วงไหนหยุดก็จะไปเปิดร้านอาหารส่วนตัวอีกด้วย

หลังจากนั้น เลนาก็วิ่งลงไปชั้นล่าง แล้วรีบกลับขึ้นมา แล้วบอกว่า ในครัวมีกระดูกวัวอยู่แล้ว

 

มนุษย์เมื่อไม่สบาย ความเข้าใจของผมก็คือ ต้องดื่มของร้อนๆ และอาจจะต้องใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆเช็ดตัวไว้ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่น ส่วนที่พวกผมเป็นอยู่คือ สัตว์เลือดเย็นนั่นเอง

 

หลังจากที่ได้ซุปกระดูกวัวจากเมลินแล้ว โดยเธอขึ้นมาส่งที่ชั้น 3 ของปราสาท ผมเอาไปวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงที่ไวท์นอนอยู่ เธอยังคงหลับไม่ตื่นเลย วางทิ้งไว้ละกัน ผมจับที่แขนเธอ

ตัวร้อนมากเลย สงสัยต้องเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดซะแล้ว

 

ช่วงใกล้จะนอน ซึ่งก็ผ่านไปหลายชั่วโมง ไวท์ลุกมาเข้าห้องน้ำ เพราะห้องนอนทุกห้องจะมีห้องน้ำประจำตัวอยู่แล้ว เธอจึงเดินเข้าไป สักพักแล้วเดินกลับมา

 

“ยังไม่นอน... อีกหรอคะ...” เธอพูดขึ้นอย่างช้าๆแต่คราวนี้เธอพูดดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา

“ก็เดี๋ยวจะนอนแล้ว ซุปกระดูกวัวอยู่ตรงนั้นนะ” ผมพูดแล้วชี้ไปที่ถ้วยซุปกระดูกวัวที่วางไว้

“ค่ะ... ขอบคุณมากค่ะ...” แล้วเธอก็นั่งลงที่เตียงแล้วดื่มซุป พอหมดแล้ว เธอก็วางไว้ที่เดิม “ก็อร่อย... ดีนะคะ... คล้ายๆกับ... ซุปต้ม... กระดูกหมู... เลย...”

ที่นี่ไม่มีหมูนะ

“แล้วก็ ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ เดี๋ยวก็หาย” ผมพูดขึ้น แล้วหยิบขวดน้ำจากในกระเป๋าให้เธอ ผมเชื่อว่าอาการไม่สบายของเธอน่าจะดีขึ้นตามลำดับ

“ค่ะ... ขอบคุณค่ะ”

 

หลังจากนั้น ไวท์ก็กลับไปห่มผ้านอนเหมือนเดิม ผมลองสัมผัสเธอดู

ตัวเธอเริ่มเย็นลงแล้ว แต่อาการยังถือว่าหนัก

หายไวๆนะเด็กน้อย จะได้ออกไปเที่ยวกัน

(End Kirin says…)

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

ตอนที่ 20 ไม่มากไม่น้อย

 

2 วันต่อมา อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ จนตอนนี้ยังเหลือแค่อาการหวัดและไอเท่านั้น ที่เหลือจากนี้คงไม่เกิน 1 สัปดาห์ถึงจะหายได้สนิทดี

“อะไรไหลลงจากจมูกเอ่ย นี่เจ้ายังไม่หายดีเลยใช่ไหม” คิรินถามขึ้น

“เอ่อ... นี่หวัดค่ะ อีกสักพักคงหายแหละค่ะ” ฉันพูดเสร็จก็เช็ดน้ำมูกที่ไหลลงมา

“หายไวๆนะ” คิรินพูดขึ้นแล้วมานั่งใกล้ๆ แล้วใช้มือข้างซ้ายกอดแล้วซบที่ไหล่ของเขา

เอ่อ... อย่างนี้ก็ได้หรอ

 

หลังจากนั้น คิรินชวนฉันลงไปทานข้าวที่ห้องอาหาร เนื่องจากตอนนี้ฉันยังไม่หายดี ก็เลยปฏิเสธไป แล้วคิรินลงไปทานอาหาร ส่วนฉันก็นอนเล่นเกมมือถือของฉันไป

ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่า อยู่ที่นี่ มีอินเทอร์เน็ตใช้ ก็แปลกดีเหมือนกัน อยู่ห่างจากโลกก็หลายปีแสงหรอกมั้ง ไม่มีใครรู้หรอก เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนา จนคนๆหนึ่งเข้ามาเคาะประตู

ฉันเปิดประตูออกไปดู พบว่าเป็นสาวใช้คนหนึ่ง เป็นคนเคาะประตูนี่เอง

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเลนา เป็นคนรับใช้ประจำชั้น 3 ค่ะ เจ้าชายสั่งให้ดิฉันทำอาหารให้เจ้าหญิงรับประทานค่ะ” พร้อมกับยื่นถาดอาหารให้

“นี่ใครทำคะเนี่ย” ฉันถามขึ้น “แล้วใครให้เรียกฉันว่าเจ้าหญิงคะ”

“ข้าเองแหละ” แล้วคิรินโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่!! “พอดีเห็นเจ้าไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า ข้าเลยให้คนใช้ของข้าทำเอง”

“เอ่อ ทำไมต้องเรียกไวท์ว่าเจ้าหญิงด้วยคะ” ฉันถามด้วยความสงสัย

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองแหละ” คิรินพูดขึ้นแล้วส่งยิ้มให้แล้วเดินจากไป

ไม่รู้เหตุผลของผู้ชายคนนี้เลยจริงๆนะว่าเขาคิดอะไรอยู่

 

หลังจากที่ฉันรับอาหารเหลวชนิดหนึ่ง แล้วฉันก็ไปกินบนโต๊ะบนเตียงที่คิรินจัดไว้ให้ พอกินเสร็จ ฉันก็ไม่รู้วางไว้ที่ไหน จนเดินไปถามเลนาที่อยู่หน้าบันได

“เอ่อ พวกนี้เอาไปไว้ที่ไหนคะ” ฉันถามเลนา

“เอามาให้ดิฉันล้างเองค่ะเจ้าหญิง” เลนาตอบ

“แล้ว อีกเรื่องหนึ่งค่ะ”

“ว่าไงคะ”

“เรียกฉันว่าไวท์เถอะค่ะ เพราะไม่ได้ดูสูงส่งซะขนาดนั้นเลยค่ะ เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆที่ตามมากับคนอื่นเท่านั้นเองค่ะ”

“งั้นฉันเรียกว่า คุณหนูไวท์ แทนได้ไหมคะ”

“เอ่อ... ได้ค่ะ”

แต่มันจะดีหรอนั่น เรียกไวท์ก็พอแล้ว

หลังจากนั้น ฉันก็กลับไปนอนต่อ

คิดถึงบ้านจัง... รู้สึกอยากกลับบ้านแล้ว

 

2 วันต่อมา ตอนนี้เหลือแค่ไอแห้งๆเท่านั้น คิดว่าอาการไอนี้คงจะอยู่อีกพักใหญ่ๆ โชคดีที่ฉันเอายาแก้ไอมา แต่ปัญหาติดอยู่ที่ว่า ถ้าสมมติว่ายาหมด จะหาซื้อได้ยังไงนี่แหละ

ฉันเดินออกไปนอกระเบียง ท้องฟ้ายังเป็นสีม่วงเหมือนเดิม มีดวงดาวแต่ไม่มีดวงจันทร์ขึ้น ฉันเริ่มรู้สึกอยากกลับบ้าน จริงๆแล้วฉันเป็นติดบ้านด้วยซ้ำ อยากกลับบ้าน อยากทำพาร์ทไทม์ อยากทำนั่นทำนี่ ฉันอยากถามเรื่องประตูมิติเหมือนกัน

จู่ๆมีมือหนึ่งเข้ามาจับที่ไหล่ของฉัน ก็พบว่าเป็นคิรินที่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว

“เจ้าเป็นอะไรไปรึเปล่า สีหน้าดูเศร้าๆ” คิรินถามฉัน

“แค่อยากกลับบ้านเฉยๆค่ะ”

“ข้าคงไม่แปลกที่เจ้ารู้สึกแบบนั้น” คิรินพูดขึ้น

“เอ่อ แล้วเรื่องประต...” ขณะที่ฉันยังพูดไม่จบ เขาก็เอานิ้วชี้มาปิดที่ปากฉันไว้

“ถ้าเรื่องนั้น ประตูมิติทางตอนเหนือยังไม่เปิดนะ” คิรินพูดขึ้น “กว่าเจ้าจะได้กลับคงอีกพักใหญ่ๆเลย ไม่งั้นก็...”

ฉันนิ่งไป แล้วเกิดความสงสัย

“เอาเป็นว่า เดี๋ยวจะรู้เองแหละ แต่อีกนาน” คิรินพูดขึ้น

“ช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะ” ฉันถามขึ้นแล้วหันกลับไปมองที่ท้องฟ้า

“ต้องมีคู่รักคู่หนึ่งที่แต่งงานกันแล้วทั้งสองคนไม่ได้อยู่เผ่าพันธุ์เดียวกัน แล้ว 3 วัน ประตูใดประตูหนึ่งถึงจะเปิด” คิรินพูดขึ้น “แต่เรื่องแบบนี้มันเร็วเกินไปสำหรับเจ้า ปล่อยให้ประตูเปิดไปตามกาลเวลาดีกว่า”

“ค่ะ” ฉันขานรับแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง แต่...

ถูกผู้ชายคนนั้นรั้งแขนเอาไว้ แล้วดึงเข้าไปในอ้อมอกของเขา

“เดี๋ยวค่ะ! จะทำอะไรไวท์คะ!!”

“เดี๋ยวเจ้าก็รู้” เขาพูดขึ้นแล้วยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์

เขาดึงคางฉันขึ้นแล้วจูบที่ปากฉัน ครั้งนี้ดูนานและอ่อนโยนจากครั้งแรกมาพอสมควร

สัมผัสที่คุ้นเคยนี่มันอะไรกัน...

หลังจากนั้น เขาก็ถอนริมฝีปากออกมา มือยังคงกอดฉันอยู่

“ข้าไม่อยากให้เจ้าแยกจากข้าไป” คิรินพูดขึ้น

“หมายความว่ายังไงคะ?”

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ารู้สึกแบบเดียวกับข้ารึเปล่า”

“รู้สึก ยังไงคะ?”

“รู้สึกว่า เป็นมากกว่าคนรู้จักกัน”

หือ? นี่หมายความว่ายังไงกัน

 

หลังจากนั้น คิรินปล่อยให้ฉันพักผ่อนอยู่ที่ห้องนอนของเขา ภาพเมื่อกี๊ยังติดตาอยู่เลย จริงอยู่ที่ฉันอยากกลับบ้าน แต่ฉันกลับรู้สึกว่า เขาคือส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันไปแล้ว ฉันไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรแปลกๆแบบนี้เลย หรือว่าฉันไม่ชินกันแน่

 

ฉันนอนคลุมโปงแล้วเล่น Cookie Run อยู่ในผ้าห่มเพราะอากาศหนาว คือ ไม่ใช่ว่าอากาศหนาวอย่างเดียวนะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น จนกระทั่ง...

“ไง เจ้าปิดผ้าห่มอีกแล้วนะ” คิรินนี่เองที่มาเปิดผ้าห่ม โดยเปิดเฉพาะศีรษะถึงอกเท่านั้น

“ก็มันหนาวนี่คะ” ฉันพูดขึ้นบ้าง

“หรือว่าเรื่องที่เราจูบกัน?”

อย่าถามจี้จุดแบบนั้นสิ อายนะ

“เปล่า! ไม่ใช่นะคะ! ไวท์หนาวจริงๆค่ะ” แล้วฉันก็เปิดโทรศัพท์ดู -5 องศา หนาวมากจริงๆด้วย

“เจ้าอย่าโกหกเลย หน้าแดงเชียวนะ หรือว่าเจ้าชอบข้า”

เอ่อ... เรื่องนี้ขอไม่ตอบได้ไหม

“ถ้าเจ้าไม่ตอบก็แสดงว่าใช่ แล้วจะทำแบบที่ข้าทำก่อนหน้านี้ด้วย”

“เปล่านี่คะ...” ฉันพูดเสียงเบา

“เหมือนเจ้าตอบไม่มั่นใจเลยนะ” คิรินพูดขึ้นแล้วเอามือมาแปะที่หน้าผากของฉัน

“เอ่อ... ไวท์ขอพักผ่อนได้ไหมคะ”

“ได้สิ” คิรินพูดขึ้นพร้อมเอามือออกจากหน้าผาก “ส่วนเรื่องนั้น พร้อมเมื่อไหร่ค่อยบอกนะ ข้าจะรอ”

หลังจากนั้น ฉันปิดผ้าห่มคลุมโปงต่อ

ฉันไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย แต่ต้องอยู่กับมันให้ได้สินะ

  • Like 1
Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.
×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.