Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

[เรื่องสั้น]บันทึกของสาวงาม เล่มแรก


大喬

Recommended Posts

บันทึกของสาวงาม

.....ในยุคสมัยของสามก๊ก นอกจากจะมีเหล่ายอดบุรุษผู้พิชิตใต้หล้าแล้ว ก็ยังมี เหล่าสตรีที่สามารถพิชิตใจเหล่ายอดบุรุษเหล่านั้นอีกหลาย หนึ่งในนั้น คงหนีไม่พ้น สองพี่น้องสาวงามแห่งลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง ที่ถูกขนานนามว่า สองเกี้ยว.....

ชีวิตของหญิงงามมักด้อยวาสนา

คำพูดนี้ทำให้ข้านึกถึงเรื่องราวของแม่นางเตียวเสี้ยนจริงๆ หญิงสาวผู้ต้องใช้ความสุขของตัวเอง ไปแลกกับความสุขของบ้านเมือง ถ้าเป็นข้า ข้าก็คงทำไม่ได้เช่นนาง เพราะความฝันของข้านั้น คือ การแต่งงานกับผู้ชายดีๆ สักคน ไปใช้ชีวิตสร้างบ้านหลังน้อยริมแม่น้ำ กลางวันออกไปทำไร่หาปลา กลางคืนบรรเลงดนตรีชมหิ่งห้อยริมแม่น้ำ มีลูกชายหญิงสี่ห้าคน และมีชีวิตครอบครัวที่เป็นสุข ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของบ้านเมือง

ที่จริงข้าเองก็คิดจะทำตามความฝันของข้า แต่ว่า.....ตั้งแต่ข้าได้รู้จัก กับผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่แม้ว่าจะเป็นคนดี แต่ว่ามีชีวิตส่วนใหญ่ในสนามรบ ทำศึกแย่งชิงดินแดนอยู่ทุกวี่วัน ฝีมือการรบของเขาเป็นหนึ่งในดินแดนภาคใต้ บิดาของเขาก็ยังเป็นคนที่บิดาข้าและตัวข้านับถือ

ถึงแม้ว่าข้าจะโชคดีได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขา แต่มันก็เป็นเวลาที่ไม่นานนัก แค่นั้นข้าก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว ความทรงจำระหว่างข้ากับเขา ข้ายังจดจำมันได้ ตั้งแต่วันแรกที่พบ จนวันสุดท้ายที่จากลา มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด

ข้ายังจำวันวานเหล่านั้นได้ดี โดยเฉพาะวันแรกที่ข้าได้พบกับเขา มันเป็นวันที่ฝนตกพร่ำๆ ยาวนานมาหลายวัน ตัวข้านั้นกำลังนั่งตรวจสอบบัญชีอยู่ในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ

^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^

คุณหนูใหญ่เจ้าคะ พักผ่อนบ้างเถอะเจ้าค่ะ

ป้าหยง แม่บ้านของตระกูลข้า ที่เข้ามาทำความสะอาดห้องทำงานในตอนเช้า เอ่ยกับข้าด้วยความเป็นห่วง เพราะนางเห็นข้านั่งตรวจบัญชีการค้าของท่านพ่อมาตั้งแต่วันก่อน

ไม่เป็นไรหรอกท่านป้า ยังเหลือบัญชีที่ยังไม่ตรวจสอบอีกสองสามเล่ม ข้าต้องการตรวจสอบให้เสร็จก่อนจะส่งไปให้ท่านพ่อ

ข้าตอบกลับไปโดยสายตายังคงตรวจหาความผิดพลาดของบัญชีอยู่

ความจริงแล้ว เรื่องตรวจสอบบัญชี ก็ให้บ่าวคนอื่นทำก็ได้นี่เจ้าคะ คุณหนูใหญ่ไม่จำเป็นต้องมาตรวจสอบด้วยตนเองแบบนี้เลยนี่เจ้าคะ

คำพูดของนางทำให้ข้าต้องละสายตาจากบัญชี

จำเป็นสิท่านป้า สักวันหนึ่ง หากท่านพ่อข้าไม่อยู่ กิจการทั้งหมดของท่าน ข้าซึ่งเป็นลูกคนโต คงได้ดูแลต่อ ฉะนั้นแล้ว ข้าฝึกหัดตรวจบัญชีไว้ ก็ไม่เสียหายนี่

ข้าตอบกลับไปตามความคิดของข้า

ป้าหยงส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะตอบมาว่า

ถ้าเช่นนั้น ป้าจะจัดเตรียมอาหารว่างมาให้นะเจ้าคะ

แล้วนางก็กลับออกไป ข้าก็ไม่ได้สนใจอะไรนางอีก ก้มหน้าก้มตาตรวจสอบบัญชีต่อ ไม่นานนัก ป้าหยง ก็กลับเข้ามาพร้อมน้ำชากับขนม

อ้อ....ที่ข้าต้องมานั่งตรวจบัญชีได้อย่างนี้ เพราะพ่อของข้าออกไปตรวจดูกิจการสาขาย่อย ที่ต่างเมือง ตั้งแต่เดือนก่อน ส่วนกิจการของที่นี่ มอบหมายให้ จั่วเฉิง คนสนิทของท่านดูแล ซึ่ง จั่วเฉิง ผู้นี้เองก็เป็นคนที่สอนวิชาการค้า การทำบัญชีให้แก่ข้า อีกทั้งยังเป็นคนแนะนำให้ข้ามาช่วยตรวจสอบบัญชีการค้านี่ด้วย

จั่วเฉิง เขาเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่ข้าต้องการแทบทุกอย่าง หน้าตาก็หล่อเหลา นิสัยก็ดี มีความสามารถรอบด้าน เสียอย่างเดียว เขามีภรรยาแล้ว ซ้ำยังไม่สนใจหญิงอื่นอีกด้วย เฮ้อ~ น่าเสียดายๆ

ไม่ได้ๆ จั่วเฉิง ถือเป็นญาติผู้ใหญ่ของเรา เราจะคิดอะไรเกินเลยกับเขาไม่ได้เป็นอันขาด แถมอายุเขายังมากกว่าข้าเกือบสิบปี คนที่ข้าสมควรคิดเกินเลยด้วย ควรจะเป็นหนุ่มโสดไร้คู่ครอง อายุมากกว่าข้านิดหน่อย

แย่ล่ะสิ นิสัยเสียนี่กำเริบอีกแล้ว ข้าน่ะ เป็นคนที่ว่า หากง่วงมากๆ แล้วมักคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย อืม...จะว่าไป รู้สึกว่าตัวอักษรในหนังสือ มันเยอะขึ้นแฮะ หนังตาก็เริ่มหนักมากๆ เสียแล้วสิ

เห็นทีข้าคงต้องพักสักหน่อยล่ะ.....

.......................................

..............................

....................

...........

.....

..

.

พี่ใหญ่~~

เสียงใสๆ ของเด็กสาวที่คุ้นหู ดังขึ้นที่ด้านนอกห้องทำงาน ทำให้ข้าต้องลืมตาตื่นขึ้นจากกองบัญชี

เด็กสาวหน้าตาน่ารักในชุดผ้าไหมส้มอ่อนๆ เปิดประตูห้องเข้ามาหาฉุดร่างของข้าให้ออกไปด้านนอก เด็กสาวคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นางก็คือ เสี่ยวเกี้ยว น้องสาวของข้าเอง

อ้อ...เริ่มเล่ามาตั้งนานแล้ว ลืมแนะนำตัวไปเลย ข้าชื่อ ไต้เกี้ยว เป็นลูกสาวคนโตของเกี้ยวกง พ่อค้าใหญ่รายหนึ่งของภาคใต้ ที่จริงแล้ว เราสองพี่น้องไม่ได้มีชื่อที่แท้จริง ไต้เกี้ยว และ เสี่ยวเกี้ยวเป็นเพียงชื่อที่ผู้คนนิยมเรียกเท่านั้น

พี่ใหญ่ๆ ฝนหยุดตกแล้ว เห็นสายรุ้งด้วย ออกมาดูเร็วๆ สิ

ถึงจะยังง่วงๆ อยู่ก็เถอะ ข้าเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ปล่อยให้นางพาออกมาด้านนอก

ฝนหยุดตกแล้ว เมฆฝนจางหายไปด้วย ท้องฟ้าเปิดให้แสงแดดยามสายๆ สาดส่องเข้ามาในสวนดอกไม้ในบ้าน ช่างเป็นภาพที่งดงามจริงๆ

เจ้าน้องสาวจอมซนของข้า รีบออกไปวิ่งเล่นในสวนดอกไม้ทันที โดยไม่ใส่ใจว่าชุดผ้าไหมสวยๆ นั่นจะเปื้อน เฮ้อ~ นางนี่นิสัยไม่เปลี่ยนเลย ปีนี้นางอายุสิบหกแล้ว นิสัยยังเป็นเด็กขี้เล่นซุกซนอยู่เลย บ่อยครั้งก็ทำให้ข้าต้องปวดหัวอยู่เสมอๆ

อาจเป็นเพราะเราสองคนพี่น้องกำพร้าแม่มาตั้งแต่ยังเล็ก ท่านพ่อก็ไม่ค่อยได้มีเวลาดูแลพวกเรามากนัก ตัวข้าเองก็อายุมากกว่านางเพียงปีเดียว นางเลยถูกเลี้ยงแบบตามใจไปหน่อย ข้าเคยคิดไว้ว่า ในอนาคตหากนางแต่งงานออกเรือนไป สามีของนางคงต้องปวดหัวเช่นข้าแน่

นี่...น้องหญิงระวังด้วย

ว้าย~~~

พูดไม่ทันขาดคำ เจ้าเสี่ยวเกี้ยวน้องจอมซนของข้าก็วิ่งไปชนชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าซะแล้ว

ในระหว่างที่ข้าเดินเข้าไปดูของน้องสาว เป็นจังหวะพอดีกับชายหนุ่มแปลกหน้าที่ย่อกายลงประครองร่างของน้องสาวข้าพอดี

เจ็บๆๆ เห? เจ้าเป็นใครกัน?

ชายหนุ่มผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา ผมยาวสีดำสนิทดูคล้ายผู้หญิง ท่าทางสุขุม แต่งกายด้วยชุดบัณฑิตสีฟ้าอ่อน เขายิ้มน้อยๆ กุมหมัดเอ่ยว่า

ข้ามัวแต่ชื่นชมดอกไม้งาม ขออภัยที่ข้าชนท่าน

เจ้าบ้านี่!! เดินชมดอกไม้เรอะ!!? ทำไมไม่เอาตามองคนด้วย!!

ดูท่าน้องสาวของข้าคงเอาเรื่องกับชายแปลกหน้าคนนี้แน่ พอนางลุกขึ้นได้ นางมีท่าทีจะเอาเรื่อง ข้าคงต้องรีบไปห้ามแล้ว

ใจเย็นๆ ก่อนน้องหญิง

ไม่!! ข้าจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องท่านพ่อแน่!!

พูดจบนางก็เดินกระฟัดกระเฟียดหายเข้าไปในบ้าน

แปลกแฮะ ปกติแล้วข้าไม่เคยเห็นน้องสาวคนนี้ ถึงนางจะค่อนข้างเอาแต่ใจก็ตาม แต่นางก็ไม่ถึงกับแสดงท่าทีที่ไม่พอใจมากมายอย่างนี้มาก่อนเลย ท่าทางนางคงไม่พอใจกับชายแปลกหน้าคนนี้มาก เอ๊ะ? ถ้าข้าดูไม่ผิด ข้าเห็นนางหน้าแดงด้วย แต่ว่า.....ดูท่าทางของชายผู้นี้แล้ว คงจะเป็นแขกของท่านพ่อ เพื่อไม่ให้ท่านพ่อต้องเสียหน้ามากไป ยังไงข้าก็คงต้องรับหน้าไปก่อนล่ะ

เอ่อ...ข้าก็ต้องขออภัยด้วยที่น้องสาวของข้าเสียมารยาท

ไม่เป็นไรหรอก ข้าเองก็ผิดที่เดินไปชนนาง

เท่าทีดูแล้ว ท่านไม่ใช่คนธรรมดา คงเป็นแขกของท่านพ่อแน่ ไม่ทราบว่า ท่านมีนามว่า?

ข้าน้อยเป็นเพียงคนงานต่ำต้อยจากสกุลซุน มิคู่ควรกับการเอ่ยนาม

ลักษณะใบหน้าที่คล้ายผู้หญิงเช่นนี้ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ชายหนุ่มผู้นี้คงเป็น จิวยี่ กุนซือหนุ่มเลื่องชื่อ ของสกุลซุน เพราะว่าช่วงนี้ มีคนจากสกุลซุนมาเยี่ยมเยือนบ้านข้าอยู่บ่อยๆ นี่ก็คงจะเยี่ยมเยือนพ่อของข้าที่เพิ่งเริ่มให้ความสนับสนุนสกุลซุน

ท่านจะปกปิดฐานะเพื่อทดสอบความรู้ข้าสินะ ดูจากลักษณะของท่านแล้ว ท่านก็คงจะเป็น จิวยี่ กุนซือ ข้างกายของแม่ทัพซุน ที่ลือชื่อในแถบนี้สินะ

ชายหนุ่มผู้นั้นหัวเราะหึๆ กุมหมัดพร้อมตอบกลับมาว่า

ยินชื่อมิเท่าพบพาล นอกจากหน้าตาสละสวยแล้ว คุณหนูใหญ่ยังฉลาดล้ำสมคำร่ำลือจริงๆ มองครู่เดียวก็ทราบว่าข้าเป็นใคร ข้า จิวยี่ นับถือหมดใจจริงๆ

ไม่หรอกคุณชายจิว ชื่อเสียงท่านโด่งดังไปทั่วกังตั๋ง ข้าก็แค่ได้ยินเหมือนที่ชาวบ้านร่ำลือเท่านั้น ไม่ได้ฉลาดล้ำอะไรหรอกท่าน

พอมองหน้าดูใกล้ๆ แล้ว จริงอย่างที่คนเขาว่าจริงๆ จิวยี่ ผู้นี้มีใบหน้าคล้ายกับผู้หญิง สุภาพ อ่อนโยน ผู้คนมักเรียกเขาว่า คุณชายจิวยี่ เคยยินมาว่า นอกจากจะเป็นอัจฉริยะทางการศึกสงครามแล้ว เขายังเป็นอัจฉริยะในด้านดนตรีกวีศิลป์อีกด้วย แถมยังไร้คู่ครอง นับว่าเป็นอีกคนที่ข้าอยากพบสักครั้ง

เจ้าคิดว่าสองพี่น้องคู่นี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ?

พอสิ้นเสียงของ จิวยี่ ก็มีเสียงหัวเราะเข้มๆ ของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นตามมาจากด้านหลังของข้า

ฮ่ะๆๆ น้องเล็กเริงร่าน่ารักสดใส ส่วนพี่ใหญ่ก็ไหวพริบเลิศล้ำ หญิงใดที่มีรูปโฉมงดงามแล้วยังมีลักษณะอย่างที่ว่า ชายใดได้เป็นภรรยา ชายผู้นั้นต้องเป็นผู้โชคดีที่สุดในแผ่นดิน!!

พูดได้ดีนี่ โปวฟู

พอข้าหันกลับไปก็พบกับ ชายหนุ่มเจ้าของเสียงเมื่อครู่นี้ กำลังก้าวออกมาจากบ้าน เขามีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจิวยี่เล็กน้อย หน้าตาหล่อเข้ม บนใบหน้าของเขายิ้มแย้มอยู่เสมอ สวมชุดชาวบ้านสบายๆ

จากที่คุณชายจิวยี่ เรียกคนผู้นี้ว่า โปวฟู ข้าก็พอทราบแล้วว่าเขาเป็นใคร แต่ว่าพอได้พบหน้าเขาแล้ว ข้ารู้สึกแปลกๆ ทันที มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

ท...ท่าน...ค...คือ?

ชายผู้นั้นก้าวเดินมาใกล้ๆ หัวใจของข้าก็เต้นแรงขึ้น ทุกสิ่งรอบรอบตัวพลันขาวโพลนไปหมด ราวกับว่าในสายตาของข้า มองเห็นแต่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น

ถ้าคุณหนูใหญ่หากรู้จัก จิวยี่ ท่านก็ย่อมรู้จักข้า ซุนเซ็ก ด้วยสินะ

เป็นเขาจริงๆ ด้วย คนผู้นี้คือ ป้าอ๋องน้อย ซุนเซ็ก บุตรชายคนโต ของ พยัคฆ์กังตั๋ง ซุนเกี๋ยน คนผู้นี้ เป็นคนที่ข้าอยากพบหน้ามากพอๆ กับ คุณชายจิวยี่ เลยทีเดียว ทว่า....ตอนนี้ข้าทำอะไรไม่ถูกแล้ว ยิ่งเขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ขาของข้าก็ถอยเองโดยอัตโนมัติ

อ่า....

เป็นอะไรไป? หืม?

คำถามของเขา ข้าเองอยากจะตอบไปในทันที แต่ว่า ข้ารู้สึกว่าภาพรอบตัวมันพร่ามัว ชอบกล ราวกับว่ามันกำลังจะดับวูบไปอย่างไรอย่างงั้น

อ๊ะ!! ไม่นะ ท่านซุนเซ็ก แม้แต่ภาพของท่าน ก็ยังพร่ามัวไปด้วย ข้ายังไม่ได้พูดคุยอะไรกับท่านเลย.ข้า...ไม่ไหว...แล้ว

คุณหนูใหญ่!!

.......................................

..............................

....................

...........

.....

..

.

ข้ารู้สึกตัวอีกครั้งบนเตียงนอนในห้องของตัวเอง แสงแดดอ่อนๆ สีส้มส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง นี่คงเป็นเวลาเย็นแล้ว อา.....นี่ข้าเป็นอะไรไปกันล่ะนี่ มีใครบอกข้าได้บ้าง

ถ้าเถ้าแก่เกี้ยวไม่มีอะไรแล้ว ข้าน้อยต้องขอตัวก่อนล่ะ

อืม..ขอบคุณท่านหมอมาก เด็กๆ ไปส่งท่านหมอด้วย

มีเสียงคนอยู่ด้านนอก ข้าตัดสินใจลุกออกจากเตียง ไปดู พอเปิดประตูออกมาเป็นจังหวะพอดีกับที่มีคนจากด้านนอกเปิดมาพอดี

อ้าว? เจ้าใหญ่ ฟื้นแล้วเรอะ?

เป็นท่านพ่อของข้านี่เอง ข้าเห็นหลังไวๆ ของหญิงชรา ที่เดินจากไปพร้อมกับคนงาน คิดว่านางคงน่าจะเป็นคนที่ท่านพ่อพูดคุยด้วยเมื่อครู่

ท่านพ่อ นี่ข้าเป็นอะไรไป?

เจ้าแค่พักผ่อนไม่เพียงพอ พอออกไปเดินด้านนอก ก็เลยเป็นลมไป แต่ว่าเจ้านี่จริงๆ เลย ใครใช้ให้เจ้าอดหลับอดนอนตรวจสอบบัญชีล่ะ หือ!! กลับไปเตียงของเจ้าเดี๋ยวนี้เลย ไป!!

น้ำเสียงดุๆ ของท่านพ่อยังคงแฝงด้วยความห่วงใยเสมอ ข้าเองก็ต้องทำตัวเป็นเด็กดีเดินกลับไปยังเตียงนอน พอข้ากลับถึงเตียง เห็นท่านก็กำลังจะเดินจากไป

ว่าแต่...ท่านพ่อ ท่านแม่ทัพซุนมาเยี่ยมบ้านเราเหรอ? แล้วเขามาทำไมกัน?

ท่านพ่อหันกลับมายิ้ม

พ่อเชิญเขามาเอง

พูดจบแค่นั้นท่านก็เดินจากไป โดยไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติมอีก

เอ๊ะ? จะว่าไป ฐานะของซุนเซ็ก ก็ถือว่าสูงเกินกว่าที่จะต้องเดินทางมาเยี่ยมเยือน สกุลเกี้ยวของเรา แล้วก็รากฐานดินแดนง่อ ก็ยังไม่เรียบร้อยนัก ยังมีพวกกบฏชาวบ้านที่ยังไม่ยอมสวามิภักดิ์อีกเป็นจำนวนมาก คงไม่มีเวลามากพอที่จะมาเยือนบ้านของเราเสียด้วยซ้ำ ที่เขามาเองนี่คงมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แล้วมันเรื่องอะไรกันนะ?

คิดมากไปก็ชวนปวดหัวเสียเปล่าๆ นอนพักต่ออีกสักหน่อยดีกว่า

................

.....

..

นอนไม่หลับแฮะ...

พอหลับตาลงแล้ว ใบหน้าของท่านซุนเซ็กก็ลอยเข้ามาในห้วงความคิดซะนี่ ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะกลับไปแล้วหรือยังนะ?

เป็นซะอย่างนี้ใครเล่าจะหลับตาลง เฮ้อ~

.....

..

.

พี่ใหญ่!! พี่ใหญ่!! แย่แล้ว!! แย่แล้ว~~!!!

อา...เพิ่งหลับตาไปได้ครู่เดียว เจ้าเสี่ยเกี้ยวน้องสาวตัวดี ก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาในห้องซะแล้ว

มีอะไรเหรอ? น้องหญิง

ดูสีหน้าและท่าทางของนางแล้ว คงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ เพราะตั้งแต่เด็กจนโตท่าทางที่แตกตื่นของน้องสาวข้าคนนี้ นานๆ จะมีสักครั้ง และมันก็เป็นเรื่องใหญ่ใหญ่จริงๆ ทั้งเรื่องเกิดสงครามใกล้ๆ หรือไม่ขบวนการค้าของท่านพ่อถูกปล้น

ท่านพ่อจะให้พวกเราสองคนแต่งงาน!!

หา? ว่าอะไรนะ? เราสองคน?

ใช่แล้วล่ะ พี่ใหญ่ ข้าได้ยินมาไม่ผิดแน่

นับว่าเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ตัวข้าเองเคยทำใจอยู่บ้างแล้ว ในเรื่องการแต่งงาน ถึงแม้จะต้องแต่งงานกลับชายที่ไม่ได้รักชอบ แต่หากท่านพ่อเลือกไว้ ข้าก็คงต้องยอมรับโดยไร้ข้อโต้แย้ง แล้วทำหน้าภรรยาให้แก่ชายผู้นั้น ส่วนเจ้าเสี่ยวเกี้ยวน้องสาวของข้า ข้าคิดว่านางคงไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นแน่

แล้วท่านพ่อให้พวกเราแต่งงานกับใคร?

พอข้าถามกลับ เจ้าน้องสาวตัวดีก็อ้ำอึ้งไปพักหนึ่ง

เอ่อ...อ่า..ข้าไม่รู้หรอก แต่เมื่อครู่ข้าแอบได้ยินท่านพ่อคุยกับใครไม่รู้อ่ะ

หรือว่าจะเป็นท่านซุนเซ็ก? ไม่ๆ ยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะตัดสินได้ว่าเป็นท่านซุนเซ็ก

แล้วลักษณะของคนที่ท่านพ่อคุยด้วย เป็นอย่างไรล่ะ?

ก็...เป็นผู้หญิงมีอายุหน่อย คิดว่าอายุคงน้อยกว่าท่านพ่อนะ

แค่นั้น?

ไม่ๆ มีผู้ชายท่าทางอารมณ์ดี แล้วก็ยังมีเจ้าบ้าที่ข้าชนเมื่อตอนเช้านั่นด้วย!!

หมายถึง คุณชายจิว?

ข้าคิดว่าคงเป็นแม่สื่อที่ตระกูลไหนสักตระกูลวานมาล่ะมั้ง ที่มาสู่ขอข้ากับน้องสาว นี่ถือว่าเป็นเรื่องน่าแปลกมากเลยทีเดียว ก่อนหน้านี่ก็มีคนมาสู่ขอตัวข้าและน้องสาวมากมาย แต่ว่าท่านพ่อก็ปฏิเสธไปทั้งหมด เอ๊ะ? คุณชายจิวยี่ก็ยังอยู่ด้วย หรือว่า? ผู้ชายอารมณ์ดีนั่น?

ท่าทางของเจ้านั่นน่าหมั่นไส้จริงๆ เป็นผู้ชายอะไรน่าตาคล้ายผู้หญิงแล้วยังร้องเพลงดีดพิณได้อีก ก่อนจะที่ท่านพ่อจะมาคุยด้วย ข้าเห็นเขาทั้งร้องทั้งเล่น เป็นผู้ชายจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้

หืม? ไม่เห็นจะแปลก ได้ยินมาว่า คุณชายจิว เกิดในตระกูลผู้ดีเก่า เขาได้เรียนทั้งศิลปะหลายหลากแขนงทั้งบุ๋นและบู๊มาตั้งแต่เด็ก ไม่แปลกหรอกที่เขาร้องเพลงดีดพิณได้

ฮึ!! แต่ดูยังไงก็ไม่ค่อยสมกับชายชาตรีเอาซะเลย!!

น้ำเสียงของเจ้าเสี่ยวเกี้ยวฟังดูหงุดหงิดเมื่อข้าเอ่ยถึงคุณชายจิวยี่ แต่ข้าเห็นใบหน้าที่แดงขึ้นของนางเหมือนกับตอนที่พบคุณชายจิวยี่ครั้งแรก ข้าก็พอรู้อะไรบางอย่างซะแล้วสิ

นี่น้องหญิง ทำไมเจ้าถึงหน้าแดงเล่า เอ๊ะ? หรือว่าเจ้า?

ข..ข..ข้าไม่ได้ตกหลุมรักเขานะ!!

ฮ่ะๆๆ

ใบหน้าของนางยิ่งแดงขึ้นไปอีก ถึงจะปากจะบอกว่าไม่ก็เถอะ แต่ท่าทางของนางก็บอกแล้วว่าตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงอย่างนี้ ยิ่งทำให้ข้าอดหัวเราะออกมาไม่ได้

โธ่ พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้คิดอะไรจริงๆ นะ

ข้าก็ยังไม่ว่าอะไรซะหน่อย เจ้าก็คิดไปเองแล้ว

พี่ใหญ่ แล้วพวกเราจะทำอะไรต่อไปดีล่ะ?

นางรีบเปลี่ยนเรื่องทันที คงกลัวว่าข้าจะพูดอะไรแทงใจดำอีก ท่าทางของนางตอนนี้คงยังไม่อยากแต่งงานตอนนี้แน่ แต่ก็เอาเถอะ ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าใครจะเป็นเจ้าบ่าวของเราสองพี่น้อง หวังว่าคงจะเป็นคนที่ข้าคิด

ยังไงก็รอให้ท่านพ่อคุยธุระเสร็จก่อน หลังจากนั้นเราค่อยไปถามให้รู้เรื่องกันเถอะ

................

.....

..

ในตอนค่ำนั้นเอง ข้ากับน้องสาว ก็เข้ามาถามท่านพ่อเรื่องการแต่งงาน ซึ่งท่านตอนนี้ท่านคงทำงานอยู่ที่ห้องทำงานของท่านกับจั่วเฉิงแน่

ท่านพ่อ~~~

น้องหญิงรีบถลาตัวเข้าไปหาท่านพ่อทันที ที่เปิดประตูเข้าไป

มากันแล้วเรอะ

ผิดคาดแฮะ ท่านกลับนั่งอ่านหนังสืออยู่ ดูเหมือนว่าท่านรู้อยู่แล้วว่าพวกเราจะมา แล้วกำลังรอการมาของพวกเราด้วย

มีเรื่องอะไรเรอะ เจ้าเล็ก?

ท่านพ่อถามน้องสาวข้าก่อน เพราะนางกำลังสวมกอดท่านพ่ออยู่ ด้วยท่าทางออดอ้อน

เอ่อ...อา...คือ...

ท่าทีออดอ้อนของเจ้าสาวตัวดีของข้าสงบไปทันทีที่ได้ยินคำถามของท่านพ่อ ข้าเลยต้องเป็นฝ่ายถามแทน

คือท่านพ่อ พวกเราอยากรู้ว่า ใครจะมาเป็นเจ้าบ่าวของเราสองคน

รู้เรื่องกันไวจริงนะ ฝีมือเจ้าเล็กสินะ

ท่านพ่อพูดพลางหันมาทางน้องสาวของข้า ซึ่งนางได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ

หึหึ เข้ามานี่ก่อนสิ เจ้าใหญ่ มาให้พ่อกอดหน่อย

ท่านพ่อหัวเราะเบาๆ แล้วเรียกข้าเข้าไปใกล้ๆ ซึ่งข้าก็เดินเข้าไปกอดท่านอีกด้าน พอข้ากอดท่าน ท่านก็เลื่อนมือมาโอบเราสองพี่น้อง

นานแค่ไหนแล้วนะ ที่พ่อไม่กอดลูกทั้งสองแบบนี้

ท่านพ่อเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ทำให้เราสองพี่น้องรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากอ้อมกอดของผู้เป็นพ่อ ที่ห่างหายมานาน

อา...ข้าจำได้...ก็ตั้งแต่ท่านแม่จากไป เมื่อสิบปีก่อน

อืม...นั้นสินะ หลังจากที่แม่ของพวกเจ้าตาย พ่อเองก็พยายามดูแลพวกเจ้าทั้งสองอย่างดีมาโดยตลอด ซึ่งคงจะพอให้วิญญาณของนางบนสวรรค์มีความสุข

เราสองพี่น้องนิ่งเงียบ คิดถึงการจากไปแบบไม่มีวันกลับของท่านแม่ สองแขนโอบกอดท่านพ่อแน่นมากยิ่งขึ้น จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ๆ

หึหึ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า พวกเจ้าทั้งสองคงอยากรู้สินะว่าใครจะมาเป็นเจ้าบ่าวของพวกเจ้าทั้งสอง

ใช่ คุณชายจิวกับแม่ทัพซุน หรือไม่ล่ะท่านพ่อ?

ถูกต้องแล้ว

เป็นคนที่ข้าคิดจริงๆ ด้วย ท่านซุนเซ็ก กับคุณชายจิวยี่ คือเจ้าบ่าวของพวกเราสองพี่น้อง แต่ทว่าข้าจะได้แต่งกับใคร เป็นคุณชายจิวยี่ หรือท่านแม่ทัพซุนเซ็ก หรือว่าเราสองพี่น้องจะแต่งงานกับผู้ชายคนเดียวกัน?

หรือว่าพวกเจ้า ไม่ชอบผู้ชายที่พ่อเลือกให้?

เอ่อ..ไม่ใช่อย่างนั้น

เราสองพี่น้องตอบพร้อมกัน แต่พอน้องสาวข้าตอบเสร็จนางก็หลบหน้าทันที ถึงนางจะขี้เล่นซุกซน แต่นิสัยจริงๆ แล้วนางเป็นคนที่ขี้อายมาก ข้าก็ต้องรีบตอบต่อทันที

ค..คือ พวกเราอยากรู้ว่า ท่านพ่อจะให้ใครแต่งกับใคร หรือให้แต่งกับผู้ชายคนเดียวกัน?

พอท่านพ่อได้ฟังคำพูดของข้า ท่านก็หัวเราะเบาๆ

หึหึ เรื่องนี้ข้าได้ให้ทางฝ่ายนั้นตัดสินใจเอง ส่วนจะให้แต่งงานกับผู้ชายคนเดียวนั้นคงจะไม่ใช่แน่ พรุ่งนี้ พวกเขาจะมาให้คำตอบเอง ว่าใครจะได้แต่งงานกับใคร เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ไปนอนกันเถอะ พรุ่งต้องเริ่มเตรียมการงานแต่งของพวกเจ้าอีก อ่อ...แล้วก็อย่าตื่นสายเชียวล่ะ เรื่องนี้เกี่ยวกับหน้าตาพ่อด้วย

เรื่องการแต่งงานเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ข้าและน้องสาวคงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าภาวนาว่าข้าจะได้แต่งงานกับคนที่ข้ารัก

................

.....

..

ในตอนดึกคืนนั้นเอง ข้ารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ตื่นเต้นเสียจนไม่อาจข่มตาให้หลับได้ ส่วนเจ้าเสี่ยวเกี้ยว นอนเงียบไปนานแล้ว ข้าเลยออกมาเดินเล่นในสวนดอกไม้ภายในบ้าน

คืนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ดวงจันทร์แม้ไม่เต็มดวง แต่ก็พอให้แสงสว่างจนไม่ต้องพึ่งแสงไฟ อา...บรรยากาศช่างดีเหลือเกิน

ไม่ทราบว่าคุณหนูออกมาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้?

ในระหว่างที่ข้ากำลังชื่นชมกับบรรยากาศ เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของข้า พอข้าหันกลับไปก็พบกับคุณชายจิวยี่ กำลังเดินเข้ามาพอดี

ข้าแค่นอนไม่หลับเท่านั้น เลยออกเดินเล่นให้รู้สึกง่วงเท่านั้น แล้วคุณชายจิวล่ะ ออกมาทำไม?

ข้าก็เหมือนคุณหนูใหญ่ล่ะ

คุณชายจิวยี่เดินเข้ามาใกล้ ถึงแม้ใจข้าจะมอบให้ท่านซุนเซ็กไปแล้วตั้งแต่แรกเห็น แต่สำหรับคุณชายจิวยี่ กลับมีความรู้สึกที่แปลกๆ ตั้งแต่พบกันครั้งแรก

คุณหนูใหญ่คงคิดมากเรื่องการแต่งงานสินะ

คำถามของเขาราวกับรู้ความคิดข้า ข้าได้แต่เพียงพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วเลือนสายตาไปมองสวนดอกไม้ เลี่ยงที่จะมองใบหน้าของเขา

ความจริงแล้ว ข้าเองก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ถึงข้าจะเตรียมใจไว้นานแล้วก็เถอะ แต่พอถึงเวลาจริงๆ มันก็เป็นเช่นนี้ล่ะ

คุณชายจิวยี่พูดขึ้น สภาพภายนอกข้าจะอยู่สงบนิ่ง ในใจกลับสะดุ้งเฮือก ค่อยๆ หันกลับมา

คุณชายจิวกับท่านแม่ทัพซุน มาดูตัวเราสองพี่น้อง เมื่อตอนกลางวันข้าได้ฟังท่านแม่ทัพซุนแสดงความเห็น แล้วทางคุณชายจิว คิดยังไงกับตัวข้าและน้องสาวล่ะ?

จบคำถามของข้า คุณชายจิวยี่ ก็เงยหน้ามองดวงจันทร์ เขาหลบเลี่ยงที่จะมองข้าระหว่างให้คำตอบ

อืม...สำหรับคุณหนูใหญ่ ท่านนอกจากความงดงาม สุภาพเรียบร้อยแล้ว ท่านยังมีความรับผิดชอบ ความรู้และไหวพริบสูง เห็นแก่เรื่องส่วนรวมมากกว่าเรื่องส่วนตัว ด้านคุณหนูเล็ก แม้ว่าจะงดงามไม่แพ้คุณหนูใหญ่ แต่กลับมีนิสัยขี้เล่น ซุกซน เอาแต่ใจ แตกต่างกับคุณหนูใหญ่ราวกับไม่ใช่พี่น้องกัน

ถูกอย่างที่คุณชายพูดแล้ว แต่ว่ายังไงนางก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของข้านะ ถึงจะมีนิสัยแย่ๆ อย่างนั้น แต่ลึกๆ แล้วนางเป็นคนขี้อายมากนะ แค่ปากไม่ตรงกับใจเท่านั้น

จบคำเราทั้งสองก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน คำพูดของคุณชายจิวยี่ถูกต้องทั้งหมด หากฟังดูโดยผิวเผินแล้ว เขาคงจะตัดสินใจเลือกข้าเป็นเจ้าสาวในวันพรุ่งนี้ แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกได้ว่าคุณชายจิวยี่จะไม่เลือกข้าอย่างแน่นอน ด้วยเหตุผลอะไรนั้น ข้าเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็เพียงพอจะทำให้ข้าสบายใจขึ้นมาก

ได้พบและพูดคุยกับคุณหนูใหญ่คืนนี้ ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นมากจริงๆ ตอนนี้คงขอตัวไปนอนก่อนล่ะ หลังจากพรุ่งนี้ไป ข้าคงต้องฝากท่านแล้วล่ะ

ยินดีเสมอ ข้าก็คงต้องฝากท่านด้วยล่ะ ราตรีสวัสดิ์นะ คุณชายจิว

เช่นกัน คุณหนูใหญ่

ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมข้ารู้สึกแปลกๆ กับคุณชายจิวยี่ นั่นเป็นเพราะข้ารู้สึกเหมือนได้เจอตัวเองในรูปลักษณ์ของผู้ชายเข้าแล้ว และในมุมกลับกัน ข้าก็คิดว่า คุณชายจิวยี่เองก็คิดเหมือนกันกับข้า

เอาล่ะ เมื่อคุณชายจิวยี่ไปนอนแล้ว ตัวข้าก็คงต้องไปนอนบ้างล่ะ

.................................................................

....................................................

......................................

................

.......

...

.

Link to comment
Share on other sites

เอาล่ะ!! ถึงตาข้าบ้างแล้วนะ ข้าคือ เสี่ยวเกี้ยว ในช่วงนี้ ข้าจะรับหน้าที่เล่าเรื่องของเราสองพี่น้องแทนพี่ไต้เกี้ยวเอง~

เห? เดี๋ยวก่อนสิ น้องหญิง

อย่าเพิ่งห้ามข้าสิ งั้นเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ก่อนอื่น ก็ต้องของย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ในตอนที่ท่านพ่อพาผู้ชายสองคนมาดูตัวเราสองพี่น้อง ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นชีวิตที่แสนเศร้าของเราพี่น้อง

น้องหญิง.....

เมื่อก่อนข้าไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับผู้ชายทั้งสองคนเลย ทั้งพี่ซุนเซ็ก และก็พี่จิวยี่ (จริงๆ แล้ว ตั้งแต่หลังแต่งงานมา ข้าก็เรียก ชื่อรองของพวกเขามากกว่า แต่ไม่ให้งงๆ ดังนั้น ข้าต้องเรียกชื่อหลักของเขาละกัน) จนหลังแต่งงาน ข้าถึงได้รู้จักตัวตนของพวกเขา อ๊ะ!! ลืมอีกแล้ว ไต้เกี้ยว พี่สาวข้า ได้แต่งงานกับ พี่ซุนเซ็ก ส่วนข้านั้น ก็ได้แต่งงานกับ พี่จิวยี่ ส่วนเหตุผลที่เจ้าบ่าวทั้งสองของพวกเราถึงเลือกจะแต่งงานกับใคร ข้าจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน

เฮ้อ~ ตามสบายก็แล้วกัน

^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^

อือ...

ในตอนเช้าของวันเลือกตัว มันเป็นเช้าที่อากาศดีจริงๆ ถึงเมื่อคืนจะรู้สึกตื่นเต้น แต่ก็หลับสนิทตามปกติดี เอ๊ะ? นี่พี่สาวข้านี่ นางกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างสบายใจบนโต๊ะกลางห้อง อ้อ!! ลืมบอกไป ตอนนั้นเราพี่น้องยังนอนห้องเดียวกันอยู่

นี่น้องหญิง รีบอาบน้ำแต่งตัวเร็วเถอะ สายแล้วนะ

หว๋า~ พี่ใหญ่แต่งตัวเสร็จแล้ว ต้องรีบแล้ว ให้ตายเถอะ ท่านพ่อก็เตือนไว้แล้ว ข้าก็ยังตื่นสายอีกจนได้

ข้าจัดการตามที่พี่ใหญ่บอกทันที แล้วมาแต่งตัวด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้งโดยให้พี่ใหญ่ช่วยแต่งหน้าทำผม ข้าสังเกตมาตลอด และอดที่จะสงสัยไม่ได้ ทำไมพี่ใหญ่ถึงดูจะไม่ตื่นเต้นกับเรื่องใหญ่ๆ อย่างนี้เลย

นี่พี่ใหญ่ ข้าขอถามอะไรหน่อยสิ

หือ? ว่ามาสิ

เอ่อ...ทำไมท่านดูไม่ตื่นเต้นหรือกังวลอะไรเลย? นี่เราสองคนจะต้องแต่งงานแล้วนะ

ข้ามองหน้าพี่สาวผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ใบหน้าของนางยังคงยิ้มแย้มสบายๆ

ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ เราเป็นผู้หญิงนะ เรื่องแต่งงานออกเหย้าออกเรือนก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว

เอ่อ...เรื่องนั้น...มันก็จริงอยู่....แต่ว่า...

ข้ากังวลเรื่องที่ข้าตกหลุมรักพี่จิวยี่ตั้งแรกเห็นนี่ล่ะ ที่เป็นปัญหาใหญ่ คือข้ากลัวจะได้ไม่ได้แต่งงานกับเขา แต่ว่าจะบอกพี่ใหญ่ไปก็กระไรอยู่

เหมือนพี่สาวคนเก่งของข้าจะมองข้าออก นางหัวเราะเบาๆ

ฮิๆ เจ้ากลัวไม่ได้แต่งงานกับคุณชายจิวงั้นเหรอ?

พี่ใหญ่ นี่ข้าจริงจังนะ

พี่สาวของข้ายังคงหัวเราะต่อ คราวนี้ นางยิ่งหัวเราะดังขึ้นไปอีก

ฮ่ะๆๆๆ ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้วสินะ ว่าเจ้าตกหลุมรักคุณชายจิว

ข้าไม่ได้ตอบออกไปได้แต่พยักหน้ายอมรับช้าๆ ข้าไม่เคยปกปิดอะไรนางได้เลย นางคือพี่สาวคนเก่งที่รู้ใจข้าดีที่สุด ที่ข้ากลัวการแต่งงานก็เป็นเพราะส่วนหนึ่ง ข้ากลัวว่าข้าจะไม่ได้คนที่เหมือนพี่สาวคนนี้ แต่สำหรับคนที่ข้าหลงรัก มันก็ยากที่จะตัดสินใจจริงๆ

มือเรียวบางของพี่สาวคนเก่งของข้า ตบที่บ่าของข้าเบาๆ

ไม่ต้องคิดมากไปหรอก เจ้าได้แต่งกับคุณชายจิวแน่ๆ เชื่อพี่สิ

ดูพี่ใหญ่จะมั่นใจกับพูดขอตัวเองเหลือเกิน แต่ว่าผลออกมาไม่ถูกใจข้าละก็ รับรองได้เลยว่าข้าอาละวาดนางเละแน่ ระหว่างนั้น ท่านป้าหยงก็เปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง

คุณหนูเจ้าคะ นายท่านให้มาตามแล้วเจ้าค่ะ

ป้าหยงมาตามแล้ว เราก็ไปกันเถอะ ป่านนี้ท่านพ่อกับเจ้าบ่าวของพวกเราคงรอกันนานแล้ว

.......

...

.

หลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ป้าหยงเดินนำเราสองพี่น้องไปยังเรือนรับแขกใหญ่ สถานที่ที่ท่านพ่อจัดเตรียมไว้ เพื่อสำหรับการเลือกคู่

ขออภัยที่มาช้าเจ้าค่ะ ว่าที่เจ้าสาวของงานมาถึงแล้ว

ป้าหยงเอ่ยเปิดตัวเราสองพี่น้องทันทีที่เดินเข้ามาในเรือนรับแขก โดยมีพี่สาวของข้าเดินตามไปติดๆ มีเพียงข้าที่หยุดอยู่ด้านหน้าห้อง

ขอพูดจากใจเลยนะว่า วันนี้ข้าตื่นเต้นมาก ในหัวมันขาวโพลนไปหมดเลย ให้ตายเถอะ มันตื่นเต้นซะยิ่งกว่าตอนท่านพ่อรู้ว่าข้าทำแจกันราคาแพงของท่านแตกเสียอีก

พี่สาวของข้าคงไม่เห็นว่าข้าตามเข้าไปนางจึงออกมาตาม

เป็นอะไรไป? รีบเข้ามาเร็วๆ เถอะ

จู่ๆ ความตื่นเต้นเปลี่ยนเป็นความกลัวซะแล้ว ข้าไม่คิดเลยว่า แค่ความตื่นเต้นกับการแต่งงาน จะกลายเป็นความกลัวการแต่งงานไปซะนี่

เอ่อ...พี่ใหญ่ ถ้าถอนตัวตอนนี้ยังทันไหมอ่ะ?

ฮ่ะๆๆ นึกไม่ถึงว่าคุณหนูเล็กจะกลัวการแต่งงาน

เสียงหัวเราะเข้มๆ นี่ ข้าคุ้นหูเสียจริง พอหันกลับไป ก็พบว่าเป็น ท่านซุนเซ็ก ด้านหลังยังมีคุณชายจิวยี่ตามมาอีกคนด้วย แย่ล่ะสิ ดันพูดเรื่องน่าอายออกไปซะแล้ว

นั่นมันเรื่องของข้าน่า ข้าจะกลัวการแต่งงานแล้วมันผิดตรงไหน?

ข้ารีบตอบกลับไปทันที่เพื่อปกปิดความอับอาย

งั้นเหรอ? แย่ล่ะสิ ถ้าคุณหนูเล็กเป็นเช่นนี้ เห็นทีข้าคงต้องหาทางแก้ไขซะแล้ว กงจิน รีบคิดแผนการเร็ว!! ไม่งั้นพวกเราอดแต่งงานแน่!!

ท่านซุนเซ็กหันกลับไปบอกกับคุณชายจิวยี่ที่ยืนสงบอยู่ด้านหลัง ด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่ท่าทางที่เขาทำดูค่อนไปทางติดตลกเสียมากกว่า และข้าคิดว่ามันเป็นมุขที่ขำยากเสียจริง

ฮิๆ

อ้าว? พี่ใหญ่ พี่สาวของข้าเอามาป้องปาก หัวเราะเบาๆ ให้ตายเถอะ นี่พี่สาวของข้าหัวเราะให้มุขฝืดๆ ของท่านซุนเซ็ก หรือนี่?

ไม่ต้องห่วงไปหรอก โปวฟู หากคุณหนูเล็กไม่ยอมแต่งงาน ข้าก็จะทำทุกวิถีทางบีบให้นางยอมแต่งงานเอง

ฮ่ะๆๆ ดี!!

คุณชายจิวยี่ก็รับต่อมุขเข้าขากันดีเหลือเกิน เสียงหัวเราะของพี่สาวข้าเงียบลงไปแล้ว แต่ก็ยังอมยิ้มอยู่

ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกคุณชายจิว ท่านพ่อยกให้พวกเราแต่งงานกับท่านแล้ว เราสองพี่น้องก็ไม่ขัดข้องอยู่แล้ว เอาล่ะ เชิญพวกท่านเข้าไปด้านในกันเถอะ ท่านพ่อคงรอแย่แล้ว

พูดจบพี่สาวของข้าก็เดินเข้าไปด้านใน พร้อมกับคุณชายจิวยี่ และตามท้ายด้วยท่านซุนเซ็ก ให้ตายสิ คำพูดของพี่สาวนี่ เท่ากับบีบให้ข้าต้องเผชิญหน้ากับการแต่งงานอย่างหลีกเลี้ยงไม่ได้

เจ้านี่ เหมือนน้องสาวของข้าเสียจริง

ท่านซุนเซ็กพูดขึ้นขณะที่เดินผ่านหน้าข้าไป นี่เขาคิดอะไรกับข้านี่? แย่ล่ะสิ ถ้าเขาเลือกข้าเป็นเจ้าสาวล่ะก็

เฮ้!!

หว๋าๆๆ แย่แล้วๆๆ เห็นทีข้าต้องรีบหนีแล้ว เหมือนเสียงใครเรียกเราหว่า? ช่างเถอะ รีบเผ่นก่อนดีกว่า ไม่สนอะไรแล้ว ข้ารีบก้าวเท้ายาวๆ จากไป

เจ้าจะไปไหนน่ะ?

พอข้าก้าวจากไปไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดเพราะมีมือใหญ่ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งมาดึงไหล่ของข้าไว้ พอหันกลับหันไปก็พบว่าเป็นท่านซุนเซ็กนี่เอง

เห? ท่านซุน?

ข้าถามว่าเจ้าไปไหน?

ท่านซุนเซ็กเปลี่ยนสรรพนามเรียกข้าสนิทสนมกว่าเดิม แย่ล่ะสิ เขาเริ่มทำตัวให้สนิทกับข้ามากขึ้นแบบ หว๋าๆ ต้องรีบถอนตัวโดยด่วนแล้ว~!!

ข..ข้ารู้สึกไม่สบาย!! ข..ขอตัวไปพักก่อน!!

ข้ารีบสะบัดตัวออก แต่ก็ถูกรั้งกลับอีกครั้ง คราวนี้เขาเอาหลังมือมาแตะหน้าผากข้าอีก

อืม...ตัวก็ไม่ร้อน ท่าทางเจ้าก็ดูไม่เป็นอะไรนี่

หว๋า~เอ่ออาข...ข้าปวดท้องน่ะ ข้าต้องไปพักผ่อน..ก..ก่อน ด่วนเลย

ให้ตายสิ เขาลงมือไวจริงๆ ข้าสะบัดมือเขาออกอีกครั้ง แล้วหันหลังรีบเดินจากไปอย่างเร็ว

เจ้ากงจินนี่โชคร้ายจริงๆ คิดอยากแต่งงานทั้งที แต่ว่าที่เจ้าสาวก็ดันหนีไปก่อนซะแล้ว เฮ้อ~

หา?

คำพูดของท่านซุนเซ็กเล่นเอาข้าถึงกับชะงัก จนต้องหันกลับมาถามให้แน่ใจ

ท่านล้อเล่นหรือเปล่า?

อ๊ะ อ้าว นี่เจ้าไม่ได้ป่วยแล้วเรอะ?

ให้ตายสิ เขารู้แล้วสิว่าข้า แกล้งป่วย แต่คำพูดของเขานี่สิ จริงหรือเท็จกันแน่

เอ่อ...อา...ช่างเถอะ....ที่ท่านพูดเมื่อกี้นี่ ท่านล้อเล่นหรือเปล่า?

หึๆ งั้นตามมาสิ มาฟังคำพูดจากปากเจ้านั่นเอาเองเถอะ

ท่านซุนเซ็กยิ้มกว้าง แล้วกวักมือให้เข้าไปในห้องรับรอง ก่อนที่จะเดินเข้าไปช้าๆ

ตอนนี้ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นมากเลย เอาล่ะ!! ที่นี่ก็ต้องเข้าไปฟังคำตอบจากปากของคุณชายจิวยี่จริงๆ แล้ว

.......

...

.

ทันทีที่ข้าก้าวเข้ามาภายในร้องรับรอง ข้าก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ข้ากลายเป็นเป้าสายของบุคคลในที่แห่งนั้นทันทีที่ข้าก้าวขาเข้าไปในห้อง ข้ารีบเดินไปหาพี่สาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของท่านพ่อท่านที และก็พยายามทำตัวให้เล็กลงหลบสายตาที่มองมา

โดยเฉพาะหญิงชราที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามกับท่านพ่อข้า ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายท่านซุนเซ็กกับคุณชายจิวยี่ ที่มองข้าแบบไม่ละสายตาเลย แย่แล้ว นี่ข้าทำให้ท่านพ่อต้องเสียหน้าแน่ๆ เลย

ขออภัย ง่อฮูหยินเล็กด้วย ที่ลูกสาวข้าคนเล็กเสียมารยาทไปหน่อย

ท่านพ่อเป็นฝ่ายพูดขอโทษขึ้นทั้งๆ คนผิดคือข้า

ไม่เป็นไรหรอก ข้าเข้าใจนางดี นางคงจะตื่นกลัวเรื่องการแต่งงาน

หญิงชราทางฝ่ายท่านซุนเซ็กพูดขึ้นอย่างกับรู้ใจข้าเสียจริง น้ำเสียงก็ฟังดูอบอุ่นเหมือนท่านแม่ของข้ามากๆ เลย

สมัยก่อน ตอนที่ข้ารู้ว่าจะต้องแต่งงาน ข้าก็มีอาการไม่ต่างกับนางนักหรอกนะ

พอนางพูดจบบรรยากาศในห้องก็จะผ่อนคลายมากขึ้น เพียงคำพูดไม่กี่คำ ก็ทำข้าก็รู้สึกนับถือนางจากใจทันที

เอาล่ะ เสียเวลามามากแล้ว เข้าเรื่องกันเถอะ ตกลงแล้ว คุณชายทั้งสองจะเลือกลูกสาวคนไหนของข้าแต่งงานด้วย

ท่านพ่อของข้าพูดตัดบทขึ้น ข้ากลับมารู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง สายตาของข้าพลันเหลือบไปทางคุณชายจิวยี่ ซึ่งเขาหลับตาอย่างสงบ

เจ้าเลือกก่อนสิ

ท่านซุนเซ็กเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน แต่คุณชายจิวยี่กลับส่ายหน้าทันที

ไม่ โปวฟู เจ้ามีฐานะที่สูงกว่าข้า เจ้าเป็นฝ่ายเลือกก่อนเถอะ

เอาอย่างนั้นก็ได้ คุณหนูเล็ก

หา?

ทำไมท่านซุนเซ็ก เลือกข้าล่ะ? คำพูดเมื่อก่อนหน้า เขาโกหกข้านี่นา ข้ารีบหันไปมองพี่สาวของข้าทันที แต่ท่าทางของนางยังคงดูเป็นปกติ ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรเลย พอข้าหันไปทางคุณชายจิวยี่ เขาก็มีท่าทีไม่ต่างอะไรกับพี่สาวข้าเหมือนกัน

ตกลงท่านซุนเซ็ก เลือกลูกสาวคนเล็กของข้าสินะ?

ท่านพ่อของข้าถามกลับในทันที เป็นคำถามที่โดนใจข้าจริงๆ ฝ่ายท่านซุนเซ็กกลับตีสีหน้าเครียด

ข้ายังพูดไม่จบ คุณหนูเล็ก ข้าอยากได้ผู้หญิงอย่างพี่สาวเจ้ามาเป็นภรรยา เจ้าจะว่าอะไรไหม?

พูดจบเขาก็ยิ้มกว้าง อา... เล่นเอาตกใจแทบแย่ ที่แท้เขาก็แกล้งข้านี่เอง

พี่สาวของข้าค่อยๆ ก้าวออกด้านหน้า

นางคงไม่ว่าอะไรหรอก ทั้งตัวนางและข้าก็ต้องการให้ผลออกมาเช่นนั้น

นางเดินมาหยุดที่ด้านหน้าของท่านซุนเซ็ก แล้วย่อตัวโค้งคำนับอย่างเชื่องช้า

ข้า ไต้เกี้ยว ยินดีเป็นเจ้าสาวของท่าน

อา...พี่สาวของข้าดูสง่างามมากๆ เลย นี่ล่ะ พี่สาวที่ข้ารักมากที่สุด~

เมื่อท่านซุนเซ็ก เลือกลูกสาวคนโตของข้าไปแล้ว ทางคุณชายจิวยี่ล่ะ มีอะไรจะคัดค้านหรือไม่?

ท่านพ่อของข้าถามขึ้น

ในเมื่อผลที่ออกมาเป็นอย่างที่ทุกฝ่ายต้องการอยู่แล้ว ข้าจะคัดค้านไปทำไมกัน

คุณชายจิวยี่พูดจบก็หันมามองข้าก่อนครู่หนึ่ง ก่อนจะโปรยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นมากๆ

คุณหนูเล็ก ท่านยินดีจะมาเป็นภรรยาของข้าหรือไม่?

.................................................................

....................................................

......................................

................

.......

...

.

คำตอบก็เป็นที่รู้ๆ กันล่ะนะ ฮ่ะๆๆๆ หลังจากนั้น พวกเราสองพี่น้องก็ย้ายเข้าสู่บ้านของสกุลซุน ใช้ชีวิตคู่กับคนที่รักอย่างมีความสุข~

แต่ว่าก็ไม่ได้นานหรอกนะ เรื่องที่แสนเศร้ายังไม่ได้เกิดขึ้นเลย และมันก็เกิดขึ้นหลังจากที่เราสองพี่สองแต่งงานมาได้ถึงปีที่สาม

อ๊ะ? พี่ใหญ่ แย่งข้าเล่าเหรอ?

เรื่องนี้เป็นของพี่นะ เจ้าต่างหากที่แย่งพี่เล่า

แหะๆ ขอโทษค่า~ เอาเลย พี่ใหญ่ ข้าไม่แย่งพี่เล่าแล้ว

Link to comment
Share on other sites

ก็เป็นที่รู้กันแล้วว่า ตอนที่พวกเราสองพี่น้องแต่งงานนั้น พื้นที่ดินแดนกังตั๋งยังไม่ค่อยมั่นคงนัก อีกทั้งท่านซุนเซ็กยังคิดจะขยายดินแดนไปทางทิศเหนือ และก็ล้างแค้นให้กับซุนเกี๋ยนผู้เป็นพ่อ ที่ตายในสงคราม ดังนั้นแล้วท่านซุนเซ็กก็เลยต้องจัดการให้เรียบร้อย ทำให้ข้ากับเขาไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่ด้วยกันมากนัก

แต่ภายหลังที่ข้าและกับน้องสาวแต่งงานเข้าสู่บ้านของสกุลซุนแล้ว เราสองพี่น้องก็ได้รับการตอนรับเป็นอย่างดี จากคนในนี้มาก ถึงแม้ว่า คนในสกุลซุนส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย และก็เป็นทหาร แต่คนเหล่านั้นก็สุภาพ เป็นมิตรกับพวกข้าทุกคนเลย ซึ่งก็ทำให้พวกเราสนิทสนมกับคนในนั้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ ท่านเทียเภา กับ ท่านอุยกาย สองขุนพลอาวุโสของกองทัพสกุลซุน

เมื่อข้าสนิทกับสองขุนพลอาวุโสทั้งสองคนนี้ ทำให้ข้ารับรู้ได้ถึงสภาพของการศึกสงครามที่ทั้งสองสามีไปรบมากขึ้น เนื่องจากทั้งท่านซุนเซ็กและคุณชายจิวยี่มักไม่ค่อยเล่าอะไรเกี่ยวกับการบให้ข้าฟังมากนัก พอกลับมาก็กลับมาพร้อมบาดแผลและอาการเหนื่อยล้า ซ้ำยังห้ามไม่ให้เราสองพี่น้องไปยังค่ายทหารอีกด้วย นั่นก็ทำให้ข้ารู้สึกเป็นห่วงมากในทุกๆ ครั้งที่ออกไปทำศึก กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป

แต่ท่านซุนเซ็กมีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ มักไปไหนมาไหนคนเดียวในช่วงที่เกิดศึก ซึ่งมันอันตรายมาก ถ้าอยู่ในสนามรบก็ยังพอมีทหารคอยคุมกันอยู่บ้าง แต่หากไปคนเดียวหากเกิดเหตุอะไรขึ้น มันก็ยากจะคาดเดาจริงๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็ไปปะทะกับไท่สูจู้ ที่รู้ถึงนิสัยเสียอันนี้ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด มาแล้วครั้งหนึ่ง และนิสัยเสียๆ อันนี้ ก็ทำให้ข้าเสียใจมากที่สุด

ในคืนหนึ่งข้าเกิดฝันประหลาด ข้าฝันว่าข้าถูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าที่หน้าอกอย่างจัง ข้าตกใจตื่นขึ้นมา พร้อมกับความรู้สึกกังวลอย่างมาก แล้วในตอนเช้าข้าแอบฝ่าฝืนคำสั่งของท่านซุนเซ็ก เดินทางมายังค่ายทหารที่อยู่นอกเมือง

^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^

บรรดาทหารในค่ายต่างหยุดการฝึกซ้อมทันทีที่ข้าขี่ม้าเข้ามาในค่าย อ้อ ไม่ต้องตกใจอะไร ตอนที่ข้าอยู่ที่สกุลซุน ข้ามีเวลาว่างเยอะมาก การฝึกขี่ม้าก็เป็นการฆ่าเวลาได้ดีอย่างหนึ่ง ซึ่งข้าก็ฝึกขี่จนชำนาญ

ไต้เกี้ยวฮูหยิน?

เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งร้องเรียกข้า พอข้าหันไปทางต้นเสียง ก็พบกับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่ง ในชุดเกราะขุนพล ค่อยๆ เดินมาหาข้า แล้วกุมหมัดทำความเคารพ

ไม่ทราบว่าท่านมาทำอะไรในค่ายทหารเช่นนี้ขอรับ?

อืม...ถ้าข้าจำไม่ผิด ชายผู้นี้คงเป็น ไท่สูจู้ อดีตขุนพลหนุ่มที่เคยต่อต้านท่านซุนเซ็ก เขามาสวามิภักดิ์มาตอนหลังจากการปะทะกับท่านซุนเซ็กเมื่อครั้งก่อน หลังจากนั้นเขาก็ออกร่วมศึกหลายครั้งจนกลายเป็นอีกหนึ่งขุนพลคู่ใจของท่านซุนเซ็กไป ตัวข้าเองไม่ค่อยได้เห็นหน้าเขาบ่อยนัก เพราะเขามักจะอยู่ดูแลทหารที่ค่ายอยู่เสมอๆ

ท่านคือขุนพลไท่สูจู้สินะ?

ขอบคุณที่ฮูหยินยังจำข้าได้

ท่านแม่ทัพใหญ่อยู่ที่ไหน?

เอ่อ....

ท่าทางเขาเปลี่ยนไปทันที ดูเหมือนจะปิดบังอะไรข้าอยู่แน่ๆ เอาเถอะ ข้าไปตามหาท่านซุนเซ็กเองดีกว่า

ถ้าท่านขุนพลลำบากใจ งั้นท่านก็ทำหน้าที่ของท่านต่อไปเถอะ

รอเดี๋ยวก่อนขอรับฮูหยิน เอ่อ...โปรดตามข้ามานี่ก่อน

ก่อนที่ข้ากำลังจะไป ไท่สูจู้ก็ร้องเรียงเสียก่อน ข้าชักม้าหยุดไว้ได้ทัน แล้วลงจากม้า เดินตามเขาห่างออกจากเหล่าทหาร

ท่านแม่ทัพใหญ่ออกไปล่าสัตว์คนเดียวอีกแล้วขอรับ

หา? ออกไปคนเดียวอีกแล้ว? แล้วพวกเจ้าไม่จัดคนตามดูแลท่านแม่ทัพดีๆ เล่า? เกิดอะไรขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ!!

ข้าขึ้นเสียงตำหนิเขาไป ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มีสิทธิตำหนิก็เถอะ ข้าชักเริ่มเป็นกังวลกับเรื่องความฝันซะแล้วสิ

ข้าเข้าใจนะว่าฮูหยินร้อนใจ ตัวข้าเองก็ร้อนใจเรื่องนี้ไม่น้อยเช่นกัน แต่ว่าทางกุนซือจิวบอกว่าเขาจะจัดการเอง แล้วให้ข้าดูแลกองทัพให้เป็นไปตามปกติ

อืม...จริงสิ เรื่องแม่ทัพหายตัวไปไปจากกองทัพ จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้ เพื่อไม่ให้ขวัญทหารเสีย และป้องกันไส้ศึกตามไปลอบสังหาร คุณชายจิวยี่จัดการงานในภาพรวมได้ถูกต้องแล้ว ข้าคิดว่าตอนนี้คุณชายจิวก็คงสั่งหน่วยลับตามหาแทบพลิกแผ่นดินแล้ว แค่นี้ข้าก็วางใจได้ในระดับหนึ่งล่ะ

ถ้าเช่นนั้นท่านขุนพลก็กลับไปทำหน้าที่ของท่านเถอะ ข้าจะกลับแล้ว ถ้าท่านแม่ทัพซุนกลับมา ขอวานท่านช่วยส่งข่าวให้ข้าด้วย อ้อ แล้วอีกอย่าง ช่วยปิดเรื่องที่ข้าแอบมาที่นี่ด้วยนะ

ทราบแล้วขอรับ

ขอบใจมาก

เฮ้อ~ ถึงจะยังไงก็ตาม ข้าก็ต้องกลับไปรอที่บ้านก่อน หากว่าท่านซุนเซ็กกลับมาพบข้าเข้า เขาคงไม่พอใจแน่ ทางนี้ก็คงให้ท่านซุนเซ็กกลับมาโดยปลอดภัย

.......

...

.

เช้าวันต่อมา ก็มีทหารนายหนึ่งมาที่บ้านของข้า ข้าคิดว่าจะเป็นทหารที่ขุนพลไท่สูจู้ส่งมาแล้วเรื่องท่านซุนเซ็ก ซึ่งมันก็ใช่จริงๆ แถมยังให้ข้ารีบไปที่ค่ายทหารโดยด่วนอีก จู่ๆ ข้าก็รู้สึกหวาดหวั่นใจชอบกล

ไม่นานนักข้าเดินทางมาถึงค่ายทหาร ซึ่งการมาในครั้งก็ไม่ต่างกับเมื่อวานนัก ขุนพลไท่สูจู้ยังคงทำหน้าที่ควบคุมการฝึกทหารตามปกติ แต่วันนี้ข้ารู้สึกว่าเขาจะสอดส่ายสายตาไปรอบๆ มากกว่า ท่าทางจะมีเรื่องอะไรมากกว่าทีข้าคิด

ไต้เกี้ยวฮูหยิน เชิญท่านเข้าไปในกระโจมเถอะขอรับ ท่านกุนซือจิวกับท่านแม่ทัพรอท่านอยู่

เอ๊ะ? คุณชายจิวยี่ก็อยู่ด้วย เกิดเรื่องอะไรกันล่ะนี่ ลองถามไท่สูจู้ดูดีกว่า

เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ท่านขุนพล

เอ่อ...คือ

พอข้าถามไป ไท้สูจู้ก็มีท่าทีที่แปลกไป เขาหลบเลี่ยงสายตาข้า

ฮูหยินเข้าไปเถอะขอรับ ข้า...มีงานที่ต้องไปทำอีกมาก ขอตัวก่อน

พูดจบเขาก็เดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความสงสัยที่มีมากมายไว้กับข้า ยังไงก็ตามเขาก็ให้ข้าไปหาคำตอบเองในกระโจมของท่านซุนเซ็ก

.......

...

.

พอข้าก้าวเข้าไปในกระโจมก้าวแรก ข้าก็ได้กลิ่นฉุนแปลกๆ ข้าเองก็ศึกษาวิชาแพทย์มานิดหน่อยก็พอรู้มันเป็นกลิ่นฉุนของยาสมุนไพร แต่นี่เป็นกลิ่นที่ข้าไม่รู้จัก ในกระโจมนี้ มีคุณชายจิวยี่ ยืนคุยอยู่กับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในชุดสีขาวสะอาดตา แต่ไม่เห็นท่านซุนเซ็กสามีของข้าเลย

โอ๊ะ? มาถึงรวดเร็วดีนี่

คุณชายจิวยี่เอ่ยขึ้นทันทีที่ข้าเข้ามา ส่วนชายวัยกลางคนก็หันมาทางข้าแล้วคุมหมัดคารวะ

ท่านผู้นี้คือ?

เขาคือหมอเทวดา ชื่อ ฮัวโต๋ เจ้าคงรู้จักนะ

งดงามสมคำร่ำลือจริงๆ สมแล้วที่ท่านแม่ทัพซุนได้มาเป็นภรรยา ข้า ฮัวโต๋ ยินดีได้ที่ได้รู้จักไต้เกี้ยวฮูหยิน

เห? หมอฮัวโต๋นี่นะ? นี่เขามาทำอะไรที่นี่กันหรือว่า? จะเกิดอะไรขึ้นกับท่านซุนเซ็ก

ท่านหมอฮัวมาที่นี่ เกิดอะไรขึ้นกับสามีข้าหรือเปล่า?

เห็นแค่นี้ก็รู้เรื่องแล้ว ดี งั้นข้าก็ไม่ปิดบังอะไรล่ะนะ มาดูนี่สิ

คุณชายจิวยี่หลบออกข้าง เผยให้เห็นภาพท่านซุนเซ็กนอนเปลีอยกายท่านบนหลับสนิทอยู่บนเตียง ในสภาพที่ตัวเต็มไปด้วยผ้าพันแผลนับไม่ถ้วน สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก แค่นั้นก็ทำให้ข้าหัวใจแทบสลาย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมท่านซุนเซ็กถึงมีสภาพอย่างนี้?

ช่วงที่เจ้าโปวฟูแอบออกไปล่าสัตว์คนเดียว เขาถูกลอบสังหาร โชคดีที่คนของข้าเข้าช่วยเหลือได้ทัน แต่ก็โชคร้ายที่คนของข้าไปช่วยมีน้อยกว่ามาก กว่าจะถอนตัวกลับมาก็อาการสาหัสมากแล้ว

คุณชายจิวยี่ให้คำตอบแก่ข้า เป็นคำตอบที่ข้าเคยคาดเดาไว้แต่ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ข้าลืมไปอย่างหนึ่ง มีท่านหมอฮัวโต๋อยู่ด้วยอย่างนี้คงไม่เป็นอะไรมากแล้ว

มีท่านหมอฮัวโต๋ หมอเทวดาอยู่นี่แล้ว ข้าคงสบายใจได้

เอ่อ...ขอแสดงความเสียใจด้วย ไต้เกี้ยวฮูหยิน ข้าได้ทำการรักษาสุดความสามารถแล้ว บาดแผลต่างๆ ไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้าช่วยเหลือไม่ได้ นั่นก็คือ พิษที่ตกค้างภายในเลือด

แต่ว่าท่านเป็นหมอเทวดานี่ เรื่องพิษท่านก็น่าจะช่วยรักษาได้ โปรดช่วยเหลือสามีข้าด้วยเถอะ

หมอฮัวโต๋มองหน้าข้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปมองที่ร่างที่ไร้สติของท่านซุนเซ็ก

เรื่องพิษที่ตกค้างภายในร่างกายนั้น ระบบภายในร่างกายจะขับออกได้เองตามธรรมชาติ คงจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งร้อยวัน พิษก็จะถูกขับออกจนหมด ซึ่งในช่วงร้อยวันนี้ ห้ามมิให้ออกแรงมาก ห้ามดื่มสุรา ห้ามทานเนื้อสัตว์ ที่สำคัญคือให้ควบคุมเรื่องของอารมณ์ห้ามไม่โมโหโกธรกริ้วเป็นอันขาด เพราะส่งผลให้พิษกำเริบหนัก ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ที่จริงแล้วคนที่ร่างกายแข็งแรงอย่างท่านแม่ทัพสักแปดเก้าสิบวันก็คงจะหายได้ แต่ถ้าจะเอาให้แน่นอนก็ต้องร้อยวันขึ้นไป

จบคำพูดของท่านหมอ ใจข้าก็รู้สึกหนาวเหน็บอย่างบอกไม่ถูก เพียงไม่กี่ปีที่อยู่ด้วยกัน ข้ารู้ใจท่านซุนเซ็กไม่ต่างกับรู้ใจของเจ้าเสี่ยวเกี้ยวน้องสาวของข้า นิสัยห้ามนู้นห้ามนี่จุกจิก คงจะห้ามเขายาก

ส่วนยาบำรุงต่างๆ ข้าได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงท่านทำตามที่เขียนไว้ ร่างกายของท่านแม่ทัพจะได้แข็งแรงโดยไว หลังจากนี้พวกท่านก็ต้องดูแลท่านแม่ทัพซุนให้ดี ชีวิตเขาจะอยู่ต่อหรือจะจากไป ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลของพวกท่าน เอาล่ะ เห็นทีข้าคงต้องขอตัวก่อนล่ะ

ท่านหมอฮัว ท่านจะกลับแล้วเหรอ? ท่านน่าจะช่วยอยู่ดูแลต่ออีกสักหน่อยเถอะ

คุณชายจิวยี่ถามขึ้น เพราะเขาก็รู้ถึงนิสัยของท่านซุนเซ็กไม่ต่างกับข้า ดังนั้นแล้วถ้ามีท่านหมอฮัวโต๋อยู่ เขาคงจะเชื่อฟังท่านหมอมากกว่าแน่

แผ่นดินกว้างใหญ่ หน้าที่ของข้าก็ยิ่งใหญ่ตาม ยังมีคนไข้ที่รอข้าไปช่วยเหลือรักษาอีกมากมาย หวังว่าพวกท่านคงจะเห็นใจข้านะ

จริงอย่างที่ข้าเคยได้ยินจริงๆ ท่านหมอฮัวโต๋ ออกเดินทางช่วยเหลือผู้คนทั่วแผ่นดิน ข้าพอเข้าใจถึงปณิธานของเขาแล้ว ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็ชี้แจงการรักษาไว้หมดแล้ว

คุณชายจิวยี่มองหน้าข้าแวบหนึ่งก็รู้ใจกัน เขาหันมาทางท่านหมอฮัวโต๋

ขอบคุณท่านหมอมาก ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปส่งท่านจนออกจากค่ายเองก็แล้วกัน

ชีวิตของเขาจะมีอยู่ต่อหรือจะจากไป ขึ้นอยู่กับข้าอย่างนั้นเหรอ? เฮ้อ~ ข้ารู้สึกไม่มั่นใจเอาเสียเลย

.......

...

.

หลังจากที่ท่านหมอฮัวโต๋ชี้แจงการรักษา ข้ากับคุณชายจิวยี่มีความเห็นตรงกันให้ข้านำตัวของท่านซุนเซ็กกลับมาพักรักษาตัวที่บ้าน หลายสิบวันผ่านไป สภาพร่างกายของท่านซุนเซ็กก็ดีขึ้นตามลำดับ นั่นก็ทำให้ข้าเบาใจได้ในระดับหนึ่ง ด้วยนิสัยดื้อรั้นของเขาทำให้เขามักไม่ค่อยเชื่อฟังข้าสักเท่าไหร่ แต่ข้าก็ห้ามปรามไว้ได้ จนถึงวันที่เก้าสิบเอ็ด

ตั้งแต่วันที่ราววันที่เจ็ดสิบของการพักฟื้น ร่างกายท่านซุนเซ็กก็หายดีจนดูไม่ออกแล้วว่าป่วย เขาจึงเริ่มจับอาวุธฝึกฝนการต่อสู้ ซึ่งข้าก็จำกัดให้ออกกำลังเล็กๆ น้อยๆ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาที่ท่านหมอฮัวโต๋สั่งห้ามเอาไว้ แต่ในวันที่เก้าสิบเอ็ดนี้ ดูเหมือนว่าท่านซุนเซ็กจะขัดคำสั่งข้าแล้วออกแรงมากไป จนเป็นหน้ามืดเป็นไปวูบหนึ่ง โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็ทำให้ข้ารู้สึกหวาดหวั่นใจในระดับหนึ่ง

.......

...

.

วันนี้เป็นวันที่เก้าสิบสาม เป็นวันที่อากาศดีจริง และในตอนเช้าๆ ของวันที่อากาศดีแบบนี้ ข้าก็มักจะออกมาเดินเล่นในสวนดอกไม้ ที่บ้านของสกุลซุนแห่งนี้มีสวนดอกไม้กว้างใหญ่กว่าที่บ้านสกุลเกี้ยวของข้ามาก เป็นเพราะง่อฮูหยิน แม่สามีของข้า ท่านชื่นชอบต้นไม้ดอกไม้ และตอนนี้นางก็มอบหมายให้ข้าดูแลสวนดอกไม้ต่อจากนาง

สวนดอกไม้งาม เพราะคนดูแลสวยหรือเปล่านะ?

เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นมาจากด้านหลังของข้า พอข้าหันกลับไป ก็พบกับท่านซุนเซ็ก

ท่านพี่!! ท่านออกมาทำไมล่ะ? ท่านน่าจะนอนพักต่อผ่อนนะ

ข้ารีบเข้าไปประคองร่างของเขาทันที แต่เขาก็ชิงลงมือก่อน เป็นฝ่ายโอบไหล่ของข้าไว้แทน

อากาศดีๆ แบบนี้ ใครจะนอนอุดอู้อยู่ในแต่ในห้องล่ะ วันนี้ขี้เกียจออกแรง เลยอยากชมดอกไม้ ว่าแต่ทางเจ้ามีสวนดอกไม้งามนี่ เจ้าไม่คิดจะไม่แบ่งพี่ชมบ้างเลยเหรอ?

ความอบอุ่นจากร่างกายของท่านซุนเซ็กส่งผ่านมายังร่างกายของข้า ข้ารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก นานแล้วที่ข้าไม่ได้ถูกเขาโอบกอด

ความรู้สึกนี้ทำให้ข้าลืมเรื่องที่ท่านซุนเซ็กป่วยไป แล้วปล่อยให้เขาทำอะไรตามใจ

เราสองคนเดินชมสวนดอกไม้ จนไปถึงสวนกลางของสวน ซึ่งมีศาลาหินหลังน้อยตั้งอยู่ ภายในมีโต๊ะศิลาชุดหนึ่ง พร้อมน้ำชาและขนมที่ข้าสั่งให้คนรับใช้จัดเตรียมไว้ เผื่อให้แขกผู้มาเยือนมาทานในระหว่างชมสวนดอกไม้ และในตอนนี้ก็มีท่านซุนเซ็กเป็นแขก

ข้าจัดการเทชาส่งให้ท่านซุนเซ็กก่อน แล้วเทให้กับตัวเอง

เฮ้อ~...ถ้าได้เหล้าดีๆ สักไห จะดีกว่านี้นะ

ท่านซุนเซ็กเอ่ยขึ้น หลังจากยกแก้วชาขึ้นดื่ม ซึ่งข้าก็รู้ดีว่าเขาแค่พูดเล่น

ท่านพี่นี่ก็ชอบดื่มจริงๆ เลย แต่ว่าอย่าลืมสิว่าท่านหมอฮัวสั่งห้ามท่านดื่มสุรานะ รอไว้ให้ท่านพี่หายดีก่อน แล้วข้าจะจัดหาสุราดีจากทุกสารทิศมาให้ท่านก็ยังได้

ฮ่ะๆๆ

เขาหัวเราะยาว แล้วลุกขึ้นเดินไปยืนชายคา แล้วเหม่อมองขึ้นไปยังท้องฟ้ากว้าง ข้ามองแผ่นหลังที่กว้างใหญ่ดุจขุนเขาอย่างชื่นชม ถึงเขาจะดูเป็นแค่ชายหนุ่มคนอารมณ์ดี สนุกสนานเฮฮา แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นผู้นำเข้มแข็ง เด็ดขาด สมกับยอดคนผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเลยทีเดียว

ข้าต้องขอโทษเจ้าจากใจจริงๆ

เขาก้มหน้าลงพูดขอโทษข้าด้วยเสียงที่อ่อนลง ราวกับว่ามีเรื่องที่ค้างคาภายในใจ

ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าไม่ได้ทำหน้าที่ของสามีที่ดีเลย พอข้าได้โอบกอดเจ้าเมื่อครู่นี้ ข้ากลับรู้สึกได้ว่าเจ้าเหงามาก ข้านี่มันแย่จริงๆ ต้องขอโทษด้วย

ข้าส่ายหน้าช้าๆ ให้กับคำพูดที่ค้างคาอยู่ภายในของเขา แล้วลุกเข้าไป โอบกอดแผ่นหลังของเขา

ท่านพี่ ท่านไม่ใช่สามีที่ไม่ดีหรอกนะ ทุกสิ่งที่ท่านทำก็เพื่อข้า ถึงท่านจะไม่ค่อยมีเวลาให้ข้ามากนัก แต่ทุกครั้งที่ท่านมีเวลาท่านก็อยู่กับข้าตลอด เพียงเท่านี้ก็ทำให้ข้ารักท่านแล้ว

จู่ๆ ข้าสัมผัสได้ว่ามีของเหลวอะไรบางอย่าง ไหลซึมมาโดนมือ พอข้าถอนมือออก ก็พบว่าของเหลวนั่นก็คือ เลือด!! แล้วร่างของท่านซุนเซ็กค่อยๆ ล้มลง ต่อหน้าข้า

ท่านพี่!! ท่านพี่!! ท่านพี่!! ท่านพี่!!

เหมือนทุกสิ่งรอบตัวของข้ามันบิดเบี้ยวออกไป จากเดิม มันไม่สมควรจะเป็นเช่นนี้เลย ข้าทำอะไรไม่ถูกแล้ว นอกจากประคองร่างแล้วร้องเรียกเขา

ใบหน้าของท่านซุนเซ็กบิดเบี้ยว ด้วยความเจ็บปวด จนยากจะบรรยาย มีเลือดไหลซึมออกจากทั้งปากและจมูกไม่ขาดสาย แต่เขาก็ยังฝืนยิ้ม

แย่...จริง...ข้าดัน....โกธร....ตัวเอง..เข้าซะ...แล้ว

ท่านพี่ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว!! เดี๋ยวข้าจะไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้ ท่านพี่รอนี้ก่อนนะ!!

ข้านึกออกแล้ว ข้าต้องไปตามคนมาช่วย แต่ท่านซุนเซ็กก็ยกแขนรั้งร่างเอาไว้

ม...ไม่....ต้องหรอก...ข้า....รู้..ตัวดี...ข้าทน....ต่อไป....ไม่ไหวแล้ว

นี่เขาทนต่อไปไม่ไหวแล้วหรือว่า เมื่อวันก่อนที่เขาหน้ามืดไป พิษกำเริบแล้ว? ไม่จริงน่า เป็นไปไม่ได้!!

ไม่!! ท่านพี่ไม่ต้องพูดอะไรอีก!! ข้าจะไปตามคนมาช่วย!! ท่านต้องรอด!! ท่านต้องรอด!!

ข้าพยายามลุกไปตามคนมาช่วยอีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อท่านซุนเซ็กยกตัวขึ้นมาด้วยเรี่ยวแรงสุดท้ายกระซิบที่ข้างหู

ข้า...มี..คำ....พูด....หนึ่ง...จะ.....บอก...เจ้า.....ค...คำ...ที่...ข..ข้า....ไม่....เคย...ด...ได้.....มี..โอกาส...พูด

ทุกคำพูดของเขาดูเหมือนจะขาดไปเมื่อไหร่ก็เป็นได้

ข...........ร................

.......

...

.

ไม่ได้ยินเลย....ท่านพี่ คำพูดของท่าน ข้าไม่ได้ยินเลย.......อีกนิดเดียว....ท่านพี่.....พูดดังๆ อีกหน่อย....ข้าไม่ได้ยินเลย......

.......................................

..............................

....................

...........

.....

..

.

และนั่นก็เป็นวันสุดท้ายของข้ากับเขา ข้าจำได้ว่า หลังจากนั้น ข้าร้องไห้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ร้องจนไม่มีน้ำตาจะไหลอีก

แต่นั่นก็ทำให้ข้าเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น มีพบก็ต้องมีจาก มีสุขก็ต้องมีทุกข์ ความรัก ความผูกพันที่มีแม้ว่าจะดูเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ มันจะติดตามตัวเราไปตลอดชีวิต ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไรก็ตาม..

Link to comment
Share on other sites

เกร็ดความรู้เพิ่มเติม

ไต้เกี้ยวและเสี่ยวเกี้ยว เป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์สามก๊ก แต่ถูกกล่าวถึงน้อยมาก แม้แต่ชื่อจริงๆ ก็ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ นอกจากชื่อไต้เกี้ยวและเสี่ยวเกี้ยว คำว่า ไต้ หมายถึง ผู้พี่ คำว่า เสี่ยว หมายถึง ผู้น้อง ความงดงามของทั้งสองถูกยกย่องว่าเป็นเป็น สองหญิงงามแห่งกังตั๋ง ซึ่งในประวัติศาสตร์ของสามก๊กแล้ว นางทั้งสองถือได้ว่าเป็นหญิงงามอันดับต้นๆ ของยุคนั้น(ไม่นับรวมเตียวเสี้ยน เพราะไม่มีตัวตนในประวัติศาสตร์) แม้ภายหลังทั้งสองเป็นม่ายแต่โจโฉก็หวังยังจะหวังครอบครองตัวนางทั้งสอง จนเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่จูกัดเหลียงขงเบ้ง ยกมาเป็นหนึ่งในข้ออ้างเกลี้ยกล่อมให้จิวยี่ร่วมมือเปิดศึกกับวุ่ยก๊กเลยที่เดียว

นางทั้งสองมีถิ่นกำเนิดที่ไม่แน่ชัด ทราบเพียงแต่ว่ากำพร้าแม่มาตั้งแต่ยังเล็ก อาศัยอยู่กับผู้เป็นพ่อมาโดยตลอด ตอนที่แต่งงานกับซุนเซ็กและจิวยี่นั้น นางทั้งสองอายุประมาณ 16-17 ปี เท่านั้น ส่วนฝ่ายสองหนุ่ม อายุ 24 ปี เท่ากัน

ชีวิตคู่ของทั้งสองพี่น้องค่อนข้างเรียกได้ว่า ไม่ค่อยจะมีความสุขเท่าไหร่นัก ในช่วงแรกๆ ที่แต่งงาน ฝ่ายสามีทั้งสองก็ยังคงออกไปทำศึกสงครามอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่ได้อยู่ร่วมหลับนอนเตียงเดียวกันบ่อยนัก จนสุดท้าย 2 ปีต่อมา ซุนเซ็กสิ้นชีพเพราะถูกลอบสังหาร ทำให้ ไต้เกี้ยว ต้องเป็นม่ายตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 ปี เท่านั้น ส่วนเสี่ยวเกี้ยวนั้น โชคดีกว่ามาก เพราะในช่วงหลังๆ แผ่นดินกังตั๋งมั่นคงขึ้น ทำให้ได้มีชีวิตหลังแต่งงานมากขึ้น แต่ก็ยืดยาวกว่าผู้เป็นพี่เพียง 10 ปีเท่านั้น หลังจากศึกเซ็กเพ็ก หรือศึกผาแดงอันเลื่องชื่อ จิวยี่ก็สิ้นชีพด้วยโรคระบาด (บางแห่งก็ว่าการป่วยเรื้อรัง ตั้งแต่ศึกเซ็กเพ็ก แต่ที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือกระอักเลือดตายเพราะเสียรู้ขงเบ้ง) ชีวิตภายหลังจากการเสียสามี ทั้งสองพี่น้องมีเหมือนกันคือ ไม่มีบันทึกไว้ ไม่ว่าจะเป็นทางประวัติศาสตร์หรือวรรณกรรมก็ตาม แต่หลายคนคาดว่านางทั้งสองคงจะใช้ชีวิตที่กังตั๋งกับครอบครัวจนสิ้นอายุขัยไป

ผลงานต่อไป เรื่องราวของ เตียวเสี้ยน และ เอียนสี~ แต่ยังไม่เริ่มเลย และไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ขนาดแค่เรื่องนี้ยังล่อไปเกือบปี กว่าจะหาข้อมูล ว่าจะทำออกมาสั้นๆ แล้วนะ เอาเข้าจริงๆ เล่นไปซะ เกือบ 30 หน้า

อ่ะ แถมเพลง ปิด เวอร์ชั่นเดิมไปอีก

Link to comment
Share on other sites

สมัยนี้สมัยไหนก็มีตัวละครซึนเดเระอยู่แฮะ..

[me=サカモト_サトシ]โดนคุณหนูเล็กกระโดดถีบ[/me]

เลือกเพลงปิดได้เหมาะสมกับเรื่่องมากครับ ถ้าเปิดไปพร้อมๆกับอ่านช่วงตอนท้ายนี่นะ..

เล่นเอาเกือบน้ำตาเล็ดเลยล่ะครับ *ยิ้มเจื่อนๆ*

จะรออ่านผลงานชิ้นต่อไปนะครับ

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.
×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.