Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

ตำนานลึกลับ ที่โลกเล่าขาน


OuriOuri Muto

Recommended Posts

1.  ตำนานเรือ ฟลายอิ้งดัตชแมน

20101014145759the-flying-dutchman-tm.jpg

      ท่ามกลางท้องทะเลอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ไพศาล มีเรื่องน่าสะพรึงกลัว และอันตรายต่างๆ มากมาย เช่น ภัยพิบัติจากพายุ หรือ คลื่นลมบ้าคลั่ง ซึ่งพร้อมจะโหมซัดให้เรือของพวกเขาอัปปางลง แต่สำหรับนักเดินเรือบางคน ภัยธรรมชาติเหล่านี้ ยังไม่น่าหวั่นเกรงเท่าการเผชิญหน้ากับสิ่งลึกลับ อย่างเช่น เรือปีศาจ...

ตำนานเรือปีศาจซึ่งถูกกล่าวขานมากที่สุดเรื่องหนึ่ง คือ ตำนานของฟลายอิงดัตช์แมน (Flying Dutchman) กัปตันเรือผู้ถูกสาปให้ต้องเร่ร่อนอยู่ในท้องทะเลจนกว่าจะถึงวันแห่งการพิพากษา

        ...เล่ากันว่า เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในศตวรรษที่ 17 เมื่อปีค.ศ. 1641 กัปตันเฮนดริก แวน เดอ เด็คเคน (Hendrick Van der Decken) กัปตันตันเรือสินค้าลำหนึ่งของฮอลันดา คิดจะนำเรือเดินทางอ้อมแหลมกูดโฮป ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของแอฟริกา ขณะใกล้ถึงจุดหมาย บังเอิญมีลมพายุที่รุนแรงขวางเส้นทางเดินเรือของเขาไว้ แทนที่เขาจะเลิกล้มความตั้งใจ หรือ หันเหเรือไปยังเส้นทางอื่น กัปตันเรือผู้ดื้อรั้นกลับนำเรือของเขาแล่นฝ่าพายุต่อไป ทำให้ลูกเรือซึ่งตระหนักถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น ร่วมมือกันเข้ายึดอำนาจการควบคุมเรือจากกัปตัน ด้วยความโมโหผสมกับความมึนเมาจากฤทธิ์ของสุรา ทำให้กัปตันเรือคลุ้มคลั่ง จนใช้ปืนยิงหัวหน้ากลุ่มขบถ แล้วโยนร่างของเขาทิ้งลงทะเลไป ทันใดนั้นเอง มีเมฆลึกลับสีดำปรากฏขึ้น พร้อมกับมีเสียงตำหนิกัปตันเรือ ในความดื้อรั้นของเขา กัปตันเรือจึงโต้เถียงออกไปอย่างไม่เกรงกลัว แล้วยกปืนขึ้นเล็งไปยังเมฆประหลาดนั้น แต่เมื่อเขาลั่นกระสุนออกไป ลูกปืนกลับระเบิดใส่มือของเขาเอง จากนั้น เสียงลึกลับจากเมฆสีดำก็สาปให้เขา “ ต้องแล่นอยู่ในท้องทะเลไปชั่วกัลปาวสาน โดยต้องดื่มน้ำดีรสขมแทนน้ำ และกินเหล็กที่ร้อนแดงเป็นอาหาร แล้วยังสาปให้เรือปีศาจลำนี้นำความตายมาสู่ใครก็ตามที่พบเห็นมัน!”

        หลังจากนั้น กัปตันและเรือปีศาจของเขา ก็มักออกมาหลอกหลอนนักเดินเรืออยู่เสมอตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ในรายที่โชคดีหน่อยก็อาจจะเพียงแค่ถูกหลอกให้กลัวเท่านั้น เช่น เห็นเรือปีศาจที่น่ากลัวปรากฏขึ้น แล้วหายวับไป แต่ในรายที่โชคร้ายก็อาจถูกเรือปีศาจล่อหลอกให้แล่นเรือหลงทางไปชนกับหินโสโครกใต้น้ำ จนต้องอัปปางลง

        ในปีค.ศ. 1835 ลูกเรือของอังกฤษลำหนึ่ง มีโอกาสเผชิญหน้ากับเรือปีศาจ พวกเขาบันทึกไว้ว่า เรือปีศาจปรากฏขึ้นท่ามกลางลมพายุอันน่ากลัว แล้วแล่นตรงเข้ามาหาเรือของพวกเขา จนน่ากลัวว่าเรือทั้งสองลำจะพุ่งเข้าชนกัน แต่ในวินาทีนั้นเอง มันก็หายวับไป

        การเผชิญหน้ากับเรือปีศาจครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง ถูกบันทึกไว้โดยมกุฎราชกุมารของอังกฤษ ซึ่งต่อมาทรงขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้ายอร์ชที่ 5 พระองค์ทรงบันทึกไว้ว่า เมื่อในวันที่  11กรกฎาคม ค.ศ. 1881 ขณะที่เรือซึ่งพระองค์ทรงประจำการอยู่แล่นผ่านแหลมกูดโฮป ลูกเรือคนหนึ่งมองเห็นเรือปีศาจปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกโดยมีแสงสีแดงประหลาดสว่างเรืองออกมาจากทั่วลำเรือและอยู่ห่างไปในระยะ 200 หลา ต่อมาไม่นาน ลูกเรือคนนั้นก็ต้องคำสาปของเรือปีศาจประสบอุบัติเหตุจากเสากระโดงเรือจนเสียชีวิต

      ในเดือนมีนาคม ปีค.ศ. 1939 มีผู้คนนับสิบที่ชายฝั่งแอฟริกาใต้มองเห็นเรือปีศาจลำนี้ เป็นเรื่องน่าแปลกที่พวกเขาต่างอธิบายรายละเอียดของเรือได้ถูกต้องตรงกัน ทั้งที่ไม่มีใครเคยเห็นเรือสินค้าในสมัยศตวรรษที่ 17 มาก่อน

        สำหรับการปรากฏขึ้นครั้งล่าสุด มีการบันทึกไว้ในปีค.ศ. 1942 โดยมีผู้อ้างว่าเห็นเรือปีศาจลำนี้หายไปต่อหน้าต่อตาคนถึง 4 คน แม้กระทั่งทุกวันนี้ เมื่อใดที่มีพายุก่อตัวขึ้นที่แหลมกูดโฮป ก็ยังมีผู้กล่าวว่า หากเพ่งมองเข้าไปที่ใจกลางพายุ ก็อาจจะเห็นเรือปีศาจลำนี้

เครดิต : http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1926448

Link to comment
Share on other sites

  • Replies 61
  • Created
  • Last Reply

Top Posters In This Topic

  • OuriOuri Muto

    23

  • goddric

    7

  • PPF

    4

  • คนเสียสติ

    3

Flying Dutchman

กับตันชื่ออะไรล่ะ เดวี่ โจนส์ หรือ วิลล์เทอร์เนอร์

Link to comment
Share on other sites

2. ผู้รอดชีวิต จากเรือ ไททานิค

20100824174812rms_titanic_400px.jpg

วันที่ 24 กันยายน พ.ศ.2533 ขณะที่เรือประมงของนอร์เวย์ลำหนึ่งได้แล่นผ่านภูเขาน้ำแข็งในมหาสมุทรแอตแลนติก ทั้งกัปตันและลูกเรือต่างพากันตื่นเต้นอย่างยิ่งที่ได้เห็นร่างของสตรีนางหนึ่ง กำลังตะเกียกตะกายขึ้นจากผืนน้ำที่เย็นเฉียบ ไปยังที่ราบแคบๆบนภูเขาน้ำแข็ง ลูกเรือกุลีกุจอช่วยชีวิตเธอสำเร็จ นำส่งโรงพยาบาลให้แพทย์รักษาขั้นต้น จากนั้นก็ส่งไปยังอังกฤษ เพราะผู้หญิงผู้นี้เป็นชาวอังกฤษ

แต่เมื่อไปถึงอังกฤษแล้ว เธอมีอาการประหลากบางอย่างที่ทำให้คนสมันใหม่เข้าใจว่า เธอเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง นั่นคือ เธอบอก กับใครต่อใครว่าชื่อ วินน่ เค้าท์ส เป็นชาวเมืองเซาท์แทมป์ตันแห่งอังกฤษ เป็นผู้ที่รอดตายจากเรือมรณะไตตานิคพุ่งชนภูเขาน้ำแข็งเมื่อปี พ.ศ.2455

ตอนที่เรือประมงนอร์เวย์พบเธอที่ภูเขาน้ำแข็งนั้น เธออยู่ในสภาพสาวสวย ซึ่งเธอก็บอกว่าอายุเพิ่ง 29 ปีเท่านั้น ใครต่อใครก็ต้องเชื่อเพราะสภาพการณ์มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

แต่การที่เธอบอกว่า เธออายุเพียง 29 ปี และเป็นคนหนึ่งที่รอดตายจากเรือมัจจุราชไตตานิค มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ เพระขัดกับความจริงที่ว่า เรือไตตานิคจมลงมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2455 ถ้านับถึงปี 2533 มันเป็นเวลา 78 ปีมาแล้ว

นางวินนี่ เค้าท์สที่พบในปี 2533 บอกว่า มีอายุเพียง 29 ปีก็เป็นเรื่องที่น่าเชื่อ เพราะเธอยังสาวสวยอยู่ ถ้าเธอเป็นผู้ที่รอดตายจากเรือไตตานิคแตก ป่านฉะนี้เธอต้องมีอายุมากถึง 107 ปี

ความจริงที่ขัดกันดังกล่าว ทำให้เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคจิต โรคประสาทหลอน จึงถูกส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิต เซเทอร์ ไซโคอะทริค แห่งเมืองออสโล

ต่อมาอีก 6 เดือน นางวินนี เค้าท์สกลับกลายเป็นคนแก่ลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าแพทย์จะช่วยเหลืออย่างไรก็ปราศจากผล เธอกลายเป็นคนแก่อายุกว่า 100 ปีและเสียชีวิตในที่สุด

นางเค้าท์สเป็นผู้ที่รอดตายจากเรือไตตานิคจมจริงหรือ ? นี่คือคำถามที่รอคำตอบจนถึงทุกวันนี้ ครั้นจะว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้น ก็ดูเหมือนจะมีความจริงแฝงอยู่มาก เพราะเธอได้เล่ารายละเอียด เกี่ยวกับเหตุการณ์ตอนเรือไตตานิคพุ่งชนภูเขาน้ำแข็งอย่างถูกต้อง โดยเธอได้เล่าให้คณะแพทย์ที่รักษาเธอ 27 คน และนักวิทยาศาสตร์อีกจำนวนหนึ่งฟัง บันทึกของนายแพทย์จาร์ล ฮาอะแลนด์ ผู้รักษาพยาบาลนางเค้าทส์ มีตอนหนึ่งซึ่งบันทึกจากปากคำนางเค้าท์สโดยตรงมีว่า

"เหตุการณ์สยองขวัญที่สุดเกิดขึ้นในเวลากลางคืนวันที่ 14 เมษายน 2455 บนเรือมีผู้โยสารเคราะห์ร้าย 1503 คน ในตอนที่เกิดอุบัติเหตุเรือพุ่งชนก้อนน้ำแข็งนั้น เธอกำลังนอนหลับอย่ จำได้ว่าถูกปลุกอย่างรุนแรง จนต้องตื่นขึ้นมาพบกับผู้โดยสารที่กำลังบ้าคลั่งด้วยความกลัวและความตื่นเต้นตกใจ และแย่งกันไปที่เรือชูชีพ พร้อมทั้งเรียกให้เธอตามไปด้วย”

“ที่บนดาดฟ้าเรือ ผู้คนกลัวสุดขีดจนเสียสติ บางคนหัวเราะ บางคนร้องไห้ บางคนอยู่ในสภาพที่กำลังจมน้ำและกำลังจะเสียชีวิต โดยเฉพาะเด็กๆกับพวกผู้หญิงร้องไห้กันยกใหญ่ มีชาย 4 คนเกิดเถียงกันรุนแรง และชกต่อยกันเพื่อที่จะแย่งกันขึ้นเรือชูชีพ”

“เจ้าหน้าที่และลูกเรือต่างพากันเอาตัวรอด ไม่มีใครช่วยเหลือใครตามคำร้องขอเลย ผู้โดยสารอัดเต็มเรือชูชีพ พวกลูกเรือหย่อนลงสู่ผิวน้ำ คลื่นได้ผลักเรืออกไป พวกที่อยู่บนดาดฟ้าถูกเหวี่ยงลงสู่ใต้ผิวน้ำเรื่อยๆ บางคนก็ยืนแข็งทื่อด้วยความกลัวสุดขีด ปล่อยให้น้ำท่วมตัวขึ้นตามลำดับจนมิดร่าง”

นางเค้าท์สเล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับตัวเธอตอนหนึ่งว่า

“ฉันหมดหนทางเลี่ยงให้พ้นจากจมน้ำตาย จึงต้องตะเกียกตะกายช่วยเหลือตนเอง เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในคืนเดียว คืนเดียวที่ฉันขึ้นไปบนก้อนน้ำแข็งสำเร็จ แล้วก็ได้เห็นเรือประมงแล่นเข้ามารับตัวฉัน...”

นางเค้าท์สยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงคืนเดียวเท่านั้น แต่เมื่อเธอทราบว่าเหตุการณืที่ผ่านมามัน 78 ปีมาแล้ว เธอก็เริ่มแสดงอาการสูญเสีย เศร้าโศก หวาดกลัวเสียงโทรศัพท์ เสียงเครื่องบิน เสียงรถยนต์และเสียงวิทยุ ไม่มีความยินดียินร้ายในเรื่องศาสนาเลย

จิตแพทย์ฮาอะแลนด์กล่าวว่า นางเค้าท์สเกิดความเครียดทางด้านจิตใจทำให้แก่ลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งอายุคือ 107 ปีมันฟ้องตัวเอง ทำให้ภูมิต้านทานเธอเสื่อม แล้วก็เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ของปีถัดมา

เมื่อเธอเสียชีวิตแล้วเรื่องพิลึกกึกกือที่ถูกปิดในตอนแรกๆก็เปิดเผยออกมา โดยข้อมูลขั้นต้นจากหนังสือพิมพ์เดอะนิวส์ ฉบับประจำวันที่ 23 ตุลาคม 2533 ซึ่งได้ลงพาดหัวเกี่ยวกับการค้นพบนางเค้าท์สที่ภูเขาน้ำแข็ง และลงรายละเอียดเพียงว่า นางเป็นคนที่รอดตายจากคืนสยองขวัญ ต่อมาหนังสือพิมพ์และนิตยสารอีกหลายฉบับต่างก็ติดตามข่าวและเจาะลึกเบื้องหลังเรื่องนี้ กระทั่งได้รับคำบอกเล่าจากคณะแพทย์ 27 คน และนักวิทยาศาสตร์อีกกลุ่มหนึ่งที่ดูแลรักษาเธอ จึงมีการเขียนรายละเอียดในแง่มุมที่ต่างกันออกไป

แต่ที่แน่สุดก็คือ นางเค้าท์สยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอเพียงคืนเดียวเท่านั้น เธอตกลงไปในน้ำ แล้วตะเกียกตะกายขึ้นไปบนก้อนน้ำแข็งมหึมาก้อนหนึ่ง ก็เห็นเรือประมงเล่นเข้ามาช่วย เหตุการณ์มีเท่านี้เอง

แล้วเวลาที่มันหายไปตั้ง 78 ปีล่ะจะว่ายังไง ไปๆมาๆมันจึงเป็นปริศนาที่ยังพิสูจน์ไม่ได้มาจนทุกวันนี้

เครดิต : http://www.ziangames.com/index.php?showtopic=4340

Link to comment
Share on other sites

ขอบคุณครับที่เอามาลงให้อ่าน

ถ้ามีอีกก็จะคอยติดตามนะครับ

Link to comment
Share on other sites

3.สัตว์ประหลาด แห่งทะเลสาป ล็อกเนสส์

20100825185632displayimg251fe5d4d6.jpg

เนสซี (Nessie) คือสิ่งมีชีวิตลึกลับชนิดหนึ่งที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ใน ทะเลสาบล็อกเนสส์ แคว้นสกอตแลนด์ เชื่อว่ามีรูปร่างคล้ายเพลสิโอซอรัส (Plesiosaur) หรือ อีลาสโมซอรัส (Elasmosaurus) สัตว์เลื้อยคลานที่อาศัยในทะเลยุคเดียวกับไดโนเสาร์ มีผู้อ้างว่าเคยพบเห็นถึงปัจจุบันกว่า 4,000 ครั้ง และมีรูปถ่ายทั้งภาพนิ่งและภาพยนตร์มากมาย โดยเอกสารแรกสุดที่กล่าวถึงเนสซี คือ บันทึกของบาทหลวงเซนต์โคลัมบา เมื่อราว 1,400 ปี ที่แล้ว กล่าวถึงมังกรที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ และท่านเองก็เคยทำพิธีขับไล่มังกรตัวนี้ด้วย

   ใน พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) ได้มีการตัดถนนผ่านทะเลสาบล็อกเนสส์ จึงมีผู้พบเห็นเนสซีมากขึ้น โดยมีผู้อ้างว่า ขณะเขาขับขี่มอเตอร์ไซค์นั้น เห็นเนสซีขึ้นมาบนบก ไฟจากหน้ารถที่ส่องไปถูกตัวทำให้เห็นว่าเนสซีมีรูปร่างคล้ายเพลสิโอซอรัส และต่อมาก็ได้มีผู้ถ่ายรูปไว้ได้มากมายทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงเงาตะคุ่ม ๆ หรือคลื่นน้ำที่เคลื่อนไหวบนผิวน้ำเท่านั้น ต่อมา ทางมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมได้ทำการค้นคว้าเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยใช้เรือติดสัญญาณโซนาร์หลายลำแล่นไปบนพื้นผิวน้ำ เรียกว่า "ปฏิบัติการดีปสแกน" (Deepscan Operation) ปรากฏว่า โซนาร์ได้สะท้อนถึงเงาของวัตถุบางอย่างขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนตัวใต้น้ำ แต่บางคนคิดว่าอาจเป็นเพียงฝูงปลาธรรมดา ๆ

20100825185748displayimg0a89ee84cc.jpg

ภาพทีอยูบนจอโซนาร์

เรื่องราวเกี่ยวกับเนสซีมีทั้งผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อ โดยผู้ที่เชื่อนั้นเชื่อว่า เนสซีอาจเป็นไดโนเสาร์ที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยสภาพทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบล็อกเนสส์ในยุคโบราณนั้นเคยเป็นทะเลมาก่อน ไดโนเสาร์ในสมัยนั้นอาจเข้ามาอยู่อาศัยจนสภาพของพื้นที่เปลี่ยนไป กลายเป็นพื้นที่ปิดและปราศจากสิ่งรบกวน สัตว์ที่อาศัยอยู่ในนี้จึงยังหลงเหลืออยู่และมีสภาพไม่เปลี่ยนแปลงจากครั้งแรกที่เข้ามาอาศัย ไม่เพียงเท่านั้นแหล่งน้ำหรือทะเลสาบที่มีลักษณะใกล้เคียงกับล็อกเนสส์ที่อื่น ๆ และบริเวณใกล้เคียงกันก็มีรายงานของสิ่งประหลาดที่คล้ายกับเนสซีด้วย ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เชื่อนั้นเชื่อว่า รูปถ่ายหรือภาพเคลื่อนไหวที่ได้นั้น อาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับเนสซีเลย และทั้งหมดทำขึ้นก็เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ทะเลสาบแห่งนี้โด่งดังขึ้น โดยบางรูปเชื่อว่าเป็นเพียงหางของตัวนากที่กำลังดำน้ำหรือเป็นขอนไม้หรือวัสดุต่าง ๆ ที่กำลังลอยน้ำอยู่

ทุกวันนี้ เรื่องราวของเนสซีก็ยังเป็นเรื่องลึกลับที่เป็นที่สนใจของคนทั้งโลก มีผู้ไปสำรวจและศึกษามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดได้หลักฐานของเนสซีที่หนักแน่นสักราย อย่างไรก็ตามชื่อเสียงของเนสซีก็สร้างรายได้ให้แก่รัฐบาลสกอตแลนด์และชุมนุมใกล้เคียงเนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

        เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน หนังสือพิมพ์ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮรัลด์ของออสเตรเลียรายงานว่า กอร์ดอน โฮล์มส์ พนักงานห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ วัย 55 ปี จากเมืองชิปลีย์ แคว้นยอร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ สามารถถ่ายวิดีโอ ประหลาดลึกลับแห่งทะเลสาบล็อคเนสในสกอตแลนด์หรือที่เรียกกันว่า "เนสซี่" ได้เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยบรรดาผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเฝ้าดูเนสซี่ระบุว่าเป็นวิดีโอที่ดีและเห็นชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยถ่ายได้

โฮล์มส์กล่าวว่า เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่สีดำความยาวประมาณ 15 เมตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็วราว 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในผืนน้ำ

ทะเลสาบล็อคเนสนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับและตำนานที่เล่าขานกันมา เนื่องจากเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษ และมีความลึกถึง 230 เมตร ซึ่งลึกกว่าทะเลเหนือเสียอีก

     เอเดรียน ไชน์ นักชีววิทยา น้ำและนักเฝ้าดูเนสซี่แห่งศูนย์ล็อคเนส 2000 ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบล็อคเนสในเมืองอินเวอร์เนสได้ดูวิดีโอดังกล่าวแล้วและจะทำการวิเคราะห์ในอีกไม่กี่เดือนนี้ เขากล่าวว่า วิดีโอนี้ค่อนข้างต่างจากชิ้นที่ผ่านๆ มาเนื่องจากโฮล์มส์ได้ถ่ายฉากหลังบริเวณโดยรอบทะเลสาบด้วย นั่นหมายความว่าเป็นไปได้น้อยมากที่วิดีโอนี้จะเป็นการทำขึ้นมา รวมทั้งในวิดีโอนี้สามารถเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนถึงขนาดของเนสซี่เมื่อเทียบกับฉากหลังและความเร็วในการเคลื่อนไหว

ตำนานของเนสซี่ถูกบันทึกไว้เมื่อปี 1108 (ค.ศ.565) โดยนักบุญโคลัมบา หนึ่งในผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์นิกายเชิร์ช ออฟ สกอตแลนด์ แต่หลังจากที่ศัลยแพทย์รายหนึ่งสามารถถ่ายภาพของมันได้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2477 ก็มีผู้อ้างว่าได้เคยเห็นเนสซี่กว่า 4,000 ครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเริ่มมีผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องของเนสซี่อย่างจริงจังมากขึ้น โดยมีการถกเถียงกันว่าเนสซี่เป็น ในสายพันธุ์ที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน เป็นปลาชนิดหนึ่งหรือเป็นไดโนเสาร์ชนิดสุดท้ายที่ยังคงเหลือรอดอยู่

เครดิต : http://tay2014.allblogthai.com/36

Link to comment
Share on other sites

เรื่องที่2ผมก็เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้นะ

ใครเคยดูภาคต่อของไททานิคบ้างที่บอกว่าแจ็คที่จมน้ำลงไป

ยังไม่ตายแต่ถูกแช่แข็งอยู่ใต้ทะเล จนวันนึงน้ำแข็งละลาย จึงโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ

จนพอรู้ว่าโรสแก่ตายไปแล้วหรือไงนี่ล่ะ

เรื่องนี้อาจจะทฤษฎีเดียวกัน

Link to comment
Share on other sites

เรื่องที่2ผมก็เคยได้ยินเรื่องทำนองนี้นะ

ใครเคยดูภาคต่อของไททานิคบ้างที่บอกว่าแจ็คที่จมน้ำลงไป

ยังไม่ตายแต่ถูกแช่แข็งอยู่ใต้ทะเล จนวันนึงน้ำแข็งละลาย จึงโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ

จนพอรู้ว่าโรสแก่ตายไปแล้วหรือไงนี่ล่ะ

เรื่องนี้อาจจะทฤษฎีเดียวกัน

Fake Trailer ครับ เรื่อง Titanic2 ใช่มะ

มันเอาเรื่องที่ลีโอนาโด้ แสดงหลายๆเรื่องมาตัดต่อกันครับ

Link to comment
Share on other sites

รู้สึกเรื่องแบบนี้ ในบอร์ดเราจะมีคนทำสกู้ปแบบนี้อยู่นะครับ

รู้สึกจะชื่อฟรีสไรนี้แหละ(จำชื่้อในบอร์ดไม่ได้) :pika01:

Link to comment
Share on other sites

4. รอดซ์ สิ่งมีชีวิตปริศนา

2010082617543post-1655-1147862660_thumb.jpg

201008261763rods1.jpg

รอดซ์ บางคนเพิ่งจะทำความรู้จักกับสัตว์นี้เป็นครั้งแรก แต่บางคนอาจจะพอรู้ความเป็นมาของสัตว์ลึกลับตัวนี้ ซึ่งอาจจะเป็นสัตว์ที่มีอยู่บนโลกจริงๆ หรือมาจากต่างดาวเพื่อคอยสอดแนมมนุษย์โลก เพราะบางคนคิดว่ามันเป็นยานอวกาศขนาดเล็ก แต่ถึงยังไงเรามาค้นคว้าที่มาของเจ้ารอดซ์ สัตว์ปริศนาตัวนี้กันดีกว่า

2010082617642rods2.jpg

2010082617727rods2c.jpg

รอดซ์ เจ้าสัตว์ลึกลับเริ่มเป็นสิ่งที่สนใจกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 แต่ไม่ใช่เป็นการพบครั้งแรก พวกรอดซ์ถูกค้นพบมานานแล้ว แต่ทว่าไม่มีใครสนใจ เพราะคิดว่าเป็นเพียงนกชนิดหนึ่ง หรือการหักเหของแสงหรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่บังเอิญเข้ามาติดกล้องของพวกมนุษย์ที่ถ่ายภาพสถานที่ต่างๆเอาไว้เป็นที่ระลึก เมื่อพวกรอดซ์เข้ามาติดกล้องบ่อยๆ คนก็เริ่มสงสัยแล้วว่า เป็นสิ่งมีชีวิตหรือเปล่า หรือว่าเป็นเพียงนกที่บินเข้ามาใกล้เท่านั้นเอง

บุคคลที่แนะนำเจ้ารอดซ์ให้ชาวโลกรู้จักคือ นาย Jose Escamilla โดยเขาได้เรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าสัตว์ลึกลับนี้ไปออกรายการ Art bell และยังจัดทำเว็บเกี่ยวกับเจ้ารอดซ์นี่ด้วย www.roswellrods.com โดยเว็บนี้จะมีภาพวีดีโอที่ถ่ายพวกมันเอาไว้ได้ในสถานที่ต่างกัน รวมทั้งบทความต่างๆเกี่ยวกับรอดซ์ด้วย

เจ้าสัตว์ลึกลับตัวนี้จากการค้นคว้าติดตาม พวกเรามีความรู้เกี่ยวกับมันน้อยมาก ทั้งการดำรงชีวิต การสืบพันธุ์ สถานที่อยู่อาศัย ลักษณะทางพันธุกรรม เรื่องพวกนี้ยังคงเป็นปริศนาอยู่มาก แต่ที่มีหลักฐานเกี่ยวกับพวกรอดซ์ที่ค้นคว้าได้ดังนี้คือ พวกมันใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในอากาศ ขนาดตัวก็มีขนาดเล็กมากๆ จนถึง 100 ฟุตเลยทีเดียว ส่วนสีผิวจะใสมาก จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่พวกเรามองเห็นตัวของรอดซ์ได้ยากมากนั่นเอง การเคลื่อนไหวก็มีความเร็วสูง เฉลี่ยแล้วบินได้เร็วถึง 270-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

    อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ที่ไม่เชื่อและคัดค้าน โดยพยายามให้เหตุผลว่ารอดซ์อาจเป็นแมลงบางชนิดที่พวกเรายังไม่รู้จัก บางทีก็อาจจะเป็นสายพันธุ์ใหม่ หรือเกิดจากการหักเหของแสงที่ตกลงกระทบลงสู่พื้นดิน หรืออาจเป็นยานอวกาศขนาดเล็กของพวกมนุษย์ต่างดาว ซึ่งบางคนก็บอกว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่มาจากต่างดาว

เมื่อมีคนที่ไม่เชื่อ พวกที่เชื่ออยู่แล้วจึงพยายามหาหลักฐานเพื่อมาประกอบความเชื่อของพวกตนให้ได้ หลักฐานที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะหามาพิสูจน์ได้ก็คือ จะต้องจับตัวของเจ้ารอดซ์เป็นๆมาให้ได้

เครดิต : http://thaimisc.pukpik.com/freewebboard/php/vreply.php?user=pimonracha&topic=456

Link to comment
Share on other sites

จากรูปที่เห็นนะ เหมือนจะเคยเหนในทะเลแหะ

เค้าบอกว่ามันเหมือนเปนตัวบอกลาง ถ้ามันปรากฎที่ไหน มี่นั้นจะพังอ่ะ

Link to comment
Share on other sites

กระทู้ลึกลับดีครับ

คุณพี่นี้มีกระทู้ 10 อันดับ เรื่องลึกลับที่ไม่มีไครหาคำตอบได้ด้วยนิ

เรื่องแรกเคยได้ยินมานิดหน่อย

Link to comment
Share on other sites

5.เหตุการณ์ที่รอสเวลล์

201008281711106c676a49b4992c4b9f18ebfcbd44ea75.jpg

เหตุการณ์ที่รอสเวลล์กล่าวอ้างถึงการมีจานบินมนุษย์ต่างดาว หรือ UFO ตกที่เมืองรอสเวลล์ มลรัฐนิวเม็กซิโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.๑๙๔๗ และกองทัพอากาศสหรัฐผู้มีหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบเหต ุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ถูกกล่าวหาว่าจงใจปกปิดความลับการพบ UFO โดยสร้างเรื่องให้ประชาชนเข้าใจไปว่า สิ่งที่ตกที่เมืองรอสเวลล์เป็นเพียงบอลลูนตรวจสภาพอากาศธรรมดา

จริงๆ แล้วสิ่งที่ตกที่เมืองรอสเวลล์ในปี ค.ศ.๑๙๔๗ เป็นอะไรกันแน่, UFO หรือบอลลูนตรวจสภาพอากาศ? และทางการสหรัฐปกปิดความลับการค้นพบ UFO ไว้หรือไม่? ข้อสงสัยเหล่านี้คือจุดเริ่มต้นของ เหตุการณ์ที่รอสเวลล์ อันอื้อฉาว ซึ่งไม่เคยลืมเลือนไปจากความทรงจำของผู้คนหลายยุคหลา ยสมัย แม้ว่าเหตุการณ์จะล่วงเลยมานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม

ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.๑๙๔๗ เมืองรอสเวลล์ในขณะนั้นเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆในทะเลทรายแวดล้อมไปด้วยพื้นที่รกร้างและทุ่งหญ้าเล ี้ยงสัตว์ยาวสุดลูกหูลูกตา ทางทิศใต้ของเมืองเป็นที่ตั้งของสนามบินกองทัพอากาศร อสเวลล์อันเป็นฐานของหน่วยทิ้งระเบิดที่ ๕๐๙ หน่วยรบพิเศษเพียงหน่วยเดียวของโลก (ในขณะนั้น) ที่ถูกฝึกให้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติการรบด้วยร ะเบิดนิวเคลียร์ นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่สมควรกล่าวถึงไว้ด้วยก็คือในปี ค.ศ.๑๙๔๗ เป็นปีที่มีปรากฏการณ์ประหลาดเกิดขึ้นจนต้องบันทึกไว ้ในประวัติศาสตร์ ด้วยมี UFO พาเหรดมาให้ผู้คนได้ยลโฉมมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

วันหนึ่งในอาทิตย์แรกของเดือน กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๔๗ กสิกรผู้มีอาชีพเลี้ยงแกะเมืองรอสเวลล์นาม แม็ค บราเซิล ได้ยินข่าวเกี่ยวกับ UFO เข้าโดยบังเอิญขณะอยู่ในบาร์แห่งหนึ่ง บราเซิลรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อคิดว่าวัตถุปร ะหลาดที่พบกระจัดกระจายเป็นวงกว้างอยู่บนพื้นที่ดินข องเขาอาจเป็นชิ้นส่วนของ UFO ที่ผู้คนกำลังแตกตื่นอยู่ก็ได้ เขาภาวนาขอให้มันเป็นเช่นนั้นเพราะเงินรางวัลจำ นวน ๓,๐๐๐ ดอลลาร์ที่ตั้งโดยหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งให้กับใครก็ต ามที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า UFO มีจริง เป็นสิ่งยั่วใจเขาอย่างยิ่ง บราเซิลรีบนำเจ้าชิ้นส่วนประหลาดจำนวนหนึ่งที่เขาเก็ บได้ไปแสดงกับเจ้าพนักงานท้องถิ่น จอร์จ วิลค็อกซ์ ซึ่งก็รีบแจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ผู้ มีอำนาจที่สนามบินกองทัพอากาศรอสเวลล์ในทันที ไม่นานหลังจากนั้น นาวาอากาศตรี เจสซี่ มาร์เซล ก็เดินทางมายังสถานที่เกิดเหตุพร้อมกับเก็บตัวอย่างช ิ้นส่วนไปตรวจสอบ ที่ดินของบราเซิลถูกกองทัพอากาศปิดกั้น ต่อจากนั้นอีกหลายวัน ชิ้นส่วนที่หลงเหลือทั้งหมดถูกเจ้าหน้าที่นำกลับไปยั งฐานทัพอากาศรอสเวลล์ และส่งต่อไปยังสำนักงานใหญ่ของกองทัพอากาศที่ฟอ ร์ท เวิร์ธ, รัฐเท็กซัส ในที่สุด

นาวาอากาศตรี เจสซี่ มาร์เซล ตรวจสอบพบว่าชิ้นส่วนที่ได้จากบราเซิลเป็นโลหะที่มีค ุณสมบัติแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยพบมาก่อน เช่น

- แผ่นวัสดุที่ทั้งเบาและบางคล้ายแผ่นฟอยล์ แต่มีความแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาดเพราะมันไม่ฉีกขาด รวมทั้งไม่ปรากฏริ้วรอยใด ๆ แม้จะลองใช้ค้อนทุบ

- หรือแท่งวัสดุคล้ายไม้แต่ก็ไม่ใช่ไม้เลยทีเดียว ชิ้นใหญ่ที่สุดมีความยาว 3-4 ฟุต แท่งวัสดุเหล่านี้มีอักษรที่ไม่สามารถเข้าใจได้ปรากฏ อยู่ ซึ่งมาร์เซลเรียกมันว่า เฮียโรกลิฟฟิค

- และสุดท้ายเป็นแผ่นวัสดุคล้ายแผ่นหนังจารึกอักษรเฮีย โรกลิฟฟิคไว้เช่นกัน

เศษชิ้นส่วนทั้ง 3 แบบนี้มีคุณสมบัติร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งคือไม่ไหม้ไฟ และด้วยคุณสมบัติประหลาดเหล่านี้นี่เองที่ทำให้มาร์เ ซลลงความเห็นว่าเศษซากชิ้นส่วนที่พบบนที่ดินของกสิกร บราเซิล

เป็นวัตถุที่มาจากนอกโลก!

วันที่ ๘ กรกฎาคม ๑๙๔๗ น.อ. วิลเลียม บลังชาร์ด ผู้บัญชาการหน่วยทิ้งระเบิดที่ ๕๐๙ ก็ได้ออกแถลงการณ์ช็อคโลกอันสืบเนื่องมาจากผลการตรวจ สอบของ น.ต. เจสซี่ มาร์เซล ว่ากองทัพอากาศสามารถกู้ซากจานบินมนุษย์ต่างดาว หรือ Ufo ได้จากทุ่งหญ้าของกสิกรคนหนึ่งที่เมืองรอสเวลล์ รัฐนิวเม็กซิโก

ทุกวันนี้ การค้นหาข้อเท็จจริงก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไปตราบเท่าท ี่รัฐบาลยังไม่สามารถให้ความกระจ่างแจ้งที่ดีกว่านี้ ได้ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือผลพวงจากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้ในปัจจุบันเมืองรอ สเวลล์กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่โด่งดังแห่งหนึ่งขอ งรัฐนิวเม็กซิโก ถึงขนาดมีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับ Ufo ขึ้นโดยมีเหตุการณ์ที่รอสเวลล์เป็นจุดขายเพื่อต้อนรั บนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ไม่รวมถึงการขายของที่ระลึกต่างๆ เช่น หนังสือ เสื้อยืด พวงกุญแจ ฯลฯ ตลอดจนการจัดทัวร์ไปชมสถานที่ที่สันนิษฐานว่ามี Ufo ตกในปี ค.ศ. ๑๙๔๗ และเมื่อเดือนกรกฎาคม ๑๙๙๗ ก็ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ ๕๐ ปีของเหตุการณ์ขึ้นที่เมืองรอสเวลล์โดยมีนักท่องเที่ ยวเข้าร่วมงานเป็นจำนวนหลายหมื่นคน ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า

เหตุการณ์ที่รอสเวลล์ จะยังไม่จบง่าย ๆ เพียงแค่นี้ และคงจะยังเป็นเรื่องท็อปฮิตติดอันดับในใจของนักนิยม Ufo ไปอีกนานแสนนาน.....

เครดิต : http://www.palungdham.com/board/showthread.php?t=70

Link to comment
Share on other sites

โอ้ เอามาโพสแล้วนี่เร็วจังเลยนะ

ว่างๆกะจะเอามาเสริมด้วยอีกคน :pika10:

edit ไอ้เจ้าร็อด นี่ก็เคยเอามาโพสแล้วนะ แล้วก็อีกหลายตัวเลย

Link to comment
Share on other sites

6. สัตว์ร้ายแห่งเชโวดอง (The Beast of Gevaudan )

2010083118278gevaudan_monster3.jpg

เมื่อปี ค.ศ.1764 ที่เมืองเชโวดอง รัฐ Auvergne ซึ่งเป็นย่านภูเขาอยู่ในทางภาคกลางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส เวลานั้นเป็นช่วงที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ครองบัลลังก์อยู่พอดิบ พอดี

จู่ๆ ในเวลานั้นได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่โลก(ไม่)ตะลึงเกิดขึ้น มีสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่   ออกอาละวาดไล่ฆ่าผู้คนตายไปหลายราย ไม่มีใครรู้เลยว่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้มาจากที่ไหนเพราะจู่ๆ มันก็ปรากฏตัวขึ้นมาเหมือนออกจากนรกงั้นแหละ มันทำร้ายมนุษย์และจับสัตว์เลี้ยงไปกินมากมาย ทั้งยังฆ่าผู้คนในเมืองนั้นไปมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและสตรีที่อ่อนแอ

จากสถิติตามคำบอกเล่าเค้าว่าเจ้าอสูรร้ายตัวนี้ได้ปลิดชีพมนุษย์ไปมากกว่า 100 คน และบาดเจ็บอีกว่า 30 คน นับว่ามันน่ากลัวพอสมควรเลย

ส่วนจำนวนของสัตว์ร้าย ตัวนี้มีจำนวนไม่แน่ชัดแต่คาดว่ามันน่าจะมีตัวเดียว และรูปร่างมันมีลักษณะตามคำบอกเล่าของผู้พบเห็น ไม่ตรงกันสักราย แต่ก็พอสรุปว่า

20100831182745beast-of-gevaudan.jpg

มันเหมือนหมาป่าตัวโตๆ เกือบเท่ากับวัว หัวโตมาก จมูกยาวแหลมและยื่น ขนสีเทา หูสั้นและฟันใหญ่ กรงเล็บขนาดใหญ่แหลมคมและหางยาว ดูเผินๆ แล้วมันก็ดูเหมือนป่าหมาตัวโตๆ ที่โตมาก แต่พิเศษที่ต่างจากหมาป่าทั่วไปคือ เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้เดินได้ด้วย 2 ขาหลัง !! เหมือนมนุษย์ ไม่มีผิด เคยมีรายงานการพบเห็นที่ว่ามันเดิน 2 ขา และยกแกะไว้ได้ด้วยมือข้างนึง แสดงว่าพละกำลังของมันมีมากกว่าคน (อันหลังน่าจะโม้มากกว่า)

ส่วนมากรายงานการทำสัตว์ร้ายตัวนี้ทำร้ายผู้คนจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าหรือไม่ก็ทางเดินผ่านระหว่างป่า ที่ ผู้คนจำเป็นต้องใช้สัญจรไปมา(สมัยก่อนฝรั่งเศสยังเป็นป่าเขานี่)  จนผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าใช้ทางเดินที่ต้องผ่านป่าหรือแม้ แต่เฉียดกรายเข้าไปใกล้

แน่นอนว่าจะต้องมีการล่าตัว สัตว์ร้าย นี้เกิดขึ้น โดยพรานจากทั่วทุกสารทิศต่างพากันมายังที่เมืองเชโวดอง เพื่อตามล่ามัน แต่ก็กลับบ้านด้วยมือเปล่าด้วยความผิดหวัง

อองตวน เดอ โบแตร์น (Antoine de Beauterne) เจ้ากรมพรานหลวงและคณะจึงขออาสาล่ามัน แต่ โห! กว่าจะได้ล่ามัน ต้องเดินทางไกลนับสิบกิโล ฝ่าภูมิประเทศที่แสนเลวร้าย อีกทั้งไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้านกับเจ้าเมืองอีก จนกระทั้งเขาก็สามารถยิงสัตว์ที่คาดว่าเป็น สัตว์ร้าย ได้สำเร็จ ตัวมันทั้งใหญ่และยาวกว่า 1.80 เมตร และเอาซากศพนั้นไปถวายให้พระเจ้าหลุยส์ทอดพระเนตร

แต่แล้ว ธันวาคม 1765 ชาวบ้านที่นั่นก็ถูก สัตว์ร้าย กลับมาทำร้ายอีก คาดว่าตัวที่อองตวนฆ่าก่อนหน้านั้นอาจไม่ใช่ สัตว์ร้าย ตัวจริง

ปี 1767 ชาวบ้านไม่ไว้ใจพวกราชสำนักอีกแล้ว จึงรวมตัวกันออกล่าเจ้า สัตว์ร้าย ตัวนั้น แต่กว่าจะล่ามันได้ ก็รอเป็นเดือนๆ จนกระทั้งวันที่ 19 มิถุนายน สัตว์ร้าย ได้โผล่มาใกล้ๆ ลา ซอญ โดแวร์ ใกล้ป่าเตนาเซอเยร นายพรานคนหนึ่งชื่อ ชอง ชาลเตล ที่กำลังอ่านหนังสือพระอยู่ เมื่อเห็นจึงจัดการเป่ามันด้วยปืนคาบสิลา ก่อนที่นำซาก สัตว์ร้าย ตัวนั้นไปยังปราสาทเจ้าเมือง ทำการสตั๊ฟและไปถวายพระเจ้าหลุยส์อีกเป็นครั้งที่สอง แต่คราวนี้ซากของมันเกิดการเน่าเพราะสตั๊ฟไว้ไม่ดี รูปร่างก็เปลี่ยนไปมาก พระเจ้าหลุยส์จึงไปฝังเสีย

20100831182830beast_gevaudan.jpg

เป็นอันไม่รู้เลยว่า มันใช่สัตว์ร้ายแห่งเชโวดองจริงหรือไม่? อีกทั้งยังมีผู้คนที่สงสัย อีกว่าตัวที่นาย ชอง ชาลเตล ได้ฆ่าไปแล้วนั้นมันใช่เจ้าเชโวดองหรือเปล่า? เพราะจากรูปร่างลักษณะแล้วไม่ตรงกันกับผู้ที่เคยเห็นสัตว์ร้ายนี่มาก่อน พูดง่ายๆ ก็คือ มันต่างกันนั่นเอง

ไม่รู้ว่ามันคือ สัตว์ร้าย ตัวจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าสัตว์ร้าย ก็ไม่มาอาละวาดให้ผู้คนในเชโวดองอีกแล้ว ตลอดกาล..........

แต่เรื่องนี้ยังไม่จบ แม้เหตุร้ายจะผ่านไปนานนับศตวรรษแล้ว แต่พวกนักคติชาวบ้านศึกษา และนักสัตว์ลึกลับวิทยา ก็ยังศึกษาว่าแท้จริงแล้ว สัตว์ร้าย ตัวนี้มันเป็นตัวอะไรกันแน่ และแล้วข้อสันนิษฐานก็เกิดขึ้นแบบเถียงกันไม่รู้จบ

ตัวอย่าง

ปี 1765 นายเชร์แว ฟรัวซัวมาเญ นักล่าสัตว์แต่ใฝ่ศึกษา ได้รวบรวมข้อมูลและบันทึกไว้ สรุปเองว่า มันน่าจะเป็นไฮยีน่าที่หลุดออกจากสวน สัตว์ของกัตริย์แห่งวาร์ดิเนีย (ภายหลังพบว่าไม่มี สวนสัตว์ที่ว่านั้นที่เชโวดอง)

ปี 1936 อาเบล เชวายี นักแต่งนิยายที่เคยเอาเรื่องสัตว์ร้ายเชโวดองไปแต่งนิยายโดยให้ซอง ชาลเตล เป็นพระเอก ให้ความเห็นว่ามันน่าจะเป็นไฮยีน่าโบราณ

เชล เมอร์เก นักคติชาวบ้านวิทยา บอกว่า มันแค่หมาป่าธรรมดา แต่นิสัยแค่เหมือนไฮยีน่าแค่นี้แหละ)

ปี 1819 ฟรานซ์ ชูเลียง นักสตั๊ฟสัตว์ของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติออกมาอ้างว่าเขาพบซาก สัตว์ร้ายตัวนั้น และทำการตรวจสอบพบว่ามันคือ ไฮยีนาลาย (แต่ไม่มีรูปมายืนยัน)

นอกจากนี้นิยายสัตว์ร้ายแห่งชโวดองนี้ยังได้กลายเป็นบทละครด้วย ในปี 1809 เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า เสนาบดีกังฉินแห่งเชแวนสมคบคิดนายพลช่วยอยากหักหลังเจ้านายตน จึงปล่อยสัตว์ร้ายจากแดนไกลที่เชโวดอง เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจผิด และรุกขึ้นต่อต้านเจ้านายของนายพล   

แต่ก็นะครับ หลังจากนั้นเป็นต้นมาข่าวคราวและข่าวลือของเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ก็ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา ทิ้งไว้

เครดิต : http://writer.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=376491&chapter=6

Link to comment
Share on other sites

ผมชอบแบบ สิ่งมีชีวิตแปลกๆลึกลับๆอยู่แล้ว(แต่รู้เยอะไปก็กลัวนะเนี่ย)

สนุกดีครับ

Link to comment
Share on other sites

เรื่องลึกลับมากมายยังมีในโลกสินะ

เฮ้อ~ ถ้าโลกนี้มีเรื่องลึกลับเยอะๆ แล้วก็มีความเป็นแฟนตาซีัสักหน่อย โลกนี้ก็คงจะไม่ค่อยน่าเบื่อเนอะ~

Link to comment
Share on other sites

7. ชูปราคาบรา (El Chupacabra)

20100903184333chupacabra02.jpg

               

           เปอร์โตริโก  (Puerto Rico)  ชื่อเต็มคือ เครือรัฐเปอร์โตริโก (Commonwealth of Puerto Rico) เป็นเครือรัฐของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของสาธารณรัฐโดมินิกันในภูมิภาคแคริบเบียนตะวันออก เฉียงเหนือ เปอร์โตริโกเป็นดินแดนที่เล็กที่สุดของหมู่เกาะแอนทิลลิสใหญ่ มีพื้นที่รวมเกาะเปอร์โตริโก เกาะเล็ก ๆ จำนวนหนึ่ง รวมทั้งกลุ่มเกาะ ได้แก่ โมนา เบียเกส และกูเลบรามีป่าไม้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพทำไร่ เลี้ยงสัตว์ ชีวิตก็เป็นปกติสุขดีอยู่หรอก จนกระทั้ง.........ในช่วงราวปี ค.ศ.1994-1995 นี้แหละ ชาวบ้านได้รู้ซึ้งเลยละ ว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายที่น่าสยดสยองที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน.....

                มีนาคม 1995 ชาว บ้านที่ตำบลโอโรโดบิส และโมโรบิส แถบภูเชาตอนในของเกาะปอร์โตริโกต้องเผชิญกับสิ่งน่ากลัวที่พวกเขาไม่เคยเห็น มาก่อน เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาพบว่าแพะแกะของพวกตนนอนตายระเกะระกะเหมือนดั่งว่ามี ใครทำร้ายพวกมัน ทีแรกก็ไม่ได้สนใจ คิดกันว่ามันอาจจะเป็นหมาป่าหรือหมาจิ้งจอก แต่พอสำรวจเจอเข้ากับรอยเจาะ 2 รู ที่เปื้อนไปด้วยรอยเลือดเกรอะกรังขนาดเท่ากับหลอดกาแฟบนตัวสัตว์ทุกตัวที่ นอนตาย ที่สำคัญที่สัตว์ที่ตายเหล่านี้สภาพศพตัวซีดเผือดและมีกลิ่นกำมะถันติดอยู่ แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีรอยเลือดอยู่ที่พื้นดินสักหยด แสดงว่าทุกตัวต้องถูกดูดเลือดจนหมดออกร่างไปจนหมด

                  ต่อมาเริ่มพบซากของสัตว์เลี้ยงไม่ว่าจะเป็นแพะ สุนัข ตายในลักษณะเดียวกันนี้มากขึ้น ความกลัวเริ่มเข้าเกาะกุมใจผู้คน ต่างร่ำลือกันต่างๆ นานา ว่าเป็นปีศาจบ้าง แวมไพร์บ้าง แต่ไม่มีใครอธิบายเหตุการณ์นี้ว่ามันเป็นอะไรหรือมันเกิดขึ้นเพราะอะไรจนกระทั้งอีกหกเดือนต่อมา...

มี ชาวบ้านคนหนึ่งเห็นตัวมันในกลางดึกคืนหนึ่ง เขาเล่าว่ามันกำลังเกาะอยู่บนตัวแพะในความมืดและส่วนที่เค้าคาดว่าเป็นส่วน หัวของมันติดอยู่กับลำคอแพะของเขา ด้วยความตกใจเค้าจึงส่งเสียงดังเพื่อไล่มันไป มันหันมามองเค้าแว่บนึงแล้วก็กระโจนเข้าไปยังทางหลังบ้านแล้วก็หายไปในความ มืด ต่อมาตอนเช้าก็ได้มีการชันสูตรซากแพะตัวนั้นไม่มีเลือดเหลืออยู่เลย...... "มันค่อนข้างมืด แล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจในรายละเอียดของมันเท่าไหร่ แต่ว่าเห็นเพียงใบหน้าและดวงตากลมโตเท่าไข่ไก่ที่เป็นสีแดง กับเขี้ยวทั้งสองอันที่มุมปาก"

                ในเดือนกันยายนปี 1995 มาเดลีน โตเลนติโน(Miasel Negron) แม่บ้านที่อาศัยอยู่ใน คาโนบานาส ทางตะวันออกของกรุงซานฮวน เมืองหลวงของเกาะและคนอื่นหลายคนได้โอกาสเห็นตัวต้นเหตุมันกำลังดูดเลือดแพะ พอดี........เธอกับชาวบ้านคนอื่นก็ไล่มันไป มันหันมามองเธอแว่บนึงแล้วก็กระโจนเข้าไปยังทางหลังบ้านแล้วก็หายไปในความ มืด ต่อมาตอนเช้าก็ได้มีการชันสูตรซากแพะตัวนั้นไม่มีเลือดเหลืออยู่เลย เธอให้การกับตำรวจว่า "มันสูงประมาณ 3 - 4 ฟุต มีหนังคล้าย ไดโนเสาร์ ดวงตาสีแดงโตของมันฉายประกายจ้าในความมืด เขี้ยวยาวและงอโค้งไปด้านหลัง กำลังทำร้ายพวกแพะอยู่"

                จากนั้นคำว่า ชูปราคาบรา El Chupacabra จึงปรากฏขึ้นมา พวกเขาเรียกชื่อมันแบบตรงๆ โดยเป็นคำในภาษาสเปนแปลว่า ตัวดูดเลือดแพะ ("Goat Sucker"เป็น คำในภาษาอังกฤษแปลว่านกตบยุงชนิดหนึ่ง)....แต่มิได้หมายความว่าเหยื่อของมัน จะเป็นแพะเท่านั้น สัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ ไม่ว่า เป็ด ไก่ ห่าน หมา แมว กระต่าย หรือวัวก็ยังโดนมันดูดเลือดด้วย ซึ่งยิ งทำให้ชื่อของชูปราคาบราเป็นที่หวาดกลัวสำหรับเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์หรือ ชาวบ้านแถบเปอร์โตริโกในบัดดล...

                เดือนพฤศจิกายน 1995 จอร์จ มาร์ติน นักจานผีวิทยาชื่อดังของเกาะได้เผยแพร่ข่าวนี้ให้ชาวโลกได้รับทราบทาง อินเตอร์เน็ต ชูปาคาบราก็เลยดังไปทั่วโลก คราวนี้ใครต่อใครก็ให้ข่าวเรื่องชูปาคาบรากันยกใหญ่

Luis Guadalupe หนึ่งในผู้ที่พบกล่าวว่า "มันน่าเกลียดมาก และดูเหมือนว่ามันจะบินได้ด้วยซ้ำ และลิ้นมันยาวยังกับลิ้นงู"

Angel Pulido หนึ่งในผู้พบเห็นกล่าวว่า "มันเหมือนค้างคาวตัวใหญ่ที่ดูเหมือนแม่มด"

           พวกนักการเมืองท้องถิ่นเริ่มออกมาเรียกร้องรัฐบาลให้สอบสวนเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ Jose Soto นายกเทศมนตรีของเมือง เริ่มส่งคณะไปค้นหา มีผู้ร่วมถึง 200 คนตระเวนหาตามไร่ต่างๆ ในตอนกลางคืน เนื่องจากคาดว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้อาจจะหลับในตอนกลางวันแต่ออกหากินเวลากลางคืน แต่ก็เหลว  เพราะหุบเขาในเปอโตริโกนั้นซับซ้อนและมีความยาวมาก

ข่าวคราวเรื่องชูปาคาบราออกเล่นวานเหยื่อยังคงมีเข้ามาอยู่เรื่อยๆ จนกระทั้งต้นปี 1996 จึง เริ่มค่อยๆ ชาลงไป อาจเป็นเพราะปีนี้อากาศหนาวผิดปกติ หลายคนจึงคิดว่าเจ้าสัตว์ตัวนี้อาจจะจำศิสหนีหนาวอยู่ในถ้ำที่ไหนสักแห่งบน เทือกเขาเอลยุงเกนั้นก็ได้

สงบได้ไม่กี่วัน ชูปาคาบราก็กลับมาอาละวาดอีก ต้นเดือนมีนาคม 1996 เมื่อฮารูตูโร โรดริเกว ชาวนาในหมู่บ้าน แจ้งว่าไก่ชนที่เขาเลี้ยงไว้ ทั้งตัวผู้แลตัวเมียร่วม 30 ตัว ถูกชูปาคาบราฆ่า ตามตัวและคอหอยของซากไก่มีบาดแผลเป็นรูเล็กๆ และไม่มีรอยเลือดที่เกิดเหตุ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบดูก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นชูปาคาบรา เพียงแต่บอกว่ามันอาจเกิดจากหมาป่าหรือค้างคาวกัดก็เป็นได้

วันที่ 9 มีนาคม เด็กชายโอรีโอ เมนเดซ กำลังสาละวนขุดหลุมเพื่อฝังไก่เขาที่ตายอยู่สนามหลังบ้านนั้น พลันเหลือบไปเห็นตัวอะไรบางอย่างที่รูปร่างแปลกประหลาด สูงราวสี่ฟุต เดินสองขา นัยน์ตาแดง มีเขี้ยวใหญ่ มือมีอุ้งเล็บ ตัวสีเทา เด็กคนนั้นเล่าให้ตำรวจฟังว่า เจ้าสัตว์หูแหลมตัวนั้นยื่นนิ่งพอสมควรเลยครับ แต่มันไม่ทำร้ายผม และมันก็วิ่งหายไป

ความ ตายของสัตว์เลี้ยงยังดำเนินต่อไปจนถึงแถบบาร์ริโอ ซูมีเดโร โดยเฉพาะตำบลลา เวกาคาปิญา และ ลา อาราญา พวกสัตว์เลี้ยงหลังบ้าน ไม่ว่าจะเป็น เป็ด ไก่ ห่าน แพะ แกะ หรือแม้แต่วัวก็ล้มตายโดยถูกดูดเลือดจนหมดทุกตัว มีอยู่ที่หนึ่งประตูสังกะสีขนาด 4.8x4.2 ถูกกระชากจนหลุดจากบานพับแสดงว่าเจ้าสัตว์จะต้องมีกำลังมหาศาล

                ฮูลิโอ โลเปซ ยืนยันว่าชูปาคาบรามีพละกำลังมหาศาล รูป ร่างของกรงกระต่ายของลูกสาวผมออกจากเหลือเชื่อ ท่อเหล็กและลวดตาข่ายถูกฉีกขาด มันเอากระต่ายไปฆ่า และควักหัวใจไส้พุงออกมา พวกหมา ลิงทโมน หรืองู ไม่มีทำเรื่องแบบนี้หรอกครับ

                เรื่อง ของชูปาคาบราเรื่องแพร่กระจาย และมีข่าวลื่อมากมายเกี่ยวกับตัวมัน บางคนคิดว่าชูปาคาบราเป็นผีดูดเลือดด้วยซ้ำ จะต้องใช้กระสุนเงินฆ่ามันเท่านั้น บางก็ว่าต้องใช้แสงเลเซอร์ฆ่า

                เหตุ ชูปาคาบราอาละวาดฆ่าสัตว์เลี้ยงไม่ได้มีแต่เฉพาะปอร์โตริโกเท่านั้น มันยังลามไปถึงอเมริกา และเม็กซิโกด้านมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1996 มี รายงานการตายของสัตว์เลี้ยงจำนวนมาก ที่รัฐซิโนโลอา ฮาลิสโค และเวราครูซ โดยเฉพาะรัฐเวราครูซได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะเพราะรัฐนี้เป็นรัฐที่เลี้ยงแพะมากที่สุด โดยมีรายงานสัตว์เลี้ยงถูกดูดเลือดจนตายที่เมืองตลาลิสโคยัน ลาส ตรานคาส และนาซีคาส

                เหตุการณ์ ในเม็กซิโกเริ่มเลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อมีรายงานว่ามีคนถูกซุปาคาบราทำร้าย ส่วนใหญ่ผู้ถูกทำร้ายจะปรากฏบาดแผลเป็นรูเล็กๆ สองรูตามร่างกาย หรือรอยเล็บ และมีรายงานชูปาคาบราโดนคนยิงแต่ไม่สามารถทำอันตรายแก่ตัวมันได้แล้วมันก็ หนีไปในความมืด

ในปานามา (Panama) ก็มีรายงานลักษณะเดียวกันนี้เช่นกันและคราวนี้หญิงสาวคนหนึ่ง Elizabeth Saaverdra ก็ โดนทำร้ายจากเจ้าสิ่งนี้เช่นกัน บางครั้งก็พบว่าอวัยวะของซากสัตว์นั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีรอยฉีกขาด เหมือนตัดเอาไปด้วยแสงเลเซอร์ ไม่เท่าเฉพาะแต่เพียงเท่านี้ ในบราซิล (Brazil) ก็มีการบันทึกของชูปาคาบราอีก เหมือนกันโดยคราวนี้ไม่ใช่รายงานสัตว์ที่โดยทำร้ายแต่เป็นรายงานการตายของ เจ้า ชูปาคาบรานี้ โดยถูกนักตกปลายิงได้ที่ทะเลสาบ และหนึ่งในนั้นได้ตัดส่วนหัวของมันเก็บไว้และได้นำมาออกในรายการทีวีในเวลา ต่อมา แต่ก็มีข่าวว่ามีคนจับตัว ชูปาคาบราเป็นๆ ไว้ได้แต่ไม่ได้นำมาเผยแพร่ทางโทรทัศน์ เพียงแต่ยอมให้นักสำรวจของอเมริกาตรวจดูได้

เครดิต : http://creatures.igetweb.com/index.php?mo=3&art=161545

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.

×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.