Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

ตำนานลึกลับ ที่โลกเล่าขาน


OuriOuri Muto

Recommended Posts

  • Replies 61
  • Created
  • Last Reply

Top Posters In This Topic

  • OuriOuri Muto

    23

  • goddric

    7

  • PPF

    4

  • คนเสียสติ

    3

เคยได้ยินเรื่องของชูปราคาบรามานิดๆเหมือนกันแหะ = =

Link to comment
Share on other sites

8.ตำนานตะเกียงฟักทอง หรือ แจ็ก-โอ'-แลนเทิร์น (Jack-o'-lantern)

201009041657211267433947.jpg

ตะเกียงฟักทอง หรือ แจ็ก-โอ'-แลนเทิร์น (Jack-o'-lantern) เป็นอุปกรณ์ประดับตกแต่งสถานที่ ซึ่งนิยมใช้ในเทศกาลฮาโลวีน มีลักษณะเป็นผลฟักทองสีส้ม (ไม่นิยมใช้ฟักทองเอเซีย) แกะสลักเป็นรูปหน้าคนในกริยาต่างๆ

โดยมากมักเป็นกริยาแสดงอาการข่มขวัญ หรือโอดครวญ ทั้งนี้ การใช้ตะเกียงฟักทอง เป็นการระลึกถึง jack ชายชาวนาในตำนานที่หาญกล้าต่อกรกับซาตาน

ตำนานของแจ็ก

เรื่องของแจ็กมีการเล่าในตำนานหลายรูปแบบ

ตำนานตะเกียงฟักทองนั้น เป็นเรื่องเล่าโบราณเรื่องหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงที่มาของชายชาวนาจอมเจ้าเล่ห์ชื่อ แจ็ก ในสมัยของเขา ซาตานจะออกตระเวนขอพืชผลจากชาวบ้าน

ซึ่งไม่มีบ้านไหนที่กล้าปฏิเสธ เพราะกลัวต้องคำสาปของซาตานนั่นเอง แต่การขู่เข็ญของซาตานใช้กับแจ็กไม่ได้ เขาไม่กลัวและไม่เคยหยิบยื่นอะไรให้ซาตานเลย

วันหนึ่งซาตานจึงแอบมาสำแดงตนให้แจ็กเห็น หวังจะให้เขาเปลี่ยนใจหันมาเกรงกลัวซาตาน แต่เหตุการณ์กลับเป็นตรงข้าม แจ็กใช้อุบายหลอกล่อจนซาตานติดกับดัก หนีไปไหนไม่ได้

แจ็กไม่ยอมปล่อยซาตานจนกว่ามันจะรับปากว่า เมื่อเขาตายแล้วจะไม่นำวิญญาณเขาลงนรกเด็ดขาด ซาตานไม่มีทางเลือกจึงต้องรับปาก

เมื่อแจ็กเสียชีวิตลงด้วยความเป็นคนชั่วเขาจึงไม่ได้ไปสวรรค์ วิญญาณเขาล่องลอยไปยังปากทางนรก และพบกับซาตานคู่อริเก่าอีกครั้ง ตามสัญญาที่ให้ไว้

ซาตานปล่อยวิญญาณของแจ็กไป พร้อมแสงไฟส่องนำทางให้กับวิญญาณแจ็กที่ต้องเร่ร่อน ไม่มีที่ไปอย่างนั้นตลอดกาล ทุกคืนฮาโลวีนวิญญาณของแจ็กจะระหกระเหินไปในความมืด พร้อมแสงไฟส่องที่ครอบด้วยหัวผักกาด

ต่อมาเมื่อตำนานนี้เข้ามาในอเมริกา ก็มีการเปลี่ยนมาใช้ผลฟักทองแทนจนทุกวันนี้

ตำนานอื่นมีการเล่าว่า แจ็กเป็นคนขี้เกียจและนิสัยไม่ดี พอไปลงนรกแต่นรกไม่ต้องการตัวจึงส่งกลับมาในโลกให้อยู่ในร่างของฟักทอง

(กระทู้นี้ไม่ลึกลับ แต่ เป็นเรื่องเล่า)

:pika01:

เครดิต : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vinitsiri&month=03-2010&date=01&group=46&gblog=46

Link to comment
Share on other sites

8.ตำนานตะเกียงฟักทอง หรือ แจ็ก-โอ'-แลนเทิร์น (Jack-o'-lantern)

201009041657211267433947.jpg

ตะเกียงฟักทอง หรือ แจ็ก-โอ'-แลนเทิร์น (Jack-o'-lantern) เป็นอุปกรณ์ประดับตกแต่งสถานที่ ซึ่งนิยมใช้ในเทศกาลฮาโลวีน มีลักษณะเป็นผลฟักทองสีส้ม (ไม่นิยมใช้ฟักทองเอเซีย) แกะสลักเป็นรูปหน้าคนในกริยาต่างๆ

โดยมากมักเป็นกริยาแสดงอาการข่มขวัญ หรือโอดครวญ ทั้งนี้ การใช้ตะเกียงฟักทอง เป็นการระลึกถึง jack ชายชาวนาในตำนานที่หาญกล้าต่อกรกับซาตาน

ตำนานของแจ็ก

เรื่องของแจ็กมีการเล่าในตำนานหลายรูปแบบ

ตำนานตะเกียงฟักทองนั้น เป็นเรื่องเล่าโบราณเรื่องหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงที่มาของชายชาวนาจอมเจ้าเล่ห์ชื่อ แจ็ก ในสมัยของเขา ซาตานจะออกตระเวนขอพืชผลจากชาวบ้าน

ซึ่งไม่มีบ้านไหนที่กล้าปฏิเสธ เพราะกลัวต้องคำสาปของซาตานนั่นเอง แต่การขู่เข็ญของซาตานใช้กับแจ็กไม่ได้ เขาไม่กลัวและไม่เคยหยิบยื่นอะไรให้ซาตานเลย

วันหนึ่งซาตานจึงแอบมาสำแดงตนให้แจ็กเห็น หวังจะให้เขาเปลี่ยนใจหันมาเกรงกลัวซาตาน แต่เหตุการณ์กลับเป็นตรงข้าม แจ็กใช้อุบายหลอกล่อจนซาตานติดกับดัก หนีไปไหนไม่ได้

แจ็กไม่ยอมปล่อยซาตานจนกว่ามันจะรับปากว่า เมื่อเขาตายแล้วจะไม่นำวิญญาณเขาลงนรกเด็ดขาด ซาตานไม่มีทางเลือกจึงต้องรับปาก

เมื่อแจ็กเสียชีวิตลงด้วยความเป็นคนชั่วเขาจึงไม่ได้ไปสวรรค์ วิญญาณเขาล่องลอยไปยังปากทางนรก และพบกับซาตานคู่อริเก่าอีกครั้ง ตามสัญญาที่ให้ไว้

ซาตานปล่อยวิญญาณของแจ็กไป พร้อมแสงไฟส่องนำทางให้กับวิญญาณแจ็กที่ต้องเร่ร่อน ไม่มีที่ไปอย่างนั้นตลอดกาล ทุกคืนฮาโลวีนวิญญาณของแจ็กจะระหกระเหินไปในความมืด พร้อมแสงไฟส่องที่ครอบด้วยหัวผักกาด

ต่อมาเมื่อตำนานนี้เข้ามาในอเมริกา ก็มีการเปลี่ยนมาใช้ผลฟักทองแทนจนทุกวันนี้

ตำนานอื่นมีการเล่าว่า แจ็กเป็นคนขี้เกียจและนิสัยไม่ดี พอไปลงนรกแต่นรกไม่ต้องการตัวจึงส่งกลับมาในโลกให้อยู่ในร่างของฟักทอง

(กระทู้นี้ไม่ลึกลับ แต่ เป็นเรื่องเล่า)

:pika01:

เครดิต : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=vinitsiri&month=03-2010&date=01&group=46&gblog=46

เคยอ่านละ

แอบสงสัยมานานเหมือนกันว่า ตำนาน Jack o' Lantern กับ"Will o' Wisp"(กระสือฝรั่ง)ยังไง - -

เพราะเท่าที่อ่านมา ทั้ง2เรื่อง มีที่มาที่ไปคล้ายกันมากๆ จนเกือบจะเป็นเรื่องเดียวกันไปแล้ว = =

Link to comment
Share on other sites

9.เกาะอีสเตอร์  เกาะแห่งรูปสลักหินยักษ์

20100907183521easter_island_01_statues.jpg

                เกาะอีสเตอร์(Easter Island) หรือตามภาษาถิ่นเรียกว่าเกาะราปานุย (Rapa Nui) ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก อยู่ในการปกครองของประเทศชิลี ซึ่งเกาะห่างจากฝั่งประเทศชิลีกว่า 3,600 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตก เกาะที่ใกล้เกาะอีสเตอร์มากที่สุดอยู่ห่างฝั่งจากถึง 2,000 กิโลเมตร จึงได้ชื่อว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งของโลก ลักษณะของเกาะมีขนาดเล็ก มีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 25 กิโลเมตร

ประวัติศาสตร์

               ปี ค.ศ.1680 เป็นช่วงที่ชาวเผ่าสองเผ่าที่อยู่บนเกาะ ซึ่งมีชนเผ่าหูสั้น(คาดว่าเป็นพวกที่มาจากเกาะแถบโพลีนีเซีย)กับเผ่าหูยาว (คาดว่ามาจากอเมริกาใต้)ซึ่งอยู่อย่างสงบมาช้านานได้ทะเลาะกันและทำสงคราม กัน ทำให้ป่าเริ่มหมด สภาพดินเริ่มเสื่อมลง เผ่าหูสั้นซึ่งมีประชากรน้อยกว่าแต่กลับชนะเผ่าหูยาว และช่วงที่ทำการรบอยู่นั้น พวกชาวเผ่าหูสั้นก็ได้ทำลายรูปปั้นหินและโคนรูปเกาะสลักเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นได้มีสงครามและความอดอยากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง

ในปี ค.ศ.1722 นักเดินชาวดัตช์ได้ เดินทางมาพบใน อาทิตย์อีสเตอร์ ซึ่งเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่เข้ามาถึง ได้ค้นพบว่าบนเกาะมีชนเผ่าอาศัยอยู่สองเผ่า และได้ตั้งชื่อเกาะให้ตรงกับวันที่ได้พบคือวันอีสเตอร์

              ในปี ค.ศ. 1770 นักเดินเรือชาวสเปนที่เดินทางมาจากเปรูได้ค้นพบเกาะนี้อีกครั้ง ซึ่งขณะนั้นบนเกาะมีซึ่งมีชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ มีประชากรราว 3000 คน แต่สี่ปีให้หลังจากนั้น กับต้นเจมส์ คุก ที่เดินทางสำรวจแถบแปซิฟิกครั้งที่สอบ ก็ได้พบเกาะอีสเตอร์ ซึ่งขณะนั้นประชากรบนเกาะเหลืออยู่เพียง 600-700 คน และมีผู้หญิงอยู่เพียง 30 คนเท่านั้น (มีการเล่าต่อกันมาว่าอาจเกิดจากการที่ผู้หญิงและเด็กถูกจับกิน จึงทำให้เด็กกับผู้หญิงลดน้อยลง) ตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 จำนวนประชากรได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย

               ในปี ค.ศ.1862 รัฐบาลเปรูได้กวาดต้อนชาวพื้นเมืองชายประมาณ 1000 คนไปเป็นทาสบนแผ่นดินใหญ่ แต่ไม่กี่เดือนให้หลัง หลังจากทาส 15 คนที่ได้รับการปล่อยตัวเพื่อกลับมาที่เกาะ ก็ได้นำเชื้อไข้ทรพิษกลับ เข้ามาด้วย ทำให้ชาวเกาะซึ่งไม่มีภูมิคุ้มกันได้ติดโรคร้ายไปด้วย ทำให้ประชากรลดลงไปมาก จากการที่ชาวพื้นเมืองไม่ได้บันทึกอะไรไว้เลย สิ่งที่ถ่ายทอดไปสู่คนรุ่นหลังคือเล่าจากปากต่อปาก ต้นตอของสิ่งต่างๆจึงได้ตายหายไปพร้อมกับชาวพื้นเมืองที่ลดจำนวนลงไปด้วย แม้จะมีข้อความสัญลักษณ์ แต่ก็ไม่สามารถถอดความได้ และยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ว่าชาวเกาะอีสเตอร์ได้อพยบมาจากที่ใด

               ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประเทศชิลีก็ได้ผนวกเกาะอีสเตอร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในปี ค.ศ.1888 หลังจากนั้นประชากรบนเกาะก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง

               รูปสลักหินขนาดยักษ์

20100907183619moai.jpg

               

               ถึงแม้ว่าจะไม่มีรู้ที่มาของชาวพื้นเมืองบนเกาะ แต่ชาวพื้นเมืองก็ได้สร้างรูปสลักยักษ์ขึ้น ซึ่งสร้างจากหินและกากแร่ภูเขาไฟหรือหินบะซอลต์ ซึ่งรูปสลักในยุกแรกจะเป็นรูปสลักคนนั่งคุกเข่าในช่วงประมาณ ค.ศ.380 ในยุคถัดมาเริ่มต้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1100 จะสลักเป็นรูปที่เรียกว่า โมอาอิ หรือ โมอาย (moai)ซึ่งเป็นที่โดดเด่นทั่วไปบนเกาะ

               ชาว พื้นเมืองของเกาะนี้ มีอารยธรรมและภาษาเป็นของตนเอง ( ราปา นุย ) พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากชาวโปลิเนเชี่ยน และดำรงชีพแบบง่ายๆ ตั้งแต่โบราณมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังมีประชากรอยู่เพียงหยิบมือ เรียกได้ว่า แทบไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ตรงนี้แหละ ที่ทำให้ใครต่อใครสงสัยกัน ท่านที่เห็นรูปของโมอายคงจะแปลกใจกันนะ ว่าดีไซน์ รูปร่างใหญ่โต และน้ำหนักขนาดนั้น ลำพังชาวเกาะอีสเตอร์ จะเอาเครื่องไม้เครื่องมือที่ไหนมาสลัก แล้วลากลงมาจากภูเขาไปตั้งทิ้งไว้ที่ชายหาดได้ มีนักวิชาการหลายท่านครับ ที่พยายามอธิบายถึงวิธีการสร้างโมอายเหล่านี้ หลายคนถึงกับลงมือสาธิตด้วยตนเอง ถึงกระนั้นหลายๆคนก็ยังปักใจเชื่ออยู่ดีว่า เจ้ารูปสลักหินนี่ ต้องมี " อะไรๆ " เกี่ยวพันกับอารยธรรมนอกโลกอยู่

               นัก วิชาการหลายคน ถึงกับลงมือขุดค้นเข้าไปในตำนานของชาวเกาะ เพื่อจะหาที่ไปที่มาของโมอาย แต่ก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องราวะไรนัก พอถามชาวเกาะที่มีอายุ และมีความทรงจำเกี่ยวกับความเป็นมาของเกาะดู ก็ได้รับคำตอบอย่างเป็นที่น่าพอใจว่า " มันเดินกันลงมาเอง " ฮ่วยมัน - จะ - เป็น - ไป - ด้าย - ยาง - ง้าย ?

               แน่ ล่ะสิ รูปสลักใหญ่โตขนาดนี้ ใครล่ะจะเชื่อว่าชาวเกาะโบราณ จะใช้แรงงานของพวกเขาขนย้าย ด้วยการลากลงมาเอง อย่าว่าแต่ลากเลยครับ แค่วิธีแกะสลักเนี่ย ก็ลำบากมากแล้ว ขนาดเราเองยังนึกไม่ออกเลยว่า ชาวโพลิเนเชี่ยนเหล่านี้ เค้าเอาอะไรมาสลักหินภูเขาไฟก้อนเบ้อเริ่ม ให้ออกมาเป็นศิลปกรรมหน้าตาประหลาดแบบนี้ได้ ลิ่มหรือ หรือว่าขวานหิน ?

                 

                 อีกอย่างนะ ดีไซน์ของเจ้าโมอาย ดูแปลกและแตกต่างไปจากศิลปกรรม, สิ่ง สักการะทางศาสนา และ วัฒนธรรมของโปลิเนเซี่ยนโดยสิ้นเชิง บนเกาะอีสเตอร์ยังเหลือโมอายที่ทำไม่เสร็จ ทิ้งไว้ตามชายหาดอยู่จำนวนมาก เหมือนกับว่าคนสร้างได้รีบทิ้งถิ่นพำนัก แล้วจากไปอย่างปัจจุบันทันด่วนซะอย่างนั้น นอกจากนี้บนเกาะอีสเตอร์ยังมีตำนานเก่าแก่ เป็นตำนานของมนุษย์ปักษี ( Birdman ) ที่เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มชนที่รอดตายจากทวีปมู เล่าขานต่อๆกันมา

               ต่าง คนก็ต่างใจ นักวิชาการบางคนเริ่มเอนเอียงที่จะเชื่อว่า อารยธรรมบนเกาะอีสเตอร์ มีส่วนเกี่ยวพันกับเอเลี่ยนนอกโลก ในขณะที่บางคนก็พะอืดพะอมที่จะรับฟัง และพยายามหาเหตุผลที่ฟังขึ้นกว่านี้มาอธิบาย

เครดิต : http://creatures.igetweb.com/index.php?mo=3&art=165185

Link to comment
Share on other sites

กะว่าจะแอบอ่านเงียบๆ ตลอด

เห็นรีพลายสุดท้าย นึกได้

เครดิตด้วยครับ

Link to comment
Share on other sites

10. กระโหลกแก้วปริศนา

2010091117264210_1.jpg

                 ตำนานว่าด้วยปริศนาแห่งกะโหลกแก้วเป็นเรื่องที่เล่าลือกันมานานแล้ว และเมื่พิพิธภัณฑ์ มนุษยชาติ แห่งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษได้มาหัวหนึ่งใน พ.ศ. 2441 หรือเมื่อ 110 ปีก่อน ก็ยิ่งทำให้คำเล่าลือโด่งดังขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใครได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาของกะโหลกแก้ว ก็มักอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงพลังอำนาจบางอย่าง พลังที่พนักงานของพิพิธภัณฑ์ไม่ยอมเข้าไปในห้องที่จัดแสดงกะโหลกนี้ในยามค่ำคืน หากไม่เอาผ้าดำปิดดวงตากลวงคู่นั้นไว้เสียก่อน

                ไม่มีใครรู้แน่ว่ากะโหลกแก้วปริศนาขนาดเท่าๆ กับกะโหลกคนจริงๆ นี้มาจากไหน พิพิธภัณฑ์ซื้อมันมาจากร้านขายเครื่องเพชรทิฟฟานี่แห่งนิวยอร์ก ซึ่งไม่ได้ระบุถึงที่มาอันชัดเจน แต่เป็นที่เข้าใจว่ากะโหลกแก้วนี้น่าจะเป็นโบราณวัตถุจากอารยธรรมแอซเท็ค ซึ่งนายทหารบางคนได้มันมาเมื่อครั้งไปร่วมรบที่เม็กซิโก ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19

               ในขณะที่ปริศนาของกะโหลกแก้วแห่งพิพิธภัณฑ์นี้ยังไม่สามารถคลี่คลายได้ ก็มีการค้นพบกะโหลกแก้วอีกหัวหนึ่งใน   พ.ศ. 2467 เมื่อแอนนา มิทเชลล์-เฮดจ์ส บุตรีบุญธรรมของเฟ็ดเดอริค อัล-เบิร์ท มิทเชลล์-เฮดจ์ส นักผจญภัยและนักสำรวจชื่อดังได้พบมันเข้าโดยบังเอิญ

                                               

201009111727810_2.jpg

                  ตอนนั้นเฟ็ดเดอริคและทีมงานกำลังสำรวจเมืองโบราณลูบานทูมในบริติชฮอนดูรัสแล้วจู่ๆ แอนนาก็พบกะโหลกแก้วเข้าในวันเกิดครบรอบปีที่ 17 ของเธอ ทำให้คนขี้สงสัยบางรายอดค่อนแคะไม่ได้ว่าที่จริงคุณพ่อผู้แสนดีอาจจะพบมาก่อนแล้ว แต่อยากให้ของขวัญวันเกิดสุดเซอร์ไพรส์แก่ลูกสาว ก็เลยแอบเอาไปวางไว้ให้แอนนาได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบ

              แต่ไม่ว่าการพบครั้งแรกจะเป็นอย่างไรก็ตาม กะโหลกแก้วที่เรียกขานกันต่อมาว่ากะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์สนี้ ก็เป็นหนึ่งในกะโหลกแก้วที่โด่งดังที่สุดในโลก ด้วยความเชื่อที่ว่ามันเป็นมรดกตกทอดมาจากอดีตอันไกลโพ้น จากอารยธรรมขั้นสูงที่สูญสลายไปแล้ว และหากมองดวงตาแก้วปริซึมนี้ให้ดีจะเห็นภาพของอนาคตปรากฏขึ้น

               กะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์สนี้ทำจากแก้วบริสุทธิ์ ผ่านการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ไม่มีที่ติ สันนิษฐานว่าผู้ที่สร้างขึ้นต้องใช้เวลากว่า 150 ปี จากรุ่นสู่รุ่นกว่าจะเกิดเป็นกะโหลกปริศนาที่มีการประมาณการอายุกันคร่าวๆ ว่าน่าจะเก่าแก่กว่า 3,600 ปี เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ช่วยรักษาเยียวยาความเจ็บป่วย แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นเครื่องมือกำหนดความตายของผู้ที่กระทำสิ่งไม่เหมาะสม ทำให้กะโหลกนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กะโหลกมรณะ

2010091117272910_3.jpg

                 

            นักวิทยาศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์อังกฤษได้ตรวจสอบกะโหลกทั้งสอง และพบว่ามีลักษณะทางสรีรวิทยาร่วมกัน กล่าวคือน่าจะเป็นกะโหลกที่ทำจำลองขึ้นมาจากหัวกะโหลกคนจริงๆ ที่เป็นผู้หญิงคนเดียวกัน เพราะเมื่อถ่ายภาพเชิงซ้อนแล้วพบว่าแนวของกระดูกเข้ากันพอดี หรืออีกนัยหนึ่ง กะโหลกแก้วอันใดอันหนึ่งถูกทำขึ้นมาก่อน แล้วเป็นแบบให้อีกอันหนึ่ง

            กะโหลกแก้วทั้ง 2 ชิ้น ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกันนี้ นับเป็นกะโหลกแก้วที่ถูกจับตามองที่สุด และถูกนำไปตรวจสอบด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ นานามากที่สุด แต่ก็ยังไม่มีคำตอบอะไรที่ชัดเจนเกี่ยวกับที่มาหรือวัตถุประสงค์ที่มันถูกสร้างขึ้น และหลังจากที่กะโหลกแก้วทั้งสองกลายเป็นของมีชื่อเสียงขึ้นมา ก็มีการประกาศการค้นพบกะโหลกแก้วในลักษณะคล้ายๆ กันอีกเป็น

จำนวนมาก 

           

           แต่ด้วยความเชื่อจากตำนานเก่าแก่ที่กล่าวถึงกะโหลกแก้ว 13 หัว ทำให้ต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดว่า ไอ้ที่พบกันมากๆ เป็นของจริงหรือของเก๊ และเท่าที่ปรากฏมาหลายหัวก็เป็นของทำเทียมเลียนแบบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ก็มีอีกหลายหัวเหมือนกันที่ได้การยอมรับว่าเป็นของเก่าที่มีพลังบางอย่างแฝงอยู่

           กะโหลกแก้วที่มีชื่อเสียงตามมิทเชลล์-เฮดจ์สมาติดๆ คือกะโหลกที่เคยเป็นของลามะทิเบตนามนอร์วู เชน ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากสุสานมายันในกัวเตมาลา ท่านลามะใช้กะโหลกนี้เป็นเครื่องมือในการรักษาผู้ป่วยอย่างได้ผล จนกระทั่งก่อนที่ลามะนอร์วู เชน จะมรณภาพก็ได้มอบกะโหลกนี้ไว้ให้แก่โจแอน พาร์คส์ ชาวเท็กซัส ซึ่งฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านมานานหลายปี หลังจากที่ท่านได้ใช้กะโหลกนี้ช่วยรักษาอาการป่วยลูกสาวของเธอมาแล้ว

           โจแอนซึ่งได้กะโหลกนี้มาใน พ.ศ. 2523 อ้างว่ากะโหลกแก้วสื่อสารกับเธอ และพร่ำบอกว่าเขาชื่อแม็กซ์ และเขามีความสำคัญต่อมนุษยชาติ และแม็กซ์ก็ประกาศศักดาให้เห็นมาแล้วหลายครั้งด้วยการช่วยเหลือผู้คนที่เจ็บป่วย กะโหลกแก้วที่สำคัญอีกหัวหนึ่งชื่อชานารา ซึ่งเป็นของนิค โนเซอริโน ซึ่งไม่เพียงจะมีกะโหลกแก้วในครอบครองเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ที่ศึกษาอย่างจริงจังจนเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ด้วย

2010091117274710_4.jpg

 

               

          นิคได้กะโหลกนี้มาจากการขุดค้นเมืองโบราณที่เม็กซิโก และเมื่อได้มันมา เขาก็เห็นภาพนิมิตว่ากะโหลกตามตำนานมี 13 หัว โดย 12 หัว เป็นบริวารของกะโหลกที่เป็นหัวหน้าใหญ่มีการตั้งทฤษฎีว่ากะโหลกเหล่านี้ไม่ใช่ของแอซเท็คหรือมายันอย่างที่เคยเข้าใจ แต่เป็นสิ่งที่หลงเหลือมาจากแอตแลนตีส อาณาจักรปริศนาที่ยังหาไม่พบ และกะโหลกเหล่านี้ทำหน้าที่ในการบันทึก

ภาพต่างๆ ซึ่งหลายคนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของกะโหลกก็อ้างว่าในบางเวลาที่จังหวะและแสงเหมาะๆ ก็เคยเห็นภาพจากกะโหลกแก้วมาแล้ว โดยเฉพาะกะโหลกแก้วของมิทเชลล์-เฮดจ์ส ที่ว่ากันว่ามีคนเห็นภาพยูเอฟโอสะท้อนออกมา

                  มีเสียงเล่าลือว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่กะโหลกที่แท้จริงทั้ง 13 หัว ถูกค้นพบและนำมาไว้ด้วยกันก็จะเห็นภาพของอนาคต แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าเรายังไม่สามารถพิสูจน์ความเชื่อนี้ เพราะยังมีเพียงไม่กี่หัวที่สามารถบอกได้ว่าเป็นของแท้ เช่น แม็กซ์และชานารา ซึ่งเคยถูกวิเคราะห์จากนักวิทยาศาสตร์แล้วคิดว่าน่าจะมีอายุราวๆ 5,000 ปี และของมิทเชลล์เฮดจ์สที่เก่าแก่เหมือนกัน ในขณะที่กะโหลกที่เคยโด่งดังมากอีกหัวหนึ่งที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษนั้น เพิ่งจะมีการตรวจสอบซ้ำด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ และผลปรากฏออกมาว่าน่าจะเป็นของที่ทำปลอมขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19 นี่เอง ทำเอานักโบราณคดีที่ชอบไปนั่งจ้องตากับกะโหลกหัวนี้เซ็งไปตามๆ กัน

                                                     

201009111728410_6.jpg

 

                    แต่ไม่ว่าอันไหนจะปลอม อันไหนจะจริง มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร และทำไม ก็ยังคงเป็นปริศนาที่นักโบราณคดีกุมขมับ เพราะแกะความลับไม่ออกมานานแสนนาน จนภาพยนตร์ดังระดับตำนานอย่าง อินเดียน่า โจนส์ ยอดนักโบราณคดี ที่เคยนำแฟนๆ ทั่วโลกไปผจญภัยค้นหาสมบัติในดินแดนลึกลับมาแล้วถึง 3 ภาค และในภาคล่าสุดนี้พ่อมดแห่งฮอลลีวูด สตีเว่น สปีลเบิร์ก ก็ปิ๊งไอเดีย นำเรื่องของกะโหลกแก้วมาสร้างเป็นตอนใหม่ คือ อินเดียน่า โจนส์ ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4 : อาณาจักรกะโหลกแก้ว (Indiana Jones And The Kingdom Of The Crystal Skull) ปลุกกระแสความสนใจในปริศนากะโหลกแก้วให้กลับมาฮือฮากันอีกครั้งหนึ่งในรอบ 110 ปีนี้

          ซึ่งนั่นก็คือการย้ำเตือนว่าแม้จะมีการกล่าวขวัญกันมามากมายนานแสนนาน และบ่อยครั้งสักเพียงใด กะโหลกแก้วยังคงมนต์ขลังแห่งความลี้ลับเหนือการพิสูจน์ที่ไม่มีวันเสื่อมคลายอยู่เช่เดิม

เครดิต : http://www.thaigoodview.com/node/11642

Link to comment
Share on other sites

โอะโอน่าสนใจดีแฮะ

ปล . หินขัดขี้ไคลจัง~* หยิบหมวกมาใส่พร้อมเหวี่ยงแส้แล้วกระโดดข้ามเหวไป

ปลล . ถ้าไม่เข้าใจมุก กดเปิด spoiler อันสุดท้าย

Link to comment
Share on other sites

11.Big foot (ไอ้ตีนโต)

20100912123415bigfoot.jpg

ลักษณะ : อมนุษย์ครึ่งคนครึ่งเอป รูปร่างสูงใหญ่ หลังตรง มีขนยาวหนา แข็งและแห้ง จุดเด่นคือมีเท้าขนาดใหญ่ มีความยาวของรอยเท้าประมาณ 40 กว่าเซ็นติเมตร ในแคนาดาเรียก "ซาสควาทช์" (Sasquatch) และมีสัตว์ลักษณะคล้ายเคียงกันพบที่เทือกเขาหิมาลัยในเนปาล เรียกเป็นภาษาพื้นเมืองว่า "เยติ" (Yeti) หรือ มนุษย์หิมะ ที่ออสเตรเลียก็มีสัตว์ลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ เรียกว่า "โยวี่" (Yowie) สัตว์ชนิดนี้มีผู้กล่าวอ้างว่าพบเห็นมากมาย ทั่วทุกมุมโลกดังที่ได้กล่าวมา มีรูปร่างและการเคลื่อนไหวคล้ายมนุษย์ มีน้ำหนักมาก แต่มีความว่องไวรวดเร็ว เมื่ออพบปะกับมนุษย์ก็จะหลบหนีไปอย่างว่องไว เรื่องราวของบิ๊กฟุต นี้ มีทั้งผู้ที่เชื่อและผู้ที่ไม่เชื่อ ผู้ที่เชื่อ สันนิษฐานว่า บิ๊กฟุตเป็นมนุษย์โบราณที่เรียกว่า โฮโมนีแอนเทอร์ดัล ที่ยังหลงเหลือมาจนปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ ก็เชื่อว่าเป็นการสร้างเรื่องขึ้นมานั่นเอง

เหตุการณ์เกิดขึ้นที่หมู่บ้านกำปัง มาไว, โกตา ติงจิ คนงานสามคนเห็นสัตว์กึ่งลิงกึ่งมนุษย์จำนวนสามตัว ตัวหนึ่งยังเล็กอยู่ ขณะกำลังขุดบ่อเลี้ยงปลา ไม่นานนักพวกมันก็จากไปโดยทิ้งรอยเท้าและขนไว้ รอยเท้าตัวหนึ่งมีขนาด 45 เซนติเมตร รูปร่างหน้าตาของสัตว์ดังกล่าวจากภาพสเก๊ตช์ตามคำบอกเล่าของผู้พบเห็นคล้ายกับ "ไอ้ตีนโต" (Big Foot) มนุษย์วานรที่พบเห็นในอเมริกาเหนือ

รายงานการเห็นไอ้ตีนโตในป่าทึบของรัฐยะโฮร์มีมาตั้งแต่ปี 1954 แล้ว โดยสองครั้งหลังสุดเกิดขึ้นในปี 1995 และปี 2000 เดือนมกราคม ปี 1995 ชาวบ้านแจ้งว่าพบไอ้ตีนโตในป่าทึบของรัฐยะโฮร์ เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารรวมทั้งผู้เชี่ยวชาญสัตว์ป่าของมาเลเซียระดมพลออกค้นหามันในบริเวณกว้างหลายพันตารางไมล์ แต่ทว่าคว้าน้ำเหลว แต่ก็พบรอยเท้าใหม่ๆ ของมัน

อีกครั้งหนึ่งในเดือนมกราคม ปี 2000 ที่ป่าในรัฐยะโฮร์เช่นกัน เหลียง ฉง เซิน ชายวัย 50 ปี อ้างว่าเห็นไอ้ตีนโตสองตัวขณะกำลังทำงานอยู่ในอยู่สวน เขาเล่าว่า อยู่ห่างจากไอ้ตีนโตเพียง 10 เมตรและทัศนวิสัยก็ดีเยี่ยม ไอ้ตีนโตตัวแรกสูงราว 1.83 เมตร ขนยาวสีดำทั่วตัวรวมทั้งที่ใบหน้าด้วย ตัวที่สองสูงราว 1.52 เมตร ขนสีน้ำตาล

ปัจจุบันประเทศที่มีรายงานการพบเห็นไอ้ตีนโตมากที่สุดคือสหรัฐอเมริกาซึ่งมีเกือบทุกรัฐ ยกเว้นรัฐเดลลาแวร์และฮาวาย นักวิจัยไอ้ตีนโตบอกว่า การพบเห็นไอ้ตีนโตในอเมริกาเหนือมีมานานกว่า 400 ปีแล้ว ชาวอินเดียนแดงในบริติช โคลัมเบีย เรียกมันว่า "Sasquatch" ซึ่งมีความหมายว่า "ลิงยักษ์" รายงานการพบเห็นที่เก่าแก่ที่สุด คือรายงานของเดวิด ทอมสัน พ่อค้าชาวแคนาดาเมื่อปี 1811 เขาพบรอยเท้าประหลาดบนหิมะขนาดยาว 14 นิ้ว กว้าง 8 นิ้ว และมีนิ้วเท้าเพียง 4 นิ้ว

ในขณะที่เรื่องราวของไอ้ตีนโตได้รับความสนใจจากสาธารณชน ก็มีคนเล่นตลกกับเรื่องนี้ ในปี 1967 ชาวอเมริกันก็ได้ฮือฮากันกับภาพไอ้ตีนโตขณะกำลังเดินไปตามร่องลำธารในป่าตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียที่ โรเจอร์ แพตเตอร์สัน ถ่ายไว้ได้ด้วยกล้องถ่ายภาพยนตร์ขนาด 16 มิลลิเมตร

ทว่าภายหลังมีผู้จับได้ว่าเป็นเรื่องหลอกลวง ไอ้ตีนโตในภาพคือ ไคลด์ ไรน์เก้ สวมชุดลิงกอริลลาตบตาชาวโลก ต่อมายังพบว่ามีการหลอกลวงด้วยการทำรอยเท้าไอ้ตีนโตขึ้นมาอีกหลายราย และมีรายงานพร้อมภาพถ่ายที่ทำขึ้นคล้ายกับที่แพตเตอร์สันเคยทำออกมามากมาย ทำให้เรื่องราวของไอ้ตีนโตในอเมริกาเหนือขาดความน่าเชื่อถือจากสาธารณชน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันในอเมริกาเหนือก็ยังมีผู้สนใจเรื่องราวของไอ้ตีนโตกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนักมานุษยวิทยาหลายๆ คนที่คิดว่ามันเป็นไปได้ ในสหรัฐมีองค์กรศึกษาไอ้ตีนโตเกือบทุกรัฐ และมีทีมค้นหาไอ้ตีนโตกันอย่างเอาจริงเอาจัง

เครดิต : http://www.artsmen.net/content/show.php?Category=mythboard&No=5770

     

      2 : หินขัดขี้ไคลจัง~*

Link to comment
Share on other sites

อ้อ big foot เคยได้ยินอยู่เหมือนกัน ตอนนั้นอ่านการ์ตูนแล้วคนเอาลูกตัวเองไปพักแล้วจะกลับบ้านดันเอาลูก big foot มาแทน อิๆ ฮามากเลย

แต่มันน่าจะมีจริงแฮะ big foot เนี้ย

Link to comment
Share on other sites

12. Kraken

2010091519557untitled.bmp

ลักษณะ : ญาติสมัยดึกดำบรรพ์ของหมึกยักษ์ Architeuthis เป็นสัตว์ยักษ์ในตำนานที่ชาวทะเลเหนือหวาดกลัว มักเล่าว่าคล้ายหมึกกระดองขนาดยักษ์ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ ชอบโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกระทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้ หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อนเข้าปากอันน่ากลัว

คราเคนถูกเล่าขานมานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็นหลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์ เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อ "The Natural History of Norway" ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ท่านได้บรรยายเกี่ยวกับคราเคนเอาไว้ว่า มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์เรื่องราวในช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเคนก็ค่อยๆ ลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมาโอฬาร แต่ก็ยังมีขนาดยักษ์

นักชีววิทยาเชื่อว่า ที่แท้เป็นหมึกมหึมาชนิดหนึ่ง อยู่ในทะเลลึก และเมื่อตายจะเป็นซากลอยเกยหาด จนชาวประมงพบเห็นและจินตนาการเพิ่มเติมเกินจริง หมึกมหึมามีขนาดใหญ่จริง แต่ไม่เท่าเรื่องเล่าในตำนาน มีซากตัวอย่างที่ยาวเท่าเรือเร็ว และมีหลักฐานจากซาก วาฬสเปิร์ม ว่าวาฬพยายามกินหมึกชนิดนี้ และต่อสู้กัน

ใน พ.ศ. 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของหมึกดังกล่าว นักชีววิทยาและผู้ชำนาญการคาดว่า หมึกมหึมา (Giant Squid) โจมตีเพราะเรือมีลักษณะคล้ายปลาวาฬศัตรูของหมึกจนเข้าใจผิด และจากรายงานของผู้ประสบเหตุอ้างว่า หมึกดังกล่าวมีขนาดมหึมา โดยเฉลี่ยประมาณ 100 ฟุต น้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน ส่วนมากเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น

ประสบกรณ์จากผู้พบเห็นตัว เป็นๆ

แล้วขนาดโตเต็มที่ของปลาหมึกยักษ์เหล่านี้ จะเติบโตได้สูงสุดขนาดไหนกันนะ? บางท่านอาจถามในใจอยู่แบบนี้ นักชีววิทยาก็ยังให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ เพราะปัจจุบัน เราก็ยังรู้เรื่องเกี่ยวกับมันน้อยมาก ไม่แน่ว่า ตัวเต็มที่ที่มีอายุเยอะๆของปลาหมึกยักษ์ อาจจะมีขนาดที่ใหญ่โตเกินกว่าจินตนาการของเราก็ได้ ลองมาฟังเรื่องของ A. G. Starkey หนึ่งในลูกเรือเดินสมุทรที่บังเอิญพบเห็นมัน ขณะโดยสารเรือข้ามมหาสมุทรอินเดียดูสิครับ

2010091519347327.jpg

"มันลอยเทียบขนานมากับลำเรือ" เขากล่าว "ผมไม่แน่ในทีแรกว่า สิ่งผมเห็นนั้นมันคืออะไรกันแน่ มันเรืองแสงได้ครับ คล้ายๆกับสัตว์ประเภทปลาหมึก ตอนนั้นผมตกใจและนึกถึงคำเล่าขานของชาวเรือขึ้นมา ผมลองเดินจากอีกด้านของดาดฟ้าเรือ ไปจนกระทั่งถึงปลายสุดอีกข้างของร่างที่เรืองแสงได้นั้น มันแทบจะสุดลำเรือเลยทีเดียว... ขอบคุณพระเจ้า ที่มันไม่นึกสนุกอยากจะปล้ำกับเรือโดยสารของเราขึ้นมา" A. G. Starkey กล่าวทิ้งท้ายไว้ในที่สุด ครับ.. คงต้องขอบคุณพระเจ้าอย่างที่เขาว่า เพราะลงถ้าตัวของมันยาวแทบจะเท่าลำเรือขนาดนั้นแล้วล่ะก็ เกิดโดนโจมตีขึ้นมา ก็นึกภาพไม่ออกล่ะครับ ว่าบรรดาลูกเรือทั้งหลาย ใครจะมีโอกาสรอดได้บ้าง ก็เรือลำนั้นความยาวตลิดลำตั้งร้อยกว่าฟุต

เครดิต : http://forum.mthai.com/view_topic.php?table_id=1&cate_id=34&post_id=50895

    2  : หินขัดขี้ไคลจัง~*

Link to comment
Share on other sites

13.Werewolf (มนุษย์หมาป่า)

201009181742171165441340_werewolf.jpg

ลักษณะ : บรู้ววววว อิอิ ครับ นี่คงจะเป็นเอกลักษณ์ของเจ้ามนุษย์หมาป่าที่ทุกคนรู้จักกันดี แต่จะมีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของมันบ้าง คือมันจะคล้ายมนุษย์ธรรมดาแต่เมื่อถึงคืนพระจันทร์เต็มดวง ก็จะกลับกลายเป็นหมาป่าขนาดใหญ่ เป็นผีจำพวกเดียวกับแวมไพร์และมีพฤติกรรมคล้ายกัน คือ ดื่มกินเลือดและเนื้อของมนุษย์และสัตว์อื่นเป็นอาหาร เป็นความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ของชาวยุโรปในยุคกลาง โดยที่เชื่อว่า บุคคลที่เป็นมนุษย์หมาป่าจะกลายร่างเป็นหมาป่าในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง อาจจะแปลงร่างเป็นหมาป่าทั้งตัวเลยก็ได้ หรือครึ่งคนครึ่งหมาป่า หรือแม้กระทั่งแปลงเป็นสัตว์ป่าชนิดอื่น เช่น หมี เป็นต้น โดยที่วิธีการฆ่ามนุษย์หมาป่าจะคล้าย ๆ กับแวมไพร์ โดยตอกด้วยลิ่ม หรือเผา ที่เห็นบ่อยโดยเฉพาะในภาพยนตร์ก็คือ การยิงด้วยกระสุนที่ทำจากเงินหรือกระสุนผ่านการปลุกเสก มนุษย์หมาป่าก็แพ้แสงแดด และถูกตามล่าเหมือนกับแวมไพร์ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า เรื่องมนุษย์หมาป่านั้น แท้จริงแล้วคือ สัญชาตญาณสัตว์ป่าที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ รากศัพท์ที่มาของคำว่า มนุษย์หมาป่านั้น Were เป็นภาษาอังกฤษโบราณที่หมายถึง "มนุษย์" นั่นเอง และความเชื่อเรื่องของมนุษย์ที่กลางร่างเป็นกึ่งคนกึ่งสัตว์ที่มีทั่วทุกมุมโลก

การล่ามนุษย์หมาป่าในอดีต

ในปี ค.ศ.1767 กองกำลังทหารของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 สามารถจัดการกับเจ้าสัตว์ประหลาด ที่มีลักษณะคล้ายกับมนุษยืหมาป่า ได้สำเร็จ หลังจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมือง เลอ เกอวูดอง ทางตอนใต้ของฝรั่งเศษ ได้ร้องเรียนขอความช่วยเหลือ คณะตามล่า ต้องใช้เวลาอยู่หลายปี และย้อนหลังไปในยุคศตวรรษที่ 15 ได้มีการจับกุ่มผู้ที่ฆ่าเหยื่อของตนเองยังอยู่ในร่างของคนธรรมดา แต่นำอวัยวะแขนขาของศพมากัดแทะกินราวกับหมาป่า ซึ่งพวกเขาเหล่านี้บอกว่าทำไปโดยไม่รู้ตัว

ประวัติความเป็นมา

- จะว่าไปแล้วประวัติความเป็นมาของมนุษย์หมาป่า ค่อนข้างจะลึกลับ ซับซ้อน แถมมีหลายข้อมูลจนชักสับสน บ้างก็ว่าเกิดจากการที่ผู้ที่ต้อง เวทมนต์คำสาปจนต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่า บ้างว่าโดนหมาป่าปีศาจ เข้าสิง บ้างก็ว่าสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษ คล้ายกับโรคติดต่อทาง กรรมพันธุ์ คือคนในตระกูลนี้ เมื่อถึงคืนพระจันทร์เต็มดวง จะต้องกลาย ร่างเป็นหมาป่าออกอาละวาด สร้างความอกสั่นขวัญผวาน่าสะพรึงกลัว ส่วนคืนอื่นๆ ก็จะเป็นเหมือนคนปกติทั่วๆไป

- บางตำนานบอกว่า มนุษย์บางคนใช้ตัวยาชนิดหนึ่งชช่วยในการเปลี่ยน แปลงตัวเองให้เป็นมนุษยืหมาป่า ตัวยาสมุนไพรนั้นเรียกว่า สารพลังหมาป่า ( Wolf Spirit ) อันประกอบด้วยไขมันจากเลือดแมวที่ถูกฆ่าใหม่ๆ และฝิ่น ซึ่งสามารถทำให้ผู้ใช้ตัวยาชนิดนี้สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ ในเวลากลางคืนหลังอาทิตย์ตกดินไปแล้ว และกลับคืนร่างสู่มนุษย์ได้ ในเวลากลางวัน

เครดิต : http://manman.212cafe.com/archive/2008-12-24/werewolf/

      2 : หินขัดขี้ไคลจัง~*

Link to comment
Share on other sites

14.สโตนเฮนจ์ ( Stonehenge )

20100921191230stonehenge-01-n.jpg

         สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบว้างใหญ่ในบริเวณที่เรียกว่า ที่ราบซัลลิสเบอร์รี่ ในบริเวณตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน

        สโตนเฮนจ์มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่ากลุ่มกองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ ในบริเวณที่ราบดังกล่าว ไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมด มาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว

        การก่อสร้างสโตนเฮนจจ์นั้นทำสืบเนื่องกันมาถึง 3-4 ระยะในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี จากยุคหินตอนปลายจนถึงยุคสำริดตอนต้นแต่ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 1,800-1,400 ปีก่อนคริสต์กาล ซากปรักหักพังที่หลงเหลืออยู่เป็นเพียงเงาของอีตาลอันรุ่นโรจน์ แนวหินกว่าครึ่งได้หักลงบ้าง หายไปบ้าง บางส่วนก็ทับถมกันอยู่ใต้ดิน การก่อสร้างเริ่มขึ้นในราว 2,8000 ปีก่อนคริสต์กาล (ผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็ว่าเมื่อ 3,800 ปี) โดยเริ่มจากการขุดร่องวงกลมขนาดใหญ่ 56 หลุมเรียงเป็นวงกลมภายในวงดินนั้น หลุมเหล่านี้เรียกกันว่า หลุมออบรีย์ ตามชื่อจอห์น ออบรีย์ผู้ค้นพบในคริสต์ศตวรรษ 17 ปัจุบันหลุมดังกล่าวลาดทับด้วยปูบซีเมนต์ แต่หินแท่งแรกซึ่งเรียกกันว่าหินฮีล (Heel Stone) ที่ประจำอยู่ปากทางเข้าวงดินยังคงตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิม หลุมซึ่งขุดเรียงกันเป็นวงกลมอีกสองวงถัดเข้าไปเรียกกันว่าหลุม Y และหลุม Z

        วงหลุมทั้งสองนี้คั่นอยู่ระหว่างวงหลุมออบรีย์ที่เป็นวงนอกและวงแท่งหินขนาดมหึมาตรงใจกลางวงดินสันนิษฐานว่าวงหลุม Y และ Z อาจมีความสำคัญในเชิงดาราศาสตร์ ในราว 2,100 ปีก่อนคริสต์กาล มีการนำหินสีน้ำเงิน (bluestone) 80 ก้อนจากแคว้นเวลส์มาเรียงเป็นวงกลมสองวงซ้อนกันแต่ต่อมามีการนำแท่งหินทรายขนาดใหญ่ 30 แท่ง ที่เรียว่าหินซาร์เซน(sarsen) มาเรียงเป็นวงกลมวงเดียวแทนที่วงหินสี่น้ำเงิน

2010092119142stonehenge-02-n.jpg

        สองวงวงเดิมภายในวงหินทรายมีหมู่ หินเรียงเป็นรูปกึ่ง ๆ รูปเกือกม้าอีกสองหมู่หมู่ที่อยู่ด้านนอกประกอบด้วยหินทรายก่อเป็นรูปไตรลิธอนห้ากลุ่ม(Trilithon คือกลุ่มหินที่ประกอบด้วยหินสามแท่ง สองแท่งตั้งขึ้นคู่กันและแท่งที่สามวางพาดเป็นคานในแนวนอน) ส่วนเกือกม้าด้านในประกอบด้วยหินสีน้ำเงินขัดแต่ง 19แท่งสถาปัตยกรรมนี้เป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งเมื่อคิดดูว่าเครื่องมือขุดดินที่ผู้สร้างในยุคหินใหม่ใช้เป็นเพียงเสียมที่ทำจากเขากวางแดงเท่านั้น ชาวแซกซันเป็นผู้ขนาดนามวงหินเหล่านี้ว่า สโตนเฮนจ์ซึ่งเแปลตรงตัวว่า หินที่แขวนอยู่ (Hanging Stone) ส่วนบันทึกจากสมัยกลางตั้งชื่อวงหินนี้อย่างไพเราะว่า กลุ่มยักษ์เริงระบำ (The Giants Dance)

        แม้ว่านักวิชาการส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่าสโตนเฮนจ์เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร มีการเสนอความคิดเห็นต่าง ๆ นานา เช่น อินิโก โจนส์ สถาปนิกในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เชื่อว่าสโตนเฮนจ์เป็นซากปรักหักพังของวิหารโรมัน แต่คนในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19ยืนยันว่าเป็นวิหารซึ่งพวกลัทธิดรูอิดใช้ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์และบูชายัญมนุษย์ ความคิดนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ เราะสโตนเฮนจ์นั้นสร้างเสร็จอย่างน้อย 1,000 ปีก่อนลัทธิดังกล่าวจะเฟื่องฟู กระทั่งเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เองที่เราเริ่มได้ข้อเท็จจริงบ้าง นักโบราณคดี สามารถคำนวณหาอายุ และสรุปเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการก่อสร้างสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่งขึ้น

20100921191446stonehenge-04-n.jpg

        แต่ข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริงก็ยังนับว่าน้อยอยู่มาก หินซาร์เซนที่เรียงเป็นวงด้านนอกแต่ละก้อนสูง 5 ม และหนักประมาณ26 ตัน หินเหล่านี้ชักลากมาจากทุ่งโล่งมาร์ลโบโร ดาวน์ส (Marlborough Downs)ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 32 กม. แล้วนำมาขัดแต่งและประดิษฐ์ให้มีสลักและเดือยอย่างดี ทำหใแท่งหินคู่ที่ตั้งและคานหินที่ใช้พาดเกาะเกี่ยวกันอย่างมั่นคง ส่วนหินสีน้ำเงินก้อนใหญ่ที่สุดซึ่งหนักถึงสี่ตันนำมาจากภูเขาพรีเซลีทางตะวันตกเฉียงใต้ของแคว้นเวลส์นั้น สันนิษฐานว่าใช้แพลำเลียงล่องมาตามชายฝั่งเวลส์และแม่น้ำเอวอน แล้วชักลากต่อมาทางบก นักโบราณคดีส่วนใหญ่เชื่อว่า สโตนเฮนจ์เป็นสถานที่ประกอบพิธีฝั่งศพ โดยพิจารณาจากหลักฐานว่านอกเหนือจากสโตนเฮนจ์แล้ว มีการสร้างสุสานมูนดินในหลุมออบรีย์หลายหลุม แต่ก็มีหลักฐานหักล้างว่าหลุมดังกล่าวขุดขึ้นนานก่อนที่จะมีการเผาศพในบริเวณนี้ บ้างก็สันนิษฐานว่าหลุมออบรีย์อาจใช้เป็นส่วนหนึ่งใน พิธีไหว้ด้วยสุรา เช่น ชาวนาอาจเทเหล้าองุ่นลงในหลุมเพื่อบวงสรวงเทพเจ้าเปห่งธรรมชาติทั้งหลาย

        วงหินสโตนเฮนจ์ก็อาจจะเป็นวิหารสำหรับทำพิธีบวงสรวงดังกล่าว ไม่นานมานี้ มีนักดาราศาสตร์คนหนึ่งได้อ้างว่าสามารถถอดรหัสแนวหินได้เขาเสนอว่าสโตนเฮนจจ์ คือ เครื่องคำนวญยุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้องต่าง ๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทฤษฏีทั้งหลายในปัจจจุบันจะมีตัวเลขและสถิติสนับเสนุนว่าเป็นจริง แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดใดไขปริศนาลึกลับแห่งอดีตของสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมบูรณ์

2010092119161stonehenge-03-n.jpg

เครดิต : http://www.ilovetogo.com/Article/54/79/Contacts.aspx?mid=31

Link to comment
Share on other sites

เราเรียนปิงแล้วปิงบอกว่าสโตนเฮนจ์อ่ะคือโบสถ์ไร้หลังคาอ่ะ

Link to comment
Share on other sites

เราเรียนปิงแล้วปิงบอกว่าสโตนเฮนจ์อ่ะคือโบสถ์ไร้หลังคาอ่ะ

ุุ้ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ ยังเป็นปริศนาอยู่ว่ามันคืออะไร ก็ไม่ควรไปสรุปแบบนั้นนะพี่ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันเปล่าๆ -*- 

ฟังหูไว้หูละกันนะพี่ เหอๆ

Link to comment
Share on other sites

15.Macbeth [แม็คเบ็ธ] บทละครต้องสาป

2010092911115314503619.jpg

       ละครเรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มด และ คําสาปมนต์ดํา ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขามาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไป หากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่นบท แม็คเบ็ธ

       ผลของคําสาปอุบัติขึ้น ตั้งแต่หนแรกสุดที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที และนับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่าพรึงเพริดที่สุดก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา

20100929111218180px-macbeth3.jpg

เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า

       นักรบแห่งสกอตแลนด์ นามแม็คเบ็ธ กลับมายังบ้านเมืองอย่างภาคภูมิพร้อมด้วยชัยชนะเหนือศัตรูผู้ก่อการกบฏ เขาและแบงโกวสหายผู้ร่วมรบได้พบกับคำพยากรณ์อันน่ายินดีจาก แม่มด 3 พี่น้อง ว่า เขาจะได้เป็นอัศวินแห่งคาวดอร์และกษัตริย์แห่งสกอตแลนด์ในท้ายที่สุด และแบงโกวแม้จะไม่ได้เป็นกษัตริย์แต่ลูกหลานของเขาก็จะได้สืบทอดสถานะอันยิ่งใหญ่นั้น ทันทีที่ได้ฟังคำพยากรณ์ กษัตริย์ดันแคนก็ส่งสารประกาศแต่งตั้งให้แม็คเบ็ธได้รับตำแหน่งอัศวินแห่งคาวดอร์ ทำให้คำทำนายนั้นเป็นจริง ด้วยความทะเยอทะยานที่ซ่อนอยู่ทำให้แม็คเบ็ธคิดถึงคำพยากรณ์ข้อต่อไปที่ยังไม่เกิดขึ้น และข่าวอันน่ายินดีนี้ก็ส่งผ่านต่อไปยังภรรยา คือ เลดี้แม็คเบ็ธ พร้อมๆกับข่าวที่ว่า ดันแคน กษัตริย์แห่งสกอตแลนด์จะเดินทางไปพำนักที่ปราสาทของแม็คเบ็ธในคืนนี้

       เลดี้แม็คเบ็ธรับฟังข่าวดีพร้อมด้วยความคิดทะเยอทะยานอันชั่วร้ายที่พลุ่งพล่านอยู่ในความคิด และตัดสินใจคิดการณ์ใหญ่ที่จะทำให้คำพยากรณ์ข้อต่อไปเป็นจริงโดยเร็วที่สุด ด้วยการฆาตกรรมคิงดันแคน ในคืนนี้

       แม็คเบ็ธแม้จะทะเยอทะยาน แต่จิตใจไม่เหี้ยมโหดพอ และตัดสินใจจะเลิกล้มแผนการณ์ แต่เลดี้แม็คเบ็ธผู้มีความชั่วร้ายฝังลึกอยู่ในจิตใจใช้ความเป็นภรรยา พูดจาหว่านล้อมจนกระทั่งแม็คเบ็ธเปลี่ยนใจ คิงดันแคนถูกลอบสังหาร และ ฆาตรกรถูกป้ายความผิดแก่ทหารยาม มัลคอล์มและดัลโนเบน ลูกชายทั้งสองของคิงดันแคน กลัวชะตากรรมของตนจะเป็นเช่นเดียวกับพ่อตัดสินใจหนีเอาตัวรอด และแม็คเบ็ธก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนคิงดันแคนตามคำทำนาย

       คำพยากรณ์เป็นจริงสมประสงค์ แต่สิ่งที่คงอยู่คือ ความรู้สึกผิดบาปที่ตามหลอกหลอนแม็คเบ็ธ แบงโกวผู้ซึ่งมีส่วนร่วมรู้เห็นในคำพยากรณ์อันวิเศษสุด สงสัยในตัวแม็คเบ็ธ และแน่นอนว่าต่างฝ่ายต่างก็รู้กันดี แม็คเบ็ธเองก็หวาดระแวงว่าคำพยากรณ์ต่อไปที่ว่า ลูกหลานของแบงโกวจะได้เป็นกษัตริย์สืบต่อไป และที่สุดเพื่อเป็นการปิดปากแบงโกวด้วย แม็คเบ็ธก็ตัดสินในสังหารแบงโกวและภรรยา แต่ฟรีอองซ์บุตรชายของแบงโกวหนีไปได้

       มัลคอล์มและดัลโนเบนที่หนีไปอังกฤษได้สมัครพรรคพวกร่วมกับแมคดัฟฟ์ นักรบผู้กล้าอีกคนหนึ่งของอดีตคิงดันแคนวางแผนจะกลับมายึดอำนาจจากแม็คเบ็ธซึ่งได้กลายเป็นกษัตริย์ทรราชย์ ในขณะที่แม็คเบ็ธเอง แม้จะสมประสงค์ทุกอย่างและขจัดแบงโกวไปได้ แต่ตราบาปที่ไม่มีใครรู้ก็ไม่สามารถหนีความจริงในใจของแม็คเบ็ธและพระราชินีได้ แม็คเบ็ธมองเห็นวิญญาณของแบงโกวและภูติผีคนอื่นๆตามมาหลอกหลอน ในขณะที่เลดี้แม็คเบ็ธซึ่งดำรงตำแหน่งพระราชินีเริ่มมีอาการสับสนทางความคิด เสียสติ และต้องล้างมืออยู่ตลอดเวลาเพราะคิดว่ามือตัวเองเปื้อนเลือด

       ซ้ำร้ายไปกว่านั้น แม่มด 3 พี่น้องปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับคำทำนายถึงชีวิตอันหายนะของแม็คเบ็ธ โดยบอกว่า ให้ระวังแม็คดัฟฟ์ แต่ก็ได้ให้คำสัญญาว่า มนุษย์ทุกคนที่ออกมาจากครรภ์มารดาจะไม่สามารถทำอันตรายใดๆกับแม็คเบ็ธได้ ซึ่งทำให้แม็คเบ็ธค่อยวางใจขึ้น แต่แม็คเบ็ธก็ยังคงต้องต่อสู้กับบรรดาภูติผีปีศาจที่ปรากฏตัวให้เขาเห็นแต่เพียงผู้เดียว

       หลังจากนั้น แม็คเบ็ธได้รับข่าวการรบชนะของแม็คดัฟฟ์ที่อังกฤษ เพื่อเป็นการแก้แค้นแม็คเบ็ธส่งคนไปปลิดชีพภรรยาและลูกๆของเขา สถานการณ์การรบยิ่งตึงเครียดขึ้น เมื่อมัลคอล์ม ดัลโนเบน และแมคดัฟฟ์ตัดสินใจยกกองทัพมาตีสกอตแลนด์เพื่อชิงราชบัลลังก์คืน พร้อมๆกันนั้นเองแม็คเบ็ธก็ได้รับข่าวร้ายว่าพระราชินีได้สิ้นพระชนม์ ชดใช้กรรมที่ได้ก่อ แม็คเบ็ธเผชิญหน้ากับแมคดัฟฟ์ในสนามรบอย่างประหวั่นพรั่นพรึง ด้วยคิดถึงคำทำนายที่แม่มด 3 พี่น้องบอกให้หลีกเลี่ยงการพบกับแมคดัฟฟ์ แต่แม็คเบ็ธก็ยังลำพองใจว่า ไม่มีมนุษย์คนใดที่เกิดจากครรภ์มารดาจะทำอันตรายตนได้ แต่แล้วแมคเบ็ธก็ได้รู้สิ่งที่คาดไม่ถึง เมื่อแมคดัฟฟ์บอกว่า เขา..ไม่ได้เกิดมาจากครรภ์มารดา แต่ว่าถูกผ่าออกมาจากช่องท้อง ก่อนจะถึงเวลาถือกำเนิด การต่อสู้เป็นไปอย่างสิ้นหวังและที่สุดแม็คเบ็ธก็ถูกเด็ดชีพ ชดใช้ความทะเยอทะยานอันนำมาสู่ความหายนะของชีวิตผู้คนจำนวนมาก

เครดิต : http://kazena.exteen.com/20090226/macbeth

Link to comment
Share on other sites

16. ภาพลายเส้น นาซคา

201009301573727030934013m1.jpg

      ไกลออกไปในที่ราบสูง  ซึ่งเป็นทะเลทรายในภาคใต้ของเปรู ได้มีลายเส้นเครื่องหมายหรืออาจเป็นสัญลักษณ์บางสิ่งบางอย่าง ปรากฏขึ้นอย่างดาษดื่นทั่วไปกินเนื้อที่หลายร้อยตารางไมล์ แต่ส่วนใหญ่พบอยู่ในระหว่างเมืองนาซคากับเมืองปัลปา ลักษณะมีการขีดเน้นอย่างจงใจและประณีต ลายเส้นเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า " นาซคาไลน์"

      นาซคาไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดที่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล

      นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุลานเส้นสันนิษฐานว่าตกอยู่ใน ยุค 100 ปีก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช 700นา ซคาไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ

ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าชาวอินเดียนแดงโบราณสร้างมันขึ้นมาทำไม ?

      ตั้งแต่มีผู้พบเห็นลายเส้นเหล่านี้ทางอากาศเมื่อปลายปี ค.ศ. 1920 ดร. พอล โคโซค เป็นคนแรกที่ได้รับทุนค้นคว้าสรุปผลจากการศึกษาว่า อาจเป็นปฏิทินทางดาราศาสตร์หรือไม่ก็เป็นปฏิทินทำนายเกี่ยวกับสายน้ำในหุบ เขา

      ต่อมาในปี 1968 สถาน บันเนชั่นแนลจีโอกราฟฟีค ฝ่ายสังคมศึกษาพบว่า ลายเส้นต่างๆ ในพื้นที่เหล่านี้ตั้งอยู่ในจุดระหว่างกลางดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ขึ้นและตกในวันเวลาที่มันอยู่ห่างไกลจากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุด ตั้งแต่ในสมัยโบราณ แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่มีใครคาดคิดได้ว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมากับ การศึกษานาซคาไลน์ความประหลาดลึกลับของลายเส้นต่างๆ ในทะเลทรายเปรูยิ่งดูเหมือนท้าท้ายคำถามต่างๆ อาทิ ทำไมชาวนาซคาโบราณจึงทุ่มเทเวลาสร้างสรรค์ลายเส้นมโหฬารเหล่านี้มากมาย ทั้งที่บางอย่างพวกเขาอาจจะไม่เคยเห็นและผู้คนจะเห็นนาซคาไลน์ก็ต่อเมื่อมอง ลงมาจากอากาศเท่านั้น คนสำคัญที่สุดที่ทุ่มเทเวลาศึกษานาซคาไลน์ถึง 25 ปี คือ มาเรีย ไรเช่ เธอได้ถ่ายภาพและทำแผนที่งานของเธอเรียกว่า ลาส ลีเนียร์ รูปเครื่องหมายลายเส้นต่างๆ เป็นร้อยๆภาพ ซึ่งปรากฏอยู่บนทรายสูงทะเลทรายแห่งนี้ กินเนื้อที่สำรวจถึง 30 ไมล์ โดยอาศัยแผนที่จากสายการบินแพนแอมซึ่งทำไว้ก่อนกับความสนับสนุนจากสถาบัน เนชั่นแนลจีโอกราฟิคช่วยเหลือในงานของเธอ

      มา เรีย ไรเช่ นักคำนวณชาวเยอรมันเธอทำแผนที่ภูมิศาสตร์แสดงทิศทางของดาววัดบนพื้นโลก บริเวณนาซคาไลน์ไว้อย่างละเอียด หลังจากวัดลายเส้นซึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูแห่งหนึ่ง เธอให้ความเห็นว่าบริเวณนั้นอาจเป็นสนามยานอวกาศจากมนุษย์ต่างดาว ซึ่งมาเยือนโลกเมื่อสมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์ ลายเส้นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูนี้ถ้าจะสันนิษฐานว่าเกิดจากความคิดของนัก เรขาคณิตบ้าๆ คนหนึ่งก็อาจเป็นข้อสันนิษฐานที่น่าฟัง เพราะจากลายเส้นที่ใหญ่โตและที่เล็กๆ ทอดก่ายกัน แม้จะมีระเบียบแต่ก็อ่านจุดประสงค์ไม่ได้ว่า เขาต้องการจะบอกอะไรและดูเหมือนว่าเขาไม่สู้จะคำนึงถึงลักษณะภูมิประเทศด้วย รูปทรงเรขาคณิตแบบสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าอีกบริเวณหนึ่ง ในหุบเขาใหญ่ใกล้ที่ทำการกสิกรรมของนาซคาซึ่งสามารถยืนมองจากหุบเขาอินเก นิโอก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดที่ว่มันถูกขีดขึ้นประกอบด้วย รูปสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมไม่สับสนจากที่ลาดต่ำไปสู่ที่ลาดสูง และก็เช่นเดียวกันเช่นรูปทรงเรขาคณิตแบบต่างๆ ที่ค้นพบคือไม่ทราบจุดประสงค์นอกจากสันนิษฐานว่าอาจเป็นแบบฟอร์มของระบบการ ชลประทาน

" ลายเส้นทั้งหมด" มิสไรเช่ให้ข้อสังเกต " เป็นเส้นตรง ยาวเป็นไมล์ๆ ข้ามหุบเขาและภูเขา ไม่มีสักเส้นเดียวที่จะคดเคี้ยว มันเป็นแนวตรงอย่างน่าประหลาดทุกเส้น"

      แล้ว ชาวนาซคาจะได้ประโยชน์อะไรจากลายเส้นเหล่านี้ เส้นตรงบางเส้นมีร่องรอยคล้ายเป็นจุดของยามทุกๆ 1 ไมล์ สงสัยกันว่าจะเป็นจุดสังเกตการณ์สำหรับการส่งข่าวแบบอินเดียนแดง แต่เหตุผลนี้ก็แทบนับไม่ได้ว่าเป็นเหตุผลลายเส้นที่น่าทึ่งอีกภาพหนึ่งคือ ลายเส้นของลิงในท่าคว้าจับอะไรบางอย่าง แขนซ้ายของมันวัดได้ยาวถึง40 ฟุต สังเกตลักษณะรูปร่างของมันคล้ายลิงหลายชนิด ขนดกเป็นปุย อาจเป็นลิงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คาปูชินซึ่งอยู่ในป่าเขตร้อนทางทิศตะวันออกของเทือกเขาแอนดิส ห่างไปจากจุดที่นั่นถึง 200 ไมล์ ศิลปินชาวนาซคาซึ่งคงจะรู้จักลิงชนิดนี้จากการบอกเล่าของพ่อค้าชาวป่า โดยที่ไม่รู้เรื่องทางสรีระของลิงชนิดนี้อย่างละเอียดออกมาเป็นว่าลิงตัวนี้ มี 4 นิ้วจากมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งมี 5 นิ้วและหางซึ่งเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ได้กลับม้วนขึ้นไปแทนที่จะห้อยลงตาม ธรรมชาติวิสัยของลิงชนิด

      นอกจากนี้บริเวณทุ่งหญ้า ซึ่งมีนก รูปปลาวาฬว่ายน้ำ และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆโครงสร้างหลายภาพคล้ายคลึง กับเครื่องปั้นดินเผา ของชาวนาซคาโบราณดังกล่าว มากมาย ปลาวาฬเคลือบซึ่งสร้างในปลายสมัยคริสตวรรษที่ 3ก็ มีรูปคล้ายคลึงกับลายเส้นปลาวาฬซึ่งพบในทะเลทราย ต่างกันตรงที่ลายเส้นปลาวาฬที่พบมีห่วงห้อยไว้ด้วยคงคล้าย เป็นการประกาศความเป็นผู้พิชิต เช่นเดียวกับปลาวาฬเคลือบ ซึ่งสร้างไว้เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ความเก่งกล้าของผู้พิชิตปลาวาฬ นอกจากนั้นยังมีรูปคนเขียนไว้บนเนินเขา คล้ายคลึงกันกับเครื่องปั้นดินเผาโบราณของอินเดียนแดงนาซคาที่นี้มาถึงรูปนก ซึ่งสันนิษฐานตอนแรกๆ ว่าอาจเป็นรูปยานอวกาศ อย่างไรก็ดีลักษณะลายเส้นบ่งชัดว่าเป็นรูปนกต่างๆ กันถึง 18 ภาพที่แจ่มชัดเป็นลายเส้นนกฮัมมิ่งเบิร์ด นกเป็นน้ำและนกทะเลซึ่งยาวถึง 450 ฟุต แต่ภาพกลับเขียนไม่เต็มตัว

      อลัน ซอว์เยอร์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ให้ความเห็นว่า " เรา แน่ใจว่ามันมีความหมาย แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันมีความหมายว่ายังไง เส้นต่างๆ โดยเฉพาะลายเส้นของนกประกอบด้วยเส้นลายเพียงเส้นเดียว ซึ้งไม่มีการลากตัดกันเลย บางทีอาจจะเป็นลายเส้นเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอาจสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาคงยอมรับนับถืออะไรก็ได้ที่ ศิลปินเขียนขึ้น เช่นอย่างอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ยึดถือกัน โดยเขียนภาพขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น "เครื่อง หมายเคลือบดินเผาที่มีอยู่หมายถึงที่คล้ายคลึงภาพลายเส้นซึ่งปรากฏในทะเล ทราย ส่วนใหญ่จัดได้ว่ายังเป็นงานฝีมือระดับต่ำ แต่ว่างานเหล่านี้บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ หลักประกันในเรื่องอาหารและชีวิตดร. ซอว์เยอร์กล่าวว่า

" ถ้าจะคิดตามแนวทางความคิดของศิลปินจากงานที่ค้นพบมันก็เป็นการแสดงออกถึง ความคิดของผู้แร้นแค้น สะท้อนสภาวะความรู้สึกออกมาจากวิญญาณ"

อีกแนวความคิดหนึ่งที่ได้มาจากภาพลายเส้นแมงมุมที่มีความยาวถึง 150 ฟุต ที่ถ่ายภาพไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 เปรียบเทียบกับภาพถ่ายลายเส้นนี้ในปัจจุบัน คล้ายกับว่าเป็นซากแมงมุมยักษ์ซึ่งนอนตาย

      แต่ ปัจจุบันรอยเส้นนี้กำลังสูญหายไป จากพายุทรายบ้าง รถจิ๊บของนักท่องเที่ยว รอยย่ำบ้างนาซคาไลน์ ในไม่ช้าก็เร็วคงจะถูกทำลายไปดังกล่าว มันอาจเป็นสนามยานอวกาศอาจเป็นงานของนักเรขาคณิตผู้บ้าคลั่ง อาจเป็นโครงร่างของระบบชลประทาน อาจเป็นงานศิลป์ของชาวอินเดียนแดง อาจเป็นอะไรก็ได้ด้วยเหตุผลซึ่งสันนิษฐานจากข้อมูลต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แต่ความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของมัน คงจะยังเป็นสิ่งประหลาด ที่ท้าทายการพิสูจน์ไปอีกนานเท่านาน

เครดิต : http://sites.google.com/site/rxypaedphankea/phaph-lay-sen-nach-kha

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.

×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.