Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

ตำนานลึกลับ ที่โลกเล่าขาน


OuriOuri Muto

Recommended Posts

17. ไมค์ (Mike) ไก่ไม่มีหัวแต่ใช้ชีวิตได้นานถึง 18 เดือน

20101007191732a11032.jpg

ไก่ตัวนี้มีชื่อว่า ไมค์(Mike) ครับ.

      เรื่องมันมีอยู่ว่าเจ้าของฟาร์มคิดจะทำไก่ย่างในวันขอบคุณพระเจ้า เลยเลือกเจ้าไมค์จะมาทำไก่ย่าง ซึ่งในตอนที่เอาขวานฟันลงไปที่คอของเจ้าไมค์(อึ๋ย)หัวของมันขาดลงมาสงบนิ่งอยู่ที่พื้น แต่ตัวมันน่ะซิครับมันกลับกระโดดลงมาจากเขียงแล้ววิ่งพล่านไปทั่ว เล้าจนหายไปไหนก็ไม่รู้ เลยต้องเอาไก่อีกตัวมาทำ ในวันรุ่งขึ้นเจ้าของกลับว่าเจ้าไมค์กลับมาอยู่เล้าทั้งๆที่ไม่มีหัว แล้วยังทำท่าคุ้ยเขี่ยหาอาหารเหมือนกับไก่ทั่วๆไปผิดแต่ว่ามันไม่มีหัวเท่านั้นเอง! เจ้าของเลยสงสัยว่ามันอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่ก็เลยเลี้ยงไปเรื่อยๆ โดยให้อาหารด้วยที่หยอดตาผ่านทางหลอดอาหาร แน่ละครับเรื่องนี้ไปเข้าหูพวกสื่อมวลชนโดยนิตรสารTIME มาขอทำเรื่องนี้ทำให้เจ้าไมค์ดังเป็นพลุแตกเลย ยังผลทำให้มีคนเลียนแบบทั่วประเทศก็เลยทำให้ทุกบ้านมีไก่ย่างกินเป็นอาหารเย็นกันทุกวันแต่ก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ และในช่วงสุดท้ายของชีวิตของไมค์ตายโดยเมล็ดข้าวโพดเข้าไปติดหลอดลมตายซึ่งนับจากวันที่หัวขาดจนวันตายนับได้ประมาณ 18 เดือนพอดี

พอเจ้าไมค์ตายเจ้าของก็เสียใจมากเลยจัดตั้งวัน ”ไมค์ไก่ไร้หัว (Mike the headless Chicken Day)” ขึ้นมาทุกๆปี เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน

เครดิต : http://www.guitarthai.com/musicboard/question.asp?QID=1733

Link to comment
Share on other sites

  • Replies 61
  • Created
  • Last Reply

Top Posters In This Topic

  • OuriOuri Muto

    23

  • goddric

    7

  • PPF

    4

  • คนเสียสติ

    3

เรื่องไก่ไม่มีหัวนี่เราเคยได้ยินล่ะ

น่าเหลือเชื่อมาก

Link to comment
Share on other sites

18. มู ทวีปแห่งมารดร   

201010081817381.jpg

       James Churchward นายพันผู้สนใจปรัชญาตะวันออก ได้เดินทางไปพำนักที่อินเดีย โดยอาศัยอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งใกล้เมือง Rishi ด้วยความสนใจด้านตำนานโบราณ เชิร์ชวาร์ดได้สนิทสนมกับนักบวชผู้ใหญ่รูปหนึ่งอย่างรวดเร็ว ความใฝ่รู้ของเขาทำให้นักบวชเกิดความพอใจ และถ่ายทอดตำนานเร้นลับที่สาปสูญมานานนับพันปีเรื่องหนึ่งให้กับเขา ไม่เพียงแต่ตำนานครับ นักบวชท่านนั้นยังได้ถ่ายทอดภาษาโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภาษาดั้งเดิมของมนุษยชาติให้กับเชิร์ชวาร์ด นายพันหนุ่มใหญ่รู้สึกทึ่งระคนกับอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง

       โดยเฉพาะกับเรื่องราวที่เขาได้ศึกษามาหลังจากนั้น ยิ่งแกะรอยลึกเข้าไปเขาก็ยิ่งงงงัน เพราะเรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงที่เขาเรียนรู้มา มันเพียงพอที่จะพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้เลยทีเดียว เจมส์ เชิร์ชวาร์ดตั้งปณิธานไว้กับตัวเองว่า เขาจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เพราะทั่วโลกยังทีดินอดนต่างๆอีกมากมายที่รอให้เขาบุกเบิก เพื่อศึกษาเข้าไปถึงแก่นลึกของอาณาจักรโบราณที่ล่มสลายไปแล้วเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ทวีปแห่งมารดร... มู เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2411 ครับ

       หลักฐานที่ค้นพบทั้งหลายแหล่นำมาสู่คำถามที่ว่า ทวีปแห่งมารดรหรือมูนี้ได้สูญหายไปในอดีตกาลหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงแค่ตำนานของคนรุ่นก่อนเท่านั้น หากมีจริง มู ตั้งอยู่ที่ไหน ควรจะมีลักษณะของภูมิศาสตร์หรืออารยธรรมเป็นเช่นไร?

       ว่ากันว่าทวีปมู ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิค ซึ่งประสบภัยพิบัติคล้ายกับแอตแลนติส และปัจจุบันคงเหลือเพียงหมู่เกาะเล็กๆ กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปให้เราเห็นเท่านั้น เป็นเรื่องน่ากลัวเหมือนกันนะครับ เพราะในตำนาน มู เป็นดินแดนที่กว้างใหญ่มหาศาล แต่กลับหายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอย ทั้งที่ตามหลักฐานที่เราพอจะมีอยู่ ตำนานของอาณาจักรนี้ บอกกับเราว่า ครั้งหนึ่ง ที่นี่เป็นจุดกำเนิดอารยธรรมของมนุษยชาติ มีอายมากกว่า 50,000 ปี ซึ่งแน่นอนว่า เก่าขนาดนี้ร่องรอยอะไรก็คงไม่เหลือแล้ว เราจะเอาอะไรไปศึกษา แล้วเรื่องนี้มันน่าเชื่อถือได้ไหม? อารยธรรมโบราณต่างๆสืบทอดมาจากมูใช่หรือไม่ และประการสำคัญ มูกับแอตแลนติส เป็นดินแดนเดียวกันหรือเปล่า เดี๋ยวเราจะค่อยๆมาค้นหาคำตอบกันครับ

       มากล่าวถึงเชิร์ชวาร์ดกันต่อ จากการศึกษาทำให้นักโบราณคดีผู้นี้สนใจเรื่องของมูเป็นอย่างมาก เขาได้เดินทางสำรวจไปทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปออสเตรเลียและหมู่เกาะในทะเลใต้ ซึ่งเชิร์ชวาร์ดเองเชื่อว่าเคยเป็นที่ตั้งของมูมาก่อน หลักฐานที่ทำให้เขาปักใจเรื่องของดินแดนโบราณนี้ อย่างแรกคือแผ่นจารึกที่เขาได้ทำการศึกษาในอินเดียครับ เราเรียกกันว่าจารึกนาอะคัล(Naacal) อย่างที่สองก็คือ เมื่อนำเอาเรื่องราวจากจารึกนี้ไปโยงใยกับอารยธรรมโบราณ ที่มีความเจริญแบบผิดยุคสมัยและมีที่มาที่ไปอันมืดมน(สำหรับนักโบราณคดีน่ะนะ) เช่น อียิปต์ แอซเท็ค อินคา จะพบว่า มันมีความสัมพันธ์กันอย่างน่าประหลาด ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีโบราณ หรือตำนานอันน่าทึ่งที่บังเอิญมาพ้องต้องกัน จนเราอาจจะยืนยันได้ว่า ทวีปซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองเป็นศูนย์กลางของโลก เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมของมนุษยชาตินั้นมีอยู่จริง

       แต่จะใช่อันเดียวกับแอตแลนติสไหม หลักฐานของใครหนักแน่นกว่า เพราะหลายคนก็มีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน ประการสำคัญ นักคิดนักเขียนพวกนี้ไม่มีใครยอมใครด้วย ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณในการอ่านและเลือกที่จะเชื่อ (หรือรับฟังไว้ก่อน)ก็แล้วกันนะครับ

       เมื่อกล่าวถึงอาณาจักรมูแล้วไม่กล่าวถึงคนๆนี้ก็ดูดหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่างครับ บุคคลที่ว่าเป็นนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาร์ลส-เอเตียน บราสเซอร์ เดอ บอร์บอร์ก ซึ่งนับเป็นคนแรกเลยที่ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับทวีปมูขึ้นมา

       เดอ บอร์บอร์ก เคยศึกษาอยู่ในอเมริกาครับ ระหว่าที่เขากำลังศึกษาเรื่องราวของชาวมายาอยู่นั้น (พ.ศ. 2407) เขาได้แปลเอกสารโบราณส่วนหนึ่งของชาวมายาออกมา โดยเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดที่รอดจากการเผาทำลายของชาวสเปนมาได้ ผลจากความพยายามของบอร์บอร์กทำใหอนุชนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้ทราบว่า ครั้งหนึ่งเคยมีนครโบราณที่ต้องมีอันเป็นไป ด้วยการจมลงสู่ก้นมหาสมุทรเพราะการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟ เดอ บอร์บอร์กพบอักษรภาพคู่หนึ่งในเอกสารโบราณนั้น ซึ่งการออกเสียงของอักษรดังกล่าวตรงกับตัวเอ็มและตัวยูในภาษาอังกฤษ เขาจึงอนุมานว่า นครโบราณที่จมหายลงสู่ใต้น้ำนั้น น่าจะมีชื่อว่านครมูหรืออาณาจักรมูครับ

       การค้นพบของเดอบอร์บอร์กสร้างความตื่นตัวให้วงการโบราณคดีอยูไม่น้อยครับ นักโบราณคดีหลายคนพยายามแกะรอยอาณาจักรดังกล่าวจากเอกสารต่างๆที่พอจะหาได้ ซึ่งผลงานที่ออกมาก็มีทั้งตั้งอกตั้งใจและแหกตา เนื่องมาจากมูลเหตุอยู่ที่เอกสารโบราณของชาวมายา ดังนั้นหลักฐานเพิ่มเติมที่ควรสนใจจึงน่าจะอยู่ที่แหล่งอารยธรรมของมายา ซึ่งก็โชคดีอีกนั่นแหละ ที่นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสอีกทีมได้ค้นพบหลักฐานน่าสนใจที่โยงใยถึงอาณาจักรมูอีกชิ้นหนึ่ง นักโบราณคดีชุดนี้นำทีมโดย ออกัสตัส เลอพอง กีออง ครับ

       เลอพอง กีออง แถลงว่า สิ่งที่พวกเขาค้นพบคือหลักฐานที่ว่าด้วยตำนานของชาวมายาครับ กล่าวถึงนครโบราณที่มีนามว่า มู มีผู้ปกครองเป็นราชินีนามเหมือนชื่อนครนั่นคือ ราชินีมู(Moo) พระนางมีสวามีเป็นพี่น้องกันแต่ต่อมาได้สิ้นพระชนม์ลงด้วยการแย่งอำนาจ จนนางต้องอภิเษกกับน้องชายอีกคนหนึ่ง กระทั่งเมื่อนครนี้ประสบภัยจากภูเขาไฟระเบิด ราชินีมู ได้พาผู้คนอพยพไปตั้งรกราก ณ ดินแดนแห่งใหม่ ซึ่งนักโบราณคดีกลุ่มนี้ตีความว่าน่าจะเป็นดินแดนอียิปต์ เพราะตำนานไปสอดพ้องต้องกันกับเรื่องราวของ เทวีไอซิส อย่างเหลือเชื่อ - - สวามีของไอซิสคือโอสิริสซึ่งสิ้นชีพไปเพราะการกระทำของเซธผู้เป็นน้องชาย สุดท้ายเซธก็ต้องมารบกับโฮรัสบุตรของโอสิริสซึ่งมาล้างแค้นแทนบิดา ส่งผลให้ทะเลทรายซาฮาร่ากลายสภาพจากป่าดงดิบเป็นทะเลทรายอันไพศาลไป รายละเอียดของเรื่องราวนับว่าคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมล่ะครับ?

       นักโบราณคดีชุดนี้เชื่อว่า ทวีปมูน่าจะตั้งอยู่ในอ่าวเม็กซิโก และอยู่ทางตะวันตกของทะเลแคริบเบียน โดยทวีปมูมีการแบ่งดินแดนในปกครองออกเป็นนครเล็กๆสิบแห่ง ซึ่งนับว่าคล้ายคลึงกับเรื่องแอตแลนติสของเพลโตเป็นที่สุด และที่สำคัญ ชาวมายากล่าวถึงมูว่า ทวีปนี้ได้จมหายสู่ก้นมหาสมทุรเมื่อราว 8 พันปีมาแล้ว อันเป็นระยะเวลาที่ไล่เลี่ยกันกับการล่มสลายของแอตแลนติสภายใต้สมมติฐานของนักโบราณคดีปัจจุบัน

หรือว่า... มูกับแอตแลนติสนั้นคือดินแดนเดียวกัน แต่ถูกเรียกต่างกันไปตามภาษาต่างๆ?

       หลายคนว่ามันไม่น่าจะใช่ ลืมเจมส์ เชิร์ชวาร์ดไปแล้วหรือยังครับ นักโบราณคดีผู้แปลตัวอักษรที่มีการจารึกไว้บนศิลาโบราณในอินเดีย เชิร์ชวาร์ดได้พบเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับมู เขาบรรยายว่าดินแดนแห่งมูนั้นราวกับสวนสวรรค์บนโลกมนุษย์ก็มิปาน เป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีประชากรอยู่มากถึง 64 ล้านคน เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ทำให้ดินแดนนี้ถึงแก่การล่มสลาย มีประชาชนเพียงส่วนน้อยที่อพยพหนีออกมากันได้ และต้องเริ่มต้นตั้งอารยธรรมมนุษย์กันใหม่หมด ดังนั้นพวกเขาจึงจารึกเรื่องราวทั้งหลาย เพื่อถ่ายทอดสู่อนุชนรุ่นหลังให้รับทราบ

เครดิต : http://www.gmcities.com/board/index.php?topic=54.0

Link to comment
Share on other sites

น่าจะเมืองเดียวกันแหล่ะ ระหว่างมูกับแอนแลนติก

เพราะอารยธรรมก็คล้ายๆกัน

Link to comment
Share on other sites

19. อัลเลน โป บิดานิยายนักสืบ กับผู้มาเยือนหลุมศพลึกลับ

20101009163115edgar_allan_poe.jpg

       เอ็ดการ์ อัลเลน โป เป็นนักเขียนสหรัฐฯ ผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นบิดาแห่งวรรณกรรมรหัสคดี* (Mystery) จากเรื่องสั้น "คดีฆาตกรรมที่ถนนมอร์ก" (The Murders in the Rue Morgue) ซึ่งเป็นเรื่องราวของ ออกุสต์ ดูแปง ต้องเข้าไปสืบคดีฆาตกรรมในห้องปิดตายบนอาคารแห่งหนึ่ง จนกระทั่งดูแปงกลายเป็นตัวละครต้นแบบของนักสืบรายอื่นๆ ในยุคต่อมาอย่างเชอร์ล็อก โฮมส์ ของ โคนัน ดอยล์ และ ปัวโรต์ ของ อกาธา คริสตี

       โป เกิดวันที่ 19 ม.ค. 1809 และเสียชีวิตในเดือน ต.ค. ปี 1849 โดยที่แม้แต่ความตายของเขาเองก็ยังเป็นปริศนา

       หนังสือพิมพ์หลายฉบับในสมัยนั้นรายงานว่าเขาเสียชีวิตจากอาการ "ติดเชื้อในสมอง" ซึ่งน่าจะมาจากการติดสุรา แต่บันทึกทางการแพทย์และใบมรณบัตรของเขาก็หายสาปสูญ ทั้งนี้ก่อนหน้าการเสียชีวิต โป มีอาการเพ้อ ไม่สามารถควบคุมตนเองให้อธิบายอาการป่วยได้ เสื้อที่เขาใส่ก็ไม่ใช่ของตัวเขาเอง และคืนก่อนเสียชีวิตเขายังเพ้อถึงชื่อ "เรย์โนลด์" ซ้ำ ๆ

       ความลึกลับของโปยังคงถ่ายทอดผ่านข้ามศตวรรษแม้เขาจะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม ไม่ใช่เพียงแค่นิยายแนวโกธิคและเรื่องแนวรหัสคดีของเขาเท่านั้น แต่ 100 ปี หลังจากการเสียชีวิตของโป ก็เริ่มมีคนลึกลับสวมชุดดำ ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุม เดินเข้าไปที่ป้ายหลุมศพของ โป ในบัลติมอร์ ในทุก ๆ วันครบรอบวันเกิดของเขา และจะดื่มคอนยัคเพื่อคารวะก่อนจะวางขวดคอนยัคที่เหลือเครื่องดื่มไว้ครึ่งขวด พร้อมดอกกุหลาบแดง 3 ดอก ไว้หน้าป้ายหลุมศพ โดยบางครั้งก็มีการทิ้งโน้ตเอาไว้ด้วย

20101009163833104012723.jpg

       บุคคลปริศนาผู้นี้ถูกเรียกว่า 'ผู้ดื่มคารวะแก่โป' (Poe Toaster) เขาไปที่หลุมศพของโปเพื่อทำแบบเดียวกันทุก ๆ ปี ตั้งแต่ปี 1949 จนกระทั่งถึงถึงปี 1993 ผู้ดื่มคารวะแก่โป ก็ทิ้งโน้ตเอาไว้ว่า "คบเพลิงจะถูกส่งต่อ" ทำให้เชื่อว่าผู้ดื่มคารวะแก่โปกำลังจะเสียชีวิต จนในปี 1999 ก็มีโน้ตวางไว้ยืนยันว่าผู้ดื่มคารวะโปคนเก่าเสียชีวิตแล้ว และมีผู้ดื่มคารวะโปคนต่อไปมาสืบทอด

       ปริศนากลับมาอีกครั้งในวันครบรอบวันเกิดของโปปีนี้ (19 ม.ค. 2010) เมื่อไม่พบบุคคลนิรนามมาวางคอนยัคและกุหลาบ 3 ดอกเช่นทุกปีที่ผ่านมา ทำให้หลายคนสงสัยว่าผู้ดื่มคารวะโปรุ่นต่อมาหายไปไหน หรือเขาจะเสียชีวิตแล้ว

2010100916314720100119_poetoaster_001.jpg

        เจฟ เจอโรม ภัณฑรักษ์ของ 'บ้านและพิพิธภัณฑ์เอ็ดการ์ อัลเลน โป' คือคนที่พบเห็นผู้ดื่มคารวะแก่โปมาตั้งแต่ปี 1976 เขาบอกว่าเขารู้สึกสับสน และไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้มาเยือนลึกลับ

เจอโรมและกลุ่มเพื่อนของเขาที่ชื่นชอบเอ็ดการ์ อัลเลน โป พากันไปที่สุสานเวสมินสเตอร์ที่ซึ่งมีหลุมศพของบิดาวรรณกรรมรหัสตดีอยู่ เพื่อจะได้เฝ้ามองบุคคลลึกลับมาทำการดื่มคารวะโปทุก ๆ ปี

       เจฟฟรีย์ ซาวอย เปิดเผยว่าปกติแล้วผู้ดื่มคารวะแก่โปจะมาในช่วงเที่ยงคืนถึงตี 5 ของวันที่ 19 "แต่ในเช้าวันนี้เขาไม่มา" ซาวอยกล่าว

       การหายไปของผู้ดื่มคารวะโป ทำให้ผู้มาเฝ้ารอ 50 คนในปีนี้ผิดหวัง ขณะเดียวกันก็ยิ่งทำให้ปริศนาของคน ๆ นี้ดูลึกลับขึ้นไปอีก

       เมื่อปี 2007 มีผู้ออกมากล่าวอ้างว่าตนคือผู้ดื่มคารวะแก่โป เขาคือแซม พอร์โพร่า เขาอ้างว่าเขาคิดไอเดียนี้ขึ้นมาในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เพื่อทำให้ผู้คนแปลกใจ แต่เจอโรมในฐานะผู้เฝ้าดูเหตุการณ์นี้ปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่ใช่ฝีมือของพอร์โพร่าแน่

       แซม พอร์โพร่า เป็นนักประวัติศาสตร์ในโบสถ์เวสต์มินสเตอร์ เขาอ้างว่าเรื่องที่มีการดื่มคารวะโปหน้าหลุมศพโดยเริ่มต้นในปี 1949 นั้นเป็นเรื่องที่เขากุขึ้นมาหลอกสื่อเพื่อสร้างชื่อเสียงหาเงินฟื้นฟูโบสถ์ แต่เจอโรมบอกว่ามีหลักฐานจากหนังสือพิมพ์ที่ระบุผู้ดื่มคารวะโปมาตั้งแต่ปี 1950 โดยหนังสือพิมพ์ฉบับแรกที่ตีพิมพ์เรื่องนี้คือ อีเวนนิงซัน ของบัลติมอร์

       แต่สิ่งที่พอร์โพร่าเล่าก็มีอะไรหลายอย่างไม่ตรงกับความจริง "เรื่องของแซมมีช่องโหว่ใหญ่มาก ใหญ่มากพอที่จะขับรถบรรทุกผ่านเข้าไปได้" เจอโรมกล่าว หลังจากที่เขาสำรวจเรื่องนี้

       นอกจากพอร์โพร่าแล้ว ไม่มีใครอื่นอีกเลยที่ประกาศตนว่าเป็นผู้ดื่มคารวะโป แต่ล่าสุดมีคนสงสัยว่าผู้ดื่มคารวะโปจะเป็นกวีชาวบัลติมอร์ผู้มีนิสัยช่างหยอกเย้าที่ชื่อ เดวิด แฟรงค์ ซึ่งเขาเพิ่งจะเสียชีวิตลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

       ราฟาเอล อัลวาเรซ เพื่อนของเดวิด แฟรงค์ และเป็นประธานสมาคมเอ็ดการ์ อัลเลน โป ในบัลติมอร์เปิดเผยว่า แฟรงค์เป็นผู้ที่คลั่งไคล้ในตัวอัลเลน โป มาก เขายังเป็นคนที่มีความขี้เล่นขนาดว่าเคยนำ 'ส่วนลับ' ในร่างกายเขาเข้าเครื่องถ่ายเอกสารของสำนักงานกองทุนประกันสังคม แล้วนำภาพที่ได้มาแสดง อีกหลายปีต่อมาเขาแกล้งทำตัวเป็นกวีพิการที่นั่งล้อเข็นแล้วขอรับบริจาคจากคนที่มุงดู ก่อนที่จะบอกขอบคุณแล้วลุกขึ้นเดินหนีไป

       แต่ทั้งอัลวาเรซและเจอโรมก็ยังคงสงสัยในเรื่องนี้ และคิดว่าไม่น่าจะเป็นเดวิด แฟรงค์ โดยเจอโรมบอกว่าเขาเคยเห็นภาพของแฟรงค์และเขามีลักษณะไม่เหมือนกับคนที่มาเยี่ยมหลุมศพโปสักเท่าไหร่ ขณะที่อัลวาเรซบอกว่า แฟรงค์ไม่ใช่แฟนกีฬา และมีท่าทีทางการเมืองเอียงไปในทางฝรั่งเศสมากกว่าสหรัฐฯ

       เรื่องที่อัลวาเรซพูดถึง หมายถึงโน้ตที่ผู้ดื่มคารวะโปทิ้งไว้ทุกปี ซึ่งบางปีก็เกี่ยวกับสถานการณ์ทั่วไปในโลก เช่นในปี 2001 โน้ตของผู้ดื่นคารวะโปเขียนถึงการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลซูเปอร์โบวล์ที่ทีมบัลติมอร์ราเวน (ชื่อทีมได้แรงบันดาลใจจากบทกวี 'เดอะ ราเวน' ของโป) จะลงแข่งปะทะกับนิวยอร์คไจแอนท์ ขณะที่ในปี 2004 ก็มีโน้ตที่พูดถึงคอนยัคฝรั่งเศส โดยหลายคนเชื่อว่าโน้ตในปีนี้เป็นการด่าว่าฝรั่งเศสกรณีที่ฝรั่งเศสมีจุดยืนต่อต้านสงครามอิรัก**

2010100916324220100119_poetoaster_002.jpg

       ในปี 2006 มีผู้ที่สนใจเรื่องนี้พยายามเข้ามาสืบว่าตัวจริงของผู้ดื่มคารวะโปคือใคร จนเจอโรมบอกว่าเขารู้สึกไม่ดีที่มีคนมาทำลายความสงบ ในปี 2007 ก็มีคนมาที่หลุมศพโป 60 คน รวมถึงคนที่มาจากญี่ปุ่น โดยคราวนี้เจอโรมบอกว่าผู้เข้าเยี่ยมปฏิบัติตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา และในปี 2008 ก็เพิ่มขึ้นถึง 150 คน

       แต่ความสงสัยก็มีอยู่ในตัวทุกคนไม่จำเพาะต้องเป็นนักสืบ บางคนสงสัยว่าเจอโรมเองน่าจะรู้ตัวจริงของผู้ดื่มคารวะโปมานานแล้ว หรือไม่เช่นนั้นตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นที่เป็นผู้ดื่มคารวะโป

       เจอโรมปฏิเสธบอกว่าถ้าเขาทำเช่นนั้นจริงเขาคงตกงานแน่ ๆ สิ่งที่เขารู้และอยากเก็บไว้เป็นความลับมีแค่ลักษณะท่าทางของผู้มาเยือนหลุมศพเท่านั้น

       มีหลายคนถามเจอโรมว่าเหตุใดผู้ดื่มคารวะโปถึงไม่มาในปีนี้ (2010) เจอโรมบอกว่ามันมีความเป็นไปได้หลายอย่าง เขาอาจป่วย เจออุบัติเหตุ หรือรู้สึกว่ามีคนมามากเกินไป เจอโรมตั้งขอสันนิษฐานไว้อย่างหนึ่งเช่นกันว่า อาจเป็นเพราะปีที่แล้ว (2009) ครบรอบวันเกิด 200 ปี ของโปพอดี ตัวผู้ดื่มคารวะจึงเห็นว่า ถึงเวลาสมควรแล้วที่จะหยุด

"เขาหยุดแล้วจริงหรือ พวกเราไม่รู้ว่าเขาหยุดจริงหรือเปล่าเขาอาจจะแค่ไม่มาในปีนี้เท่านั้นก็ได้" เจอโรมกล่าว

เครดิต : http://www.prachatai.com/journal/2010/01/27422

Link to comment
Share on other sites

20. แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

2010101015506166766.jpg

       แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ คือบุคคล อันตราย ใน ทศวรรษที่ 1880 เป็นบุคคลที่ก่อ คดี ฆาตกรรม สยองขวัญขึ้น ใน ช่วง 31 สิงหาคม - 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1888 เป็นช่วงเวลาที่ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกกรมไป ทั้งหมด 5 คน เป็นต้นแบบของ ครีฆาตกรรมต่อเนื่อง และไม่สามารถ มีตำรวจ คนไหนสามารถจับเขา ได้

       ย้อนไปใน ลอนดอน เมื่อ ค.ศ. 1888 เป็นช่วงเวลาของ เจ้าหญิงวิคตอเรีย เป็นยุคที่ถือว่า เจริญรุ่งเรือง มาใน ลอนดอน ยุคนั้น แต่อีกด้านนึงก็คือ เป็นยุคที่เกิดการ ปล้นฆ่าชิงทรัพย์ มาที่สุดเนื่องจาก ความยากไร้ ของชาวบ้าน ชาวบ้านทุกคนจึงหาเช้ากินค่ำ แทบทุกคน เนื่องจาก เศษฐกิจ ยุคนั้น ตกต่ำมากๆ หญิงสาวในยุคนั้น นอกจาก อาชีพ เสริพ อาหาร และ แม่บ้าน นั้น อาชีพที่ได้รับการยอมรับมาที่สุดคือ อาชีพ โสเภณี หญิงสาวส่วนใหญ่ของลอนดอน 70% เป็นโสเภณี

เหยื่อรายที่ 1 ฆาตกรรมที่ ไวท์แชมเพล

       ไวท์แชมเพล เป็นเขต ที่มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 90,000 คนเป็นเด็กและ หญิงสาว 70,000 คน เหยื่อ รายแรกคือ แมรี่ แอนน์ นิคอลส์ เกิดเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 1845 เธอแต่งงาน กับ วิลเลี่ยม นิคอลส์ ในปี 1864 มีลูกด้วยกัน 5 คน เขาและแมรี่ แยกทางกัน แมรี่ จึงไปเป็น โสเภณี เพื่อเลี้ยงดูชีพ ในระหว่างปี 1883-87 เธอไปอยู่กับพ่อของเธอ คืนเกิดเหตุ วันที่ 30 ส.ค. 1888 ฝนตกหนักตลอดทั้งวัน มีผู้พบเห็นแมรี่ เดินอยู่ใน ถนนไวท์แชมเพล เวลา 02.30 น. ขณะแมรี่ กำลังคุยกับเพื่อนร่วมห้องของเธอ อีมีลี่ หล่อนเห็นว่า แมรี่ เมามาก จึงบอกให้แมรี่ กลับไปยังห้องพัก แต่แมรี่ยังไม่กลับ อีกประเดี๋ยวฉันจะกลับ

03.40 น. ขณะที่ พนักงานขับรถกำลังเดินไปตามถนน บั๊คโรว์ เขาเห็นอะไรบางอย่างที่ประตูโรงเก็บม้า ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นผ้ายางวางกองอยู่ จึงเข้าไปดูเผื่อว่ามันจะยังใช้การได้ เมื่อเดินไปถึง เขาเห็นร่างของผู้หญิง นอนหงาย อยู่ จึงเรียกตำรวจ ให้มาดูศพในทันที

       ตำรวจและทีมแพทย์ชันสูตร ศพรีบเร่งเข้ามาดู ภาพที่เขาเห็นนั่น ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เป็นภาพของหญิงสาวดูฆ่าปาดคอ จากบริเวณ ติ่งหูซ้ายมายังไหล่ขวา สอง รอย และ กระโปรงถูกดึงขึ้นมาเหนือหัวเข่า และ รอยมีดถูกกรีดปากท้องให้อ้าขึ้น แล้วควักตับไต ไส้พุงออกมา กองไว้ ภาพที่สยดสยองนี้ ติดตา ของพวกตำรวจและหมอ ไป ในวันต่อมา ตำรวจได้ถามผู้พบเห็นเหตุการณ์ ไม่มีใครพบเห็นผู้ต้องสงสัย จึงสอบปากคำ พนักงานขับรถผู้พบศพ เขาให้การว่า เขาเห็นเหมือนกองผ้ากองอยู่แต่พอเข้าไปใกล้กลับเป็น ร่างของหญิงสาวนอนหงายอยู่ เขาจึงเรียกตำรวจมายังที่เกิดเหตุ และเขาบอกว่าในบริเวณนั้น ไม่พบเหตุบุคคลน่าสงสัยเลย ทางเจ้าของคอกม้า ที่พบศพ บอกว่า เขาไม่ได้ยินเสียงหรือผู้น่าสงสัยเลย หมอบอก เวลาที่ตายน่าจะก่อนพบศพประมาณ 1 ชม. ขณะตำรวจกำลังมืดแปดด้าน ก็มีชายผู้หนึ่งให้ความช่วยเหลือ บอกว่า จะเป็นชายอันธพาลคนหนึ่งที่มีฉายา ผ้ากันเปื้อนหนัง ที่ชอบรีดไถ โสเภณี และขู่ว่าจะฆ่า หลายต่อหลายครั้ง ตำรวจทราบจึงจะเข้าจับคุม แต่คนร้ายไหวตัวทันหนีไปหลบ ในบ้านญาติ ทำให้ตำรวจไม่สามารถจับตัวได้

เหยื่อรายที่ 2 แอนนี่ แช๊ปแมน

       แอนนี่ แช๊ปแมน เธออาศัยอยู่กับ สามี ของเธอ จอห์น แช๊ปแมน เธอมีลูกด้วยกัน 3 คน ลูกคนแรกเธอ เอมิลี่ เสียชีวิต จากโรคเหยื่อสมองอักเสบ เมื่ออายุ 12 ปี ลูกชายของเขา จอห์น พิการและถูกส่งไปยังสถารับเลี้ยงคนพิการ ลูกคนที่สามของเธอ จอร์จิน่า ถูกส่งไปยังสถาบันที่ฝรั่งเศษ แอนนี่ เป็นหญิงที่ฝันเฟื่อง เมื่อลูกสาวเสียชิวิต เธอจึงออกจากครอบครัว มาอาศัยอยู่กับช่างทำตะแกรงเหล็ก แต่ไม่นาน เมื่อ ช่างทำตะแกรงเหล็กรู้ว่าเธอ ดื่มหนักมาก ทั้งสองจึงหย่าร้างกัน ปีที่เกิดเหตุแอนนี่ อายุได้ 47 ปี สูง 5 ฟุต สุขภาพของเธอไม่ค่อยดีนักเป็นโรคปอด และ เนื้อเหยื่อสมองอักเสบ เธอมีชิวิตอยู๋ได้ไม่นาน แต่ก็ไม่ได้จบชีวิตเพราะโรคร้าย โดย ฝีมือ ของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ วันที่ 7 กันยายน 1888 05.20-05.30 น. ช่างไม้ที่อาศัยอยู่บริเวณ ถนน ฮันเบอรี่ ได้ยินเสียงคนคุยกันบริเวณ ลานหน้าบ้าน เป็นเสียงของคนถกเถียงกัน แล้วก็มีเสียง คน หรือ อะไรบางอย่าง กระแทกเข้ากับไม้อย่างแรง แต่ก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไร เพราะนึกว่าเป็นแค่เสียงคนทพเลาะกัน ต่อมา 05.45 น. - 06.00 จากนั้น จอห์น เดวิส พนักงานขับรถ บนถนนฮันเบอรี่ ซึ่งพักอยู่ในบ้านเลขที่ 29 ถนนฮันเบอรี่ ลงมาที่ชั้นล่าง และเข้าไปในลานบ้าน ได้พบกับร่างของ แอนนี่ แช็ปแมน เธอนอนขนาบกับ แนวรั้วบ้าน ศรีษะห่างจากบันได 6 นิ้ว แขนซ้ายวางพาดหน้าอกซ้าย หน้าเจ็มไปด้วยเลือด และ ลำคอ ถูกเชือดแผลเหวอะหวะ กระโปงถูกถกขึ้นถึงหัวเข่า พอเห็นดังนั้นจึงตะโกนเรียกคนใด ทุกคนลุมดูสภาพศพที่น่ากลัว นอนจมกองเลือด ใน ช่วงเช้า หมอได้ชันสูตรเบื้องต้นเห็นใบหน้าที่บวมเป่ง ลิ้นซึ่งบวมเช่นกัน แลบออกมาระหว่างฟัน แขนขาเริ่มแข็ง ลำคอถูกเชือดแผลลึกประมาณ 2 นิ้ว และตายมาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เขาคิดว่า น่าจะฆาตกรรมบนลานบ้านเพราะบริเวณอื่นไม่มีรอยเลือด ต่อมาได้กระทำการสำรวจบริเวณศพพบ กระเป๋าของแอนนี่ ซึ่งเปิดอ้าอยุ่ตกอยู่ใกล้ๆ และยังมีข้าวของอื่นๆ ผ้ามัสลินเนื้อหยาบผืนหนึ่ง หวี ซองจาหมายเก่าๆ ใส่ยาสองเม็ดและที่ซองมี อักษร เอ็ม นอกจากนั้นยังมี แหวนทองเหลืองสองสามวงที่เพื่อนเธอให้ไว้หายไปจากที่เกิดเหตุ บรรดาตำรวจ นักสืบ รีบทำการค้นหาตัวผู้ต้องสงสัยในทันที

       ผู้ต้องสงสัย ในคดี แอนนี่ แช็ปแมน มีหลายรายแต่ รายที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุดคือ ไพเซ่อร์ ฉายา ผ้ากันเปื้อนหนัง เป็นชาวยิวโปลิช และเป็นช่างทำรองเท้า วัย 30 หลังจากตำรวจไล่ล่าอยู่อาทิตย์กว่า ในที่สุดวันที่ 10 กันยายน เขาก็จนมุมในบ้านญาติเลขที่ 22 ถนนมัลเบอรี่ และถูกนำตัวไปสถานนีตำรวจ ตำรวจพบ มีดยาว 5 เล่มในบ้านพักของ ไพเซ่อร์ แต่ ไพเซ่อร์ยังอ้างว่า เป็นมีดที่เขาไว้ทำรองเท้าหนัง อันเป็นอาชีพของเขา หลังจากถูกขัง อยู่ 2 วัน ไพเซ่อร์ ได้ถูกปล่อยตัวจากห้องขัง เนื่องจาก การสอบสวนเขา มีพยานหลักฐานในวันที่ และ เป็นความจริง ในช่วงสองสามวันตำรวจได้จับผู้ต้องหา 7 ราย แต่คนที่ตำรวจหามากที่สุดคือ กุ๊ก เฮนรี่ พิกก๊อทท์ วัย 53 ปี เพราะมีคนพบเขาในวันเกิดเหตุคดีแรกที่ ไวท์แชมเพล แต่ พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ชี้ว่า คนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับคนในคดีแรก พิกกอทท์ จึงถูกปล่อยตัว ต่อมา จากการกดดัน จากหนังสือพิมพ์ กระทรวงมหาดไทยเลย สั่งให้ปิดคดีให้เร็วที่สุด โดยมีเงินรางวัล สำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแส ให้กับทางตำรวจ จากนั้นก็จับผู้ต้องหาอีก 2-3 คนแต่ทั้งหมด มีอาการทางประสาท เกือบทั้งหมด และ ก็มีพยานหลักฐานครบถ้วน

       ดูเหมือนว่า ในคดี แอนนี่ แช็ปแมน จะยังไม่โหดพอสำหรับให้ชาวลอนดอน จดจำ แจ๊ด เดอะ ริปเปอร์ ได้ เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน ต่อจากนั้น เกิดคดี ฆาตกรรมสยองขวัญมากที่สุดในลอนดอน เป็นการฆาตกรรมแบบ 2 ราย ในคืนเดียว และทั้งสองศพ เวลาการตายห่างกันไม่ถึง ชม. เหยื่อรายที่สาวของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อลิซาเบ็ธ สไตรค์ เธฮเกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษจิกายน 1843 และเธอ ได้ขึ้นทะเบียนเป็ย โสเภณี หมายเลข 97 ในวันที่ 29 กันยายน เวลา 18.30 น. อลิซาเบ็ธ แทนเน่อร์ กับ อลิซาเบ็ธ สไตรค์ได้ไปดื่มเหล้าด้วยกัน ในเวลา 23.45 น. วิลเลี่ยม มาแชล ซึ่งเป็น กรรมกร เขาเห็น การสนทนาของหญิงชายคู่หนึ่ง แล้วทั้งสองฝ่ายก็จูบกันแล้วฝ่ายชายก็พูดขึ้นว่า "เธอจะพูดอะไรก็ได้ ยกเว้น สวดมนต์" และทั้งสองก็เดินไป สู้ ดั๊ทฟิลด์สย้าร์ด 30 กันยายน เวลา 01.00 น.หลุยส์ ดีมชู้ทซ์ เป็นชาวยิว รัสเซีย เป็นพนักงานสโมรสรการศึกษาวิชาชีพ ของกลุ่มคนนิยมชาวยิว ก่อนที่ ดีมชูทซ์ จะนำม้าไปเก็บ ในคอก ที่ จ๊อร์จย้าร์ด

แต่ม้าไม่เต็มใจเข้าไปในลาน มันกลับเลี้ยวไปทางซ้าย ดีมชูทซ์มองไปที่พื้น พบสิ่งแปลกประหลาดอย่างหนึ่งจึงลองเขี่ยดู ด้สวยด้ามแส้ จากนั้นก็จุดไม้ขีดขึ้น แล้วส่องดู ปรากฏว่าเป็นร่างของหญิงสาว ดีมชูทซ์ รีบวิ่งเข้าไปในสโมรสร เพราะกลัวว่าคนร้ายยังอยู่แถวนั้น และจากนั้นเขา ได้เห็น ฆาตกรวิ่งหนี ไปเมื่อตอนที่เขาวิ่งเข้ามาในสโมสร จากนั้น ดีมชูทซ์ รีบวิ่งขึ้นไปดู ภรรยาชั้นบนทันทีด้วยความเป็นห่วง แต่หล่อนยังอยู๋กับคนอื่นๆ จากนั้น ดีมชูทซ์ เล่าเรื่องให้คนอื่นๆ ฟัง ว่าไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนนั้น เมาหลับไป หรือ ตายแล้ว พวกเขาจึงไปดูศพ เห็น ผู้หญิงแขนวางผาดเหนือท้องนิดหน่อย และข้อมือชุ่มไปด้วยเลือด ที่ลำคอถูกกรีด เป็นทางยาว พวกเขาจึงรีบเรียกตำรวจมาดูแพทย์สองนาย ได้มาตรวจดูศพของ อลิซาเบ็ธ สไตรค์ มีรอยแผลที่คอถูกกรีดยาว 6 นิ้ว เริ่มจากด้านซ้ายต่ำกว่า ขากรรไกร 2.5 นิ้ว กรีดตัดหลอดลมขาด สภาพศพเหมือนกับ แอนนี่ แช็ปแมน

       คัทรีน เอ๊ดโดว์ส เกิดในเมือง วู๊ล์ฟเวอร์ แฮมตั้น เมื่อวันที่ 14 เมษายน 1842 ขณะที่เสียชีวิต คัทรีน อายุ 47 ปี เธฮสูง 5 ฟุต วันเกิดเหตุ เธอสวมหมวกฟางสีดำ ขลิบกำมะหยี่ เขียวและดำ สวมร้อยลูกปัดสีดำ และคาดผ้ากันเปื้อนสีขาว 29 กันยายน เวลา 20.30 ตำรวจผู้หนึ่ง พบ คัทรีน เดินอยู่บนถนน และทำเสียง เลียนสัญญาณดับเพลิง และเดินเซไปเซมา ตำรวจถามชื่อของเธอ เธอตอบว่า ไม่มี ตำรวจจึง นำตัวเธอไปขังในห้องขังเพื่อ สงบสติอารมณ์ วันที่ 30 กันยายน 00.50 คัทรีน ถูกปล่อยตัว ตำรวจถามชื่อเธฮอีกครั้งเธอตอบว่า แมรี่ แอนน์ แคลลี่ 01.00 (เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พบศพอลิซาเบ็ธ สไตร์ค บนถนนเบอร์เน่อ) ก่อนออกจากโรงพัก ตำรวจวานให้เธฮปิดประตูหน้าให้ด้วย เธอจึงตอบว่า "ได้จ้ะ พ่อไก่แก่" นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินจากปากของ คัทรีน เธอยังคงพาดผ้ากันเปื้อน เดินตรงไปยัง จตุรัสมิตร 01.45 น. (45 นาทีหลังจากพบศพของ อลิซาเบ็ธ สไตร์ค) พลตำรวจ เอ๊ดเวิร์ด วัทกิ้นส์ ได้เดินเข้าไปตรวจ ในจตุรัสมิตร เป็นพื้นที่ 4 เหลี่ยม ที่สามารถ เข้า-ออก ได้ 3 ทาง เขาพบกับ ศพของหญิงสาวนอนจมกองเลือด อยู่ทางใต้ของจตุรัสมิตร วัทกิ้นส์ ถูกเชือดคอ และ ถกกระโปรงขึ้นมาเหนือสะเอว ท้องถูกกรีด ลำไส้ทะลัก วัทกิ้นส์ได้กล่าวว่า "ผมเป็นตำรวจมานาน แต่ไม่เคยเห็นภาพน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน รอยแผลถูกปาดอ้าขึ้นมาเหมือนหมูในตลาด"

       การไต่สวนหาสาเหตุการตายในวันที่ 4 ตุลาคม 1888 แพทย์ทั้งหมดที่ทำการชันสูตรได้พูดตรงกันหมดเรื่อง ฆาตกร มีความสามารถทางกายภาพหรือเป็นหมอผ่าตัด เพราะบริเวณที่ทำการเชือดนั้น ทำให้เครื่องในร่างกายไม่เสียหาย เพียงแต่นำมันออกมาจากร่างกาย ตำรวจจึงชี้ประเด็นไปที่ นำอวัยวะไปขายให้กับ โรงพยาบาล แต่จากการสืบสวน ไม่มีโรงพยาบาลที่ได้รับการขายอวัยวะ แต่ตำรวจยังคงสงสัยกับการที่คนร้ายสามารถเดินไปเดินมาบนถนนโดยที่ตัวชุ่มเลือด ได้อย่างไร ทั้งข่าวหนังสือพิมพ์ และ สื่อมวลชน ต่างตื่นตระหนก กับเหตุการณ์ ดังกล่าว จึงเริ่มมีผู้แจ้งเบาะแส บางกลุ่มก็เรียก ฆาตกรรณรายนี้ว่า ฆาตกรไวท์แชมเพล บ้าง ฆาตกรฆ่าโสเภณี บ้าง แต่ชื่อที่ถูกยอมรับมากที่สุดคือ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ แต่ในที่สุดก็มีนายแพทย์ ซอนเดอร์ส เชื่อว่า การชำแหละร่างกาย ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าคนร้าย มีทักษะทางกายภาพแต่อย่างใด และยังบอกอีกว่า จุดมุ่งหมายยังคงเป็นการขโมยอวัยวะสำคัญ

ต่อมาการสืบสวนสอบสวนผู้คนในจตุรัสมิตรในคดีของคัทรีน ไม่มีใครพบเห็นผู้ต้องสงสัยหรือคนร้ายเลย มีก็แต่ ผู้พบศพคนแรกเท่านั้นแต่เนื่องจากมืดมากทำให้ไม่เห็นว่า เป็นหญิงหรือชาย สูงเท่าไร แต่งกายอย่างไร หนึ่งเดือนต่อมา มีจดหมายหลายฉบับที่ส่งมาที่สำนักข่าว หลายฉบับ แต่มีฉบับหนึ่งที่ทำให้ตำรวจและสื่อมวลชนถึงกับสยองขวัญนั่นก็คือจดหมาย ที่ลงชื่อด้วยคำว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ และหัวจดหมายนั่นคือ "จดหมายจากนรก"

       นักทฤษฏี คดี แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เชื่อว่า เหตุผลที่เขาใช้ชื่อลงท้ายว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ให้คำขยายว่า แจ๊ค เป็นชื่อสามัญ ที่ทุกคนรู้จักดีไม่จำเป็นต้องให้คำขยายใดๆ และ อีกประเด็นคือ แจ๊ค เป็นชื่อของ อาชญากรในอดีตผู้โด่งดังหลายราย เช่น หัวขโมยนักแหกคุก แจ๊ค เช้พผาร์ด เขาตายในปี 1724 จากนั้น แฮร์รสัน เอนสเวิร์ธ นำประวัติของเขามาเขียนใหม่อีกครั้ง และยังมี แจ๊ค แรนน์ ฉายา แจ๊ค 16เส้น เนื่องจากเวลาขี่ม้าเขาชอบประดับขากางเกงด้วยเส้นไหม คนต่อมา แจ๊ค เท้าสปริง เป็นฉายาที่รู้จักกันดี เป็นวายร้ายที่เก่งกาจ ในการปลอมตัวทุกรูปแบบ สร้างความหวาดกลัวทั่วลอนดอนในปี 1837-38 ดังนั้น แจ๊ค จึงเป็นชื่อของ อาชญกร โด่งดังในอดีต เพียงแต่บางคนมองว่า เป็นชื่อของ อาชณกรในนิยายราคาถูก ส่วนคำว่า ริปเปอร์ แปลว่า ผู้ตัด - ฉีก อันเป็นวิธีในการฆาตกรรมของเขา รวมแล้ว ชื่อของเขาก็คือ แจ๊คนักฆ่าชำแหละศพนั่นเอง ส่วนจดหมายที่ถูกส่งมาในวันที่ 25 กันยายน 1888 ถูกเขียนด้วยหมึกแดง ว่า

*เจ้านายที่เคารพ

ผมได้ยินอยู่เรื่อยว่าตำรวจจะจับผม แต่พวกเขายังหาตัวผมไม่ได้เลย ผมได้แต่หัวเราะเมื่อดูพวกเขาช่างฉลาดล้ำและคุยโวว่ากำลังตามตัวไปถูกทาง เรื่องตลกเกี่ยวกับ ผ้ากันเปื้อนหนัง ทำให้อดหัวเราะไม่ได้จริงๆ ผมอยากกำจัดพวกโสเภณีและผมไม่สามารถหยุดเชือดพวกหล่อนได้จนกว่าจะเอาพวกหล่อนมาคาดรอบพุง งานชิ้นสุดท้ายช่าง ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ผมไม่ให้โอกาสสุภาพสตรีผู้นั้นร้องแม้แต่แอะเดียวตำรวจจะจับผมได้อย่างไรกัน ผมรักงานของผมและอยากจะลงมืออีก ในไม่ช้า คุณ จะได้ยินเรื่องราวของผมอีก เล็กๆน้อยๆ เป็นงานอันสนุกของผม ผมอุส่าเกบเลือดไว้ในขวดเบียร์เพื่อเอาไว้ใช้เขียน แต่มันข้นเหมือนกาวผมเลยใช้มันไม่ได้ แค่หมึกแดงก็เพียงพอแล้วสำหรับผม ฮ่าๆๆๆ งานต่อไปของผมก็คือ ผมจะตัดหูของสุภาพสตรีส่งให้

(ด้านหลัง) เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อความสนุกน่ะ คุณว่าไหมขอให้เก็บจดหมายนี่ไว้ก่อน จนกว่าผมจะทำงานเล็กๆน้อยๆเสร็จก่อน แล้วค่อยส่งให้ตำรวจทันที มีดของผมคมมากและน่าใช้ จนผมต้องออกไปทำงานเดียวนี้ ขอให้โชคดี

ด้วยความจริงใจ

แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

คงไม่ว่านะที่ผมจะใช้ยี่ห้อประจำตัว*

เครดิต : http://walkerz.exteen.com/20051112/entry

Link to comment
Share on other sites

21. คำสาปฟาโรห์

20101015145581250093881.jpg

       ใครบังอาจขุดสุสานต้องมีอันเป็นไป ท่ามกลางดึกอันเงียบสงัดที่บ้านในชนบทประเทศอังกฤษ สุนัขตัวหนึ่งได้หอนอย่างโหยหวน เสียงของมันทำให้ทุกคนในบ้านนั้นตื่นขึ้นมาด้วยความเสียวสยองขนลุกไปตาม ๆ กัน มันเฝ้าแต่หอนจนเหนื่อยอ่อนล้มฟุบขาดใจตายไปอย่างเวทนา เหตุการณ์ประหลาดนี้เกินขึ้นที่บ้านของนักโบราณคดีสมัครเล่น ลอร์ดคาร์นาร์วอน อายุ 57 ปี ที่แฮมไชร์ ในเวลาเดียวกับที่สุนัขส่งเสียงหอนนั้น ห่างออกไปหลายพันไมล์ ลอร์ดคาร์นาร์วอน เองกำลังอยู่ในขั้นโคม่า ทุรนทุรายใกล้จะตายอยู่ในห้องโรงแรมคอนติเนตอล นครไคโร ประเทศอียิปต์ นี่คือที่มาจากอาถรรพ์คำสาปแช่งของฟาโรห์ ยุวกษัตริย์ตุตันคาเมน แห่งอียิปต์โบราณ ได้สำแดงอิทธิฤทธิ์คร่า 2 ชีวิตแรก สุนัขและเจ้าของ แล้วติดตามต่อมาด้วยความตายอย่างลึกลับอีกหลายชีวิต ด้วยคำสาปแช่งนี้ ลอร์ดคาร์นาร์วอน เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอียิปต์โบราณได้ทราบดีมาก่อนแล้ว ในระหว่างที่เขาวางแผนการที่จะขุดค้นหาขุมสมบัติในสุสานฟาโรห์ ขณะที่เขายังอยู่อังกฤษ ได้รับคำเตือนจากเคานต์ฮามอน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไอยคุปต์อีกคนหนี่งว่า " ท่านลอร์ดไม่ควรที่จะเข้าไปในสุสานฟาโรห์ เพราะจะพบกับความวิบัติ ถ้าหากยังขัดขืนไม่เชื่อฟังจะได้รับความทุกข์ทรมานจากความเจ็บไข้ และไม่อาจรักษาได้ ความตายจะมาหาท่านเองใน อียิปต์" ลอร์ดคาร์นาร์วอน ก็มีความวิตกกังวลในเรื่องนี้อย่างยิ่ง เขาได้ไปหารือกับโหรที่มีชื่อเสียงถึง 2 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งเขาก็ได้รับคำทำนายว่า จะพบกับความตายอย่างลึกลับ แม้ว่าจะมีความวิตกกังวลในเพียงใด ลอร์ดคาร์นาร์วอน ได้เดินหน้าที่จะขุดปิระมิดของฟาโรห์ต่อไป เพราะเขาใฝ่ฝันและได้รับแรงดลใจมาหลายปีแล้ว เมื่อเขาเดินทางไปถึงอียิปต์ คำสาปแช่งของฟาโรห์เริ่มปรากฎแววให้เห็น นับตั้งแต่คนงานพื้นเมืองที่จ้างให้มาขุดสุสานใต้ปิระมิดที่ลูซอร์ตื่นตระหนก ล้มเจ็บและหนีหายไป อาร์ธอร์ ไวกัลล์ เพื่อนร่วมทีมที่ใกล้ชิดของเขาคนหนึ่ง ได้เกิดหวาดหวั่นขึ้นมาถึงกับกล่าวว่า "ถ้าหากคาร์นาร์วอนยังคงดื้อดึงขุดสุสานต่อไป ชีวิตเขาจะไม่ยืนยาว" ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2466 คาร์นาร์วอน และคณะได้ขุดปิระมิดเข้าไปถึงสุสานห้องที่ไว้พระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมน ภายในนั้น ลอร์ดคาร์นาร์วอน และ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ คู่หุชาวอเมริกันได้พบทรัพย์สมบัติจำนวนมากทั้งเพชรนิลจินดา รวมทั้งโลงทองคำที่บรรจุมัมมี่ของพระศพยุวกษัตริย์ เหนือสุสานนี้มีข้อความอักษรอียิปต์โบราณซึ่งแปลได้ว่า "มัจจุราชจะมาสู่ผู้ซึ่งรบกวนการบรรทมของฟาโรห์" สองเดือนต่อมาลอร์ดคาร์นาร์วอน ซึ่งตอนนั้นมีชื่อเสียงขึ้นมาในการค้นพบขุมทรัพย์ ได้ตื่นขึ้นภายในห้องที่โรงแรมคอนติเนตอลและกล่าวว่า "เหมือนกับอยู่ในขุมนรก" ซึ่งเป็นจังหวะที่ลูกชายของเขาเข้ามาในห้องนั้นพอดี หลังจากนั้น ลอร์ดคาร์นาร์วอน ก้ไม่ได้สติ คืนนั้นเอง ความตายได้มาคร่าชีวิตเขาไป ลูกชายของเขาได้เล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นว่า "แสงสว่างเหมือนดูเหมือนจะเรื่องรุ่งขึ้นไปทั่วนครไคโร ผมต้องจุดเทียนแล้วสวดมนต์" ความตายของ ลอร์ดคาร์นาร์วอน มาจากถูกยุงกัดทำให้เป็นนิวมอเนีย แต่ที่น่าประหลาดอย่างยิ่งที่มัมมี่ของยุวกษัตริย์ฟาโรห์ก็มีรอยยุงกัดที่แก้มซ้าย ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ ลอร์ดคาร์นาร์วอน ถูกยุงกัดเหมือนกัน หลังจากนั้นไม่นานนัก ความตายก็มาเยือนที่โรงแรมคอนติเนตอลอีก อาร์เธอร์ แมค นักโบราณคดีอเมริกันซึ่งร่วมทีมกันขุดสุสานครั้งนี้ด้วย ได้อุทธรณ์ว่าเขารู้สึกเหนื่อยอ่อน แล้วทันใดนั้นก็เข้าขั้นโคม่าเขาหมดลมก่อนที่หมอจะมาถึง และทางแพทย์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาตายด้วยโรคอะไร ความตายได้มาเยือนผู้เชี่ยวชาญไอยคุปต์อีกคนหนึ่ง เขาคือ จอร์จ กูล์ด เพื่อนสนิทของคาร์นาร์วอน ซึ่งได้รีบเดินทางมาอียิปต์หลังจากได้ทราบข่าวมาณกรรมของคาร์นาร์วอน กูลด์ ได้เดินทางไปที่สุสานของฟาโรห์ ในวันต่อมาเขาล้มฟุบลงด้วยเป็นไข้ขึ้นสูง อีก 12 ชั่วโมงต่อมาเขาถึงแก่กรรม อาร์ซิบัลด์ เรียด นักรังสีวิทยาที่ฉายเอ็กซ์เรย์มัมมี่พระศพฟาโรห์ได้ถูกส่งตัวกลับอังกฤษเพราะเกิดอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเฉย ๆ แล้วก็ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ริชาร์ด เบธเฮลล์ เลขาส่วนตัว คาร์นาร์วอน ในการขุดค้นสุสานครั้งนี้พบว่านอนตายอยู่บนเตียงเนื่องนากหัวใจวาย โจเอล วูล ซึ่งเป็นแขกเชิญชุดแรกที่ไปดูสุสาน ตายในเวลาถัดมาไม่นานนัก ด้วยไข้ลึกลับที่แพทย์ไม่สามารถวินิจฉัยได้ ภายในเวลา 6 ปีที่มีการขุดสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน ผุ้ที่ได้ร่วมขุดค้นได้ตายไปถึง 12 คน และภายใน 7 ปีมีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ร่วมในการขุดมีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือใกล้ชิดผู้ที่ขุดสุสานจำนวน เกือบ 22 คน ได้ถึงแก่กรรมในเวลาไม่สมควร เช่น เลดี้คาร์นาร์วอน อีกคนหนึ่งทีฆ่าตัวตายด้วย เนื่องจากเกิดเป็นบ้าขึ้นมา มีผู้เดียวที่ร่วมเป็นหัวหน้าในการขุดสุสานฟาโรห์ที่โชคดีมีชีวิตอยู่คือ โฮเวิร์ด คาร์เตอร์ แต่ก็มาตายตามธรรมชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2482 แต่ถึงกระนั้นคำสาปแช่งของฟาโรห์ก็ยังสำแดงอิทธิฤทธิ์ในปีต่อ ๆ มาอีด ในปี พ.ศ. 2509 โมหะเม็ด อิบราฮัม ผู้อำนวยการพิพิภัณฑ์โบราณของอียิปต์ ซึ่งทางรัฐบาลของเขาได้สั่งให้นักทรัพย์สมบัติของฟาโรห์ ตุตันคาเมนไป จัดแสดงที่ปารีส ฝรั่งเศส เขาได้คัดค้านคำสั่งของรัฐบาล และเขาฝันว่าเขาได้เผชิญกับภยันตราย ถ้าหากทรัพย์สมบัติของฟาโรห์ถูกส่งออกนอกอียิปต์ หลังจากหารือกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลและคัดค้านไม่สำเร็จแล้ว ระหว่างที่เขาเดินทางกลับก็ถูกรถชนเสียชีวิต 3 ปีต่อมา ริชาร์ด อดัมสัน วัย 70 ปี ซึ่งเคยเป็นองค์รักษ์ให้แก่ ลอร์ดคาร์นาร์วอน ในการขุดสุสานฟาโรห์และยังมีชีวิตอยู่รอดเหลืออยู่คนเดียว ได้ให้สัมภาษณ์ทีวีอังกฤษถึงอิทธิฤทธิ์คำสาปแช่ง เขากล่าวว่า "ผมไม่เชื่อในคำสาปแช่ง" แต่หลังจากเดินออกจากสถานนีโทรทัศน์นั่งแท็กซี่กลับบ้าน ก็เกิดอุบัติเหตุเหวี่ยงเขาตกลงจากรถ และมีรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นเฉียดหัวเขาไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปดเท่านั้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่อดัมสันได้ถูกฤทธิ์ของของคำสาปแช่งครั้งแรกเมื่อเขา กล่าวว่าไม่เชื่อคำสาปแช่ง เมียเขาตายภายใน 24 ชั่วโมง ครั้งต่อมา ลูกเขาสันหลังหักจากเครื่องบินตก

เครดิต : http://xchange.teenee.com/index.php?showtopic=40101

Link to comment
Share on other sites

หลายๆเรื่องน่าเหลือเชื่อมากค่ะ

เจ้าไก่ไม่มีหัวนี่ก็เหมือนกัน ถ้าสมมติว่าเราเป็นเจ้าของคงช็อกมาก

"แกกลับมาได้งายยยย กรี๊ดดดด ผีหลอกกกก...."

อะไรประมาณนี้แน่ๆเลย

Link to comment
Share on other sites

22. The Boston Strangler

201010201145291_original.jpg

       ย้อนกลับไปยังอเมริกาในช่วงปี 1960 ในขณะนั้น บอสตันเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญของอเมริกาเพียงเมืองเดียวที่มีจำนวนประชากรลดลงเรื่อยๆ ที่ว่าการเมืองบอสตันจึงประกาศการรณรงค์ฟื้นฟูเมืองขึ้น ประกอบกับในยามนั้น จอห์น F. เคเนดี้ซึ่งเป็นชาวรัฐแมสซาซูเสสเพิ่งจะได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี จึงมีการระดมทุนกว่าพันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับโครงการ"นิวบอสตัน"นี้โดยเฉพาะเพื่อทำการปรับปรุงเมือง เช่นการสร้างตึกระฟ้าเป็นที่ทำการราชการและออฟฟิส รวมไปถึงการแก้ไขปัญหาสลัมอีกด้วย

และวันที่ 14 มิถุนายน 1962 ซึ่งเป็นวันประกาศโปรเจคต์ยักษ์ใหญ่นี้เองที่เป็นวันเดียวกับการเปิดฉากของคดีนักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน ผลทำให้เนื้อที่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ที่ควรจะขึ้นข่าวนิวบอสตันถูกพาดหัวนักฆ่าแห่งบอสตันแย่งไป สายตาทั่วโลกต่างหันมาจับตามองบอสตัน .....หากไม่ใช่ในแง่ของเมืองที่กำลังจะพัฒนาใหม่ แต่เป็นในฐานะของเมืองที่มีฆาตกรกำลังอาละวาดอยู่

       แอนนา สเลเซอร์ส (55) ถูกพบอยู่ในห้องพักของตัวเองบนชั้นสาม ศพเกือบจะเปล่าเปลือย แขนขาถูกจัดวางให้กางแผ่ออก หลังศรีษะมีรอยถูกทุบ คอถูกรัดด้วยสายคาดเอวของเสื้อคลุมอาบน้ำ ในห้องมีร่อยรอยการรื้อค้นแต่ไม่มีสิ่งของมีค่าหายไป แอนนาไม่ได้ถูกข่มขืน แต่มีร่อยรอยการถูกล่วงเกินทางเพศด้วยขวดไวน์

       30 มิถุนายน นีน่า นิโคลส์ (68) ถูกพบเป็นศพในสภาพที่ใกล้เคียงกับศพของแอนนาและมีร่องรอยถูกล่วงเกินทางเพศเช่นกัน

นอกจากนี้ ทั้งสองคดียังมีส่วนคล้ายคลึงที่ไม่ได้ประกาศลงหนังสือพิมพ์อีก 2 ประการ

ประการแรก เมื่อคนร้ายรัดคอเหยื่อแล้ว เขาได้ใช้เชือกที่รัดคอนั่นเองผูกเป็นโบว์ทิ้งไว้

ประการที่สอง ศพถูกจัดท่าให้นอนถ่างขา และหันฝั่งขาไปทางประตู

และในวันเดียวกันนี้เอง เฮเลน เบลค (65) ก็ถูกพบเป็นศพซึ่งมีสภาพตรงกับสองศพข้างต้นทุกประการ มาถึงตรงนี้ ตำรวจจึงเพิ่งสำนึกได้ว่าบนท้องถนนในเมืองมีฆาตกรโหดกำลังเพ่นพ่านอยู่

       * ที่จริงแล้ว ในวันที่ 28 มิถุนายน ได้มีการพบศพของแมรี่ มัลเลนส์ (85) ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นเหยื่อของนักฆ่ารัดคอเช่นกัน แต่เนื่องจากศพของเธอไม่ได้ถูกรัดคอ ตอนเกิดคดีจึงเชื่อกันว่าเป็นการเสียชีวิตตามธรรมชาติ คาดว่าเนื่องจากแมรี่มีอายุมากแล้ว เป็นไปได้ว่าเธออาจจะหัวใจวายตายไปก่อนที่จะถูกลงมือฆ่าก็เป็นได้

       19 สิงหาคม ไอด้า อีร์ก้า (75) ถูกสังหาร สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วบอสตัน หนังสือพิมพ์"บอสตันเฮรัลด์"ได้ออกข่าวเตือนประชาชนให้ระวังรับมือฆาตกรอย่างใจเย็น

แต่คำเตือนดูหมือนจะไม่เป็นผลนัก วันที่ 30 สิงหาคม เจน ซัลลิแวน (67) ถูกพบเป็นศพดังเช่นเคย อวัยวะเพศซึ่งหันไปยังประตูห้องนั้นมีด้ามไม้กวาดเสียบอยู่ นอกจากนี้ คนร้ายยังทิ้งลายเซ็นไว้เหมือนจะเป็นการท้าทายตำรวจอีกด้วย

       การปรากฏตัวของนักฆ่ารัดคอผู้นี้ได้กลายมาเป็นการขัดขวางการทำงานหลายอย่าง เป็นต้นว่าบุรุษไปรษณีย์ พนักงานโทรเลข เจ้าหน้าที่เช็คมิเตอร์น้ำและไฟ ผู้สนับสนุนของนักการเมือง หากที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดนั้นคือพนักงานขายของตามบ้าน โดยเฉพาะเครื่องสำอาง AVON ซึ่งเน้นตลาดไปยังการขายตรงตามบ้านนั้นมียอดขายที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

20101020114252boston01.jpg

สัญญาณกันขโมยอย่างง่ายระหว่างที่เกิดคดี

มีการวางกระป๋องกับขวดไว้ตามบันไดอพาร์ทเมนท์และหน้าประตูห้องพัก

       ตำรวจขอความช่วยเหลือไปยังนักอาชญากรรมจิตวิทยา ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญก็ได้ส่งโปรไฟลิ่งก์กลับมาว่า คนร้ายน่าจะเป็นชายผิวขาวที่มีความแค้นต่อแม่ของตัวเอง (เนื่องจากผู้ตายทั้งหมดเป็นหญิงผิวขาวสูงอายุ) ตำรวจได้ดำเนินการสืบสวนต่อโดยอาศัยเบาะแสดังกล่าว แต่ในไม่ช้า ศพถัดมาก็ทำให้พวกเขาต้องสับสน

5 ธันวาคม โซฟี่ คลาร์ก เป็นหญิงผิวดำอายุ 20 ปี เธอถูกข่มขืนเป็นรายแรกจากเหยื่อทั้งหมด ซึ่งข้อเท็จจริงนี้ทำให้การสืบสวนต้องกลับไปตั้งต้นใหม่อีกครั้ง

31 ธันวาคม แพทริเชีย บริสเซ็ต (20) ถูกสังหาร

9 มีนาคม 1963 แมรี่ บราวน์ (69) ถูกสังหาร *แมรี่เสียชีวิตเนื่องจากถูกแทง ขณะเกิดคดีจึงยังไม่ถูกนับเป็นฝีมือของนักฆ่ารัดคอ

6 พฤษภาคม เบเวอรี่ ซาแมนส์ (23) ถูกสังหาร

8 กันยายน เอเวอลิน คอร์บิน (58) ถูกสังหาร

23 พฤศจิกายน โจแอน กราฟฟ์ (23) ถูกสังหาร ซึ่งวันนี้ยังเป็นวันที่มีความหมายสำคัญอีกอย่าง มันคือวันพิธีศพของจอห์น F. เคเนดี้ ซึ่งถูกลอบสังหารเมื่อวันก่อนนี่เอง ผลทำให้ความฝันที่จะสร้างเมืองใหม่ของบอสตันพังทลายไปพร้อมกับกับประธานาธิบดีผู้นี้ด้วย

       4 มกราคม 1964 แมรี่ ซัลลิแวน (19) ถูกสังหาร มีด้ามไม้กวาดเสียบอยู่ในอวัยวะเพศ ทรวงอกข้างหนึ่งถูกตัด มีการพบอสุจิอยู่บนใบหน้าและในปากของศพ นอกจากนี้คนร้ายยังได้แนบการ์ดใบหนึ่งไว้ที่นิ้วเท้าซ้ายของศพอีกด้วย

"Happy New Year"

และเธอก็กลายมาเป็นเหยื่อรายสุดท้ายของนักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน

* ตรงนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับคดีเท่าไหร่นัก แต่อ่านแล้วน่าสนใจดีเลยแถมค่ะ

ตำรวจจนมุมกับการสืบสวน พวกเขาจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือไปยังปีเตอร์ ฮูร์คอส ซึ่งเป็นนักสืบพลังจิตที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้น (ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง The Boston Strangler ก็จะมีฮูร์คอสออกโรงด้วยค่ะ) ฮูร์คอสได้ทำการสแกนและกล่าวว่า"คนร้ายเป็นชายร่างผอม หนักประมาณ 59-63 กิโลกรัม สูง 170-173 เซนติเมตร จมูกงุ้ม แขนซ้ายมีแผล มีปัญหาเกี่ยวกับนิ้วโป้ง และทำงานเกี่ยวกับรองเท้า"

20101020114333boston02.jpg

ปีเตอร์ ฮูร์คอส

       ในรายชื่อผู้ต้องสงสัยมีชายผู้หนึ่งที่มีลักษณะตรงกับการสแกนนี้ไม่ผิดเพี้ยน หากสุดท้ายชายดังกล่าวก็ไม่ใช่คนร้ายตัวจริง ซึ่งจะอย่างไร ฮูร์คอสก็ได้ยืนยันจนตลอดชีวิตของตัวเองว่าชายคนนี้แหละที่เป็นคนร้ายอย่างแน่นอน (หากคำกล่าวนี้ก็ไม่ได้รับความเชื่อถือเท่าใดนัก กระทั่งจากบุคคลที่ให้การสนับสนุนฮูร์คอสเองด้วย)

และในขณะที่ตำรวจจนปัญญากับคดีนี่เอง ก็มีโทรศัพท์มาจากทนายชื่อลี เบย์ลี่ ซึ่งโทรศัพท์นี้ได้กลายมาเป็นกุญแจไขรูปคดี และทำให้ชื่อของอัลเบิร์ต เดซัลโว ก็ปรากฏขึ้นมาบนเวทีในที่สุด

2010102011442boston03.jpg

Albert HenryDeSalvo (1931 - 1973)

       อัลเบิร์ต เดซัลโว เกิดเมื่อ 3 กันยายน 1931 ในบอสตัน พ่อของเขาติดเหล้าและชกตีลูกเมียแทบทุกวัน เพศสัมพันธุ์เป็นเรื่องปกติของครอบครัว ผู้พ่อมักจะพาโสเภณีเข้ามาในบ้านโดยไม่ใส่ใจสายตาของเด็กๆ เดซัลโวมีเพศสัมพันธุ์ครั้งแรกเมื่ออายุ 6 ปีและฝ่ายหญิงก็คือพี่สาวแท้ๆของเขาเอง

ในไม่ช้า เดซัลโวและพี่สาวก็ถูกพ่อของตัวเองขายไปเป็นแรงงานในฟาร์มด้วยเงิน 9 ดอลล่าร์ เขาหนีออกมาและเรียนรู้การขโมย ซึ่งค่อยๆยกระดับไปเป็นโจรปล้นในท้ายที่สุด

เมื่ออายุ 17 ปี เดซัลโวเข้าเกณฑ์ทหารและไปประจำอยู่ที่เยอรมันเป็นเวลา 5 ปี ประวัติในกองทัพของเขาดีเลิศไม่มีที่ติ ซึ่งในช่วงนี้เองที่เขาเริ่มหัดชกมวย ในไม่ช้า เดซัลโวก็แต่งงานหญิงชาวเยอรมัน และในปี 1955 ลูกสาวคนแรกของเขาก็เกิดมา

เดซัลโวก่ออาชญากรรมทางเพศเป็นครั้งแรกขณะที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์นี่เอง เขาล่วงเกินทางเพศกับเด็กหญิงอายุ 9 ปี แม่ของฝ่ายเด็กหญิงไม่ฟ้องศาลเพราะกลัวความเสื่อมเสีย และในปี 1956 เดซัลโวซึ่งถูกทำทัณฑ์บนไว้ก็ถูกปลดจากกองทัพอย่างเป็นเกียรติ (Honorably Discharge - ใครทราบคำไทย ช่วยแจ้งแก้ไขที)

       เดซัลโวมีความต้องการทางเพศสูงมาก ภรรยาของเขากล่าวว่าเธอถูกเรียกร้องให้มีเพศสัมพันธุ์วันหนึ่งถึง 5-6 ครั้ง จนในที่สุดก็ต้องปฏิเสธ เดซัลโวจึงต้องไปหาทางระบายออกที่ข้างนอก

เขาแสร้งทำตัวเป็นเอเจนซี่จากบริษัทนางแบบ แวะเวียนไปตามอพาร์ทเมนท์ที่มีผู้อาศัยเป็นผู้หญิงเสียส่วนใหญ่แล้วขอวัดตัวผู้หญิง เดซัลโวเป็นคนมีวาทะศิลป์และหน้าตาค่อนข้างดี หลายครั้งที่ฝ่ายหญิงสาวเป็นผู้เชื้อเชิญเขาขึ้นเตียงก็มี

เดซัลโวเคยถูกจับในข้อหาบุกรุกที่พักอาศัยเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 1960 และถูกจำคุกเป็นเวลา 2 ปีโดยไม่มีการลงโทษเรื่องการล่วงเกินทางเพศ ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่มีชื่อของเขาอยู่ในรายการผู้ต้องสงสัยคดีนักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน

หลังจากถูกจำคุกเป็นเวลา 11 เดือน เดซัลโวก็ถูกปล่อยตัวกลับบ้าน หากภรรยาเขายังคงปฏิเสธการมีเพศสัมพันธุ์อยู่ เดซัลโวจึงออกไปข้างนอกอีกครั้ง ซึ่งผลก็คือ 13 ศพในเวลาถัดมา

       6 พฤศจิกายน 1964 เดซัลโวถูกจับกุมในข้อหาข่มขืน แต่ไม่ใช่ในคดีของนักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน เป็นอีกคดีหนึ่งที่ตำรวจเรีบกชื่อคนร้ายว่า"กรีนแมน" (เพราะคนร้ายมักจะใส่ชุดทำงานสีเขียว) กล่าวว่ามีผู้เสียหาย 300 คนในคดีนี้ หากโดยตัวเดซัลโวเอง เขาบอกว่าไม่ต่ำกว่า 1000 คน

ในตอนนี้ตำรวจยังไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อยว่า"นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน"และ"กรีนแมน"เป็นคนร้ายรายเดียวกัน สาเหตุหนึ่งนั้นเนื่องมาจากการที่เหยื่อของนักฆ่ารัดคอไม่ได้ถูกข่มขืน ตำรวจจึงเข้าใจว่าคนร้ายน่าจะเป็นผู้ด้อยสมรรถภาพทางเพศ และทำให้เดซัลโวรอดจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยไปได้อีก

       กุมภาพันธ์ 1965 เดซัลโวถูกตัดสินว่าน่าจะมีความผิดปกติทางจิต จึงถูกส่งตัวไปกักกันอยู่ที่โรงพยาบาลวอเตอร์บริจด์ ระหว่างการกักกันตัวนี้ เดซัลโวเปรยเรื่องคดีของนักฆ่ารัดคอให้เพื่อนนักโทษฟัง ซึ่งเรื่องได้ไปถึงหูทนายเบย์ลี่ผู้มาพบกับเดซัลโวด้วยตัวเอง เขารับสารภาพอย่างง่ายดายและเรื่องก็ไปถึงมือตำรวจในที่สุด

       หากมองจากรูปคดีแล้ว เดซัลโวเป็นคนร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย เขารู้เรื่องที่มีแต่คนร้ายเท่านั้นที่รู้ และยังรู้อีกด้วยว่าเหยื่อมีทั้งหมด 13 คน ไม่ใช่ 11 คนดังที่เข้าใจกัน หากในคดีนี้ แทบไม่มีหลักฐานใดที่เหลืออยุ่พอที่จะสาวไปถึงตัวคนร้ายได้เลย คำให้การของเดซัลโวจึงเป็นเพียงหลักฐานเดียวที่ทำให้คดีกลายเป็นรูปร่างขึ้นมา ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เกิดการต่อรองทางศาลในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน

เดซัลโวจะถูกฟ้องเฉพาะคดีของกรีนแมนเท่านั้น ซึ่งทนายจะถกเถียงกันเกี่ยวกับความสามารถในการรับผิดชอบของจำเลย และในกรณีที่จำเลยถูกตัดสินว่าไม่มีความสามารถในการรับผิดชอบเท่านั้นที่คำให้การของเดซัลโวในฐานะของนักฆ่ารัดคอแห่งบอสตันจะได้รับการยอมรับ

นั่นก็หมายความว่า ไม่ว่ากรณีใดๆ เดซัลโวก็จะถูกตัดสินโทษเฉพาะในคดีของกรีนแมนเท่านั้นเอง ท้ายที่สุด เขาถูกยืนยันความสามารถในการรับผิดชอบและถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิตในฐานะกรีนแมน ส่วคดีนักฆ่ารัดคอแห่งบอสตันก็กลายเป็นการยกฟ้องไป

       26 พฤศจิกายน 1973 เดซัลโวซึ่งถูกย้ายมายังคุกวอลโพล ถูกพบเสียชีวิตอยู่ในห้องขังเดี่ยว สาเหตุการตายคือรอยแผลแทงที่หัวใจ 6 แผล คนร้ายคงจะเป็นหนึ่งในนักโทษนั่นเอง ซึ่งก็ไม่อาจทราบได้ว่าใครที่เป็นผู้ลงมือ

       จะอย่างไรก็ดี จากการตรวจ DNA ในยุคปัจจุบันทำให้ทราบว่าอสุจิที่พบในคดีของแมรี่ ซัลลิแวน (เป็นรายเดียวที่มีการเก็บตัวอย่างอสุจิไว้ได้) ไม่ได้เป็นของเดซัลโว ทฤษฎีที่ว่าเดซัลโวไม่ได้เป็นคนร้ายตัวจริง (หรืออย่างน้อยที่สุด ไม่ได้เป็นผู้ฆ่าซัลลิแวน) จึงมีความเป็นไปได้สูงมาก

เครดิต : http://ohx3.exteen.com/20070222/the-boston-strangler

Link to comment
Share on other sites

  • 1 year later...

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.

×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.