Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

Noname Legend - ตำนานไร้ชื่อ : The Lost Alphabet Santuary


Version5

Recommended Posts

ศัตรูที่น่ากลัวแห่งตระกูลใหญ่ คือประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่นั้นเอง

กลายเป็นว่าเชสต้ากลายเป้นหนึ่งในพระเอกของเรื่องไปโดยปริยาย

ว่าแต่....ถ้าเชสต้าเป็นจุดด่างพร้อยของตระกูลจริง แล้วทำไม...คนที่ถูกคนอื่นลืมกลับเป็นเบต้า....ทำไมพวกพี่ๆถึงไม่ได้ลืมว่าเชสต้าเป็นพี่ แต่กลายเป็นว่าลืมว่าเบต้าเป็นน้องแทนหว่า = ="

Link to comment
Share on other sites

  • Replies 387
  • Created
  • Last Reply

Top Posters In This Topic

  • Version5

    164

  • Loveless Nova

    93

  • SKYNET

    66

  • Tym

    34

Top Posters In This Topic

ใครกันทำท่านย่าได้ลงคอ!!! :pika08:

แล้วใครกันลักพาตัวเชสต้าไป!!! :pika08:

ปริศนาของตระกูลซีไลเนอร์ที่ซับซ้อนจริงๆ

ว่าแต่ว่า ทำไมพ่อของเชสต้าเรียกแม่ตัวเองว่า "ท่านย่า" ด้วยล่ะเนี่ย?

เนื่องจากตอนแรกจะเรียกว่า ท่านแม่.  แต่ภายหลังจสกที่เชสต้าเริ่มโตขึ้น จึงเรียกว่าท่านย่า เพื่อให้เชสต้าเรียกตาม

Link to comment
Share on other sites

บทที่ 90

        ซิกม่าตื่นขึ้นมาในห้องแห่งหนึ่งที่ตนไม่รู้จัก  แต่บรรยากาศภายในห้องก็พอให้รู้ว่าน่าจะอยู่ภายในปราสาท  แต่ไม่รู้ว่าส่วนไหนของปราสาท

      “อื้อ...”  เสียงได้สติของบุคคลข้างๆดังขึ้นทำให้ซิกม่ารีบหันไปดู  อาเรียก็ขมิบตาเล็กน้อยเพื่อปรับสายตา  และนั่นก็ทำให้ซิกม่าหันซ้ายขวาอย่างเร่งรีบ

      “เชสต้า!!”  ซิกม่าพูดออกมา  ทำให้อาเรียตกใจ  รีบหาทั่วห้องแต่ก็ไม่พบเด็กน้อยของทั้งสอง

      “ฮึก...เชสต้า...”  น้ำตาของอาเรียก็เริ่มไหลลงมาอาบแก้ม  ซิกม่าเองก็เสียใจไม่แพ้กัน...  ทำไมพ่อของตนต้องทำถึงขนาดนี้...

      “ตื่นกันแล้วรึ...”  เสียงจากข้างนอกห้องดังขึ้น  น้ำเสียงที่ซิกม่าและอาเรียก็รู้ว่าใคร...  เซต้า  พ่อของเขาเอง

      “ท่านพ่อ นี่มันหมายความว่าไง”  ซิกม่าเริ่มหมดความอดทน  เพราะพ่อของเขาทำให้เขาเสียลูกสาวคนแรกไป

      “ก็ให้ลูกสาวน่ารังเกียจของลูกออกไปจากที่แห่งนี้น่ะสิ...”  เซต้าตอบกลับ  ทำให้ซิกม่าถึงกับเดือด

      “พ่อใจดีมากเลยนะ ที่ปล่อยให้เด็กนั่นโตขึ้นมาหน่อยพอให้รู้เรื่องราวบ้าง...”  เซต้าพูดต่อ  ทำให้ซิกม่าและอาเรียเริ่มรู้อีกเรื่องหนึ่ง  พ่อของเขากำลังบ้าคลั่ง

      “แล้วท่านแม่หละ...”  อาเรียรวบรวมความกล้าพูดขึ้นมา...

      “...ตายแล้ว”  เสียงอันเยือกเย็นทำให้ทั้งสองตกใจ...  ผู้ชายคนนี้คลั่งเรียบร้อยแล้ว  เขาฆ่าหลานของเขากับภรรยาของเขาด้วยมือของเขาเอง...

      “ถ้ายัยนั่นไม่มาสอดรู้สอดเห็นเกี่ยวกับแผนการของข้าก็คงมีชีวิตยาวนานกว่านี้...น่าเสียดายจริงๆ...”

      “...แล้วท่านพ่อจะขังพวกเราไว้ทำไม”  ซิกม่าพยายามคุมอารมณ์ให้ถึงที่สุด  เพราะหากความโกรธเกิดปะทุตอนนี้  สถานการณ์อาจจะแย่ลงกว่าเดิม

      “ลงโทษไงละ แล้วถ้าอยากออกมา  ก็จงยกหลานชายให้ข้าซะ ฮ่าฮ่าฮ่า!!”  เสียงบ้าคลั่งยังคงดังต่อเนื่องจนกระทั่งเซต้าเดินออกไป  น้ำตาของอาเรียก็ไหลออกมาราวกับอัดอั้นมานาน  ซิกม่าได้แต่กัดฟันกรอด  แต่เมื่อย้อนไปนึกคำพูดของพ่อเขาที่พูดเมื่อซักครู่

        ‘ก็ให้ลูกสาวน่ารังเกียจของลูกออกไปจากที่แห่งนี้น่ะสิ...’

        ‘นั่นหมายความว่าเชสต้ายังไม่ตาย!!’

      “อาเรีย เชื่อในตัวเชสต้าเถอะ เชสต้าต้องรอดกลับมาแน่...”  ซิกม่าพูดปลอบประโลม  อาเรียก็เข้ากอดซิกม่าเพื่อระบายความเศร้า

___________________________________________________________

        ห่างออกไปจากเมืองหลวง  ในป่าแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อได้ว่าอันตรายติดอันดับของโลกชินวะ  ทหารนายหนึ่งขี่เซบุไรก้า(Zebstrika)  เข้าสู่ป่าแห่งนี้พร้อมกับเด็กสาว  จากนั้นก็ลงจอดแล้ววางเด็กสาวที่ได้สติแล้วให้ยืนอยู่ที่แห่งนี้

      “ข้าขออภัยด้วย นายหญิง แต่นี่คือคำสั่งของท่านเซต้า”  ทหารพูดกับเด็กสาวอย่างสุภาพพร้อมขอโทษที่ทำแบบนี้  แต่เชสต้ากลับไม่พูดออกมาเลย  แถมยังส่ายหน้าเชิงพูดว่าไม่เป็นไรอีก  ทำให้ทหารนายนั้นรู้สึกให้ความยำเกรง  เพราะเด็กคนนี้ได้สติก่อนจะถึงที่หมาย  แต่กลับไม่ถามหรือพูดคำใดๆเลย  การกระทำที่คิดจะตอบโต้ก็ไม่มี  ราวกับรู้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น

      “นายหญิง...”  ทหารพูดอย่างสุภาพ

      “ว่าอะไรหละ...”  เชสต้าพูดออกมา

      “ขอให้ท่านกลับมาอย่างปลอดภัย ทั้งกระผมและทหารทุกนายจะรอคอยรับใช้ท่านเสมอจนวินาทีสุดท้าย”  ทหารนายนั้นได้เสร็จก็ทำความเคารพ  จากนั้นก็ขี่เซบุไรก้าจากไป...

        เชสต้ามองทหารที่ขี่เซบุไรก้าจนหายไปจากสายตาแล้ว  ก็หันหลังเพื่อเดินเข้าไปในป่าลึก...  น่าแปลกที่คนส่วนใหญ่ควรจะเดินออกจากป่าโดยเดินทางที่เราเข้ามา  แต่เชสต้ากลับเดินตรงต่อไปด้วยสัญชาตญาณ...  สัญชาตญาณของเชสต้าเรียกหาบางสิ่งบางอย่างอยู่  แต่เมื่อเชสต้าเดินไปได้ซักพัก  ก็ถึงยอดเขาที่มีปราสาทสูงตั้งอยู่

        เชสต้าเดินเข้าไปใกล้ๆปราสาทหลังนั้น  น่าแปลก  เหมือนปราสาทจะรู้ว่ามีใครมาจึงเปิดประตูเอง  ราวกับเชื้อเชิญให้เชสต้าเข้าไปข้างใน  ลมพัดจากข้างในปราสาทที่ไม่น่าจะมีลมก็พัดออกมา  สร้างบรรยากาศชวนขนลุกแต่เชสต้าก็เดินเข้าไป

        ปราสาทที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากบันได...  เชสต้าเดินขึ้นบันไดวนที่สูงลิบลิ่ว  ยิ่งเดินก็ยิ่งเหมือนวนกลับอยู่ที่เดิม  แต่เด็กสาวก็ไม่ท้อถอย  ยังคงเดินหน้าต่อไป  ถึงแม้จะเหนื่อยหอบหรือหิวโซแต่ก็ไม่หยุดพัก

        เด็กสาวน่าสงสารเดินขึ้นบันไดไม่รู้จบไปเรื่อยๆ  จู่ๆประตูชั้นดาดฟ้าก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า...  ประตูที่ไม่มีวันโผล่หากเจ้าของปราสาทไม่อนุญาต  แต่ประตูก็ถูกเปิดด้วยแรงอันน้อยนิดของเด็กสาว

        สิ่งแรกที่เชสต้าเห็น...  มังกรสีเขียวขนาดใหญ่  แต่ดูเหมือนมังกรตัวนั้นจะแปลกใจทันทีที่เห็นเชสต้า

      “...น่าตกใจจริงๆ... ที่เด็กน้อยจะมาพบข้า”  เสียงของมังกรดังขึ้นทั้งๆที่มังกรตนนั้นไม่ได้อ้าปากแม้แต่น้อย  และดูเหมือนเชสต้าจะได้ยินแค่คนเดียว

      “ข้าขอถามหน่อย... เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลอันใด...”  มังกรตนนั้นถามเชสต้า  เสียงใสของเด็กสาวตอบอย่างทันควัน

      “ฉันมาตามสัญชาตญาณ...”  เด็กสาวตอบอย่างไร้เดียงสา...  แต่มังกรตนนั้นก็มั่นใจว่าเด็กสาวคนนี้ไม่รู้เรื่องราวเลย  แต่กลับทำตามสัญชาตญาณมาตลอด...

      “...”  มังกรสีเขียวเงียบไปเล็กน้อย  แต่จากนั้นก็เหมือนมีคลื่นเข้ามากระทบศีรษะของเชสต้า  ทำให้เชสต้ารู้สึกปวดหัวขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ  แต่ก็ไม่ส่งเสียงร้องหรือทำหน้าบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวดแม้แต่น้อย

        ไม่นาน  ความเจ็บปวดก็หายไป  และสีหน้าความสงสัยของมังกรก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น  เมื่อสักครู่ได้อ่านความทรงจำของเด็กน้อยคนนี้  ซึ่งมันจะปวดหัวมากๆหากคนนั้นยังอยู่ในสภาพที่มีสติ  แต่เด็กคนนี้กลับไม่ส่งเสียงร้องหรือแสดงใบหน้าวคามเจ็บปวดแม้แต่น้อย...  นั่นทำให้มังกรสีเขียวรู้สึกให้ความเคารพโดยไร้สาเหตุ..

      “เด็กน้อย เจ้าชื่ออะไร...”  มังกรตนนั้นถาม

      “...เชสต้า ซีไลเนอร์”  เชสต้าตอบ...

      “...ด้วยนามของข้า เรควาซ่า ผู้ปกป้องและปกครองแห่งน่านฟ้า... ขอทำพันธสัญญา... และภักดีต่อ เชสต้า ซีไลเนอร์… ตราบจนชีวิตจะหาไม่...”  เสียงทรงอำนาจของเรควาซ่าดังกึกก้อง  เมฆฟ้าเริ่มเคลื่อนไหวออกห่างเรควาซ่าจนท้องฟ้าเป็นหลุมที่มีเมฆล้อมรอบ

      “ทำไม...”  เด็กสาวถามอย่างไรเดียงสา

      “ข้าก็ไม่รู้... วินาทีแรกที่ข้าพบ มันก็เหมือนความภักดีได้ตกอยู่ที่ท่านหมดแล้ว... หากท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด จงบอกข้าได้เลย”

      “ถ้างั้น... ช่วยท่านพ่อกับท่านแม่ทีสิ”  เสียงออดอ้อนของเชสต้าทำให้เรควาซ่าเริ่มจะสงสัย...  เมื่อสักครู่ดูน่าเกรงขามในร่างเด็กสาว  แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กไร้เดียงสา...

      “ขอรับ นายหญิง...”

Link to comment
Share on other sites

ประวัติของเชสต้าแลดูลึกลับมีปมปริศนามากขึ้นเรื่อยๆ แฮะ

ถึงขนาดทำให้เรควาซ่ายอมรับได้ตั้งแต่แรกเห็น คงไม่ใช่แค่เด็กธรรมดาซะแล้ว

Link to comment
Share on other sites

เด่นเกิดหน้าเกิดตาพระเอกไปแล้วละเชสต้าเอ่ย  :pika09:

เรื่องราวในอดีต จะมีผลอะไรต่ออนาคตบ้างนะ  :pika04:

Link to comment
Share on other sites

บทที่ 91

        เรควาซ่าบินเหนือท้องฟ้าเพื่อไม่ให้เหล่าผู้คนได้เห็น  ส่วนเชสต้าก็นั่งอยู่บนท้ายทอย(?)ของเรควาซ่า  ซึ่งเรควาซ่าก็ใช้พลังไม่ให้เชสต้าตกจากร่างของตน  และใช้ความสามารถ แอร์ล็อค(Air Lock)  ทำให้เชสต้าไม่โดนลมพัด

        แต่จู่ๆ  เรควาซ่าก็บินลงต่ำ  เข้าสู่ป่าแห่งหนึ่ง  และลงจอดให้เชสต้าลง  ซึ่งเชสต้าก็ลงแต่โดยดีโดยที่ยังคงสัยสงว่าที่นี่ไม่ใช่บ้าน(ปราสาท)ของเธอ  แล้วเรควาซ่าก็ย่อขนาดตัวให้เล็กลงจนลำตัวยาวไม่ถึงสองเมตร  จากนั้นก็หายเข้าไปในป่า

        ถึงแม้เชสต้าจะสงสัย  แต่เธอก็รอ  เพราะเธอจะเชื่อว่า  เรควาซ่าต้องกลับมา  แล้วก็กลับมาจริงๆ  พร้อมกับผลไม้หลายชนิด

      “ข้าว่านายหญิงคงเหนื่อย ทานผลไม้ก่อนเถอะ”  เรควาซ่าพูดอย่างสุภาพ

      “แต่ฉันอยากไปช่วยท่านพ่อกับท่านแม่ก่อน”

      “แต่ข้าว่า ท่านน่าจะทานก่อน ท่านไม่ได้ทานอะไรมานานแล้วนะ ท่านอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ แต่ท่านเดินในหอคอยก็ปาไปสามวันแล้วนะ”  เรควาซ่าพูดด้วยความเป็นห่วง

      “ก็ได้...”  เชสต้ายื่นมาหยิบแอปเปิ้ลจากมือของเรควาซ่าแล้วตั้งหน้าตั้งตากินจนหมดผล  จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบมาอีกลูกมากินต่อ

      “ไปกันต่อเถอะ”  เชสต้าพูดขึ้น  จากนั้นเรควาซ่าก็ขยายตัวจนมีขนาดเท่าเดิม  แต่เชสต้าจะปีนขึ้นไปก็ไม่ได้  เพราะสูงเกินไป

      “ให้ข้าช่วยนะ”  เรควาซ่าใช้มือยกตัวเชสต้าขึ้น  แล้ววางไว้บนท้ายทอยของตน

      “ขะ...ขอบคุณนะ...”  เชสต้าพูดขึ้น  จากนั้นเรควาซ่าก็บินขึ้นเหนือเมฆอีกครั้ง...  ที่หมายของทั้งสองคือ ปราสาทเชสต้า...

________________________________________________

      “นี่เราอยู่มากี่วันแล้วนะ...”  อาเรียเค้นเสียงอย่างยากลำบาก...  เธอกับเขาไม่ได้ดื่มน้ำหรือทานอะไรมาหลายวันแล้ว

      “น่าจะ...สามวันแล้ว...”  ซิกม่าพูดออกมาอย่างยากลำบาย  น้ำเสียงแหบแห้งมาหลายวันเป็นตัวบ่งบอกถึงอาการขาดน้ำ

      “...ป่านนี้ เชสต้าจะเป็นไงนะ...”  อาเรียพูดด้วยความเป็นห่วง...  แต่เสียงบางอย่างดังออกมาเป็นระลอก

      “ทหาร เตรียมแนวป้องกัน!!!”  เสียงสั่งของหัวหน้าฝ่ายทหารดังขึ้น  ทำให้ซิกม่ากับอาเรียตกใจ

      “หา... นี่มันเกิดอะไรขึ้น”  ซิกม่าเสียงแหบแห้งพูดขึ้นมาอย่างสงสัย  จึงลองถามทหารนายหนึ่ง

      “นี่นาย มันเกิดอะไรขึ้น...”  ซิกม่าฝืนพูดเพื่อถามออกไป

      “คือ...มังกรตัวใหญ่สีเขียวล้อมรอบปราสาทไว้แล้วครับ แต่สาเหตุยังไม่ทราบครับ”  ทหารนายนั้นพูดเสร็จก็รีบวิ่งเข้าไปในกองกำลัง

_____________________________________________________

        ด้านนอกปราสาท

      “ทำไมมันไม่โจมตีเลยนะ”  หัวหน้าฝ่ายทหารพึมพำคนเดียว

      “ท่านครับ หน่วยจู่โจมเตรียมพร้อมแล้วครับ”  ทหารนายหนึ่งวิ่งมารายงาน

      “อย่าเพิ่งทำอะไรทั้งนั้น ต้องดูสถานการณ์ก่อน”  หัวหน้าทหารสั่งลูกน้อง  ลูกน้องรับคำสั่งแล้วก็กลับเข้าตำแหน่ง

        แต่ดูสถานการณ์ได้ไม่นาน  จู่ๆมังกรสีเขียวก็ปล่อยลูกพลังลูกเล็กออกมาใส่ตัวปราสาทล้านล่างสุด  ทำให้เกิดการระเบิดเพียงเล็กน้อยเพื่อให้กำแพงพังทลายแต่ไม่ถึงกับพังทั้งหลัง

      “แย่ละ ตรงนั้นมันห้องที่ท่านซิกม่ากับท่านอาเรียโดนขัง...”

_________________________________________________________

      “ป...เป็นไรรึเปล่า อาเรีย”  ซิกม่าส่ายหัวไล่ความมึนเนื่องจากแรงระเบิด  แต่ก็เป็นห่วงอาเรียที่อยู่ใกล้แรงระเบิดมากกว่า

      “ฉันไม่เป็นไร...ทั้งๆที่อยู่ใกล้แรงระเบิด กลับไม่รู้สึกเจ็บเลย...”  อาเรียตอบกลับ

      “นายหญิง รีบลงเถอะ”  เรควาซ่าลงจอดข้างๆซากปรักหักพังที่พังลงมา  ส่วนเชสต้าก็กระโดดลงมา  แต่เพราะมันสูง  ทำให้ลงมาแบบมีแผลถลอก

      “ทะ...ท่านพ่อ ท่านแม่”  เชสต้าลองตะโกนออกมา

      “เสียงนี้...”  ซิกม่ารู้สึกมีความหวัง  รีบจับมืออาเรียแล้ววิ่งไปตามต้นเสียงที่โดนหมอกปกคลุม

      “เชสต้า!!”  อาเรียตะโกนเมื่อเห็นเด็กสาว  แล้ววิ่งไปโอบกอดเด็กน้อยของเธอ

      “ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม”  อาเรียรีบถามต่อด้วยความเป็นห่วง  เชสต้าเพียงส่ายหน้าแต่แม่ของเธอก็กอดเชสต้าไว้อย่างแน่นหนา  ราวกับกลัวที่จะสูญเสียลูกคนสำคัญของเธอ...

        ทางฝ่ายซิกม่าก็โล่งอกที่ลูกสาวที่น่ารักของเขาไม่เป็นอะไร  แต่สายตากลับสะดุดตามังกรสีเขียวตัวยาวไม่ถึงสามสิบเซนติเมตร

      “เชสต้า... นี่คือ...”  ซิกม่าถามเชสต้าโดยการชี้สิ่งที่เขาสงสัย  ซึ่งซิกม่ารู้สึกได้ว่า  มังกรตัวนี้ไม่ธรรมดา...  มันให้ความน่าเกรงขาม  คล้ายกับเชสต้าในบางเวลา

      “ขออภัยที่ข้าไม่ได้แนะนำตว ข้าชื่อเรควาซ่า เป็นผู้ปกป้องและปกครองแห่งน่านฟ้า... และเชสต้าเป็นนายหญิงของข้าเพียงคนเดียว...”  เรควาซ่าแนะนำตัวอย่างสุภาพ  แต่แฝงไปด้วยความน่าเกรงขามและความน่านับถือ

      “...ถึงนายจะเป็นอะไรก็เถอะ... แต่ก็ขอขอบคุณที่ปกป้องและช่วยลูกสาวของเราไว้”  ซิกม่าก้มหัวขอบคุณเรควาซ่า(ไซส์มินิ) อย่างสุภาพ

      “ไม่เป็นไรครับ มันเป็นความต้องการของนายหญิง”  เรควาซ่ายังคงพูดสุภาพเหมือนเดิม  แต่ที่พูดสุภาพเพราะเป็นพ่อแม่ของนายหญิงของเขา  หากไม่ใช่  จะไม่มีใครคนไหนพูดแบบนี้กับเขาได้...ไม่มีวัน...

      “แล้วท่านย่าหละ...”  เชสต้ามองหาท่านย่าของเธออยู่หลายรอบ  แต่ก็ไม่พบเลย...

      “...”  ทั้งซิกม่าและอาเรียไม่ตอบพร้อมกับสีหน้าที่หมองลง  ซึ่งเรควาซ่าก็พอจะรู้ว่าเพราะอะไรเนื่องจากอ่านความทรงจำมาแล้วก็พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้

        <ข้าคิดว่า หากท่านจะพูดความจริงหรือเรื่องโกหก ข้าว่านายหญิงก็คงจับได้อยู่ดี...>  เสียงเรควาซ่าดังขึ้นมาในหัวของทั้งสอง  ซึ่งจริงๆซิกม่าจะบอกเชสต้าว่า ท่านย่าออกไปข้างนอก...  แต่มันจะดีหรอ...  แล้วมีเรควาซ่ายืนยัน ก็คงต้องพูดความจริง...

      “คือ... เชสต้า... ท่านย่าเสียชีวิตแล้ว...”  เชสต้าได้ยินแล้วตกใจ...  รู้สึกบางอย่างของเธอได้สูญเสียไป...  น้ำตาของเชสต้าก็ค่อยๆไหลลงมาอาบแก้ม

      “ฮึก...ท่านย่า”  น้ำตาของเชสต้าเริ่มไหลออกมาราวกับน้ำป่าที่ไหลหลาก  อาเรียก็ปลอบใจโดยการเข้ากอดเชสต้า...และลูบหัวเพื่อให้หายเศร้า...

        ในช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้า  บุคคลไม่พึงประสงค์ได้มองดูอยู่เงียบๆ  ซึ่งเรควาซ่าจ้องเขม็งเพราะรู้ว่าเป็นใคร...  สายตาของคนๆนั้นเต็มไปด้วยความโลภ  และซิกม่า

เห็นสายตาของเรควาซ่า  จึงทำให้หันไปมองตาม  เพียงแค่นี้บุคคลนั้นก็วิ่งหนีไป  แต่ซิกม่าก็จำได้ว่าเป็นใคร...  เซต้า พ่อของเขา...

      “...นี่อาจจะเป็นคำเตือนจากข้าก็ได้... โปรดระวังชายคนนั้นให้ดี...”

Link to comment
Share on other sites

ในที่สุดเชสต้าก็ช่วยพ่อกับแม่ออกมาได้

แต่ก็ต้องสูญเสียท่านย่าไป น่าสงสาร :pika06:

หลังจากนี้ปู่เซต้าจะมีแผนอะไรอีกรึเปล่า ต้องตามลุ้นต่อไป :pika03:

Link to comment
Share on other sites

เรื่องราวของครอบครัวนี้มันชักจะไปกันใหญ่แล้วสิเนี้ย... :pika05:

Link to comment
Share on other sites

บทที่ 92

        หลังจากที่เชสต้ากลับมาได้ไม่นาน  เชสต้าก็มีน้องชายคนแรกมาคนหนึ่งชื่อ  แกมม่า    แกมม่าเป็นคนที่มีความสามารถมากกว่าเธอ  ดูดีกว่าเธอ  เกิดมาซึ่งมีความพร้อมเป็นผู้นำของตระกูลตั้งแต่เด็ก  ซึ่งผู้ทำนายประจำตระกูลก็ทำนายได้ว่า  แกมม่าจะขึ้นเป็นราชาคนต่อไป ต่อจากท่านพ่อ  แกมม่าจึงได้รับความสนใจและได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากเซต้า  ท่านปู่ของเชสต้า มากกว่าเชสต้า  แต่เชสต้าเองก็ไม่เคยอิจฉาหรือโกรธเลย  แต่กลับรักน้องชายคนนี้เสียอีก...

        ต่อจากนั้นอีกหนึ่งปี ก็มีน้องสาวชื่อ  อัลฟ่า...  อัลฟ่าดูน่ารักกว่าเธอมาก  แต่สิ่งที่เชสต้าแปลกใจมากที่สุดคือ  เซต้าก็ให้ความสนใจแก่อัลฟ่าด้วย  แต่กับเชสต้า  เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย  คอยแต่จะหลบหน้าหนี  บางครั้งก็น้อยใจแต่พ่อแม่และเรควาซ่าก็คอยปลอบใจอยู่ตลอด  ผู้ทำนายก็ทำนายได้ว่า  อัลฟ่าจะเป็นผู้นำความยุติธรรมของโลกชินวะนี้

        หลังจากที่อัลฟ่าเกิดมาอีกหนึ่งปี  เชสต้าก็มีน้องชายเพิ่มอีกหนึ่งคนชื่อ เดลต้า  น้องของเธอคนนี้เก่งกว่าเธอในเรื่องโปเกมอนเสียอีก  ราวกับว่าน้องของเธอคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นแชมป์เปี้ยนก็ว่าได้  ซึ่งพรสวรรค์นี้  เซต้าสนใจเอามากๆ  แม้แต่ผู้ทำนายก็ทำนายได้ว่าเดลต้าจะเป็นแชมป์เปี้ยนโดยที่อายุยังน้อย  แต่ทั้งแกมม่ากับอัลฟ่า  เซต้าก็ยังคงสนใจอยู่  ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนเดิม  แต่ก็ยังมากกว่าที่เซต้าสนใจเชสต้า...

        เรื่องราวในตระกูลที่เหมือนจะมีความสุข  แต่หลังจากที่เดลต้าเกิดมาหนึ่งปี  เชสต้าก็มีน้องชายคนสุดท้ายของเธอ  ชื่อ...  เบต้า...  เบต้าเป็นคนแปลกๆ  แปลกตั้งแต่เกิดมา  เขาไม่เคยร้องไห้เลยแม้แต่น้อยทั้งๆที่เด็กแรกเกิดควรจะร้องไห้  แต่เหมือนกับรออะไรบางอย่างอยู่...  ซึ่งเรควาซ่าก็เริ่มทำตัวแปลกไปตั้งแต่เบต้าเกิดมา  เหมือนจะไปทำธุระของเขามากขึ้น  แต่เชสต้าก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของคนอื่นมาก  เพราะทุกคนย่อมมีหน้าที่  เรควาซ่าเองก็คงเหมือนกัน...

        แต่น่าแปลก  พอผู้ทำนายจะทำนายอนาคตให้เบต้า  กลับทำนายไม่ได้  และให้เหตุผลที่ว่า  เพราะทำนายให้ติดต่อกันเกินไป  จึงต้องรออีกหนึ่งปีถึงจะทำนายให้ได้...  ท่านปู่ของเธอ  เซต้าก็เริ่มทำตัวแปลกไป  ไม่สนใจเบต้าเหมือนกับเชสต้า  ซึ่งเชสต้ารักน้องคนนี้มากที่สุด...  คงเพราะเบต้าเหมือนกับเธอเมื่อก่อน...

        หลังจากนั้นหนึ่งปี  ก่อนที่จะถึงวันเกิดของเบต้า  เชสต้าที่กำลังเดินเล่นในปราสาท  เหลือบไปเห็นเซต้ากำลังคุยกับผู้ทำนายพร้อมกับถุงเงินถุงใหญ่...  เชสต้าเห็นแล้วจำฝังใจแน่น  ถึงจะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรในอนาคต  แต่ลางสังหรณ์บอกว่า  จะมีผลในวันพรุ่งนี้...

        วันรุ่งขึ้น  ผู้ทำนายได้มาทำนายให้เบต้าอีกครั้ง...แต่ครั้งนี้มาแปลกเกินไป  ซึ่งมีแต่เชสต้าเท่านั้นที่รู้สึกได้...  ผู้ทำนายได้ทำนายเบต้าแล้วเกิดอาการตกใจ  ซึ่งทำให้พ่อแม่ของเธอได้รู้สึกกลัวเล็กน้อย  แต่เชสต้ากลับรู้สึกได้ว่าแกล้งทำไปมากกว่า  ผู้ทำนายได้ทำนายเสร็จแล้วบอกว่า  ‘เด็กคนนี้จะเป็นคนทำลายตระกูลซีไลเนอร์ให้พินาศสิ้น’  ทำให้ซิกม่ากับอาเรียตกใจมาก

        แต่ในตอนนั้น  เชสต้าก็รีบพูดขึ้นมาทันที...

      “ฉันไม่เชื่อหรอก ที่นักทำนายจะทำนายแบบนี้”

      “แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วนะ...เชสต้า...”  เซต้าได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาปนความเย้ยหยั่น

      “ไม่จริงหรอก เมื่อวานฉันเห็นท่านปู่กำลังคุยบางอย่างกับนักทำนายด้วย”  เชสต้าพูดในสิ่งที่เธอเห็นเพียงเล็กน้อย  แต่ก็เพียงพอที่ทำให้เซต้าและนักทำนายหน้าซีดได้  ทำให้ซิกม่ากับอาเรียเริ่มสงสัยในตัวของเซต้ามากขึ้น  เพราะที่ผ่านมา  เซต้าไม่สนใจซิกม่ากับอาเรียเลย  มีแต่จะสนใจลูกๆของเธอมากกว่า

      “ปู่ก็แค่จะถามเกี่ยวกับการทำนายเท่านั้น... อยากรู้ความแน่ใจว่าจะทำนายได้รึเปล่าเท่านั้นเอง...”  เซต้าเริ่มเกิดอาการวิตก

      “แล้วที่ฉันเห็นเมื่อวาน  ฉันเห็นท่านปู่มอบถุงเงินถุงใหญ่ให้กับนักทำนายด้วยนะคะ... ท่านปู่จะทำอย่างนั้นทำไม”  เชสต้าพูดสิ่งที่เธอเห็นเพิ่มขึ้นไปอีกเพื่อบีบบังคับให้เซต้าพูดความจริง

      “ปู่ก็แค่จะใช้เงินล่อเพื่อให้นักทำนายมีความกระตือรือร้นในวันนี้ก็เท่านั้นเอง”  เซต้าเริ่มแก้ตัว...  แต่คราวนี้มันกลับเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย...

      “แต่ลางสังหรณ์ฉันบอกว่า ถุงเงินนั้นเป็นสินบน ที่ท่านปู่มอบให้นักทำนาย”  เชสต้าเริ่มเพิ่มน้ำหนักในสิ่งที่เธอพูดด้วยลางสังหรณ์  เพราะลางสังหรณ์ของเธอแม่นเสมอตั้งแต่เด็ก...  แม้แต่ซิกม่ากับอาเรีบ  พ่อแม่ของเธอที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้ก็ยังเชื่อในลางสังหรณ์

      “อึก...”  เซต้าเริ่มไม่มีการแย้ง แต่เมื่อกลับไปนึกเมื่อครู่ที่เชสต้าบอก  จึงเริ่มยิ้มกรุบกริบ

      “ใช่ ถุงเงินนั่นเป็นสินบนที่ปู่มอบให้นักทำนาย เพราะเห็นว่านักทำนายทำงานที่นี่มานาน และยังทำนายให้หลานๆของปู่อีก ปู่เลยอยากมอบเป็นพิเศษเท่านั้น...”  เซต้าเริ่มยิ้มเย็นอีกครั้ง...  แต่สีหน้าเชสต้ากลับเศร้าหมองลงเล็กน้อย

        ‘คำว่า หลานของปู่ คงไม่รวมถึงหนูกับเบต้าสินะคะ...’

      “ถ้างั้น ซิกม่ากับเธอเองก็คิดให้ดีๆละ ว่าจะทำยังไงกับหลานคนนี้ต่อไป”  เซต้าพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย  แล้วก็เดินออกไปพร้อมกับนักทำนาย

      “ถ้าฉันเป็นราชาละก็ น่าจะช่วยได้ทั้งเชสต้ากับเบต้าได้แล้วแท้ๆ...”  ซิกม่ายังคงเจ็บใจ  ที่ยังไม่ได้เป็นราชา  เพราะเหรียญตราแห่งราชาไม่ยอมรับเขา...

        เหรียญตราแห่งราชาเป็นเหรียญตราที่มีชิ้นเดียวในโลกชินวะ  และถูกครอบครองโดยตระกูลซีไลเนอร์มาตั้งแต่บรรพบุรุษ  เหรียญตรานี้ไม่ใช่เหรียญตราธรรมดา...  มันมีชีวิต  และมันจะเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับตำแหน่งราชา...  หากมันเลือกใคร  มันจะลอยไปหาคนๆนั้นโดยทันที  และผู้ที่เป็นราชจาะสามารถควบคุมทหารได้ทั้งกองทัพ  ซึ่งการเลือกตำแหน่งราชาจะเกิดขึ้นเมื่อบุตรชายอายุ 27 ปี  แต่ตอนนี้ซิกม่าอายุจะย่าง 30 แล้ว  แต่เหรียญตราก็ไม่เคยมาหาเขาเลย  ถึงแม้เมื่อก่อนไม่ค่อยอยากจะเป็นราชา  แต่เหตุการณ์ที่เชสต้าโดนมาทำให้เขาเริ่มอยากเป็นเพื่อให้ลูกๆของเขามีชีวิตที่ดีขึ้น...โดยเฉพาะเชสต้ากับเบต้า...

        ซิกม่าคิดอยู่นาน  จู่ๆเรควาซ่าในร่างมินิไซส์ก็ลอยเข้ามาหาทั้งสี่ (ซิกม่า อาเรีย เชสต้าและเบต้า)  แล้วก็พูดขึ้นมา

      “นายหญิง รวมถึงพวกท่านด้วย เชมี่เรียกพบ...”  เรควาซ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจ  ราวกับการพบครั้งนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้

      “แล้วเบต้าหละ หากพวกเราไป ใครจะคุ้มครองเด็กคนนี้”  อาเรียถามด้วยความเป็นห่วง

      “ไม่ต้องกังวล ฉันบอกกับคนอื่นให้มาคุ้มกันให้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”  เรควาซ่าพูดขึ้น  ทำให้ซิกม่ากับอาเรียโล่งใจขึ้นมา  เพราะ ‘คนอื่น’ ที่เรควาซ่าพูดต้องเป็นคนที่มีพลังพอๆกับเรควาซ่าแน่  ทั้งสามจึงพาเบต้าไปที่ห้องเพื่อความแน่ใจ  จากนั้นก็ออกจากปราสาททางด้านหลังเพื่อไม่ให้ใครมาเห็น

        จากนั้นเรควาซ่าก็ได้กลับสู่ขนาดจริง  แล้วบอกให้ทั้งซิกม่า  อาเรียและเชสต้าขึ้นมาบนหลังของตน  แล้วก็บินขึ้นเหนือก้อนเมฆ  แล้วหายไปจากสายตาผู้คน...

        ขณะที่ทั้งซิกม่า อาเรียและเชสต้าไม่ยอู่ในปราสาท  เบต้าก็ยังนั่งเล่นอยู่ในห้องคนเดียว  แต่แล้ว  ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับใครบางคนที่ไม่ใช่มนุษย์...  แต่ลักษณะใกล้เคียงมนุษย์มาก

      “คุณเป็นใครครับ”  เบต้าพูดอย่างไร้เดียงสาเพราะเป็นเด็ก  แต่ถึงยังเป็นเด็กก็กลับรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เด็กน้อยรอคอยบางอย่าง  ในที่สุดก็เจอ...

      “ฉันหรอ...”  เสียงหวานของคนที่ถูกเบต้าถามดังขึ้น  ท่าทางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบไป...

      “ฉั    น    ชื่    อ    มิ    ว    ทู”

Link to comment
Share on other sites

เด็กตระกูลซีไลเนอร์นี่ไม่ธรรมดาเลยสักคน :pika01:

รู้สึกเหมือนเบต้าจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาของตระกูลนี้ยังไงไม่รู้

การพบกันครั้งแรกของเบต้ากับมิวทูเหรอ..... อืมมมม.... (รออ่านต่อไป)

Link to comment
Share on other sites

  • 3 weeks later...

หายไปนานมากเนื่องจากต้องปั่นการบ้านอย่างเร่งด่วนทั้งเดือน เพราะเป็นเดือนแห่งการสั่งงาน สั่งทุกวันแต่ดันส่งวันเดียวกัน |||orz

(อีกเหตุผลคือแอบอู้นานๆ= =")

บทที่ 93

บทที่ 93

        เรควาซ่าบินขึ้นเหนือเมฆเพื่อไม่ให้ชาวเมืองหรือคนที่เดินในทางที่บินผ่านเห็นร่างของตน  ที่ท้ายทอยยังมีเชสต้า ซิกม่า แล้วก็อาเรียขี่อยู่  แต่ยิ่งเรควาซ่าบินตรงมากเท่าไหร่  ทั้งซิกม่าและอาเรียก็เริ่มแปลกใจมากขึ้นเท่านั้น  เพราะปลายทางกลับเป็นป่าไม้  ไม่ใช่ท้องฟ้า...

        เมื่อเรควาซ่าเข้าไปในป่าไม้  ก็ลงจอดเพื่อให้นายหญิงของเรควาซ่าและพ่อแม่ของนายหญิงลง  เมื่อทั้งสามลงได้แล้ว  จึงลดขนาดให้เป็นมินิไซส์  แล้วบินนำทาง

        การเดินกินเวลาไปมากกว่าชั่วโมง  แต่น่าแปลกที่ไม่รู้สึกเหนื่อยเลย  และไม่รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปหนึ่งชั่วโมง  ทั้งๆที่เดินตั้งนาน  โดยไม่รู้ว่าทำไม

      เมื่อเดินไปเรื่อยๆ  ก็เริ่มเห็นปลายทางจุดหมาย  เมื่อมาถึง  ก็พบกับเด็กสาวผมเขียวยืนหันหลังให้อยู่  แต่เพียงเรควาซ่าบินเข้ามาหาโดยไม่ให้ซุ่มเสียง  เด็กสาวก็หันมาหาพวกเชสต้า  เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักผมยาวสีเขียว  แต่ที่น่าจะดูแปลกที่สุดคือกิ๊ฟติดผมรูปดอกไม้สีชมพูที่ติดอยู่บนเส้นผมของเด็กสาว

      “มากันแล้วหรอ... ขอโทษนะที่เรียกตัวพวกเธอมากะทันหันแบบนี้...”  เสียงหวานของเด็กสาวดังก้องกังวาล  ตรึงผู้มาใหม่ทั้งสามให้ตั้งใจฟังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

      “ขอแนะนำตัวก่อนนะ... ฉันชื่อเชมี่... เป็นนักทำนายและผู้ปกป้องแห่งป่า...”  เด็กสาวเว้นเสียงไว้เล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายได้มีเวลาหายใจบ้าง

      “ที่ฉันเรียกพวกเธอมา เพื่อให้พวกเธอรับฟังเรื่องบางเรื่องจากฉัน… ซิกม่า... นายรู้จักเหรียญตราแห่งราชาใช่ไหม...”  เชมี่ถามซิกม่าขึ้น  ซึ่งซิกม่าก็ยังสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรด้วยแต่ก็ตอบตามความจริงไป

      “รู้จักครับ เป็นเหรียญตราของตระกูลซีไลเนอร์ที่อยู่มาตั้งแต่บรรพบุรุษ...”

      “แล้วรู้ไหม มันสร้างมากจากอะไร...”  เชมี่ถามคำถามอีกครั้ง  ซึ่งคราวนี้ซิกม่าคิดอยู่นาน...  ไม่มีใครล่วงรู้ถึงวัตถุดิบในการทำเหรียญตราแห่งราชาแม้แต่น้อย...  แล้วมันสร้างมาจากอะไรกันถึงได้มีชีวิต...

      “ไม่ทราบครับ”  ซิกม่าตอบอย่างแน่วแน่  ทำให้เชมี่ยิ้มเล็กน้อยกับความแน่วแน่ของซิกม่า

      “แล้วพวกเธอเคยได้ยินตำนานเก่าแก่เรื่องอุกกาบาตเข้าชนโลกรึเปล่า”  เชมี่ถามคำถามอีกครั้ง  และซิกม่ากับอาเรียก็ส่ายหน้า

      “เป็นตำนานที่น้อยคนจะรู้จัก ในอดีตกาล เคยมีอุกกาบาตเข้าชนโลกใบนี้ แต่อุกกาบาตนี้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาด มันไม่มีพลังในการทำลายเลย... แต่จู่ๆก็พุ่งเข้าหาโลก เกิดเป็นหลุมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นทั้งๆที่มันน่าจะรุนแรง...”

      “เมื่อชายหญิงที่เห็นเหตุการณ์ไปพบเข้า ก็เห็นอุกกาบาตแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆพร้อมกับมีอะไรบางอย่างออกมาในสภาพที่ร่อแร่ พลังชีวิตของสิ่งนั้นใกล้หมดเต็มที ชายหญิงทั้งสองจึงรีบพากลับไปยังกระท่อมของพวกเขาเพื่อรักษา...”

      “หลังจากที่ได้ทำการรักษา สิ่งมีชีวิตนั้นได้ฟื้นขึ้นแล้วรีบถอยมาตั้งหลักเพื่อจะโจมตีชายหญิงทั้งสอง แต่เมื่อรู้สึกตัวว่าบาดแผลหายไป จึงหยุดการโจมตีแล้วก็ถามชายหญิง...”

      “ ‘ทำไมถึงช่วยข้า’ สิ่งนั้นถามขึ้นมา... แต่หญิงสาวก็กลับตอบไปว่า ‘ท่านบาดเจ็บอยู่ เราก็ต้องช่วยรักษาสิ หากปล่อยท่านไว้แบบนั้น ท่านคง...’ สื่งที่หญิงสาวพูดทำให้สิ่งนั้นอึ้งไป...แต่จากนั้นสิ่งนั้นก็บอกกับทั้งสอง ‘ตามข้ามาสิ’ ชายหญิงทั้งสองได้ตามสิ่งนั้นได้เรื่อยๆ จนในที่สุด ก็มาถึงจุดที่ทั้งสองพบกับสิ่งมีชีวิตนั้น... อุกกาบาตยังคงอยู่ดี แต่สิ่งที่มีชีวิตนั้นก็ได้แตะอุกกาบาตแล้วอุกกาบาตกลายเป็นลูกแก้วให้มอบให้ชายหญิงโดยบอกไปว่า ‘สิ่งนี้คือของตอบแทนของข้า ขอบคุณที่รักษาข้า’ แล้วสิ่งนั้นก็หายไปตัวพร้อมกับที่ชายหนุ่มกำลังจะถามบางอย่างว่า ‘ท่านชื่ออะไร’ แต่จู่ๆสายลมก็พัดพร้อมกับเสียงของสายลมว่า ‘ดีโอคิซิส’…”

        หลังจากที่เชมี่พูดเสร็จ  ทั้งสามก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์...  แล้วสิ่งนั้นจะใช่โปเกมอนหรอ...  หรือเป็นเพียงสิ่งที่มาจากนอกโลกชินวะ...

      “เอาละ ขอถามหน่อย ชายหญิงที่อยู่ในตำนานนี้คือใคร...”  เชมี่ถามโดยที่ยิ้มเล็กน้อย  ซิกม่าคิดสงสัยอยู่เล็กน้อยเพราะไม่ได้รู้จักตำนานนี้เลย  แล้วยังจะมาถามอีกว่าชายหญิงในตำนานคือใคร...  แต่ซักพักก็เริ่มเอะใจมาเล็กน้อย...

      ‘ในปราสาท... ถ้าจำไม่ผิดทางด้านขวาของห้องโถงจะมีภาพวาด... รู้สึกเป็นภาพวาดที่เก่าแก่มาก... และรู้สึกภาพวาดนั้นจะเป็นรูป... ชายหญิงพูดกับบางอย่าง...แล้วด้านหลังก็ยังมีอุกกาบาต... หรือว่า...!!’

      “...ชายหญิงที่อยู่ในตำนาน... คือบรรพบุรุษของตระกูลซีไลเนอร์ใช่ไหมครับ...”  ซิกม่าตอบโดยที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  อาเรียก็ตกใจที่จู่ๆซิกม่าตอบไปแบบนั้น  แต่เชมี่กลับยิ้มกว้างขึ้นเมื่อซิกม่าตอบ

      “ไหวพริบใช้ได้ดีนะ... ถูกแล้วละ บรรพบุรุษของพวกเธอช่วยดีโอคิซิสไว้...”  เชมี่หยุดพูดแล้วหลับตา  แต่เพียงชั่วครู่ก็เบิกตาขึ้นมากะทันหัน  แต่ซักพักก็ทำสีหน้าปกติ

      “เวลามีไม่มากแล้ว ขอรีบอธิบายต่อเลยนะ หลังจากที่บรรพบุรุษของซีไลเนอร์ได้เศษเสี้ยวอุกกาบาต จึงนำไปแปรรูปเป็นเหรียญตราแห่งราชาเพื่อไว้สืบทอดให้แก่ลูกหลาน...ฉันมีเรื่องจะบอกเพียงแค่นี้แหละ รีบกลับไปได้แล้วก่อนที่ปราสาทของพวกเธอจะโดนคุกคาม”  เชมี่รีบพูดสรุปและบอกข่าว

      “หมายความว่าไงกันครับ โดนคุกคาม”  ซิกม่าถามต่อ

      “ปู่ของเธอเอาจริงแล้ว ถึงฉันจะส่งคนให้ไปคุ้มครองลูกของเธอ แต่ก็บังคับว่าห้ามทำร้ายมนุษย์เช่นกันด้วย เพราะอาจจะเกิดการสูญเสียอย่างไร้เหตุผลเลยห้ามอย่างนั้น...”  เชมี่พูดด้วยสีหน้าหมองลง

      “รีบมาเถอะ ก่อนที่จะสายเกินไป”  เรควาซ่าพูดเตือนสติ แล้วลอยนำทำให้ทั้งซิกม่า อาเรีย แล้วเชสต้าต้องวิ่งตาม  แต่เชมี่ก็โยนบางอย่างให้เชสต้ารับ

      “นั่นคือกุญแจให้เปิดมิติแห่งเทพ... หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะ...”

เนื้อเรื่องส่วนนี้จะเป็นเนื้อเรื่องลับที่ไม่มีใครรู้นอกจากตัวละครที่อยู่ในเนื้อเรื่องลับเท่านั้น

        หลังจากที่เชสต้ารับกุญแจก็วิ่งตามพ่อแม่ของเธอ  เชมี่ถอนหายใจเล็กน้อยที่จู่ๆ  ก็มีมือมาแตะไหล่ของเชมี่ทำให้เชมี่ตกใจเล็กน้อย

      “บอกกี่ครั้งแล้ว ดีโอคิซิส... ทีหลังถ้าจะมาก็มาแบบปกติหน่อย”  เชมี่พูดพลางเอามือปัดแขนที่ไร้รูปร่างของดีโอคิซิสที่ตอนนี้อยู่ในสภาพมนุษย์สีดำ

      “โทษที แกล้งเธอมันสนุกดีหนะ”

      “แล้วนายไม่ไปที่โบราณสถานต่อแล้วหรอ”  เชมี่ถามกลับ

      “ไม่ได้จะไปทุกวันซะหน่อย”  ดีโอคิซิสตอบกลับอย่างกวนๆ

      “ก็เห็นไปทุกวันหนิ... ดีจังนะมีคนรักเนี่ย...”  เชมี่พูดขึ้นพลางยกมือขึ้นมาดูฝ่ามือในร่างมนุษย์  ดีโอคิซิสเห็นเชมี่ทำอย่างนี้จึงพูดมาลอยๆ

      “...แอบชอบอัลเซอุสอยู่ละสิ”  ดีโอคิซิสพูดลอยๆ  แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงได้ชะงัด

      “บ้า!! ใครจะไปชอบเจ้านั่นกัน วันๆก็เงียบอยู่ได้ เอาแต่ทำการทำงาน ใครจะไปชอบหมอนั่นกัน”  เชมี่รีบพูดขึ้นพลางสะบัดหน้างอนๆ

      “หึหึ... แล้วก็รอดูนะ...”  ดีโอคิซิสพูดเสร็จก็สลายหายไป...  หลังจากที่ดีโอคิซิสไปแล้ว เชมี่ก็พึมพำอยู่คนเดียว...

      “...นั่นสิ...ฉันไปชอบอัลเซอุสตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...”

Link to comment
Share on other sites

เหรียญตราแห่งราชาทำมาจากอุกกาบาตของเดโอคิซิสหรอกเหรอ :pika08:

ปู่ของเชสต้ามีแผนอะไรเก็บซ่อนไว้อีกแล้วสินะ

Link to comment
Share on other sites

  • 1 month later...

ในที่สุดก็ได้อัพต่อซะที หลังจากที่ดองนานเล็กน้อย(2เดือน)

บทที่94

      “ส่วนหลังจากนั้น พวกฉันก็ไปยังปราสาท...แต่ก็สายเกินไป... เพราะว่าน้องๆของฉันโดนกรอกยาลบความทรงจำ ทำให้ฉันโกรธมากจึงขาดสติ...สั่งให้เรควาซ่าฆ่าปู่ของฉันและคนที่อยู่พวกเดียวกับปู่จนหมด...”  เชสต้าสรุปเนื้อหาหลังจากพบกับเชมี่เพียงสามบรรทัด  ทำให้บอสพอรู้ว่า ถึงจะถามคำถามเกี่ยวกับอดีตไปมากกว่านี้ เชสต้าก็จะไม่ตอบอีกแล้ว

        หลังจากเชสต้าพูดจบเพียงไม่นาน  เชสต้าก็เดินหมากของเธออย่างระมัดระวัง  ซึ่งทำให้บอสตกใจไม่น้อย  เพราะเชสต้าชวนบอสเล่นหมากรุกไปพลางระหว่างที่เธอเล่าเรื่อง  ทำให้บางครั้งบอสถึงกับโดนกินโง่บ้างเล็กน้อย

      “...แล้วพี่เชสจะทำยังไงต่อละครับ...”  บอสพูดเสร็จพร้อมกับเดินหมากของตัวเองกินหมากของเชสต้า

      “...นั่นเป็นคำถามที่ฉันควรถามเธอมากกว่า... อีกไม่นานก็จะเจอศึกกับพวกนู้นแล้วไม่ใช่เหรอ... ถ้าเหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้ละ...”  เชสต้าพูดเว้นช่วงไว้ พร้อมกับเดินหมากอีกตัวที่บอสไม่คิดว่าเชสต้าจะเดิน

      “รุก...”  เชสต้าพูด  ทำให้บอสเป็นฝ่ายคิดหนัก  เพราะการเดินครั้งคือคำตอบที่ตนจะตอบ ว่าจะทำยังไงเมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้...  แต่ไม่นานบอสก็ยิ้มขึ้น

      “ถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้จริงๆละก็...”  บอสเว้นช่วงการพูดไว้เล็กน้อย  พร้อมกับยกมือแล้วฟาดไปที่โต๊ะ  เกิดผลให้หมากทั้งกระดานสั่นคลอนจนหมากทั้งหมดของเชสต้าล้มทั้งหมด  ส่วนหมากของบอสมีเพียงคิงเท่านั้นที่ล้ม

      “ผมก็จะ...พลิกกระดาน...”  บอสพูดขึ้นมายิ้มๆ  ส่งผลให้เชสต้าหน้าบึ้งเล็กน้อย

      “เล่นงี้เลยเหรอฮะ... พลิกกระดานแล้วจะตัดสินได้ไงว่าใครแพ้ชนะ”  เชสต้าบ่น  แต่จู่ๆเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของอัลฟ่าที่หอบราวกับวิ่งมาหลายกิโลเมตร

      “พี่เชสต้า เกิดเรื่องใหญ่กับพี่แล้วคะ!!”  อัลฟ่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแตกตื่น  ทำให้เชสต้าตั้งใจฟังมากขึ้น  แต่ก็ยังยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม

      “ก็ท่านพ่อบอกให้พวกพี่ๆกับเดลต้ามาดูตัวพรุ่งนี้ แต่ถ้ามีคนที่เราเลือกไว้แล้วก็พามาให้ท่านพ่อดูคะ แต่ถ้าไม่มี ท่านพ่อจะจัดคู่ให้เองคะ!!”  ทันทีที่อัลฟ่าพูดจบ  เชสต้าถึงกับสำลักน้ำชาออกมา

      “มีเวลาเตรียมตัว(เตรียมใจ)แค่คืนนี้เนี่ยนะ”  เชสต้ายังวิตกไม่เลิก  เธอไม่คิดอยากจะมมีคู่ครองด้วยซ้ำ

      “ค่ะ เดี๋ยวอัลขอตัวเลยนะคะ เดี๋ยวไม่ทัน”  อัลฟ่าพูดจบก็รีบวิ่งต่อ  ทำให้บอสหัวเราะแหะๆ...  ประมาณว่างานนี้ขอไม่ยุ่งด้วยละกัน

      “แล้ว...พี่เบต้าต้องมาด้วยไหมครับ”  บอสถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย(จริงๆ)

      “...มาด้วยก็ดีนะ...ท่านพ่อจะให้ไม่ต้องเป็นห่วงเบต้ามาก... แต่การมาของเบต้าถือว่าเป็นการเชื้อเชิญจากฉันละกัน”  เชสต้าพูดเสร็จก็หยิบปากกากับจดหมายมา  พร้อมเขียนรายละเอียดการเชิญเบต้า  ทำให้บอสรู้อีกเรื่อง...  เชสต้ารักน้องคนเล็กจริงๆ

      “ถ้างั้นก็สู้ๆนะครับ หรืออยากจะขึ้นคานก็ไม่ว่านะ บายครับ”  บอสพูดกวนประสาทก่อนจะเดินออกจากห้อง  ทำให้เชสต้าเริ่มจะมีน้ำโหเล็กน้อยแต่ก็ยังตั้งหน้าตั้งตาเขียนจดหมายจนเสร็จ ซึ่งพอดีกับกับมีเสียงเคาะประตูพร้อมเปิดประตูออกมา

      “เชสต้า ยังไม่นอนอีกหรอเนี่ย”  ฟรีซเซียร์พูดขึ้นอย่างเป็นกันเอง

      “ยังหรอก... ว่าแต่มีน้ำหอมให้ฟรีซเซียร์ลองหน่อยน่ะ...”  เชสต้าพูดด้วยหน้าตาแบบคนมีแผน  แต่ฟรีซเซียร์ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก  เลยยอมให้เชสต้าฉีดน้ำหอมใส่

      “น้ำหอมอะไรเนี่ย หอมดีจัง”  ฟรีซเซียร์ดมเล็กน้อยก็รู้สึกหอมแบบแปลกๆ  แต่ก็ไม่คิดอะไรมากอยู่ดี

      “ไม่เจอที่ร้านดังหน่ะ... แล้วก็ รบกวนเอาของนี่ไปให้โปเกมอนที่บอสเลี้ยงหน่อย น่าจะอยู่ในห้องของบอสนะ”  เชสต้ายื่นถุงขนมสำหรับโปเกมอนให้ฟรีซเซียร์

      “ถ้างั้น ไปก่อนนะ...”  ฟรีซเซียร์พูดเสร็จก็เดินออกจากห้อง  โดยไม่ทันเห็นหน้าของเชสต้าที่บอกได้ว่า งานนี้ต้องแกล้งให้เข็ด

        แต่หลังจากฟรีซเซียร์ออกจากห้องไปไม่นาน  เรควาซ่าก็กลับมาพอดี

      “นายหญิง ข้าเล่นเป็นเพื่อนกับพวกอีวุยของบอสจนพวกมันหลับหมดแล้ว”  เรควาซ่ารายงานผลของงานที่ได้รับมอบหมาย

      “ดีมาก...”  เชสต้าพูดยิ้มๆ  ส่วนเรควาซ่ารู้สึกได้กลิ่นแปลกๆจึงรีบใช้ความสามารถ Air Lock ทำให้กลิ่นภายในห้องกลับมาเป็นปกติ

      “นายหญิงคิดจะทำอะไรเนี่ย น้ำหอมนี่มันน้ำหอมยั่วมังกรตัวผู้ แถมยังสกัดอย่างดีจนกลายเป็นน้ำหอมไว้กระตุ้น...”  เรควาซ่าพูดถึงตรงนี้ก็เงียบทันที  เพราะเริ่มจับเค้าความวุ่ยวายได้บ้างแล้ว  ว่ามันเกี่ยวอะไรกับการที่ต้องพาพวกคุโระไปเดินเล่นจนเหนื่อยแล้วนอนที่มิติแห่งเทพ

      “ข้าว่า...นายหญิงแกล้งบอสแรงไปรึเปล่า”  เรควาว่าเริ่มสงสารบอส

      “มาเหน็บว่าฉันจะขึ้นคาน ต้องแกล้งให้เข็ดหลาบ นี่ให้ถุงขนมนั่นก็ถือว่าใจดีมากแล้วนะ”  เชสต้าพูดเสียงเย็นเล็กน้อย  ทำให้เรควาซ่ายอมแต่โดยดี  แต่ถึงไงๆ เรควาซ่าก็ไม่เคยขัดใจเชสต้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว...

        เชสต้ามองกระดานหมากรุกเล็กน้อยแล้วเริ่มคิดเกี่ยวกับคำตอบที่บอสให้  ‘ถ้าเปรียบให้หมากฝั่งฉันเป็นฝ่ายศัตรู หมากฝั่งของบอสเป็นฝ่ายของพวกเรา หมากของศัตรูล้มทั้งหมดแปลว่าคงจะจัดการจนหมด... แต่คิงของฝั่งเรานี่หมายถึงใครกัน...ถ้าหมายถึงตัวบอสเองละก็...’

        เชสต้าเริ่มคิดหนักขึ้นไปอีก แต่เห็นหมากควีนของฝั่งบอสอยู่ข้างๆคิงที่ล้ม แต่ถ้าดูดีๆคิงล้มแต่ยังไม่ได้แตะพื้นโดยสมบูรณ์เพราะฐานของควีนคอยรองรับไว้

        ‘หมายความว่า...ถ้าเปรียบให้คิงคือตัวของบอสเอง จะมีคนคอยช่วยให้รอดตายสินะ...’

_______________________________________________________________________

        ฟรีซเซียร์เดิน(บิน)มาหน้าห้องบอส  เคาะประตูเล็กน้อยบอสก็เปิดประตู

      “อ้าว พี่ฟรีซเซียร์ มีธุระอะไรหรอครับ”  บอสถามอย่างสุภาพ

      “คือ เชสต้าเค้าเอาของมาให้พวกคุโระหน่ะจ้ะ”  ฟรีซเซียร์ยื่นถุงขนมให้บอส  แต่บอสกลับทำหน้าเหยเกเล็กน้อย

      “ถ้างั้นขอเช็คแปปนึงนะครับ”  บอสรับถุงขนมแล้วอ่านฉลากอย่างละเอียด  แต่พอเห็นราคาเท่านั้นแหละ เก็บเข้าตู้เย็นเลย... แพงมหาแพง...

      “พี่ฟรีซเซียร์เข้ามาก่อนสิครับ ถือว่าขอบคุณที่เอาขนมมาฝากพวกคุโระละกันครับ”  บอสพูดเสร็จก็เดินไปเปิดตู้เย็นแล้วรินน้ำชาให้ฟรีซเซียร์  ส่วนฟรีซเซียร์ก็ลดขนาดร่างให้ร่างเล็กกว่าบอสเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปนั่งบนเตียงโดยไม่ได้ระวังอะไรเกี่ยวกับกลิ่นน้ำหอมแม้แต่น้อย

      “นี่ครับ เดี๋ยวผมใช้พลังดูพวกคุโระแปปนะครับ ไม่รู้ว่าพวกนั้นไปเดินเล่นที่ไหนกัน”  บอสนั่งลงข้างๆฟรีซเซียร์  ใช้พลังมังกรเต็มที่จนนัยน์ตากลายเป็นนัยน์ตามังกรเพื่อค้นหาตำแหน่งของพวกคุโระ พร้อมสูดอากาศเข้าลึกๆ...

      “อุ๊บ!!!”  ทันทีที่บอสสูดอากาศจนเต็มปอดก็รีบปิดจมูกทันที

      “พี่ฟรีซเซียร์...พ...พี่ไปทำอะไรมา...”  บอสเริ่มพูดสั่นๆเล็กน้อย  แต่เพราะกลิ่นของน้ำหอมทำให้ระบบประสาทของบอสเริ่มรวน  นัยน์ตาเริ่มพร่า  สติเริ่มเลือนลาง...

      “บอส เป็นอะไรไป”  ฟรีซเซียร์ตกใจมากที่จู่ๆบอสมีอาการแปลกๆ  แต่กลับใช้ปีกแตะหน้าผากเพื่อดูอาการว่าตัวร้อนหรือไม่  ทำให้สติของบอสขาดหายไป...  ภาพสุดท้ายที่บอสจำได้คือ...  บอสยื่นใบหน้าของตนเข้าใกล้ฟรีซเซียร์และ...จูบ

[me=[V]ersion_[5]]เผ่น~[/me]

Link to comment
Share on other sites

นกกับมังกรเหรอ โอ้ว!! จับคู่ได้น่าสนใจจริงๆเลย!!  :pika10:

Link to comment
Share on other sites

  • 2 weeks later...

บทที่ 95

เช้าวันรุ่งขึ้น

        บอสตื่นขึ้นมาแบบสภาพที่ลุกไม่ขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ  ตอนนี้บอสแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหน  เพราะรู้สึกทุกอย่างมันพร่าเบลอไปหมด  แต่แล้วความซวยก็มาเยือน  เมื่อจู่ๆฟรีซเซียร์ที่บอสไม่คิดว่าจะอยู่ในห้องกลับเข้ามาทางห้องน้ำ

      “พ...พี่ฟรีซเซียร์... พี่เข้ามาได้ไง”  บอสเริ่มลนลาน  เพราะความจำส่วนที่ขาดหายไปเริ่มกลับคืนมาทีละเล็กน้อย  และมันก็เริ่มเด่นชัดขึ้น  เมื่อจู่ๆฟรีซเซียร์กลับเข้าห้องน้ำ  แล้วออกมาพร้อมกับไข่!!!

      “ฝีมือใครน้า...”  ฟรีซเซียร์พูดล้อๆ แล้วหน้าแดงปนเขินๆ

      “ไม่จริงงงงงงงงงง~~~!”  บอสตะโกนออกมาพร้อมกับเริ่มรู้สึกตัว

_____________________________________________________

      “แฮ่ก..แฮ่ก...”  บอสตื่นขึ้นมาหอบพักใหญ่...  แล้วซักพักก็เริ่มเข้าใจว่าเมื่อซักครู่มันแค่ฝันไปเท่านั้น...  บอสจึงล้มตัวนอนอย่างโล่งอกพร้อมพลิกตัวหันไปด้านข้าง...  แล้วหัวใจก็หล่นไปที่ตาตุ่มทันทีที่เห็นว่าไม่ได้มีแต่บอสคนเดียวที่นอนอยู่

        ‘พ...พี่ฟรีซเซียร์นอนห้องนี้ได้ยังไง...’  บอสคิดในใจแต่ไม่พูดออกมาเพราะกลัวฟรีซเซียร์ตื่น  แต่จู่ๆฟรีซเซียร์ก็พลิกตัวเข้าหาบอสพร้อมกับใช้ปีกโอบกอดบอสราวกับเป็นหมอนข้าง

        ‘...แล้วจะขยับยังไงไม่ให้พี่ฟรีซเซียร์ตื่นละเนี่ย...’  บอสคิดไม่ตกกับคำถามนี้...  เพราะบอสปรับตัวไม่ถูกเลยจริงๆ  เลยคิดจะพยายามข่มตาให้หลับอีกรอบ  แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งพยายามข่มตาให้หลับมากเท่าไหร่  มันก็ยิ่งตื่นมาเท่านั้น  บอสจึงทำใจปล่อยให้ฟรีซเซียร์นอนกอดตนต่อไป  แต่บอสก็เริ่มนึกเหตุการณ์เมื่อวาน  เหตุการณ์มัน

ดูเรือนรางมากๆราวกับจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น...  เหมือนกับร่างกายมันทำของมันเองมากกว่าที่ใช้จิตใจควบคุมร่างกาย...  แต่ความจำที่เด่นชัดสุดๆคือ  ตนเผลอไปจูบพี่ฟรีซเซียร์ทำให้บอสไม่อยากคิดเลยว่าหลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อ...  แค่คิดก็แทบอยากหนีแทรกแผ่นดินแล้ว...  แต่เหมือนยิ่งไม่อยากคิด ความทรงจำที่หายไปก็เริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อย  ทำให้บอสหน้าแดงฉ่า

      “อือ...”  เสียงฟรีซเซียร์ครางเบาๆทำให้บอสตกใจ  เพราะฟรีซเซียร์ครางเบาๆพร้อมกับกอดบอสแน่นขึ้นไปอีก

        ‘นี่พี่คิดว่าผมเป็นหมอนข้างจริงๆเหรอเนี่ย!!’  บอสคิดอย่างเป็นห่วง(ตัวเอง) เพราะรู้สึกปีกของฟรีซเซียร์จะรัดจนหายใจไม่ค่อยออกแล้ว

        ‘แต่...พี่ฟรีซเซียร์เป็นโปเกมอนนก/น้ำแข็งไม่ใช่หรอ... ทำไมมันถึงรู้สึกอุ่นอย่างนี้...’  บอสคิดซักพักแล้วก็เผลอหลับไป

________________________________________________________

ทางด้านห้องของเบต้า

      “อืม...สรุปต้องไปใช่ไหมเนี่ย”  เบต้ายังคงสงสัยกับจดหมายเชิญที่ตกอยู่หหน้าห้อง  จริงๆก็ไม่ได้สงสัยหรอกเพราะอาจจะมีคนทำตก  แต่ชื่อผู้รับที่อยู่บนซองจดหมาย

กลับเขียนชื่อของเขาอย่างชัดเจน  ทำให้ต้องเปิดแกะอ่านดู...  ถ้าเป็นจดหมายเชิญของคนอื่นจะไม่ว่าเลย...  แต่คนส่งดันเป็นพี่เชส...  ทำให้ตัวเลือกที่ว่าจะไปหรือไม่ไปกลายเป็นต้องไปสถานเดียว...

      “อืม... ต้องไปนะ”  มิวทูในร่างมนุษย์แนะนำ  ซึ่งเธอเองก็กำลังหวีผมให้ดูเรียบร้อยเพราะเชสต้าบอกไว้ก่อนที่จะได้รับจดหมายไว้แล้ว ว่าไปเพราะอะไร  ทำให้มิวทูต้องแปลงร่างเป็นมนุษย์

      “แล้วคนในงานจะมีใครบ้างหละ”  เบต้าถามระหว่างใส่ชุดสูทที่เชสต้าเอามาให้ใส่ตอนงานแต่งงานของเซคร่อมกับเรซิรั่ม

      “ก็ส่วนมากจะเป็นคนในตระกูลซีไลเนอร์ ส่วนน้อยจะเป็นตระกูลสาขาของซีไลเนอร์และแขกหนะ...”  มิวทูตอบอย่างคล่องปาก

      “แล้วพี่เชสจะให้เราไปทำไมกันนะ... เราไม่ได้เป็นคนตระกูลใหญ่ซะหน่อย แถมก็ไม่ใช่แขกที่มีเกียรติอะไรด้วย...”  เบต้าถามอย่างสงสัย  แต่มิวทูไม่ตอบพร้อมสีหน้าที่หมองลง  ซึ่งเบต้าก็สงสัยว่าทำไมสีหน้าของมิวทูดูหมองลง

      “เป็นอะไรหรอ มิวทู”  เบต้าถามด้วยความเป็นห่วง  มิวทูจึงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

      “ไม่เป็นไรหรอก...” ‘ที่ให้นายมาเพราะพ่อกับแม่ของเบต้าอยากพบหน้าลูกคนสุดท้องน่ะสิ’ มิวทูตอบเลี่ยงๆพร้อมกับคิดในใจ

      “แต่ฉันว่ามีแน่ๆ...”  เบต้าไม่เชื่อพร้อมเริ่มขยับเข้ามาใกล้มิวทู  ทำให้มิวทูผงะเล็กน้อย

      “ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง”  มิวทูยังคงปฏิเสธ  แต่เบต้าก็เข้าใกล้มิวทูจนห่างกันเพียงไม่กี่มิลลิเมตร

      “แน่ใจนะ...”  เบต้าก้มหน้าไปซบกับซอกคอของมิวทู  มิวทูรีบออกแรงดันตัวเบต้าออก  แต่เรี่ยวแรงกลับหายไปไหนไม่รู้ที่มาพร้อมกับเสียงครางเบาๆ

      “บ...เบต้า พอเถอะ อ๊า... ถึงย...ยังไง...ฉันก็บอกไม... อ๊า...ไม่ได้...”  มิวทูพยายามพูดอยู่นานก็จะกลายเป็นประโยค  เพราะเบต้ารุกอยู่ตลอดทำให้มิวทูครางออกมาเป็นระยะๆ

      “ถ้าบอกไม่ได้ก็ไม่ต้องบอกก็ได้...”  เบต้าพูดแล้วรีบถอยห่างจากมิวทูทันที  แล้วเอามือปิดปากเล็กน้อย

      “...โกรธหรอ”  มิวทูถาม  แต่เบต้าส่ายหน้า

      “เปล่าหรอก...” 

        ‘ที่รีบถอยห่าง เพราะกลัวจะถอนตัวไม่ขึ้นน่ะสิ...’  เบต้าคิดในใจโดยพยายามทำสีหน้าให้ปกติจึงลดมือลง  มิวทูก็ไม่ได้สังเกตเบต้าจึงหันกลับมาที่กระจกเพื่อดูความเรียบร้อย  แต่พอเห็นซอกคอก็เกือบกรี๊ดลั่นห้องเพราะรอยแดงๆที่ซอกคอ

      “เบต้า ทำรอยนี้ทำไมน่ะ เดี๋ยวคนอื่นก็เห็นหมดสิ”  มิวทูรีบต่อว่าเบต้าทันที โดยที่หน้ายังแดงจางๆ

      “ก็... แสดงความเป็นเจ้าของไง”  เบต้ามองตามิวทูตรงๆพร้อมพูดอะไรเลี่ยนๆออกมา (บอส : อ้วก) มิวทูถึงกับหน้าแดงแล้วรีบหันหน้าหนี

      “ด...เดี๋ยวใส่ผ้าพันคอดีกว่า”  มิวทูรีบควานหาผ้าพันคอมาพันคอเพื่อปกปิดรอยแดงๆที่คอ  ซึ่งผ้าพันคอนี้ของฟรีซเซียร์ที่ให้มา  แต่มิวทูกลับลืมคืนซะสนิท

      “ถ้าเสร็จแล้วก็ไปกันเถอะ”  เบต้าพูดแล้วก็ยื่นมือให้มิวทู  มิวทูจับมือเบต้าแล้วเดินไปด้วยกัน...  แต่เหมือนมิวทูจะลืมพวกอีวุยไปซะแล้วว่าต้องพามาด้วย...

Link to comment
Share on other sites

เอ่อ...มันเกิดอะไรขึ้นกับบอสกันแน่เนี่ย...?

คู่หลังนี่ก็หวานกันซะ...

Link to comment
Share on other sites

มังกรกับนก มังกรกับนก...มังกรกินนก...คู่แปลกแห่งปีโดยแท้...

คู่หลังก็...เอิ่ม...

Link to comment
Share on other sites

บทที่ 96

        ทางด้านห้องของบอส

        หลังจากที่บอสเผลอหลับไปซักพัก  ฟรีซเซียร์ก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะแสงแดดที่ส่องเข้ามาในห้อง  ทำให้ฟรีซเซียร์เริ่มขยับตัวเล็กน้อยและเริ่มสงสัยในขณะที่ยังไม่เปิดเปลือกตา

        ‘ทำไมหมอนข้างมันแปลกๆจัง แล้วทำไมรู้สึกอุ่นๆ’  ด้วยเหตุนี้ฟรีซเซียร์จึงค่อยๆเปิดเปลือกตาที่ละน้อย  และเปิดสุดทันทีที่เห็นว่าเธอกำลังกอดบอสอยู่และบอสก็กำลังกอดเธออยู่เช่นกัน

      “กรี๊ด!!!”  ฟรีซเซียร์ตกใจรีบถอยตัวออกห่างทันที  ส่วนบอสที่หลับอยู่แต่ก็ยังเปิดประสาทสัมผัสเต็มที่เมื่อได้ยินเสียงกรี๊ดก็ตื่นขึ้นมาตื่นเต็มที่  ดวงตาและใบหูก็เปลี่ยนเป็นดวงตามังกรและหูมังกรเพื่อง่ายต่อการรับสัมผัสมากขึ้น

      “เกิดไรขึ้น”  บอสพูดกับตัวเองโดยยังไม่ได้หันไปมองคนข้างๆ  แต่พอหันไปก็ตกใจพอๆกับฟรีซเซียร์

      “พ...พี่ฟรีซเซียร์...”  บอสหน้าซีดเล็กน้อยเพราะเรื่องเมื่อคืน  ส่วนฟรีซเซียร์ก็หน้าแดงขึ้นมาเมื่อนึกเรื่องเมื่อคืน

      “ท...ทำไมบอสมานอนห้องของพี่ละ”  ฟรีซเซียร์ถามด้วยความตกใจ

      “ผมต้องเป็นคนถามต่างหากว่าพี่มานอนห้องผมทำไม”  บอสถามกลับ  เพราะเคยตื่นมารอบนึงแล้วและค่อนข้างมั่นใจว่านี่มันห้องของตน

        เมื่อฟรีซเซียร์ได้ยินจึงรีบหันไปมองรอบๆ  และเหมือนยิ่งมองห้องก็ยิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก  เพราะจริงๆนี่มันห้องของบอสไม่ใช่ห้องของเธอ

      “…เมื่อคืน...”  ฟรีซเซียร์เผลอพูดออกมาเล็กน้อย  บอสก็หันหน้าหนีเพราะไม่รู้จะพูดยังไง  แต่จู่ๆน้ำตาฟรีซเซียร์ก็ไหลลงมาเล็กน้อย  ทำไมบอสรีบเข้าไปหาฟรีซเซียร์

      “พี่ฟรีซเซียร์ ผมขอโทษ เมื่อคืนมัน...”  บอสพยายามจะขอโทษ  แต่ฟรีซเซียร์กลับส่ายหน้า

      “ป...เปล่า พี่แค่ดีใจ...แค่นั้นจริงๆ…ฮึก...”  ฟรีซเซียร์ตอบออกมา  แต่ก็ทำให้สติบอสแทบจะหลุด

      “หา...ดีใจทำไมครับ”

      “ก็...ในที่สุด...พี่ก็มีคนรักซะที”  ฟรีซเซียร์หน้าแดงพูดอย่างอายๆ  แต่ตอนนี้สติบอสก็ไปเรียบร้อยแล้ว

      “นี่พี่คิดไรอยู่เนี่ย… แล้วอย่าบอกนะ ตอนที่ผมคลั่งแล้วพี่ไม่ยอมต่อต้านก็เพราะเรื่องนี้อะ”  บอสเริ่มไม่แน่ใจเรื่องในตอนนั้นขึ้นมา  เพราะตอนนั้นฟรีซเซียร์ไม่คิดจะหวาดกลัว  แถมท่าทางเหมือนพร้อมยินดีด้วยซ้ำ

      “ก็...ใช่จ๊ะ”  ฟรีซเซียร์ยิ้มหน้าแดงปนเขินเล็กน้อยตอบกลับ  ทำให้บอสกุมขมับเล็กน้อย  แต่ก็เหลือบไปเห็นปฏิทินพอดี

      “รู้สึก...วันนี้มัน...”  บอสเริ่มนึกได้ว่าวันนี้มันวันอะไร  แต่เสียงเคาะประตูก็มาขัดความคิด

      “ก็อกๆ พี่บอส ตื่นยังฮะ”  เสียงกราเซียมาพร้อมกับเสียงเคาะประตูดังขึ้น

      “พี่ฟรีซเซียร์ หลบก่อนเถอะครับ เดี๋ยวพวกลีเฟียสงสัย”  บอสบอกด้วยความเป็นห่วง  เพราะขืนพวกลีเฟียมาเจอบอสกับฟรีซเซียร์อยู่ด้วยกันตอนเช้า  พวกลีเฟียได้คิดมากพอดี

      “ไม่เป็นไรหรอก พวกลีเฟียยังเด็กอยู่”  ฟรีซเซียร์พูดอย่างสบายๆ  ทำให้บอสถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนเปิดประตู

      “อ้าว กราเซีย ลีเฟีย แบล็คกี้ อีฟี่ ทำไมหรอ”  บอสพูดกับพวกลีเฟีย

      “คือ พี่เบต้าไปไหนฮะ พี่มิวทูก็ด้วย”  กราเซียถามขึ้นก่อน

      ‘รู้สึก... วันนี้มัน... วันดูตัวไม่ใช่เหรอ!! แล้วทำไมพี่เบต้าลืมเจ้าพวกนี้ได้ไงเนี่ย’  บอสคิดในใจ

      “แล้วก็ มีกระดาษตกอยู่หน้าห้องพี่ด้วยคะ”  ลีเฟียพูดแล้วงับกระดาษแล้วยื่นให้บอส

      “หืม...”  บอสหยิบกระดาษจากปากลีเฟียแล้วอ่านในใจ  แต่ซักพักก็ทำหน้าเหวอเล็กน้อย

      “ลีเฟีย กราเซีย อีฟี่ แบล็คกี้ เตรียมตัวเถอะ ต้องออกเดินทางแล้ว พี่ฟรีซเซียร์ก็ด้วย”  บอสเริ่มลนลาน

      “ทำไมละบอส รู้สึกงานดูตัวไม่ได้จัดที่นี่หรอ”  ฟรีซเซียร์ถามด้วยความสงสัย

      “ตอนแรกผมก็คิดงั้น แต่มันกลับไปจัดที่อีกเกาะนู่นเลย ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากจัดงานแบบเอิกเกริก”  บอสอธิบาย

      “ที่นั่น... พี่เคยไปนะ จะให้ไปส่งไหม”  ฟรีซเซียร์อาสาพาไปส่ง

      “ถ้าเป็นงั้นก็ดีครับ แต่(ไอ้)พี่เชสต้าดันกำหนดวิธีการมาด้วย”  บอสพูดแล้วยื่นกระดาษให้ฟรีซเซียร์ดู

      “อืม ถ้างั้นให้พี่ขี่หลังไปด้วยสิ จะได้นำทางถูก”  ฟรีซเซียร์ดูแล้วก็ถามขึ้น

      “โอเคฮะ ถ้างั้นก็เตรียมตัวกันเถอะ แล้วก็ พวกเด็กๆก็จับหลังให้แน่นๆอย่าตกด้วยหละ”  บอสตอบตกลงทำให้ฟรีซเซียร์ยิ้มเล็กน้อย  แล้วจากนั้นก็เริ่มทำตามที่จดหมายของเชสต้าสั่ง

______________________________________________________

        ทางด้านของเบต้า

      “เฮ้อ... ถึงซักที ไม่ได้บินนานแล้ว”  เบต้าในร่างมิวทูถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนกับระยะทางที่บินมา  เพราะมันไกลยิ่งกว่าไกลอีก

      “ก็แน่ละ ก็พ่... ก็คนจัดไม่อยากให้งานมันเอิกเกริกนะสิ”  มิวทูเกือบหลุดปาก  แต่ยังดีที่แก้ตัวทัน  และเบต้าก็ไม่ได้สนใจไรมากด้วย

        หลังจากที่บินมาถึงหน้าปราสาทลับของซีไลเนอร์  ก็หาซอกหลืบที่ไม่มีใครเห็นเพื่อที่จะกลับคืนร่างมนุษย์  ส่วนมิวทูก็แปลงร่างเป็นมนุษย์เพื่อไม่ให้คนทั่วไปรู้ถึงตัวตนของเหล่าเทพ  แล้วเบต้าก็จับมือมิวทู

      “ไปกันเถอะ”  เบต้าพูดกับมิวทูเบาๆ  มิวทูพยักหน้าแล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในงานพร้อมกัน  แต่ก่อนจะถึงประตูเข้างาน  ทหารเฝ้างานก็เดินเข้ามาหาเบต้าและมิวทู

      “ขอบัตรเชิญด้วยครับ”  ทหารพูดอย่างสุภาพ  เบต้าซึ่งไม่แน่ใจว่าจดหมายที่เชสต้าให้มาจะใช้ได้รึเปล่าเลยนำจดหมายที่เชสต้าส่งมาให้เบต้า  ให้ทหารดู  แต่เพียงทหารดูเพียงเสี้ยววินาที  สีหน้าของทหารก็เหมือนผีเข้าก็ไม่ปาน

      “ข...ขออภัยที่เสียมารยาทครับ เชิญเข้าได้เลยครับ”  ทหารรีบพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อมและเกรงใจกว่าครั้งก่อนมาก  ซึ่งเบต้าก็สงสัยว่าจดหมายนั่นมันมีอะไร...  แต่มิวทูที่รู้อยู่แล้วก็ทำตัวปกติ  แล้วก็กระตุกแขนเบต้าเล็กน้อยเพื่อให้เบต้ารู้สึกตัว  แล้วทั้วคู่ก็เดินเข้าไปในงาน  ส่วนทหารก็ได้ลอบแต่คิดในใจคนเดียว

        ‘นั่นน่ะหรอ... ท่านเบต้า... เปลี่ยนไปจากตอนเด็กมากเลย’

        ในงานเต็มไปด้วยเสียงพูดคุย  ถึงแม้คนในงานจะน้อย  แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่ามากสำหรับเบต้าอยู่ดี  แต่ทันทีที่ทั้งสองเดินเข้ามาในงาน  เหมือนทั้งงานถูกหยุดเวลา  เสียงพูดคุยก็เงียบลงราวกับไม่เคยมีเสียงมาก่อน  แต่เพียงไม่กี่วินาทีก็มีเสียงพูดคุยเหมือนเดิม  โดยที่สายตาของคนส่วนใหญ่จะจับจ้องอยู่ที่เบต้าและมิวทู  ทำให้ซิกม่ายิ้มอย่างพออกพอใจ

        ‘เชื้อไม่ทิ้งแถวเลยจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่เบต้าหรอเนี่ย ที่เดินเข้างานแล้วทุกคนต้องเงียบโดยไร้เหตุผล’

      “ดูเหมือน... พวกเราจะตกเป็นเป้าสายตารึเปล่า”  เบต้าถามมิวทูเบาๆ

      “ไม่เป็นไรหรอก...”  มิวทูพูดแล้วก็ทำตัวตามปกติ

        แต่หลังจากเดินได้ซักพัก  ก็เริ่มมีเสียงเอะอะดังมาจากหน้างาน

      “เชสต้า ซีไลเนอร์มาแล้ว”  เสียงคนในงานพูดเป็นเสียงเดียวกัน  ทำให้ทั้งเบต้าและมิวทูหันทันควัน  แต่ทั้งเบต้าและมิวทูก็เหวอเล็กน้อย...

        ‘พี่เชส/เชสต้า ไปควงใครมา!!’

Link to comment
Share on other sites

เอ่อ... สรุปว่าบอสกับฟรีซเซียร์....

(เปลี่ยนเรื่อง) งานดูตัวจะเป็นไงต่อน้อ...

Link to comment
Share on other sites

กั๊ก! ไล่อ่านจนครบ

อื้อหือ เกลียว ปริศนาแบบสุดๆ

นกกับมังกร เฮ่ย ไม่ม้าง คิดมากไปบอส

จะว่าไป ป้าเชสมาไม้ไหนอีกเนี่ย แผนร้ายจริงๆ

Link to comment
Share on other sites

นกกับมังกร นกกับมังกร นกกับมังกร! (สนอยู่แต่ฝั่งนี้ท่าเดียว) >w<

Link to comment
Share on other sites

บทที่ 97

        ทันทีที่เชสต้าย่างเท้าเข้าสู่พรมแดงของงาน  ทั้งห้องราวกับถูกหยุดเวลา...  ไม่มีเสียงพูด  ไม่มีเสียงกระซิบกระซาบ  ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ  จะมีก็เพียงเสียงของรองเท้าส้นสูงที่เชสต้าเดินเท่านั้น  ส่วนผู้ชายคนข้างๆเชสต้าเป็นชายร่างสูงกว่าเชสต้า  ผมสีเขียวมรกต  นัยน์ตาสีเหลืองที่กลอกไปมาเหมือนรำคาญผู้คนในงาน  ส่วนทางด้านฝ่ายหญิง  ถึงแม้ว่าสีหน้าของเชสต้าถูกแต่งด้วยเครื่องสำอางจนดูสวยมากขึ้นและสีหน้าเรียบเฉย  แต่เบต้ากลับคิดว่าเชสต้ากำลังหงุดหงิดแบบสุดๆ

        เชสต้าเดินควงชายหนุ่มผมมรกตตรงไปยังจุดที่พ่อของเชสต้ายืนอยู่  แล้วทำความเคารพอย่างสวยงาม  จนผู้เป็นพ่ออดแซวเล่นไม่ได้

      “ตอนแรกพ่อกะว่าจะพาคู่ของลูกที่พ่อเลือกมางาน... แสดงว่าพ่อคิดถูกสินะที่ไม่พามา”  พ่อแซวเสร็จ  เชสต้าก็ยิ้มเล็กน้อยกับคำแซวขอผู้เป็นพ่อ  แต่ซิกม่าก็รู้ว่าลูกตัวเองกำลังใช้สายตาค้อนอยู่  แต่พ่อก็แอบกระซิบให้เชสต้าได้ยินคนเดียว

      “เสร็จงานแล้วบอกพ่อด้วย ว่าคนที่ลูกพามาเป็นใคร”  เชสต้าได้ยินแล้วถึงกับคิ้วกระตุกเล็กน้อย

        หลังจากที่เชสต้าคุยกับซิกม่าเสร็จ  เสียงคุยก็เริ่มมาเรื่อยๆไม่หยุดหย่อน  มีทั้งเสียงชื่นชมและนินทาในคราวเดียวกัน  แต่เชสต้าก็ไม่สนใจอะไรมากนัก  เพราะจุดประสงค์หลักของงานนี้ที่พ่อตั้งไว้คือ  ให้ลูกๆมีคู่ของตัวเอง  และบุคคลที่มาร่วมงานก็มาเพื่อเป็นการดูตัวเช่นกัน

        เชสต้าก็หันซ้ายหันขวาเพื่อมองน้องๆของเธอเองว่าเป็นไงบ้าง  เพราะเธอมั่นใจมากๆว่ามาเป็นคนสุดท้าย  คนแรกที่เชสต้ามองเห็นก็คือคู่ของเดลต้า  ที่ตอนนี้เดลต้ากำลังเอาอกเอาใจหญิงสาวผมฟ้า  ปลายเส้นผมสีดำจนหญิงสาวเหนื่อยใจ  ซึ่งเชสต้าเดาได้เลยว่าหญิงผมฟ้านี่คือลูคาริโอะของเดลต้าแน่ๆ  และคงเดาต่อว่าคงขอให้มิสซิ่งโนช่วยแน่ๆแลกกับการจมกองเอกสาร  เพราะรู้สึกช่วงนี้มิสซิ่งโนร่าเริง(???)ผิดปกติ  คงจะไม่ได้จมกองงานพักใหญ่ชัวร์ๆ

        พอหันไปซักพักก็เจอกับอัลฟ่า  น้องสาวเพียงคนเดียวของเธอก็กำลังคุยอยู่กับหนุ่มหน้าสวยผมอย่างสนุกสนาน  ซึ่งเชสต้าก็ไม่ค่อยจะสนใจหรอกว่าไอ้หนุ่มนั่นจะเป็นใคร  แต่จะสนใจทันทีถ้าเกิดหนุ่มหน้าสวยทำให้น้องของเธอเสียใจ  และจะตามมาด้วยคิดบัญชีโหดๆ

        ส่วนแกมม่าที่เชสต้าไม่ค่อยอยากจะสนใจเท่าไหร่ก็ควงสาวสวย  และดูเหมือนทางแกมม่าจะมั่นใจไม่น้อยกับคู่ควงของแกมม่าเอง  ซึ่งเชสต้าก็ไม่ค่อยเป็นห่วงซักเท่าไหร่  เพราะเชสต้าก็เชื่อในเซ้นส์ของแกมม่าดี

        และคู่สุดท้ายที่เชสต้าเห็นแล้วใจชื้นมากที่สุดก็คือคู่ของเบต้า  ที่ตอนนี้กำลังกินอาหารบุฟเฟ่ต์อย่างเอร็ดอร่อย  ซึ่งดูๆไปแล้วก็เป็นคู่ที่ดูน่ารักไปอีกแบบหนึ่ง  และนั่นทำให้เชสต้าใจเย็นลงมาก

        แต่ยิ่งเวลาใกล้หมดงาน  เชสต้าก็เริ่มใจเสียมากขึ้น  เพราะจริงๆจดหมายที่ส่งไปให้บอส  นัดเวลาไว้ประมาณ 3 ชั่วโมงที่แล้ว  แต่นี่บอสยังไม่มาตามแผนอีก  และเมื่อถึงเวลาเลิกงาน  เชสต้าถึงกับลนลานเล็กน้อยแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า  แต่ชายหนุ่มผมมรกตที่เป็นคู่ควงของเชสต้าก็เหงื่อตกไม่ใช่น้อย

      “เอาละ เชสต้า เรควาซ่าอยู่ไหน... อย่าคิดนะว่าพ่อไม่รู้…”  ซิกม่าพูดยิ้มๆ  ทำให้ผู้เป็นลูกสาวคนโตสะดุ้งเล็กน้อย

        ‘ทำไมพักหลังท่านพ่อถึงเดาแม่นตลอดเลย...’  เชสต้าคิดในใจ  แต่จริงๆก็เตรียมบทแถเรียบร้อย

      “คือ หนูบอกให้เรควาซ่าทำงานบางอย่างน่ะคะ... คงมาไม่ได้หรอก”  เชสต้ารีบแถทันที

      “แต่พ่อจำได้นะ ว่าลูกเคยบอกให้เรควาซ่าทำงาน แต่พอลูกเรียกปุ๊บก็มาเลยหนิ...”  ซิกม่าก็ยังคงถามต่อไปราวกับท่องบทพูดมาเรียบร้อย

        ‘เอาไงเอากัน... ถ้าลองเรียกแล้วบอสไม่มา เจอเหมือนวันนั้นแน่!!!’  เชสต้าคาดโทษไว้เรียบร้อยพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ

      “เรควาซ่า...”  แต่เพียงเชสต้าพูดเสร็จ  เสียงคำรามก็มาทันที  พร้อมกับมังกรลำตัวยาวสีเขียว  และมีหญิวสาวผมสีฟ้าขี่หลังอยู่  ถัดจากนั้นก็เป็นลีเฟีย กราเซีย อีฟี่และแบล็คกี้เกาะหลัง

      “...สงสัยว่าพ่อคงจะคิดไปเองสินะ...ที่คิดว่าหนุ่มนั่นคือเรควาซ่า...”  ซิกม่าเหมือนจะพูดคนเดียว  แต่ก็ทำให้เชสต้าและหนุ่มผมมรกตสะดุ้ง

      “ถ้างั้นพ่อไม่มีเรื่องจะพูดกับลูกๆแล้วหละ จะกลับก่อนก็ได้นะ พ่อกับอาเรียจะขอค้างที่นี่”  ซิกม่าพูดเสร็จก็เดินจากไป  เมื่อเชสต้าแน่ใจแล้วว่าท่านพ่อของเธอไม่อยู่แถวนี้แล้วจริงๆก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา  ทำเอาน้องๆของเชสต้ากลั้นยิ้มเล็กน้อย  เพราะน้อยครั้งจะได้เห็นพี่สาวคนโตเกือบจนมุมขนาดนี้  แต่เชสต้าก็รีบเดินออกจากปราสาทไป

      “บอส ทำไมมาช้าจริงๆ!!!”  เชสต้าเริ่มโวยวายคนมาช้ากว่าที่นัดไว้(มาก)

      “เอาไงได้ละครับ ผมมาไม่เป็นหนิ  แผนที่ก็ไม่มี พี่ฟรีซเซียร์ก็นำทางหลงอีกต่างหาก”  บอสในร่างเรควาซ่ารีบกลับร่างเป็นมนุษย์หลังจากที่ผู้โดยสารลงจากหลังหมด  ก็รีบเถียงต่อทันที  ซึ่งฟรีซเซียร์ยิ้มเล็กน้อย  เพราะจริงๆถ้ามาเร็วก็มาได้  แต่เธออยากอยู่หลังบอสนานๆเลยนำทางมั่วๆไป  ส่วนเชสต้าก็ทำไรไม่ได้นอกจากใช้สายตาค้อนคนนำทางผิด

      “ช่างมันเถอะ พี่เชส อย่างน้อยก็เส้นยาแดงผ่าแปดพอดี”  เบต้าตามมาพร้อมสงบศึก  ซึ่งเชสต้าก็เงียบลง

      “นั่นสิ ถ้างั้น บอสใช้เทเลพอร์ทกลับที่ปราสาทได้ไหม”  เชสต้าถาม

      “ได้สิครับ จะกลับกันทั้งหมดเลยรึเปล่าครับเนี่ย”  บอสถามด้วยความไม่แน่ใจ

      “ถ้างั้นอัล เดลต้ากับพี่แกมม่ายังไม่กลับคะ อยากค้างคืนที่นี่เหมือนกัน”  อัลฟ่าพูดขึ้น  เพราะเธอเริ่มชอบความสงบของปราสาทแห่งนี้

      “ถ้างั้นก็ เทเลพอร์ท!!”  บอสร่ายเวทเสร็จ  บอส เบต้า มิวทู  ฟรีซเซียร์  เชสต้า หนุ่มผมมรกต กับพวกลีเฟียก็หายไปจากตรงนั้น

___________________________________________________________

ณ ปราสาทซีไลเนอร์

        หลังจากที่บอสเทเลพอร์ททุกคนกลับแล้ว  หนุ่มผมเขียวก็รีบกลับร่างเดิมกลายเป็นเรควาซ่าไซส์มินิ  ถอนหายใจเฮือกใหญ่หนึ่งทีแล้วก็บินตามเชสต้าไป  ส่วนพวกลีเฟียก็เริ่มมีพัฒนาการขึ้นด้วยการเริ่มต่อว่าเบต้ากับมิวทูที่ลืมพวกลีเฟียไป  ส่วนมิวทูเลยขอโทษด้วยการทำของหวานให้กิน  ทำให้พวกลีเฟียหยุดต่อว่าทันที

        ส่วนบอสก็ตรงดิ่งกลับห้องของตนเอง  แล้วก็เสกอาหารที่แอบฉกมาจากงานดูตัว(ตอนไหน?) ให้คุโระกับชิโระได้กิน  ส่วนตัวเองก็เข้าไปอาบน้ำเพราะเหนื่อยจากการบินรอบโลก(จริงๆ)

        ‘...วันนี้ต้องทำความสะอาดปีกนี่หน่า...’  บอสคิดขึ้นได้จึงแปลงร่างให้เป็นมังกร  ถึงแม้จะขี้เกียจก็ตามที  แต่ถ้าไม่ทำความสะอาดแล้วมันจะนอนไม่หลับโดยที่ไม่รู้ว่าทำไม

        หลังจากที่บอสลงไปแช่ตัวในอ่างอาบน้ำแล้ว  จู่ๆเสียงเปิดประตูห้องน้ำก็ดังขึ้น  แต่บอสก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าคุโระกับชิโระจะเข้ามาอาบน้ำด้วย  แต่เสียงที่ตามมาทำให้บอสที่นั่งหันหลังให้ประตูในอ่างอาบน้ำแทบจะไถลจนจมน้ำ

      “เอ่อ... คือพี่ขออาบน้ำด้วยคนได้ไหม”  เสียงของฟรีซเซียร์ดังขึ้นทางด้านหลังทำให้บอสแทบหันหลังขวันเพราะตกใจว่าทำไมฟรีซเซียร์มาอยู่ตรงนี้ได้  แต่แท้จริงแล้วบอสลืมล็อคห้องต่างหาก

      “ต...แต่ถ้ามีคนมาเห็นจะแย่นะครับ”  บอสพยายามหาทางหนีทางอื่น  เพราะอยู่ในห้องน้ำแล้วมันจะลื่นล้มง่ายมากๆ

      “ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ล็อคห้องไว้แล้ว”  ฟรีซเซียร์ใช้ปีกปิดแก้มไว้เพื่อบังหน้าแดงๆของเธอ  แต่บอสกำลังจะเถียงในใจ

        ‘ไม่ถงไม่ถามผมซ๊ากกกคำ’

        ถึงบอสจะพยายามเถียงมากแค่ไหน  สุดท้ายฟรีซเซียร์ก็เข้ามาอยู่ดี

      “ถ...ถ้างั้น พี่ฟรีซเซียร์ช่วย... ถูปีกให้หน่อยสิครับ...”  บอสพูดแล้วหันหลังให้ฟรีซเซียร์เพื่อให้ฟรีซเซียร์ช่วยถูปีก  และที่ขอให้ช่วยเพราะไม่อยากเห็นฟรีซเซียร์ตอนอยู่ในร่างมังกร...ทำตัวไม่ถูกจริงๆ

      “ได้จ๊ะ”  ฟรีซเซียร์ยินดีเต็มที่แล้วนำปีกของเธอจุ่มน้ำ  แล้วถูปีกให้บอสจนสะอาด

      “อ่ะ สะอาดแล้วจ๊ะ เช็ดปีกให้พี่บ้างสิ”  ฟรีซเซียร์พูดเสร็จแล้วหันปีกให้บอส  ซึ่งบอสก็ตกใจทันที  แต่ฟรีซเซียร์ก็ช่วยถูปีกให้แล้ว  ก็เลยเช็ดปีกให้ฟรีซเซียร์กลับ

      “อ๊า...”  ระหว่างที่บอสเช็ดปีกให้  จู่ๆฟรีซเซียร์ก็ทำเสียงแปลกๆ  บอสเลยรีบยกมือออกเพราะกลัวฟรีซเซียร์เจ็บ

      “ข...ขอโทษครับ...”

      “ม...ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ... เช็ดต่อเถอะ”  ฟรีซเซียร์พูดเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไร  แต่จริงๆกำลังกลบเกลื่อนเรื่องเสียงที่เผลอทำเมื่อสักครู่ต่างหาก  เพราะตอนนี้ฟรีซเซียร์หน้าแดงเรียบร้อยแล้ว

      “เช็ดเสร็จแล้วครับ ผมขอตัวไปนอนเลยนะครับ”  บอสรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องน้ำทันที  จากนั้นก็แปลงให้เป็นร่างมนุษย์เหมือนเดิมในสภาพชุดนอน  จากนั้นก็ล้มลงนอนบนเตียง

      “ถ้างั้น พี่ขอนอนด้วยได้ไหม...”  ฟรีซเซียร์พูดขึ้นด้วยความอาย

      “แล้วทำไมถึงไม่ไปนอนห้องพี่เองละครับ”  บอสเถียงในขณะที่หาวหวอดๆ

      “ก็... พี่เหงา...”  ฟรีซเซียร์พูดด้วยเสียงที่หมองลง  บอสจึงถอนหายใจเบาๆ

      “ก็ได้ครับ...”  บอสพูดเสร็จ  ฟรีซเซียร์ก็โผเข้ากอดบอสทันที

      “พ...พี่ฟรีซเซียร์...”  บอสตกใจที่อยู่ๆฟรีซเซียร์ก็โผเข้ากอด

      “ขอบคุณนะ...”  ฟรีซเซียร์พูดออกมาเบาๆ  ทำให้บอสใช้มือลูบหลังราวกับปลอบประโลม  แต่ซักพักฟรีซเซียร์ก็ผลอยหลับไป  บอสจึงบอสให้คุโระกับชิโระขึ้นมานอนบนเตียง  แล้วก็ปิดไฟที่หัวเตียง  จากนั้นก็นอน...

Link to comment
Share on other sites

ผู้กำกับ : อืม... ให้ท่าขนาดนี้ แค่นอน?

Gold : (ทุบหัวผู้กำกับแล้วโยนเข้าห้องนอนตัวเองที่ลาติ๊จังรอเหยื่อรายใหม่อยู่)

Gold : ดูท่าจะไม่ได้นอน

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.

×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.