Jump to content
We are currently closing new member registration for the time being. We apologize for the inconvenience. ×

Noname Legend - ตำนานไร้ชื่อ : The Lost Alphabet Santuary


Version5

Recommended Posts

  • Replies 387
  • Created
  • Last Reply

Top Posters In This Topic

  • Version5

    164

  • Loveless Nova

    93

  • SKYNET

    66

  • Tym

    34

Top Posters In This Topic

Mewtwo : When you leave my colors fade to gray...

Beta : แต่ปกติสีผิวเธอมันก็สีเทาอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ.....

Mewtwo : ..........(ผิวบางส่วนฉันยังเป็นสีม่วงย่ะ!)

-----------------------------------------------------------------

จบภาคแล้ว! โอ้ว!! ยังงี้ต้องมอบรางวัล!!

OKob4d02.jpg

Mewtwo : ฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีเธอ ได้โปรดอย่าทิ้งฉันไว้ลำพัง...

GCg3c5b0.jpg

Mewtwo : รัก...ไม่รัก...รัก...ไม่รัก....เบต้า....นายจะรู้สึกรักฉันเหมือนที่ฉันรักนายบ้างหรือเปล่านะ....

IEi5e717.jpg

Delta : ฉันอยากรู้จริงๆ รูก้า....นัตย์ตาสีงามของเธอนั้นมองเห็นฉันเป็นคนที่เธอรัก หรือเป็นเพียงเจ้านายเท่านั้น...

[me=The Adventurer_Vava]เผ่น!![/me]

Link to comment
Share on other sites

V.5 : .......(Save as...)

เบต้า+มิวทู+เดลต้า+รูคาจัง : ...o[]o"

มิวทู : เบต้าอย่ามองนะ... บอสด้วย

บอส : (เกี่ยวไรด้วยอะ- -")

รูคาจัง : ......(o///o")

Link to comment
Share on other sites

คำเตือน : Side Story เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับโปเกมอนแต่อย่างใด  กรุณาทำใจซักนิดว่าจะเกี่ยวข้องกับโปเกมอนนะ = ="

      “เอ่อ...พี่เรซิรั่มครับ พี่เรซิรั่มไปเจอพี่เซคร่อมได้ยังไงครับ”  บอสถามขึ้นหลังจากที่กินเลี้ยงเสร็จแล้ว ส่วนเหตุผลที่ถาม...(ถ้าไม่ถามก็ไม่เกิดตอนนี้สิฟระ: V.5)

      “อ๋อ...ที่จริงก่อนหน้านี้ฉันกับเซคร่อมไม่ใช่โปเกมอนนะ”  เรซิรั่มพูดยิ้มๆ  แต่ทำให้บอสอึ้งไปซักพัก  และเพราะบอสอึ้งทำให้เบต้ากับมิวทูเข้าร่วมวงด้วย

      “มะ...หมายความว่าไงครับ= =” ”  บอสตะกุกตะกักถาม...  ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นโปเกมอนแล้วเป็นไรอะ

      “ก่อนหน้านี้ฉันกับเซคร่อมเป็นมนุษย์ อยู่ในอีกดาวหนึ่งที่ห่างจากที่นี่มากเลย...”  เรซิรั่มพูดแล้วทำหน้าหมองลง  ทำให้บอสรู้สึกผิดที่ถาม

      “เอ่อ...ไม่ต้องเล่าก็ได้ครับ”

      “ไม่เป็นไรหรอก ถามมาแล้วก็ต้องตอบสิ พูดได้ไหม เซคร่อม...”  เรซิรั่มพูดอย่างร่าเริง  ส่วนเซคร่อมก็ได้แต่เงียบ แต่ก็พยักหน้าตอบรับ

      “คือ...เรื่องมันอย่างนี้นะ...”  เรซิรั่มกำลังจะเล่าให้ฟัง  แต่เซคร่อมก็ขอเล่าก่อน

                                                                      The Dark Bright…

                                                                            บทนำ

        เหตุใดแสงและมืดจึงต้องอยู่คู่ขนานกันด้วย...  เหตุใดที่แสงกับความมืดต้องต่อสู้กันมายาวนาน...  เพราะความแตกต่างหรือ...  เพราะไม่ใช่พวกเดียวกันหรอ...  หรือเพราะว่าต้องการครองอำนาจทั้งหมดกันแน่...  แต่พวกเราก็ยังอยากจะได้อย่างเดียว...  คือต้องการอิสระจากโลกลาเนีย...  ต้องการเป็นอิสระจากทั้งมวล...

Link to comment
Share on other sites

แตกต่าง กลมกลืน ขัดแย้ง แต่ก็ต่างอยู่เพื่อกันและกัน....ความมืดและแสงสว่าง...

Link to comment
Share on other sites

Side 01 : The Dark <บทที่ 57>

        เมื่อข้าลืมตาตื่นมองดูโลกแห่งนี้เป็นครั้งแรก...  ข้าก็ได้ขึ้นตำแหน่งเป็นทั้งเจ้าชายแห่งความมืดและหัวหน้านักรบพร้อมกัน...นามว่า อัลเลอร์ ดิ ดาร์ค  ทั้งๆที่ข้าเพิ่งเกิดแท้ๆ  กลับต้องมาจับดาบ  ข้าเติบโตมาพร้อมกับดาบ...  ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปีของข้าหมดไปกับการฝึกวิชาดาบและเวทมนตร์...

 

        เมื่อข้าอายุ 6 ปี  เสด็จแม่ก็ล่วงลับไป...  ทั้งๆเสด็จแม่ล่วงลับเพราะอายุขัย...  แต่ทุกคนกลับเชื่อว่าเป็นฝีมือของพวก ดิ ไลท์ แน่ๆ  แต่ข้ากลับไม่เชื่ออย่างนั้น...  เพราะก่อนที่เสด็จแม่ล่วงลับไป...  เสด็จแม่ทรงพูดกับข้าอยู่เสมอ...  ว่าอย่าไปโกรธเกรี้ยวกับ ดิ ไลท์ ให้มากนัก...  เพราะดิ ไลท์ เองก็เหมือนกับเรา...  เป็นมนุษย์กลุ่มหนึ่ง...  แต่เพราะความเชื่องมงายทำให้ต้องมาต่อสู้ฆ่าฟันมาทุกยุคทุกสมัย...  ข้าถูกสอนจากเสด็จแม่เช่นนั้น...

        เมื่อข้าอายุครบ 12 ปี  เสด็จพ่อเริ่มโกรธเกรี้ยวกับ ดิ ไลท์ มาก  เพราะการสูญเสียพระราชินีทำให้เสด็จพ่อทรงประชวรบ่อยครั้ง...  แต่ข้ากลับคิดว่านับว่าเสด็จพ่อเริ่มบ้าคลั่ง...  เริ่มอยากจะฆ่า ดิ ไลท์ ให้หมดทั้งปวง...  เพราะอะไร...  ทำไมเสด็จพ่อถึงไม่คิดอย่างอื่นนอกจากการทำลาย ดิ ไลท์...

        เมื่อข้าอายุ 15 ปีบริบูรณ์  เสด็จพ่อสั่งให้ข้าเป็นนักฆ่า  ข้าไม่อยากจะตกลง...  แต่ข้าไม่มีทางเลือก  เพราะถ้าข้าปฏิเสธ...  ข้าคงโดนเสด็จพ่อประหารเพราะขัดคำสั่งเป็นแน่  หลังจากเสด็จแม่เสียชีวิต  เสด็จพ่อก็ชอบการประหาร  ทุกเดือนต้องมีชาวเมืองโดนประหารอย่างน้อยหนึ่งคน...  ข้าคิดว่านี่มันบ้าไปแล้ว...  นี่ไม่ใช่เสด็จพ่อคนเดิม...  มีเพียงอาจารย์สอนวิชาดาบของข้าที่คิดเหมือนกับข้า...

        อาจารย์ข้าเป็นคนดีมาก  และเก่งมากด้วย  ข้ายกย่องอาจารย์ยิ่งกว่ายกย่องเสด็จพ่อเสียอีก...  ตอนที่ข้าต้องเข้ากลุ่มนักฆ่า  อาจารย์ข้าทำทุกอย่างไม่ให้ข้าเป็นนักฆ่า...  แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว

        ข้าพยายามทำงานให้น้อยที่สุด...เพื่อไม่ให้ใครโดนข้าฆ่า...แต่เหมือนข้าคิดผิด...  เสด็จพ่อทรงโกรธมากที่ข้าปฏิเสธงานสำคัญไป...  ข้าไม่อยากรับงานแบบนี้...  งานสำคัญที่ข้าว่าคือ การสังหารเจ้าหญิงแห่ง ดิ ไลท์...

        แต่สุดท้ายข้าก็ต้องรับ...  แต่ข้าก็ไม่ยอมไปสังหาร  เสด็จพ่อทรงถามข้าบ่อยครั้งว่าเมื่อไหร่จะไปสังหารเสียที  แต่ข้าบอกกลับไปว่างานนี้ไม่มีกำหนดเวลาว่าจะสังหารตอนไหน  เสด็จพ่อจึงปริปากเงียบไม่พูดกับข้าอีกเลย...

        เมื่อข้าเห็นว่าทุกคนเริ่มเกลียดชังข้า...  แต่ข้าก็ไม่สนใจ  ข้ายังคงเป็นตัวของตัวเอง  ทุกวันหมดไปกับการฝึกวิชาดาบและเวทมนตร์เหมือนเดิม  แต่เพราะข้าเป็นนักรบชั้นแนวหน้าที่ไม่มีใครใน ดิ ดาร์ค สามารถสู้กับข้าได้แม้แต่เสด็จพ่อ...  ทุกคนจึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แต่เหมือนเริ่มรบเร้าอยากให้ข้าไปสังหารเจ้าหญิงเสียที...  ข้าจึงอยากไปดูเมืองใน ดิ ไลท์ ว่าเป็นอย่างไร...  โดยให้ข้ออ้างว่า ไปดูสถานที่ก่อนไปสังหาร  ทุกๆคนก็สนับสนุนข้าเต็มที่  สอนข้าเกี่ยวกับการปลอมตัวไม่ให้ ดิ ไลท์ รู้ว่าข้าเป็นใคร  ไปจนถึงการใช้ชีวิตที่นั่นเมื่อข้าอายุสิบหกปี

        เมื่อข้าได้ไปสถานที่ตั้งแห่ง ดิ ไลท์...  สิ่งแรกที่ข้าคิดคือ  ที่นี่สว่างสมชื่อ  บ้านเรือนสีขาวต่างจากบ้านเกิดข้าที่เป็นสีดำ...  ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนตรงข้ามกับ ดิ ดาร์ค หมด...  ไม่ว่าจะเป็น การดำรงชีวิต  ความเชื่องมงาย  ไปจนถึงการสูญเสีย...

        ข้าได้ยินข่าวการสูญเสียก็วันที่สองที่มาอยู่ที่นี่...  เป็นการสูญเสียขององค์ราชาด้วยสาเหตุเดียวกับการสูญเสียเสด็จแม่...  ที่นี่ต่างเชื่อว่าการสูญเสียครั้งนี้เพราะมาจาก ดิ ดาร์ค...  ทำไมถึงมีคนคิดแบบนี้...  ไม่มีความอื่นแบบอื่นอีกหรือไง...

        ข้าอยู่ที่นี่มาพักหนึ่ง...  สิ่งที่ข้าคิดคือ ความโดดเดี่ยว...  ข้าไม่มีเพื่อน  สิบหกปีที่ข้าใช้ชีวิตไม่มีเพื่อนเลย...  มีเพียงอาจารย์สอนวิชาดาบข้าเท่านั้นที่คอยอยู่เป็นเพื่อน...  คนวัยเดียวกับข้าไม่ค่อยมายุ่งกับข้าเพราะข้าชอบมีความคิดแตกต่างจากคนอื่น...

        ข้าเริ่มอยากมีเพื่อนที่นี่...  แต่ข้าจนปัญญาว่าจะไปหาเพื่อนที่ไหน...  ข้าจึงลองเชื่อโชคชะตาที่ข้าไม่เชื่อมาตลอด...  ข้าเดินตรงบ้าง เลี้ยวบ้าง วกกลับบ้าง...  เหมือนคนไม่มีจุดหมายในชีวิต...

        ข้าหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งเมื่อข้ารู้สึกตัว...  ข้ามาอยู่ในพระราชวังของ ดิ ไลท์ โดยที่ไม่มีใครรู้เลยแม้แต่น้อย...  ข้าอยู่หน้าห้องสีขาวบริสุทธิ์... 

        ข้ารวมความกล้าเพื่อเปิดประตูบานนั้น...  แต่เหมือนคนที่อยู่ในนั้นจะเปิดประตูพร้อมกับข้าพอดี...  ข้าเห็นหญิงสาวอายุน่าจะวัยเดียวกับข้า...  เป็นหญิงสาวผมขาวบริสุทธิ์ยาวจนถึงเอว...  ดวงตาสีฟ้าใสดูไร้เดียงสา...  ข้าเห็นแล้วเหมือนข้าพบกับ “ความรัก”  มากกว่า “เพื่อน”

        หญิงสาวเหมือนจะตกใจที่ข้ามายทนอยู่หน้าห้อง...  แต่เหมือนสาวคนนั้นจะยิ้มแล้วเชิญเข้าห้องทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน...  ช่างไร้เดียวสาเกินไปแล้ว..

        หญิงสาวบอกว่าอยากมีเพื่อนคุย...  เหมือนข้าทุกอย่าง...

      “ข้าอยากมีเพื่อนคุยเหมือนกัน...”  ข้าตอบกลับไป...  เหมือนหญิงสาวจะดีใจมาก

      “จริงหรอ องค์ชายแห่ง ดิ ดาร์ค”  ข้าตกใจมากที่หญิงสาวรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นเจ้าชายแห่งดิ ดาร์ค...  แต่หญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะป้องกันตนเองแม้แต่น้อย...

      “ท่านรู้ได้อย่างไร...”  ข้าทำหน้าเครียด...  ที่จริงข้าควรจะหนีไป  แต่ข้ากลับไม่ทำอย่างนั้น...ข้าเองก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่หนี

      “เพราะกลิ่นอายของท่านไม่ใช่ของที่นี่...แถมพลังที่ออกมาก็มากด้วย...ข้าถึงคิดว่าเป็นท่าน”  หญิงสาวพูดออกมา  ทั้งๆที่รู้ว่าข้าเป็น ดิ ดาร์ค แต่หญิงสาวก็ไม่คิดจะต่อสู้... มีแต่ท่าทางที่เป็นมิตรนี้...ข้าคิดได้อย่างเดียวหญิงสาวผู้นี้ไร้เดียงสามากๆแน่...

      “แล้วทำไมท่านจึงไม่คิดจะป้องกันข้าหละ...ข้าอาจจะมาฆ่าท่านก็ได้”  ข้าลองถามหญิงสาวดู...ข้าอยากรู้เหตุผลว่าทำไมหญิงสาวถึงไม่คิดจะป้องกัน

      “ท่านไม่ทำอย่างนั้นหรอก...แววตาท่านไม่มีสายตาการอาฆาต มีแต่ความอ้างว้าง...โดดเดี่ยว...เหมือนกันข้า...”  หญิงสาวพูดน้ำเสียงโศกเศร้า...เป็นเสียงที่ข้าฟังแล้วช่างเหมือนกับข้า...โดดเดี่ยวไร้เพื่อน…ทำให้ข้าคลายเวทย์ปลอมตัว  เมื่อข้าคลายเวทย์ปลอมตัวเหมือนหญิงสาวจะหยุดนิ่งไปซักพักหนึ่ง

      “ท่านจะเป็นเพื่อนกับข้าไหมหละ”  หญิงสาวพูดอย่างไร้เดียวสาทำให้ข้ารู้สึกได้ถึงความเป็นมิตร...  ถ้าเป็นคนอื่นข้าปฏิเสธไปแล้ว...แต่ทำไม...ข้าถึงอยากตอบตกลงเหลือเกิน

      “...จะดีหรอ...ข้าเป็นถึงเจ้าชายแห่ง ดิ ดาร์คนะ...”

      “ไม่ก็ไม่เกี่ยวกันซะหน่อย...ถึงจะเป็นอีกฝ่าย...หรือจะแตกแยก...ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้...ข้าถูกท่านพ่อสอนเช่นนั้น...”  หญิงสาวทำหน้าหมองลง...ข้ามองแล้วใบหน้านั้นช่างไม่เหมาะกับหญิงสาวเลย...

      “...ก็ได้...”  ข้าตอบตกลงไป...เพราะข้าอยากมีเพื่อนหรือข้าอยากเป็นเพื่อนหญิงสาว...ข้าเองก็ไม่รู้  แต่เพราะข้าตอบตกลง  หญิงสาวดูเหมือนจะดีใจมากๆ

      “ข้าเป็นเจ้าหญิงแห่ง ดิ ไลท์...ชื่อ มิรา ดิ ไลท์...มิรา มาจากคำว่า มิราเคิล(ปาฏิหาริย์) แล้วท่านหละ”  มิราถามด้วยน้ำเสียงดีใจ...จนเหมือนยิ่งพูดกับเธอ... ข้ายิ่งรู้สึกหลงใหลเธอมากขึ้น...

      “ข้าชื่อ อัลเลอร์ ดิ ดาร์ค...”

      “เหรอ...งั้นพรุ่งนี้มาที่นี่อีกได้ไหม...”  มิราถามข้า...ซึ่งข้าอยากตอบคำถามนั้นว่า ‘ได้’ เหลือเกิน...  แต่ถ้าข้าถูกจับได้หละ...  เธอจะมีส่วนโดนลงโทษด้วยรึเปล่า...  แต่ปากข้ากลับตอบโดยที่จิตใจข้าห้ามไม่ทัน

      “ได้...ข้าตกลง”

      “จริงหรอ...พรุ่งนี้มาใหม่นะ อัลเลอร์...”

ปล.ของตอนนี้

ตัวอักษรเยอะสุดๆ= =" ลองมาอ่านในนี้แล้วมึน

Link to comment
Share on other sites

Side 02 : The Bright <บทที่ 58>

        เมื่อข้าเกิดมา...ข้าก็ได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์แห่งดิ ไลท์...นามว่า มิรา ดิ ไลท์...  ท่านแม่ของข้าเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้...  เพราะว่าก่อนข้าเกิดมา  ก็ได้ถูกทำนายไว้ว่า  จะเป็นผู้ที่ทำให้เกิดปาฏิหาริย์...  แต่จะออกมารูปแบบไหน...ข้าเองก็ไม่รู้

        ข้าเติบโตอยู่แต่ในส่วนพระราชวัง...  ข้าไม่เคยได้ออกนอกอาณาเขตส่วนนี้เสียที...ข้าคิดว่าเพราะเหล่าเสนาบดีต่างกลัวว่าข้าออกไปแล้วจะเป็นอันตรายต่อข้า...หรือต่อประชาชน... หรือว่าเกรงกลัวข้ากันแน่จึง ‘ขัง’ อยู่ในพระราชวังกันแน่...

        ข้าได้แต่มองนอกหน้าต่างเพื่อดูอาณาจักรเท่านั้น...สิ่งที่ข้าฝันมีเพียงอย่างเดียว...อยากออกจากที่แห่งนี้...  เพราะความเป็นเด็กของข้านั้นอยากรู้อยากเห็น...  ข้าจึงแอบออกไปโดยไม่มีใครรู้...แต่พอข้าก้าวออกจากอาณาเขต...  สติข้าก็ดับลง...

        เมื่อข้าอายุหกปี  ข้าก็ได้ร่ำเรียนแต่เวทมนตร์  บางครั้งข้าก็คิดว่าสอนอย่างอื่นไม่ได้เหรอ...ข้าอยากเรียนรู้อย่างอื่นบ้างที่ไม่ใช่แค่ เวทมนตร์...  แต่เมื่อข้าอายุสิบสองปี...เหล่าเสนาบดีก็ให้ข้าเริ่มฝึกใช้ดาบ...  สำหรับข้า  ข้าไม่อยากจับดาบเลย  อาจเพราะว่าข้ากลัว  หรืออย่างไรก็ไม่รู้...  แต่ท่านพ่อท่านแม่ขอร้องให้ฝึกไว้เผื่อเหตุจำเป็น  ข้าจึงจำเป็นต้องฝึก...ทั้งๆที่ข้าไม่ชอบแม้แต่น้อย...

        เมื่อข้าเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง...เริ่มแยกว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดีได้...ท่านพ่อก็จากข้าไป...  ข้าเสียใจมากจนเก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่ไปไหนสามวันสามคืน...  ถ้าข้าจำไม่ผิดตอนนั้นคงอายุหกปี...

        ท่านพ่อกับท่านแม่สอนข้าเสมอ...ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ศัตรู...  ศัตรูคือคนที่มาทำร้ายเรา...  แต่เราก็ควรแยกให้ออกว่าคนไหนดี  คนไหนไม่ดี...  สำหรับข้าแล้ว...จะ ดิ ไลท์ หรือ ดิ ดาร์ค ข้าก็คิดว่าทุกสิ่งเป็นคนดี...  ข้าคิดว่าไม่มีอะไรที่ดีเกินไปและไม่มีอะไรที่ไม่ดีเกินไป...  เหล่าเสนาบดีที่รู้ว่าข้าคิดอย่างนี้ก็เริ่มค่อยๆจองจำข้า...เพราะกลัวว่าข้าจะต่อต้านหรอ...ข้าก็ไม่รู้

       

ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่...  ข้าเองก็ยิ่งโดนจองจำมากขึ้นเท่านั้น...  เมื่อก่อนข้าสามารถอยู่ในส่วนลึกของพระราชวังได้...แต่บัดนี้  ข้าอยู่ได้แค่ในห้องของข้ากับห้องของท่าแม่เท่านั้น...  ข้าอยากรู้ว่าทำไมแต่ท่านแม่ก็ช่วยอะไรไม่ได้...  ท่านแม่เองก็คิดเหมือนข้า...แต่ดูเหมือนว่าเหล่าเสนาบดีนับวันจะยิ่งเอาใหญ่ขึ้นไปทุกที...  ข้าทำอะไรผิดไปเหรอ...

        ข้าได้ร่ำเรียนวิชาความรู้แขนงต่างๆนับไม่ถ้วน...  ตั้งแต่การดำรงชีวิตในสังคมไปจนถึงสิ่งที่ข้าไม่อยากจะรู้...การสังหารคน...

        สำหรับข้า... การสังหารใครถือเป็นเรื่องร้ายแรง...ข้าไม่ชอบการสังหาร...เพราะมันนำมาแต่ความสูญเสีย  ไม่ได้นำผลดีอะไรกลับมาเลย...  ฝ่ายสูญเสียก็มีแต่การสูญเสีย...ถึงบางครั้งการสังหารใครก็เป็นเรื่องดี...แต่ข้าไม่อยากจะสังหารใครเลย...

        เมื่อข้าอายุสิบห้าปีบริบูรณ์...  เหมือนข้าจะคิดไปเองว่าสีตาของข้าเปลี่ยนจากสีเขียวอ่อนเป็นสีฟ้าใส...  ถึงข้าไม่รูว่าทำไมแต่ข้าก็ชอบสีนี้มาก...  สำหรับข้า สีฟ้าเป็นสีแห่งความสดใส...  ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ชอบสีนี้เหมือนกัน...  ข้าคิดว่าท่านพ่อยังอยู่กับข้าเสมอ...สีตาของข้าจึงเปลี่ยนเป็นสีฟ้า...  แต่กับเหล่าเสนาบดี...พวกนั้นคิดว่าข้าเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง...

        พลังเวทย์ของข้าเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆโยไร้สาเหตุ...มันอาจจะเป็นผลดีสำหรับข้า  แต่มันเป็นผลเสียสำหรับเสนาบดี... พวกนั้นคิดว่าข้าเริ่มต่อต้าน  จึงเริ่มคิดจะกำจัดข้าในทางอ้อม...  ที่จริงข้าควรรู้ตั้งนานแล้ว...แต่ตอนนั้นข้าคงไร้เดียงสาเกินไป...

        วันหนึ่ง  ข้าเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังที่แปลกประหลาด...  พลังนี้...ข้าคิดว่าน่าจะเป็นพลังของ ดิ ดาร์ค...  แต่มาที่นี่ทำไมกัน...  ข้ารู้สึกได้อีกว่ามาแค่คนเดียว

        หลังจากวันที่ดิ ดาร์ค มาที่นี่หนึ่งวัน  ข้าลองจับจิตดู  จิตที่ข้าจับได้มีแต่จิตแห่งความโดดเดี่ยว...  เหมือนกับข้าไม่มีผิด...  สิ่งแรกที่ข้าคิดคือ  อยากเป็นเพื่อนกับคนนั้น...  เพราะมีคนเคยบอกว่า  ถ้าคนที่ไร้เพื่อนมาเจอกับคนที่ไร้เพื่อน  เมื่อเป็นเพื่อนกันจะเป็นมิตรแท้ที่ดีที่สุด...  ข้าคิดอย่างนั้นเสมอ...  แต่จะทำอย่างไรได้ให้คนๆนั้นมาหาข้า...  ข้าไม่สามารถออกจากส่วนลึกของพระราชวังได้  และ  ไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาในพระราชวังได้หากพระราชวังไม่ต้องการให้ใครเข้ามา...  ข้าจึงหมดหวัง...แต่ในใจก็แอบคิดลึกๆตลอดว่า...อยากเป็นเพื่อนกับคนๆนั้น

        แต่เหมือนข้าสมปรารถนา  ไม่รู้ว่าทำไมคนๆนั้นถึงเข้ามาในนี้ได้  ข้าเหม่อลอยไปชั่วขณะโดยข้าเองก็ไม่รู้ว่าเหม่อลอยได้อย่างไร...  แต่เมื่อสติข้ากลับมา  ข้าจับจิตได้ว่าคนๆนั้นอยู่หน้าประตูห้องข้า...  คนๆนั้นทำได้อย่างไร...

        ข้าลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง...  คนๆนั้นจะมาที่นี่ทำไม...  ถ้าเป็นคนอื่นคงคิดว่าจะมาลอบสังหารตนเป็นแน่...แต่ข้าไม่คิดอย่างนั้น...  ข้ารวบรวมความกล้าผลักประตูบานนั้นออก...  ข้าพบกับชายหนุ่มอายุเท่าข้า...  ข้าเห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้ใช้เวทย์ปลอมตัวเพื่อไม่ให้โดนสงสัย...  แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้...

      “เข้ามาก่อนเถอะ...ข้าอยากมีเพื่อนคุย”  ข้าบอกอย่างไร้เดียงสา...คงเพราะตอนนั้นข้าคงไร้เดียงสามาก...  ชายคนนั้นลังเลครู่หนึ่งก็เข้ามาในห้องของข้า...

      “ข้าอยากมีเพื่อนคุยเหมือนกัน...”  ชายคนนั้นตอบ...  ข้าได้ยินคำตอบนั้นแล้วรู้สึกดีเป็นอย่างมาก...  เพราะอย่างน้อยข้าก็ได้เจอคนที่มีความรู้สึกแบบเดียวกับข้า...  โดดเดี่ยว...  ไร้เพื่อน...

      “จริงหรอ องค์ชายแห่ง ดิ ดาร์ค”  ข้าดีใจจนเผลอพูดในสิ่งที่ข้าลองคาดคะเน...  เพราะพลังเวทย์ในตัวชายคนนี้มีมาก...อย่างน้อยต้องมีระดับองค์ชายหรือสูงกว่าเป็นแน่...

        ชายคนนั้นถามข้าว่ารู้ได้อย่างไร  ข้าก็ตอบแบบไร้เดียงสา...  อาจจะเป็นเพราะว่าข้าไม่เคยพูดกับใครนอกจากอาจารย์สอนเวทมนตร์ของข้า  ทำให้ข้าไร้เดียงสาได้ขนาดนี้...

      “เพราะกลิ่นอายของท่านไม่ใช่ของที่นี่...แถมพลังที่ออกมาก็มากด้วย...ข้าถึงคิดว่าเป็นท่าน”  ข้าพูดเหตุผลที่ข้าคิดขึ้นมาดู...  แต่ชายคนนั้นทำหน้าเครียด...  ข้าคิดว่าข้าพูดอะไรไม่ดีออกไป...  แต่เปล่าเลย  ชายคนนั้นถามกลับมา

      “แล้วทำไมท่านจึงไม่คิดจะป้องกันข้าหละ...ข้าอาจจะมาฆ่าท่านก็ได้”  ข้าได้ยินคำถามจากชายคนนั้นแล้วข้าก็หัวเราะเบาๆอย่างไร้เดียงสา...

      “ท่านไม่ทำอย่างนั้นหรอก...แววตาท่านไม่มีสายตาการอาฆาต มีแต่ความอ้างว้าง...โดดเดี่ยว...เหมือนกันข้า...”  ข้าพูดแล้วก็พลางเสียใจ...เพราะข้าไม่อยากโดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว...ขอแค่ครั้งนี้เถอะ...ขอให้ข้าได้มีเพื่อนบ้างเถอะ...

        หลังจากที่ข้าพูดซักพัก...ชายคนนั้นก็คลายเวทย์ปลอมตัว...  เป็นชายหนุ่มผมสีดำ  นัยน์ตาสีแดงแต่แฝงไปด้วยความโดดเดี่ยว...  ข้าเห็นแล้วเหมือนใจของข้าเต้นผิดปกติโดยข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม...

      “ท่านจะเป็นเพื่อนกับข้าไหมหละ”  ข้าพูดอย่างไร้เดียงสา...แต่จริงๆแล้วข้าอายที่จะพูด...ไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงอาย...

      “...จะดีหรอ...ข้าเป็นถึงเจ้าชายแห่ง ดิ ดาร์คนะ...”  ชายหนุ่มตอบกลับ  ซึ่งข้าก็ไม่เข้าใจอยู่เล็กน้อย...เพราะความไร้เดียงสาในตอนนั้นของข้า...

      “ไม่ก็ไม่เกี่ยวกันซะหน่อย...ถึงจะเป็นอีกฝ่าย...หรือจะแตกแยก...ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้...ข้าถูกท่านพ่อสอนเช่นนั้น...”  ข้าพูดถึงท่านพ่อแล้วข้าก็เศร้า...  เพราะท่านพ่อเป็นคนดีมาก...ข้าอยากจะอยู่กับท่านพ่อต่อไป...แต่มันคงเป็นไปไม่ได้...

      “...ก็ได้...”  ชายหนุ่มตอบกลับมา...  ทำให้ข้าดีใจมาก  เพราะข้าใฝ่ฝันว่าอยากมีเพื่อนมาตลอด...และตอนนี้ข้าก็มีแล้ว...

      “ข้าเป็นเจ้าหญิงแห่ง ดิ ไลท์...ชื่อ มิรา ดิ ไลท์...มิรา มาจากคำว่า มิราเคิล(ปาฏิหาริย์) แล้วท่านหละ”  ข้าพูดแนะนำตนเอง...  แต่ชายหนุ่มเหมือนจะหลงใหลอะไรบางอย่าง...

      “ข้าชื่อ อัลเลอร์ ดิ ดาร์ค...”  ชายหนุ่มแนะนำตนเอง  ข้าฟังชื่อแล้วเหมือนใจของข้ากระตุกวาบโดยที่ข้าก็ไม่รู้อีกครั้ง...เหมือนข้าเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆ

      “เหรอ...งั้นพรุ่งนี้มาที่นี่อีกได้ไหม...”  ข้าถามกับอัลเลอร์...  ซึ่งคำตอบที่ข้าอยากได้ยินคือ ‘ได้’…  เพราะข้าอยากมีเพื่อนคุย...อยากมีเพื่อนที่ทำให้ข้ามีความสุข...

      “ได้...ข้าตกลง”  อัลเลอร์ลังเลแต่ก็ตอบมา

      “จริงหรอ...พรุ่งนี้มาใหม่นะ อัลเลอร์...”

Link to comment
Share on other sites

ความขัดแย้ง ชิงชัง ไม่ใช่สิ่งที่สืบทอดได้ผ่านสายเลือด...

Link to comment
Share on other sites

ตอนใหม่... 2คน...2ด้าน... แต่เนื้อเรื่องเหมือนกันครับ เลือกอ่านแค่ตอนเดียวก็ได้ แต่จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

ปล. ทำตอนแบบนี้ มันเหนื่อยกว่าทำตอนใหม่อีกแหะ= ="

Side 03 : The Dark Bright [Dark]<บทที่ 59/A>

        วันต่อมา...  ข้าได้มาตามทางที่ข้าเคยเดินจนถึงพระราชวังเพื่อพบกับมิราอีกครั้ง...  กลางคืนเมื่อก่อนข้าไม่คิดอะไรเลย...ไม่เคยฝันอะไรเลย...  แต่ทำไมคืนก่อนข้าถึงฝันแต่มิรา...ข้าเองก็ไม่รู้...เหมือนเมื่อวานเป็นแค่ความฝัน...

        ข้ามายังหน้าห้องอย่างที่มิรานัดข้าเอาไว้...  เมื่อข้าเคาะประตู  คนที่อยู่ข้างในก็รีบออกมาเปิดประตู

      “อะ...อรุณสวัสดิ์...อัลเลอร์”  มิราโผล่ออกมาแต่หัวเหมือนยังไม่อยากให้เห็นชุด... แต่ข้าได้ยินเสียงของมิราแล้วเหมือนข้าฝันไป...นี่ไม่ใช่ความฝันสินะ...

      “อรุณสวัสดิ์...เช่นกัน...”  เป็นครั้งแรกที่ข้าพูดคำทักทาย...ข้ารู้สึกแปลกๆเสมอเวลาอยู่กับมิรา...ข้าเองก็ไม่เข้าใจตนเองว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนี้...

      “เข้ามาก่อนเถอะ”  เหมือนมิราจะอายๆแต่ก็บอกให้เข้ามา...ข้าก็เข้าไป...แต่ข้าลืมอะไรไปอย่างหนึ่งซึ่งตอนนั้นข้าคงคิดไม่ถึง...ข้าอยู่ในห้องของผู้หญิง...ซึ่งตอนนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าห้องผู้หญิงเป็นอย่างไร...ข้าจึงไม่ค่อยสนใจ

        เมื่อข้าเข้ามาดูสภาพห้อง...  ห้องนี้ต่างจากเมื่อวานไปมาก...  เมื่อวานดูเป็นระเบียบเรียบร้อยแต่วันนี้ดูเหมือนจะรกไปซักนิด...ข้าลองหันไปดูมิรา...ทำให้ข้ารู้สึกแปลกๆยิ่งกว่าเดิม...  มิราใส่เสื้อบางมาก...บางจนเห็นสัดส่วนของมิรา...

      “อย่าจ้องข้าสิ...ข้าอายนะ”  มิราหน้าแดง...ข้าไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงหน้าแดง...แต่เธอบอกว่าอายข้าจึงหันหลังให้มิรา

      “ข้าขอโทษ...”  เป็นครั้งแรกที่ข้าพูดคำขอโทษ...  แต่ภาพนั้นช่างติดตาข้าจริงๆ

      “หันมาได้แล้ว”  มิราบอกกับข้า  ทำให้ข้าค่อยๆหันไปหาเธอ  ซึ่งเธอเอาผ้าห่มมาคลุมตัวอยู่...

        ทั้งวันที่ข้าอยู่กับมิรา...  เวลาหมดกับการพูดคุยเรื่องทั่วไป  จนถึงอนาคตจะทำอะไรต่อ...  เหมือนยิ่งข้าอยู่กับมิรานานขึ้น  ข้ายิ่งผูกพันธ์กับเธอมากขึ้นด้วย

        แต่เมื่อหมดวัน  ข้าก็จะค่อยๆออกจากพระราชวังอย่างระมัดระวังไม่ให้ใครเห็น  มันยากยิ่งกว่าการให้ข้าเชื่อฟังเสด็จพ่อเสียอีก...  แต่ข้าก็ยังพยายามมาหามิราทุกวัน...  และออกมาจากพระราชวังให้ปลอดภัย...  หากข้าถูกจับได้...  มิราจะต้องทุกข์ทรมานเพราะไม่มีเพื่อนเป็นแน่...

        ข้าอยู่ในเมืองนี้นานขึ้นเรื่อยๆ  เริ่มจากหนึ่งสัปดาห์...  จนกระทั่งหนึ่งเดือน...  ข้าจึงมาหามิราเป็นครั้งสุดท้าย...

      “มิรา...ข้าขอโทษนะ...วันนี้ข้าต้องกลับ ดิ ดาร์ค แล้ว...”  ข้าพูดแล้วมิราทำหน้าเสียใจ

      “พรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ...”

      “ไม่ได้หรอก...ถ้าข้าอยู่ที่นี่นานกว่านี้ทั้งข้ากับมิราจะเป็นอันตราย...”

      “...แล้วจะมาอีกเมื่อไหร่หละ”  มิราเริ่มกลั้นน้ำตา...  ข้าไม่อยากให้น้ำตาของมิราไหล...แต่ข้าทำไม่ได้...เพราะหากข้าอยู่ที่นี่ต่อไป....  น้ำตาของมิราอาจจะไหลมากกว่านี้เพราะพวก ดิ ดาร์ค ก็เป็นได้

      “ข้าไม่รู้...แต่ถ้ามีโอกาสข้าจะมาใหม่...”  ข้าถอนหายใจ...ที่จริง แค่คำว่า ‘โอกาส’  แทบจะไม่มีด้วยซ้ำ...  มิราเองก็น่าจะรู้ดี...เธอยังพยายามกลั้นร้องไห้...  ข้าจึงปลอบประโลมอย่างที่คนรักทำกัน...

      “!!!”  ข้าทำบางอย่างกับมิรา...  ถ้าตามที่คนทั่วไปเรียกคงเรียกว่า ‘จูบ’  เหมือนเธอจะตกใจมาก...

      “ข้าขอโทษนะ...”

      “มะ...ไม่เป็นไรหรอก...”  มิราเอามือของเธอแตะปากเธอเบาๆ  แล้วก็ร้องไห้ออกมา...แล้วจึงเข้ามากอดข้า...ข้าทำได้แค่ลูบเส้นผมของเธอ...  เส้นผมของมิราช่างสลวยเหลือเกิน...

        เมื่อมิราเลิกร้องไห้...แต่ก็ยังไม่อยากจากข้าไป...ข้าจึงอยู่กับเธอจนเธอหลับ...

        หลังจากเธอหลับสนิท...ข้ามองมิราเหมือนกับว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เจอเธอ  เพราะข้าก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอเธออีกเมื่อไหร่...อาจจะวันพรุ่งนี้...สัปดาห์ถัดไป...หรือไม่ได้เจอตลอดกาลก็เป็นได้...

        ข้าลูบเส้นผมของมิราเป็นครั้งสุดท้ายอย่างเบามือ...  แล้วจากนั้นข้าก็จูบหน้าผากของเธอ...แล้วข้าก็เดินจากไป...  ไปยังที่ข้าเคยมา...

        เมื่อข้ากลับมา...สิ่งที่ทุกคนหวังคือ...ข้าได้ฆ่าเจ้าหญิงแห่ง ดิ ไลท์...  แต่จริงๆข้าได้ ‘รัก’  เจ้าหญิงแห่ง ดิ ไลท์...  แต่ข้าบอกได้ว่า  ระบบการป้องกันของดิ ไลท์ แข็งแกร่งทำให้ข้าทำได้เพียงดูอยู่ห้างๆ  แล้วเจ้าหญิงไม่ยอมออกมาจากพระราชวังทำให้ข้าไม่สามารถเข้าสังหารได้...จึงได้กลับมาเพื่อหาแผนการใหม่ในการลอบสังหาร...

        แน่นอนว่าหลายคนเชื่อข้าแม้แต่เสด็จพ่อก็ยังเชื่อข้า...  แต่เหล่าเสนาบดีไม่เชื่อ...  ตั้งแต่ข้าออกมาจากดิ ดาร์ค  ข้าไม่รู้การเคลื่อนไหวของเสนาบดีเลยซักนิด...  ข้าเริ่มไม่เชื่อใจเหล่าเสนาบดี...

        แต่แล้ว...สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับข้า  เหล่าเสนาบดีบอกกับข้าว่าข้าสามารถเข้าออกจากเมืองนี้ได้อย่างอิสระ...  เหตุผลละ...  เสนาบดีไม่พูดอะไรต่อ...  ข้าเริ่มมีหวังว่าจะได้เจอกับมิราอีกครั้ง...

        วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ข้าได้รับการเข้าออกจากเมืองได้อย่างอิสระ...  ข้าแอบออกจากเมืองโดยที่ไม่มีใครรู้...  ข้าเดินเลาะตามแนวป่าเพื่อความรวดเร็ว...  จนเมื่อข้าเกือบถึงชานเมืองของ ดิ ไลท์  ข้าจึงใช้เวทย์แปลงตัวไม่ให้ใครจับพลังของข้าได้นอกจากมิรา...

        แต่สิ่งที่ข้าไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น  เมื่อข้าเข้าสู่ใจกลางเมืองของ ดิ ไลท์  ข้าได้พบกับมิรา...  เป็นไปได้อย่างไร...  มิราน่าจะอยู่ในพระราชวังไม่ใช่เหรอ

      “…”  จู่ๆมิราหันมาทางข้า  ข้าจ้องมิราแล้วช่างคิดถึงเหลือเกิน...  แต่แล้ว...

      “จับตัว ’พวกมัน’ ไว้...เร็ว!!!”  เสียงดังสั่งการขึ้น  จู่ๆพื้นก็เปล่งแสงจนข้ากับมิราหลับตา  เมื่อแสงหายสว่าง  ข้ากลับคลายร่างโดยที่ข้าไม่ได้สั่งพร้อมกับโดนเวทย์รัดตัวข้าเอาไว้...  ส่วนมิราก็เช่นกัน...

      “ท่านเสนาบดี...ท่านคิดจะทำอะไร”  มิราถามเหล่าเสนาบดีของ ดิ ไลท์...  แต่จู่ๆเสนาบดีของ ดิ ดาร์ค ก็เดินมาหาข้า

      “คิดไว้ไม่มีผิด...กะไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้...”  เหล่าเสนาบดีต่างยิ้มเยาะ...  ทำให้ข้าโกรธมาก...  แต่ถ้าขัดขืนตอนนี้คงไม่เป็นเรื่องดีแน่...ข้าจึงสงบสติอารมณ์ไว้...

      “เอา ‘พวกทรยศ’ ไปขังในห้องกระจก...แยกห้องด้วย”  เสนาบดีของ ดิ ไลท์ สั่งพวกทหาร...  ข้าและมิราจึงถูกจับกุม...

        ข้าถูกลากเข้าห้องขังซึ่งเป็นกระจกสองด้าน...ด้านซ้ายกับด้านขวา...  ด้านขวาเป็นห้องขังที่มิราโดนขังอยู่...

      “ไอ้ทรยศ...อย่าหวังว่าจะได้โดนขังแบบสบายๆนะ...”  เสนาบดีของ ดิ ดาร์คคนหนึ่งถือแส้เข้ามาหาข้า...  แล้วก็ฟาดข้าไม่ยั้ง

      “...”  เจ็บ...แต่ข้าไม่ยอมส่งเสียงความเจ็บปวดออกมา...  มิราที่อยู่อีกห้องเห็นแล้วก็พยายามทุบกระจก...เหมือนจะบอกบางอย่างแต่ข้าไม่ได้ยิน...

      “พอแค่นี้ก่อน...เดี๋ยวความสนุกจะไม่สนุกเอา”  เสนาบดีของ ดิ ดาร์ค  พูดแล้วก็เดินออกไป

        ข้าเหนื่อยหอบเพราะความเจ็บปวด...แต่ข้าเห็นมิราทุบกระจกตลอดเวลา...เธอต้องการจะสื่ออะไรกับข้ากันแน่...เมื่อข้านึกได้ว่าควรทำอย่างไร...ข้าจึงเปิดความรับรู้กระแสจิต...

      <ได้ยินเสียงข้าไหม...อัลเลอร์ตอบข้าด้วย...>  ข้าได้ยินเสียงของมิราที่กำลังกลั้นร้องไห้...เพราะเห็นข้าเจ็บปวดสินะ

      <ข้าไม่เป็นไร...แล้วคนที่อยู่ตรงนั้นละ...>  ข้าเหลือบไปเห็นผู้หญิงผมสีขาว...หน้าตาของคนนั้นช่างเหมือนมิราเลย...  แต่ดูชรากว่ามาก

      <ท่านแม่!!>  มิราตะโกนทางจิตทำให้ข้าตกใจ...แต่ทำไมแม่ของมิราถึงโดนขังด้วย...

      <...ลูกแม่...แล้วก็...นั่นใช่เจ้าชายแห่ง ดิ ดาร์ค ใช่ไหม...>  เสียงแม่ของมิราช่างหริบหรี่...บ่งบอกถึงอยู่ที่นี่มานานและเหมือนสติใกล้จะหลุดลอย...

      <ท่านแม่ทำใจดีๆไว้นะ...>  เสียงของมิราเริ่มสั่นคลอน...

      <แม่มีเวลาไม่มากแล้ว...พวกเสนาบดีของ ดิ ดาร์ค และ ดิ ไลท์ ได้จับมือกันเพื่อขับไล่คนของตระกูลใหญ่...ซึ่งก็คือ... ดิ ดาร์ค และ ดิ ไลท์...แล้วเมื่อพวกมันทำสำเร็จ...พวกมันจะได้เป็นใหญ่...แล้วคนที่เหลือก็จะถูกเหยียดหยาม...>  แม่ของมิราใช้กระจิตพูด  แต่เลือดก็เริ่มไหลออกทางปาก...

      <ลูกรัก...แล้วก็เจ้าชายแห่ง ดิ ดาร์ค...ถ้ามีโอกาสได้...รีบหนีไปจากโลกนี้โดยเร็ว...ก่อนที่จะสายเกินไป...แม่ได้บอกกับ...>  เสียงแม่ของมิราเริ่มเบาลง...เบาลง...แล้วตาของท่านก็หลับตา...เข้าสู่ช่วงความตาย...

      <ไม่นะ...ท่านแม่...>  มิราเริ่มร้องไห้ทีละนิด...แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา...

        ข้าอยากไปปลอบมิรา...แต่เพราะมีกระจกกั้นอยู่ทำให้ไม่สามารถเข้าไปได้...ข้าควรทำอย่างไรดี...

        ข้านึกเวทย์บางบทออก...เป็นเวทย์เฉพาะของตระกูลดิ ดาร์ค เท่านั้น  ถ้าเริ่มท่องเวทย์...จากนั้นร่างกายกับวิญญาณของข้าก็แยกออกจากกัน...

        เมื่อข้าแยกออกจากร่างกายแล้ว...ข้าก็เดินทะลุกระจกบานนั้น...ทำให้มิราตกใจมาก...แล้วข้าก็ลูบเส้นผมของมิรา...  ทำให้มิราเข้ามาร้องไห้ในอ้อมกอดของข้า...

        ข้าอยากให้ช่วงเวลานี้อยู่นานกว่านี้...แต่ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าทำให้ข้ารีบกลับเข้าร่าง...

        ประตูห้องขังของข้ากับมิราถูกเปิดออก...ข้ากับมิราโดนแยกไปคนละทาง...เพื่ออะไรกัน...  เมื่อข้าเข้าสู่ห้องหนึ่ง  มีแต่อาวุธเต็มไปหมด...  ทั้งดาบ ขวาน ธนู คฑา ไปจนถึงระเบิด

      “เอ้า เลือกอาวุธมาสองชนิดซะ...”  เสนาบดีสั่งข้า...ข้าไม่เข้าใจว่าทำไม  แต่ข้าก็เลือกดาบกับคฑาโดยที่ไม่รู้ว่าทำไมข้าต้องเลือกสองสิ่งนี้...

        เมื่อข้าออกมาจากห้องเข้าสู่สนามกว้าง...  เป็นลานกว้างๆเหมือนลานประลอง...มีผู้คนมากมายรอดู...ดูอะไร...ข้าเห็นคนที่กำลังเดินมาอีกฟากแล้ว...ข้าแทบอยากฆ่าคนที่คิดวิธีนี้ออกมา...

      “ต่อไปนี้ จะเป็นการประลอง ‘ถึงตาย’ ของ อัลเลอร์ ดิ ดาร์ค และ มิรา ดิ ไลท์... หากใครแพ้จะต้องตาย...และถ้าผ่านไปสิบนาทีแล้วยังไม่มีการตายเกิดขึ้น...เวทย์สนามก็จะทำงาน...ให้ผู้ประลองทั้งสองตายทั้งคู่!!!”

        บ้าชิบ...ข้าจะทำอย่างไรให้ทั้งข้าและมิรารอด... 

Side 04 : The Dark Bright [bright] <บทที่ 59/B>

        วันต่อมา...  ข้าตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา...  เมื่อคืนข้าฝันดีมาก...  ข้าฝันว่าได้มีเพื่อน...แต่พอข้าจับพลังดูทำให้ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่ฝัน...  ข้ามีเพื่อนแล้ว...

        เมื่อข้าล้างหน้า  เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น  ทำให้ข้ารู้ว่าอัลเลอร์อยู่หน้าห้องข้าแล้ว...แต่...ชุดข้า...  ข้าคิดชั่วครู่แล้วก็เปิดประตูเพราะอีกฝ่ายรอนาน

      “อะ...อรุณสวัสดิ์...อัลเลอร์”  ข้าทักทายอัลเลอร์...แต่ข้าโผล่ออกมาแค่หัว...เพราะชุดของข้าบางมาก...ถ้าอัลเลอร์เห็นละก็...

      “อรุณสวัสดิ์...เช่นกัน...”  อัลเลอร์ทักทายกลับทำให้ใจของข้าสั่นไหว...เพราะอะไรกัน...  ข้ามัวแต่คิดจึงเผลอพูดออกไป...

      “เข้ามาก่อนเถอะ”  ข้าห้ามปากข้าไว้ไม่ทัน...  อัลเลอร์ก็เข้ามาในห้องข้า...  ข้าพยายามหาที่ที่ปิดบังตัวข้าไว้แต่ไม่มีเลย...

        เมื่ออัลเลอร์หันมาหาข้า...อัลเลอร์จ้องแล้วทำให้ข้าหน้าแดง...  ข้าบอกกลับอย่างอายๆ

      “อย่าจ้องข้าสิ...ข้าอายนะ”  เมื่อข้าพูด  อัลเลอร์ก็ทำหน้าสงสัยเล็กน้อย  แต่ก็หันหลังให้ข้าทำให้ข้ารีบไปหยิบผ้าห่มมาห่มตัว...

      “ข้าขอโทษ...”  ข้าได้ยินอัลเลอร์พูด...  ทำให้หัวใจของข้าเต้นอย่างรุนแรง...

      “หันมาได้แล้ว”  ข้าบอกกับอัลเลอร์  อัลเลอร์ก็หันมาหาข้า...

        ทั้งวันที่ข้าอยู่กับอัลเลอร์...  เวลาหมดกับการพูดคุยเรื่องทั่วไป  จนถึงอนาคตจะทำอะไรต่อ...  เหมือนยิ่งข้าอยู่กับอัลเลอร์นานขึ้น  ข้ายิ่งมีความรู้สึกที่ ‘รัก’  อัลเลอร์มากขึ้นด้วย...

        แต่เมื่อหมดวัน  อัลเลอร์ก็ขอตัวกลับ  ข้าจึงออกไปส่งได้แค่หน้าประตูห้องข้า...  ข้าเป็นห่วงอัลเลอร์เสมอว่าขอให้กลับอย่างปลอดภัย...  แต่เช้ารุ่งขึ้นอัลเลอร์ก็มาหาข้าใหม่ทำให้ข้ารู้สึกดีใจ

        ข้าคุยกับอัลเลอร์นานขึ้นเรื่อยๆ  เริ่มจากหนึ่งสัปดาห์...  จนกระทั่งหนึ่งเดือน...  ข้าจึงได้ยินข่าวที่ข้าคิดว่าข่าวร้ายจากอัลเลอร์...

      “มิรา...ข้าขอโทษนะ...วันนี้ข้าต้องกลับ ดิ ดาร์ค แล้ว...”  ข้าได้ยินแล้วข้าเสียใจ...ทำไมกันละ...วันอื่นไม่ได้เลยเหรอ...

      “พรุ่งนี้ไม่ได้เหรอ...”

      “ไม่ได้หรอก...ถ้าข้าอยู่ที่นี่นานกว่านี้ทั้งข้ากับมิราจะเป็นอันตราย...”

      “...แล้วจะมาอีกเมื่อไหร่หละ”  ข้าเริ่มห้องไห้แต่ก็กลั้นน้ำตา...  ข้าคิดว่าจะได้เป็นเพื่อนตลอดไป...แต่วันนี้ข้าต้องจากอัลเลอร์...

      “ข้าไม่รู้...แต่ถ้ามีโอกาสข้าจะมาใหม่...”  ข้าได้ยินคำว่า ‘โอกาส’  แล้วก็ชวนใจหาย...  โอกาสนี้แทบจะไม่มีด้วยซ้ำ...  น้ำตาของข้าเริ่มไหลออกมา...แต่จู่ๆอัลเลอร์ก็ทำอะไรบางอย่างกับข้า

      “!!!”  ข้าตกใจมาก...  ข้า ‘จูบ’  กับอัลเลอร์...  ทำให้ข้าชะงักไปชั่วครู่...แต่นั่นก็ทำให้ข้าดีใจมาก...เพราะคนที่ข้ารัก...ได้รักข้า...

      “ข้าขอโทษนะ...”

      “มะ...ไม่เป็นไรหรอก...”  ข้าเอามือของข้าแตะปากอย่างเบามือ...  เมื่อข้าได้สติข้าก็เข้าไปร้องไห้ในอ้อมอกของอัลเลอร์...

        เมื่อข้าเลิกร้องไห้...แต่ข้าก็ยังไม่อยากจากอัลเลอร์ไป...อัลเลอร์จึงอยู่กับข้าทั้งคืนจนข้าหลับไป...

        หลังจากที่ข้าหลับสนิท...ข้ารู้สึกว่ามีคนจับเส้นผมข้าอย่างเบามือ...ความรู้สึกนี้...อัลเลอร์...

        ข้าคิดว่าข้าฝันไป...ถึงจะเป็นความฝัน ข้าก็ยังอยากที่จะฝันต่อ...แต่ต่อจากนั้นข้าก็ได้สัมผัสที่หน้าผากของข้า...  ทำให้ข้าดีใจมาก...ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ไกลกันแค่ไหน...เราก็ยังเป็นเพื่อนและ ‘คนรัก’ ต่อไป...

        เมื่อข้าตื่นจากความฝัน  ข้าก็รู้ว่าอัลเลอร์ไม่อยู่ในเมืองนี้ต่อไปแล้ว...อัลเลอร์ได้กลับไปยังเมืองที่เขาอยู่...  แต่ทุกวินาที  ข้าได้แต่คิดถึงอัลเลอร์มาตลอด...

        แต่แล้ว...สิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับข้า  เหล่าเสนาบดีบอกกับข้าว่าข้าสามารถไปดูเมืองได้อย่างอิสระ  ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะได้ออกจากพระราชวัง...  แต่ทำไมละ...  ที่แน่ๆช่วงนี้ข้าไม่ได้เห็นท่านแม่เลย...

        วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ข้าได้รับรู้เรื่องที่ข้าสามารถเข้าเมืองได้แล้ว  ข้าอยากเห็นเมืองนี้มานานแล้ว...  ข้าเห็นเมืองนี้แต่เป็นแค่รูปภาพ...  เมื่อข้าเข้าเมืองหลวง...  ข้าเห็นผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่...  แต่ข้ารู้สึกอะไรที่แน่นแฟ้นกับข้าบางอย่าง

        แต่สิ่งที่ข้าไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น  เมื่อข้าจับความรู้สึกบางอย่างได้จึงหันไปข้างหลังข้า...คนๆนั้นคือร่างแปลงของอัลเลอร์ไม่ใช่เหรอ...อยู่ที่นี่ได้อย่างไร...

      “จับตัว ’พวกมัน’ ไว้...เร็ว!!!”  เสียงดังสั่งการขึ้น  จู่ๆพื้นก็เปล่งแสงจนข้ากับมิราหลับตา  เมื่อแสงหายสว่าง  ข้าโดนเวทย์จับล็อคไว้ทำให้ขยับไปไหนไม่ได้  ส่วนอัลเลอร์ก็คลายร่างโดยที่ข้าไม่รู้สาเหตุและอยู่ในสภาพเดียวกับข้า...

      “ท่านเสนาบดี...ท่านคิดจะทำอะไร”  ข้าถามเหล่าเสนาบดีของ ดิ ไลท์...  แต่จู่ๆเสนาบดีของ ดิ ดาร์ค ก็เดินมาหาอัลเลอร์

      “คิดไว้ไม่มีผิด...กะไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้...”  เหล่าเสนาบดีต่างยิ้มเยาะ...  ทำให้ข้าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น...

      “เอา ‘พวกทรยศ’ ไปขังในห้องกระจก...แยกห้องด้วย”  เสนาบดีของ ดิ ไลท์ สั่งพวกทหาร...  ข้าและอัลเลอร์จึงถูกจับ...

        ข้าถูกลากเข้าห้องขังซึ่งเป็นกระจกสองด้าน...ด้านซ้ายกับด้านขวา...  ด้านซ้ายเป็นห้องขังที่อัลเลอร์โดนขังอยู่...

        ข้าเห็นเสนาบดีของ ดิ ดาร์ค พูดบางอย่างกับอัลเลอร์...  แต่เพราะกระจกกั้นไว้ทำให้ข้าไม่ได้ยินพวกเขาคุยอะไรกัน...

        ข้าเห็นเสนาบดีใช้แส้ฟาดอัลเลอร์แบบไม่ยั้งทำให้ข้าตกใจ  ทำไมกัน  ข้าทุบกระจกตะโกนบอกให้หยุด...แต่มันไร้ประโยชน์  ไม่มีใครได้ยินข้า...  ข้าทนดูอัลเลอร์โดนฟาดแต่ปากกลับไม่ยอมอ้า...  แต่ข้ารู้ว่ามันเจ็บปวดมาก...

        จากนั้นเหมือนเสนาบดีของ ดิ ดาร์ค  จะหยุดฟาดแล้วก็เดินออกไป

        ข้าได้แต่ทุบกระจกตลอดเวลา...เพื่อให้อัลเลอร์พูดคุยทางกระแสจิต...

      <ได้ยินเสียงข้าไหม...อัลเลอร์ตอบข้าด้วย...>  ข้าพูดกับอัลเลอร์ทางกระแสจิต...

      <ข้าไม่เป็นไร...แล้วคนที่อยู่ตรงนั้นละ...>  ข้าได้ยินอัลเลอร์แล้วหันไปทางที่อัลเลอร์ชี้...นั่น...ท่านแม่!!

      <ท่านแม่!!> ข้าตะโกนออกมา  ทำไมท่านแม่ถึงโดนขังละ...

      <...ลูกแม่...แล้วก็...นั่นใช่เจ้าชายแห่ง ดิ ดาร์ค ใช่ไหม...>  เสียงท่านแม่ช่างหริบหรี่...ท่านแม่อยู่ที่นี่นานแล้วหรอ...

      <ท่านแม่ทำใจดีๆไว้นะ...>  เสียงของข้าเริ่มสั่นคลอน...เพราะข้ารู้ว่าท่านแม่เริ่มเข้าใกล้ความตายแล้ว...

      <แม่มีเวลาไม่มากแล้ว...พวกเสนาบดีของ ดิ ดาร์ค และ ดิ ไลท์ ได้จับมือกันเพื่อขับไล่คนของตระกูลใหญ่...ซึ่งก็คือ... ดิ ดาร์ค และ ดิ ไลท์...แล้วเมื่อพวกมันทำสำเร็จ...พวกมันจะได้เป็นใหญ่...แล้วคนที่เหลือก็จะถูกเหยียดหยาม...>  ท่านแม่ใช้กระจิตพูด  แต่เลือดก็เริ่มไหลออกทางปาก...

      <ลูกรัก...แล้วก็เจ้าชายแห่ง ดิ ดาร์ค...ถ้ามีโอกาสได้...รีบหนีไปจากโลกนี้โดยเร็ว...ก่อนที่จะสายเกินไป...แม่ได้บอกกับ...>  เสียงท่านแม่เริ่มเบาลง...เบาลง...แล้วตาของท่านก็หลับตา...เข้าสู่ช่วงความตาย...

      <ไม่นะ...ท่านแม่...>  ข้าเริ่มร้องไห้ทีละนิด...ทำไมกัน...ทำไมท่านแม่ต้องจากข้าไปด้วย...

        เมื่อข้ารู้สึกตัวอีกที...  ข้ารู้สึกมีใครมาสัมผัสเส้นผมข้า...ข้าหันไปมืองแล้วเห็นอัลเลอร์ที่ร่างโปร่งใส...ทำให้ข้าตกใจมาก...  แต่ข้าก็เข้าไปร้องไห้...เป็นครั้งที่สองแล้วที่ข้าทำอย่างนี้...

        ข้าอยากให้ช่วงเวลานี้อยู่นานกว่านี้...แต่ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าทำให้อัลเลอร์รีบกลับเข้าร่าง...

        ประตูห้องขังของข้ากับอัลเลอร์ถูกเปิดออก...ข้ากับอัลเลอร์โดนแยกไปคนละทาง...เพื่ออะไรกัน...  เมื่อข้าเข้าสู่ห้องหนึ่ง  มีแต่อาวุธเต็มไปหมด...  ทั้งดาบ ขวาน ธนู คฑา ไปจนถึงระเบิด

      “เอ้า เลือกอาวุธมาสองชนิดซะ...”  เสนาบดีสั่งข้า...ข้าไม่เข้าใจว่าทำไม  แต่ข้าก็เลือกดาบกับคฑา...เพราะอะไรกันนะ...

        เมื่อข้าออกมาจากห้องเข้าสู่สนามกว้าง...  เป็นลานกว้างๆเหมือนลานประลอง...มีผู้คนมากมายรอดู...ดูอะไร...ข้าเห็นอีกคนที่มารออยู่แล้ว...แล้วเมื่อเสียงประกาศดังขึ้นทำให้ข้าใจหาย...บ้าเกินไปแล้ว...

      “ต่อไปนี้ จะเป็นการประลอง ‘ถึงตาย’ ของ อัลเลอร์ ดิ ดาร์ค และ มิรา ดิ ไลท์... หากใครแพ้จะต้องตาย...และถ้าผ่านไปสิบนาทีแล้วยังไม่มีการตายเกิดขึ้น...เวทย์สนามก็จะทำงาน...ให้ผู้ประลองทั้งสองตายทั้งคู่!!!”

        ข้าควรทำอย่างไรดี... 

Link to comment
Share on other sites

ในที่สุดสองเมืองก็ปรองดองกัน....แต่ปรองดองแบบนี้เขารับไม่ได้... :pika11:

Link to comment
Share on other sites

The Last Side : The Dark Bright II <บทที่ 60>

        ‘ข้าควรจะทำอย่างไรดี... ให้ทั้งข้าและมิรารอดจากตรงนี้...’  อัลเลอร์คิดอย่างหนัก...  เขาคิดไม่ออกว่าสถานการณ์เช่นนี้ควรจะทำอย่างไร...  ถ้าเกิดต้องฆ่ากันจริงๆแล้วทั้งสองฝ่ายจะรู้สึกอย่างไร...  หากเขายอมให้มิราฆ่า...  มิราจะรู้สึกอย่างไร...  และหากเขาฆ่ามิรา...  ตัวตนของเขายังจะอยู่อีกไหม...

        ‘...อัลเลอร์...ข้าควรจะทำอย่างไรดี...’  มิราเองก็คิดหนักไม่แพ้กัน...  ตอนนี้เธอไม่สามารถเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งได้...  แต่มันจำเป็นต้องเลือก...  แล้วเธอควรจะเลือกข้อใด...  แต่เมื่อเธอมองสายตาของอัลเลอร์ที่มั่นใจบางอย่างก็อดคิดไปต่างๆนาๆไม่ได้...

        แต่สายตานั้น...มาพร้อมกับคำพูดทางกระแสจิต...เธอจึงเปิดประสาทการรับจิต...

      <เล่นตามน้ำมันไปก่อน...เอาแค่เหมือนต่อสู้กันจริงๆ...>  อัลเลอร์พูดทางกระแสจิตแค่นี้...  มิราก็ใจชื้นขึ้นมา...  อย่างน้อยอัลเลอร์ก็ยังคงเป็นคนเดิม...  เธอจึงทำท่าเหมือนจะสู้กับอัลเลอร์เพื่อหลอกคนอื่นให้คิดไปเองว่า  จะต่อสู้กันจริงๆ

        เมื่ออัลเลอร์ให้สัญญาณ...  เธอจึงวิ่งเข้าไปฟันโดยที่อัลเลอร์รอตั้งรับอยู่แล้ว...  ทั้งคู่ผลัดกันรุก ผลัดกันรับ  แต่ทั้งสองก็ได้ตกลงกันไว้แล้ว  เพื่อความสมจริง...  ต้องใช้เวทย์เข้าช่วย...  ทั้งสองจึงไม่เพียงแค่ดวลดาบ  แต่ยังคงดวลเวทย์ไปด้วย  ผู้ชมที่ดูอยู่ก็ลุ้นกันตัวโก่ง...เหมือนกับว่านี่ไม่ใช่การประลองโดยเอาความตายมาเป็นเดิมพัน...

        …ทั้งคู่ยังคงต่อสู้...เหมือนกับว่าฝึกการประลองดาบและเวทย์มากกว่า...  แต่แล้ว...

      “เหลือเวลาอีก 2 นาที...  หากยังไม่มีการตายเกิดขึ้น...สนามเวทย์จะเข้าจู่โจมผู้ประลองทั้งสอง”  เสียงสัญญาณเตือนสติอัลเลอร์และมิรา  ทำให้ทั้งสองคนเริ่มตึงเครียดขึ้นมา...  เวลาที่เหลือน้อยนิด...  จะทำอย่างไรดี... 

      “ทำไม...”  มิราเริ่มใจเสีย...เพราะทั้งๆที่เมื่อก่อนไปได้ด้วยดีแท้ๆ...แต่ทำไมตอนนี้ถึง...

      “ถ้าตอนนั้นฉันไม่เปิดประตูห้อง... ‘พวกเรา’ คงไม่เป็นแบบนี้ใช่ไหม”  มิราเริ่มกลั้นเสียงสะอื้น...  อัลเลอร์ที่ฟังเสียงที่เบาบางก็ตอบกลับ

      “...ไม่หรอก...”

      “จริงอยู่...ถ้ามิราไม่เปิดประตูตอนนั้น...ก็คงไม่เป็นแบบนี้...”

      “แต่ถ้ามิราไม่เปิดประตูให้...ฉันคงรักใครไม่ได้มากกว่านี้อีกแล้ว”  อัลเลอร์บอกกับมิรา...  แล้วจู่ๆดอกไม้ดอกหนึ่งที่ปลิวไสวก็ตกลงมายังทั้งสองที่ใช้ดาบกดกันอยู่...

      “...นั่นสินะ...”  มิราที่เห็นดอกไม้แล้วก็ยิ้มขึ้นมา...เหมือนกับเธอได้สิ่งที่เธอต้องการแล้ว

        อัลเลอร์และมิราเริ่มที่จะรู้ว่าควรทำอย่างไร...  ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกันเหมือนเป็นสัญญาณ

      <พร้อมนะ...มิรา>  อัลเลอร์พูดทางจิต

      <อื้ม...>  มิรายิ้มเล็กน้อยเพื่อให้อัลเลอร์เห็นคนเดียว...  ทั้งคู่พร้อมแล้ว...

        อัลเลอร์รวบรวมพลังทั้งหมดที่มีให้รวมกันไว้ที่ฝ่ามือ...ทำให้ฝ่ามือเปล่งแสงสีดำรัตติกาลอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็น...เป็นความรู้สึกที่ไม่น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง...แม้แต่เสด็จพ่อของอัลเลอร์ก็ยังไม่รู้ว่า  ลูกของตนทำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่...  ทำให้เสด็จพ่อของอัลเลอร์ยิ้มกริ่ม...

        แต่ทางด้านมิราเองก็รวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่แขน...  ทำให้แขนทั้งสองข้างเปล่งแสงสีขาวอมฟ้าสว่าง...  เป็นแสงสว่างที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและน่าเกรงขามยิ่ง...  พลังของทั้งสองทำให้ทั้งเสด็จพ่อของอัลเลอร์ ผู้ชม และเหล่าเสนาบดีขนลุก...  เพราะเหมือนว่านี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้เหมือนเมื่อสักครู่แล้ว...

        แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น...  เมื่อพลังของอัลเลอร์ที่อยู่บนฝ่ามือขวาเลื่อนไปหาแขนทั้งสองข้าง...  แต่พลังสีดำที่เคลื่อนที่นั้นสีเริ่มเปลี่ยนไป...  เริ่มเป็นสีดำอ่อน สีเทา และเป็นสีขาวอมฟ้าเหมือนของมิราไม่มีผิด...

        ส่วนมิราเองก็เช่นกัน...  พลังสีขาวอมฟ้าที่แขนก็เริ่มเคลื่อนที่...  ไปหาฝ่ามือขวา...  แล้วสีก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำรัตติกาล  ทำให้ทุกคนเริ่มรู้แล้ว...ว่าทั้งสองคิดจะทำอย่างไร...  เวทย์ต้องห้ามของทั้งดิ ดาร์ค และ ดิ ไลท์...  เวทย์เปลี่ยนธาตุตรงข้าม...

        เป็นเวทย์ที่ไม่เคยคิดจะใช้...เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเกลียดกันอยู่แล้ว...แถมคุมพลังยากและใช้พลังมากเกินความจำเป็น...แต่ด้วยความสามารถที่เพิ่มพลังได้อย่างมหาศาล  จึงเป็นเวทย์ต้องห้ามขั้นสูงสุด...แต่ที่ไม่มีใครรู้เลยว่า  แค่คุมยากและใช้พลังมาก...แต่ทำไมถึงกลายเป็นเวทย์ต้องห้ามขั้นสูงสุดได้...  แต่ตอนนี้ทุกคนจะได้รับรู้แล้ว...

        เมื่ออัลเลอร์และมิราใช้เวทย์เปลี่ยนธาตุสำเร็จ...  ทั้งสองก็วิ่งเข้าหากัน...  แล้วก็ทุ่มพลังที่มีอยู่ลงพื้นจุดเดียวกัน...  เมื่อพลังทั้งสองเข้าสู่ใจกลางลานประลองแล้ว...เหมือนทุกสิ่ง ณ ที่แห่งนี้เริ่มสั่นไหว...แสงสีดำและสีขาวก็พุ่งขึ้นฟ้า...  แสงทั้งสองเหมือนจะขัดแย้งกันตอนแรก...  แต่หลังจากนั้นก็เริ่มบิดเกลียวกันเป็นแสงเดียวกัน...

      “ครืน... ครืน...”  จากการสั่นไหวเล็กน้อยที่หลายคนคิดว่าตนเองคงคิดไปเอง...  เริ่มรุนแรงทีละนิด...  จนเกิดการแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง...

      “สั่งอพยพผู้ชมเร็ว!...แล้วก็จับกุมผู้ประลองด้วย...แล้วตีตราทั้งสองให้เป็น นักโทษขั้นสูงสุด!!”  เหล่าเสนาบดีสั่งการทหาร...  ทหารจึงวิ่งเข้ามาจับกุม...  แต่พลังที่จมอยู่เริ่มการเกิดระเบิด...  อัลเลอร์และมิรารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปแต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน...  ทั้งสองได้แต่จับมือกัน...

      “ครืน...ครืน..ครืน..ครืน.ครืน.ครืน..........”  เสียงแผ่นดินไหวเริ่มถี่เร็วขึ้น...  เหมือนกับว่าจะระเบิดออกมาก็มิปาน...  แต่จู่ๆแผ่นดินไหวก็หยุดสั่น...  แต่ให้ความรู้สึกที่น่าขนลุก...  ทำให้ทหารและเหล่าเสนาบดีเริ่มรู้สึกตัวแล้ว...  ว่าควรหนีไปตั้งแต่ต้นจะดีกว่า...

      “..........ตู้ม!!!!”  เมื่อผ่านไป...  การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ก็เกิดขึ้น...แต่มิราและอัลเลอร์กลับอยู่ศูนย์กลางการระเบิดโดยที่ไม่คิดจะหนี...  ทุกสิ่งรอบข้างเกิดเปล่งทั้งสีขาวและสีดำ...  ทำให้หลายคนที่หนีไม่ทันเกิดการแสบตาจนไม่สามารถจะวิ่งต่อไปได้...

      “...”  เมื่อแสงสว่างและความมืดหายไป...  เหมือนทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม...  แต่สนามประลองกลับเปลี่ยนไป...

        สนามประลองที่เมื่อสักครู่ยังคงเป็นสนาม...  แต่ตอนนี้กลับเป็นหลุมกว้างที่ไม่รู้ว่ามันจะลึกแค่ไหน...  แต่ใจกลางกลับที่พื้นอยู่...  โดยที่อัลเลอร์และมิรายังอยู่ครบโดยที่ไม่บาดเจ็บเลย...แต่เพราะใช้พลังมากเกินไปทำให้ทั้งสองเหนื่อยหอบ...

      “อัลเลอร์/มิรา”  เสียงที่คุ้นเคยทั้งอัลเลอร์และมิรา  ทำให้ทั้งสองหันไปดู...  พบว่าอาจารย์สอนดาบของอัลเลอร์และอาจารย์สอนเวทย์ของมิรายืนอยู่ ณ ทางเข้า

      “อาจารย์...”  มิราเปรยขึ้น...

      “มัวทำอะไรอยู่ รีบตามมาสิ!!”  อาจารย์ของอัลเลอร์ตะโกน  ทำให้อัลเลอร์เริ่มรู้แล้วว่าอาจารย์คิดอะไรอยู่  จึงรีบอุ้มตัวมิรา  แล้วกระโดดข้ามหลุมยักษ์ไร้ก้นหลุม...

      “กรี๊ด~”  เสียงมิราร้องออกมา  เพราะไม่เคยมีใครอุ้มมาก่อนเลย...  แถมยังกระโดดสูงและเร็วมากด้วย...  ทำให้อาจารย์ของทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้มให้เล็กน้อยกับลูกศิษย์ของตน

      “รีบตามมาเร็ว...”  อาจารย์ของมิราพูดเสียงหวานแต่ยังคงสำรวม...  แล้วอาจารย์ของอัลเลอร์ก็เดินนำ...

      ...

      “ฮึ้ย...รีบตามพวกกบฏไปเร็ว!!”  เสียงเสนาบดีสั่ง...  ทำให้พวกทหารรีบตามพวกอัลเลอร์ไป...

      ...

      “อาจารย์ครับ...นี่คือที่ไหน...”  อัลเลอร์ถามขึ้น  เพราะจุดที่มาถึงนั้นเป็นห้องโล่งๆแล้วมีวงเวทย์อยู่ตรงกลาง...

      “รีบเข้าไป...ทั้งสองคนเลย...”  อาจารย์ของมิราสั่ง...แต่มิรายังคงสงสัย

      “วงเวทย์นี้...เวทย์ย้ายมิติไม่ใช่หรอคะ...”

      “ถ้ารู้แล้วก็รีบเข้าไป...ก่อนที่พวกนั้นจะตามมา”  อาจารย์ของอัลเลอร์สั่ง

      “แล้วอาจารย์หละครับ”  อัลเลอร์ยังคงเป็นห่วงอยู่  เพราะทั้งตนและมิราเข้ามา  แต่อาจารย์ทั้งสองกลับไม่เข้ามาด้วย

      “...เวทย์ย้ายมิติสามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียว...และสามารถย้ายได้สูงสุดแค่สองคน...”  อาจารย์ของมิราพูดขึ้น...ทำให้มิรารู้สึกสงสาร...

      “...ไม่ต้องห่วง...ฉันได้ติดต่อกับ ‘ทางนั้น’ แล้ว เมื่อไปถึงแล้วจะมีคนมารับ”  อาจารย์ของมิรายังคงพูดขึ้น...แล้วก็เดินเข้าไปหามิรา...เพื่อดูใบหน้าของลูกศิษย์ตนเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต...

      “ดูแลตัวเองให้ดีด้วย...แล้วก็ เจ้าชายแห่ง ดิ ดาร์ค... ฝากดูแลลูกศิษย์ของข้าด้วยนะ...”  อาจารย์ของมิราพูดขึ้น...ทำให้น้ำตาของมิราเริ่มคลอ...

      “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก...ฉันจะอยู่กับเธอเสมอ...”  อาจารย์ของมิราปลอบลูกศิษย์ของตนเอง...  ส่วนอาจารย์ของอัลเลอร์ก็สั่งกำชับ

      “ดูแลตัวเองด้วย...ถ้าดูแลเจ้าหญิงแห่ง ดิ ไลท์ ได้ไม่ดีละก็...น่าดู”

      “ครับ อาจารย์...”  อัลเลอร์พยักหน้ายอมรับ...ทันใดนั้นแสงใต้เท้าของอัลเลอร์และมิราก็เปล่งขึ้น...  และมีกำแพงใสครอบไว้ไม่ให้ทั้งสองเข้ามาช่วย...

      “มันอยู่ตรงนั้น!!”  เสียงหัวหน้าทหารสั่ง...  แล้วทหารนับร้อยก็กรูเข้ามาโจมตีอาจารย์ของทั้งสอง

      “อาจารย์~~~”  เสียงมิราดังขึ้น  แล้วทั้งอัลเลอร์และมิราก็หายไปจากพื้นที่ตรงนั้น...

_______________________________________________________________________

      “หึหึ...ทำไมพวกเราไม่มาเจอกันตั้งแต่แรกนะ...”  เสียงอาจารย์ของมิราดังขึ้น...  ทำให้อาจารย์ของอัลเลอร์ที่ปกติไม่ค่อยยิ้มกลับยิ้มออกมาเล็กน้อย

      “แล้วจะทำยังไงต่อละ...โดนทหารล้อมรอบเป็นโขยงแบบนี้...”  อาจารย์ของอัลเลอร์พูดยิ้มๆ

      “จัดการเท่าที่จัดการได้ละกัน...แต่คงไม่ยอมแพ้ตั้งแต่ต้นหรอก...”  อาจารย์ของมิราตอบยิ้มๆ...ตอนนี้ก็เตรียมชาร์จพลังเทย์แล้ว

      “...”

      “รักนะ...”  เสียงอาจารย์ของอัลเลอร์ดังอย่างเบาหวิวแต่อาจารย์ของมิราก็ได้ยิน...ทำให้อาจารย์ของมิราหน้าแดงนิดหน่อย...

      “ถ้าจะบอกทำไมไม่บอกตั้งแต่ตอนแรก...”  อาจารย์ของมิราพูดแก้เขิน...

      “...ถ้างั้น มาร่วมต่อสู้เป็นครั้งสุดท้ายกันเถอะ...”  ทั้งสองพยักหน้า...  แล้วก็โจมตีใส่กองทหารนับร้อยนับพัน...

      “ดีนะ...ที่โยนดอกฟอร์เม็ตเอาไว้ให้ลูกศิษย์...”  อาจารย์ของมิราพูดในขณะใช้เวทย์ต้องห้าม…

      “...นั่นสิ...ความหมายของมันคืออะไรนะ...”  อาจารย์ของอัลเลอร์แกล้งถามเล่นๆขณะที่ตนกำลังใช้ฟาดแกว่งใส่ทหารไม่หยุดพัก...

      “ความหมายของมันคือ...”

________________________________________________________________________

      “ฮึก...ฮึก...อาจารย์...”  มิรายังคงร้องไห้...หลังจากที่ทั้งสองได้เคลื่อนย้ายมิติไปอยู่ที่โลกอีกโลกหนึ่ง...ณ ตอนนี้ ทั้งสองอยู่ในป่าทึบ...

      “ไม่เป็นไรหรอก...อาจารย์จะยังคงอยู่ในตัวเสมอ...”  เสียงอัลเลอร์ปลอบ...แต่ตนเองก็รู้ดีว่าอาจารย์คง...

        อัลเลอร์หยิบสิ่งๆหนึ่งโดยใช้เวทย์เอาออกมา...  เป็นดอกไม้ที่อัลเลอร์เก็บไว้ตั้งแต่ลานประลอง...

      “ดอกฟอร์เม็ต...รู้ความหมายใช่ไหม...”  อัลเลอร์ยื่นดอกฟอร์เม็ตให้มิรา...  มิราจึงถือมันแล้วก็ร้องไห้ออกมา...

      “พวกเธอสินะ...”  เสียงหนึ่งดังขึ้น  ทำให้อัลเลอร์หันไปมอง...

      “คุณคือ...”  อัลเลอร์เห็นแล้วถามชายคนหนึ่งที่มีแต่เงา…

      “คนที่จะมารับพวกเจ้า...มีคนติดต่อข้ามาแล้ว”  ชายปริศนาตอบแล้วก็เดินนำ

      “ตามข้ามาสิ...”  อัลเลอร์และมิราจึงลุกแล้วเดินตาม...แต่มิราก็ยังคงเสียใจกับอาจารย์ของตนและในมือยังคงถือดอกฟอร์เม็ต

        ระหว่างทางที่เดิน  ทั้งอัลเลอร์ก็เห็นสัตว์แปลกๆมากมาย... ไม่ว่าจะเป็นหนอนสีเขียว ผีเสื้อ ผึ้ง หนูสีเหลืองที่มีแก้มสีแดง  สุนัขสีน้ำตาลตัวเล็กๆน่ารัก  และต่างๆมากมาย

        เดินตามทางมาเรื่อยๆนถึงโบราณสถานแห่งหนึ่ง...  ทั้งสามจึงเดินขึ้นด้านบนสุดของโบราณสถาน...

      “แล้วพวกเจ้าจะทำยังไงต่อไปละ...หากมีคนต่างโลกเข้ามาที่โลกแห่งนี้...ร่างกายจะรับสมดุลของพลังธาตุทั้งสิบเจ็ดไม่ไหวนะ...แล้วสุดท้ายก็ตาย...”  เสียงชายปริศนาลดต่ำลง...  อัลเลอร์ก็คิดหนักว่าควรจะทำอย่างไร...แต่มิราก็เสนอความคิด...

      “ให้...ให้พวกเราเป็นสัตว์พวกนั้นได้ไหม...”  มิราพูดขึ้น  ทำให้อัลเลอร์ตกใจเล็กน้อย...

      “...แล้วเจ้าหละ...”  ชายปริศนาหัน(?)ไปมองอัลเลอร์

      “เช่นกันครับ...”  อัลเลอร์รู้ว่ามันเหลือวิธีเดียวจึงทำตามที่มิราบอก...

      “...ข้ากะไว้แล้วว่าพวกเจ้าต้องตอบแบบนี้...”  ชายปริศนาพูดยิ้มๆ(???)  แล้วก็หยิบหินสองลูก...

      “นี่คือหินแห่งแสง และ หินแห่งความมืด พวกเจ้าถือหินนี้ไว้...”  ชายปริศนามอบหินแห่งความมืดให้อัลเลอร์ และมอบหินแห่งแสงให้มิรา...  แล้วสัตว์อีกตนก็เดินข้างๆชายปริศนา  เป็นสัตว์รูปร่างแปลกตา เหมือนม้าสีขาว... ใบหน้าสีดำ... แต่มีกระจกสิบหกสีล้อมรอบ...

      “ด้วยข้า ‘อัลเซอุส’ ผู้คุมธาตุแห่งโลกชินวะ...  ข้าขอใช้พลัง...  เปลี่ยนแปลงร่างของทั้งสอง...หลอมรวมกับ ‘เซคร่อม’ และ ‘เรซิรั่ม’ ที่หลับไหล... พลังแห่งข้าจงหลอมรวม”  เสียงของสัตว์ตนนั้นที่ไม่นึกว่าจะพูดได้ก็เอ่ยขึ้น  แล้วท้องฟ้าก็แหวกออก  เกิดเป็นลำแสงลงมายังอัลเลอร์และมิรา...  หินทั้งสองที่อัลเลอร์และมิราถูกอยู่ก็เริ่มเปล่งแสง... หินสีดำที่อัลเลอร์ถือเปล่งแสงสีฟ้าและสีดำ  ส่วนหินที่มิราถือเปล่งแสงสีแดงเฟลิงและสีขาว...

        ...

        เมื่อสิ้นแสง...  ร่างมนุษย์ของทั้งสองก็หายไป...  กลายเป็นมังกรสีขาวและสีดำ...  สัตว์ที่ชื่อ ‘อัลเซอุส’ เห็นแล้วก็ถอนหายใจ  แล้วก็เดินจากไป...

      “เท่านี้ก็อยู่ได้อย่างปกติ...”  ชายปริศนาพูดขึ้น...ทำให้อัลเลอร์ถามขึ้นมา

      “ท่านชื่ออะไร...”  สิ่งที่อัลเลอร์ถามนั้น...ทำให้ชายปริศนาหัวเราะในลำคอ...

      “ข้าน่ะหรอ... ข้าชื่อ... ‘มิสซิ่งโน’…”  แล้วชายคนนั้นก็หายไป...

      “…จะทำอย่างไรต่อละ”  อัลเลอร์ในร่าง ‘เซคร่อม’ ถามมิราในร่าง ‘เรซิรั่ม’

      “...ไม่รู้สิ...”  ในมือของมิราที่ตอนนี้กลายเป็นปีกก็ยังคงถือดอกฟอร์เม็ตเอาไว้...

      “งั้น...เดินออกจากป่าก่อนละกัน”  อัลเลอร์ใช้แขนของตนจับร่างของมิรา(เรซิรั่ม) ขึ้นมา...  แล้วก็เดินพร้อมกัน...

        ท่ามกลางที่ทั้งสองเดินออกจากป่า  สายลมก็พัดพาความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเข้าสู่ป่า...  ถ้าสัตว์ที่อยู่ในนั้นได้ยินและเข้าใจ...  ก็จะมีเสียงออกมาพร้อมกับสายลม

      ‘ความหมายของดอกฟอร์เม็ตคือ...อย่าลืมฉัน...’

~ เพลงจบ ~

คำแปล (อ่านหน่อยก็ดีนะ...ไปค้นตั้งนานT^T)

Meguriawanakattara konna aisenakatta

zutto "wasurenaide" itte

หากโชคชะตาไม่พาเรามาพบกัน คงไม่สามารถรักได้ขนาดนี้

ตลอดไป ได้โปรดอย่าลืมฉันนะ

Yurari yurari mai oriru

Ima mo mune wo shimetsukeru

Kisetsu ga mata meguru tabi

Kagayaki wa monokuro tonari

ค่อยๆ ค่อยๆ โปรยปรายลงมา

แม้ตอนนี้ก็ยังคงจุกแน่นอยู่ในอก

ในยามที่ฤดูการหมุนผ่านไปอีกครา

ประกายเจิดจ้ากลับกลายเป็นสีขาวดำ

Minamo ni hikaru tsuki ni

Kimi no egao okabeteta

ดวงจันทร์ที่เปล่งแสงอยู่บนผิวน้ำ

ทำให้หวนนึกถึงรอยยิ้มของเธอ

Meguri aeta koto de konna ni setsunakunatta

Meguri aeta koto de konna yume wo mita

Meguri awanakattara konna ai senakata

zutto "wasurenaide" itte

Kimi ni saita wasurenagusa

เพราะโชคชะตาพาเรามาพบกัน ถึงได้ทรมานใจขนาดนี้

เพราะโชคชะตาพาเรามาพบกัน ถึงได้ฝันแบบนี้

หากโชคชะตาไม่พาเรามาพบกัน คงไม่สามารถรักได้ขนาดนี้

ตลอดไป ได้โปรดอย่าลืมฉันนะ

ดอกวะสึเรนะกุซะเบ่งบานเพราะเธอ

"Arigatou" demo "gomenne"

Hontou wa hikitometakatta

Mata futari de aeru nara

egakitai kimiirono yume

Kimi no yasashii kotoba ga

kaze to nari tsuki sasaru

"ขอบคุณ แต่ว่า ขอโทษนะ"

ที่จริงแล้วอยากจะฉุดรั้งไว้

หาเราสองคนได้พบกันอีกละก็

อยากวาดฝันที่เป็นสีของเธอ

ถ้อยคำแสนอ่อนโยนของเธอ

พัดแทรกผ่านกลายเป็นสายลม

Meguri aeta koto de konna ni namida afureta

Meguri aeta koto de konna sora wo mita

Meguri awanakattara konna boku janakatta

Zutto wasureranenaito

Mune ni saita wasurenagusa

เพราะโชคชะตาพาเรามาพบกัน น้ำตาถึงได้เอ่อล้นออกมาขนาดนี้

เพราะโชคชะตาพาเรามาพบกัน ถึงได้มองท้องฟ้าอยู่แบบนี้

หากโชคชะตาไม่พาเรามาพบกัน คงไม่เป็นตัวผมแบบนี้

ตลอดไป ได้โปรดอย่าลืมเลยนะ

ดอกวะสึเรนะกุซะเบ่งบานในหัวใจ

Minamo ni hikaru tsuki ni

Kimi no egao okabeteta

ดวงจันทร์ที่เปล่งแสงอยู่บนผิวน้ำ

ทำให้หวนนึกถึงรอยยิ้มของเธอ

Meguri aeta koto de konna ni setsunakunatta

Meguri aeta koto de konna yume wo mita

Meguri awanakattara konna ai senakata

zutto "wasurenaide" itte

Kimi ni saita wasurenagusa

เพราะโชคชะตาพาเรามาพบกัน ถึงได้ทรมานใจขนาดนี้

เพราะโชคชะตาพาเรามาพบกัน ถึงได้ฝันแบบนี้

หากโชคชะตาไม่พาเรามาพบกัน คงไม่สามารถรักได้ขนาดนี้

ตลอดไป ได้โปรดอย่าลืมฉันนะ

ดอกวะสึเรนะกุซะเบ่งบานเพราะเธอ

Credit : http://marimitsu.exteen.com/20120425/lyrics-piko-wasurenagusa

Link to comment
Share on other sites

จบแล้วสินะ ความรักต้องห้าม ที่จบด้วยการหลบหนี....แต่อย่างน้อยในที่สุดทั้งคู่ก็ได้อยู่ด้วยกัน  :pika01:

-----------------------------------------------------

จบไวดีแท้น้อ...ไม่ให้ Bonus ก็กระไรอยู่สิ!

UQuf1697.jpg

ถึงแม้เราจะต่างกัน ถึงแม้เราจะต้องหันดาบเข้าใส่กัน แต่เราก็เข้าใจซึ่งกันและกัน และเราก็รักกัน....

FBf027e3.jpg

ไม่ว่าร่างกายสองเราจะเปลี่ยนไป แต่หัวใจเราที่รักกันจะไม่เปลี่ยนแปลง

HDh24921.jpg

หัวใจ.....

Link to comment
Share on other sites

V.5 : ...(Save as... again...)

เรซิรั่ม : o///o"

เซคร่อม : ...(พูดไม่ออก)

บอส : อึ้งอะไรครับ... แค่ภาพน่า...

เชสต้า : (หึหึหึ... ได้ลุ้นอีกคู่แล้ว...)

เชสต้า : (คิดออกแล้ว! ว่าจะทำยังไงดี)

ติดตามต่อไป... บทที่ 61

(ยังไม่เริ่มภาคใหม่นะ... และดูเหมือนจะได้ใจใครบางคนมาก...)

Link to comment
Share on other sites

บทที่ 61

      “ว้า… นิทานจบซะละ”  บอสพูดเปรยขึ้น  ในขณะที่ตนกำลังกินข้าวโพดขั้วอย่างเมามัน(เอามาจากไหน??) และไลท์นอสเองก็มานั่งฟังแล้วก็ฉกกินด้วย(จากไหน???)

      “นี่มันเรื่องจริงนะ อย่าเห็นเป็นไรเล่นๆสิ”  มิวทูดุบอสจนบอสหงอเล็กน้อย  แต่ก็ยังเอามือจกข้าวโพดขั้วอยู่ดี

      “แล้ว...ตอนที่เล่าเรื่อง...มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย...”  เบต้าที่นั่งฟังด้วยก็มองไปรอบๆ...  โต๊ะงานเลี้ยงที่เมื่อสักครู่เต็มไปด้วยจานเปล่าที่ทานหมดแล้ว...  ตอนนี้กลับมีอาหารชุดใหญ่กว่าเดิมอีก...  และที่มากกว่านั้น  คือเค้กชิ้นใหญ่ ด้านบนประดับด้วยผลไม้รสเปรี้ยวต่างๆนาๆ จนบอสเห็นแล้วตาวาว  ส่วนไลท์นอสก็น้ำลายแทบหก

      “นี่ยังไม่รู้อะไรอีกหรอ”  อัลเซอุส(จากไหน)ที่เดินผ่านมาพอดีก็พูดขึ้น

      “รู้ว่าไรละครับ”  บอสถามยิ้มเจื่อนๆ...อยากกิน~

      “ก็วันนี้มันวันแต่งงานของเซคร่อมกับเรซิรั่มนะ...”  อัลเซอุสเฉลย...  จากนั้นเรซิรั่มกับเซคร่อมก็ขอตัวไปแต่งตัว(?)  เบต้าอึ้งไปซักพัก...นี่เราตกข่าวอะไรไป... มิวทูก็คิดเช่นกัน

      “แล้วงานมันจะออกมาปบบไหนเนี่ย= =” ”  เบต้าคิดในใจ...  งานจะเป็นยังไงนะ...ไม่เคยมางานแต่งงานด้วย... แต่ว่า...มันจะออกมารูปโปเกมอนหรือแบบมนุษย์ละเนี่ย= =”

      “ไว้รอลุ้นละกัน”  เชมี่เดินมาแล้วพูดยิ้มๆเหมือนให้รอลุ้นทีหลัง...  มันต้องมีอะไรแน่ๆ

      “ว่าแต่...เบต้า ไปแต่งตัวก่อนเถอะ บอสก็ด้วย”  อัลเซอุสถอนหายใจพูดขึ้นมา...

      “ทำไมหละครับ”  เบต้าถามขึ้น...  แต่งตัวทำไม  ชุดนี้ก็ดีอยู่แล้วหนิ(ชุดลำลองเดินในเมือง)

      “เพราะว่าจะมีแขกเข้ามาร่วมงานด้วยน่ะ... ก็คือแชมป์เปี้ยน(เดลต้า) ผู้นำหัวหน้ายิมก็คือ หัวหน้ายิม17 บุคคลดังๆก็มาด้วยนะ... เพราะฉะนั้น...แต่งตัวเอาให้ดูดีที่สุดละ”  อัลเซอุสกำชับ...  ทำให้บอสเหงื่อตก...  แต่เบต้าก็ยังคงมึนๆอยู่

      “แต่ผมไม่มีชุดไปงานเลี้ยงนะ...”  บอสพูดเจื่อนๆ  แต่อัลเซอุสก็ยังบอกหนทาง

      “ไปขอเชสต้าสิ รับรองได้แน่นอน”  บอสฟังแล้วตะหงิดๆ  ได้อะไร...ได้งานเพิ่มอะดิ... แต่เพื่ออาหารและเค้ก... งานหนักแค่ไหนก็ยอมเฟร้ย!!

      “ก็ได้ครับ”  บอสถอนหายใจแล้วก็เทเลพอร์ทไป  ส่วนเบต้าก็ยังมึนๆอยู่ดี

      “ส่วนชุดเบต้าน่าจะมีอยู่นะ... ขอเวลาสักครู่นะ”  อัลเซอุสขอตัว  ทำให้เบต้าก็ยืนมึนๆอยู่ที่เดิม  ส่วนมิวทูก็...

      “ถ้างั้นขอไปเปลี่ยนชุดแปปนะ...”  แล้วก็เทเลพอร์ทหายไป...  ทำให้เบต้าคิดหนัก...คิดหนักเรื่องอะไรหรอ... ก็เรื่องที่เบต้ายังเป็น ‘มิวทู’ อยู่เนี่ยสิ

        ‘...จะกลับร่างเดิมยังไงเนี่ย...’

__________________________________________

ด้านของบอส

        บอสที่เข้ามาในปราสาทของซีไลเนอร์ก็เจอเชสต้าดักไว้พอดีเหมือนรู้อยู่แล้วว่าบอสต้องมา

      “เอ่อ...”

      “ไม่ต้องพูดหรอก รู้แล้วว่าต้องการอะไร”  เชสต้าหยิบชุดสูทให้บอส  ทำให้บอสงง... ใส่ได้จริงหงะ...

      “เอ่อ...วัดมาตอนไหนครับ...”  บอสถามเจื่อนๆ...

      “ไม่บอก...แล้วก็”  เชสต้าพูดขึ้น  ทำให้บอสเสียวเล็กน้อย  จะได้งานเพิ่มเปล่าเนี่ย

      “อยู่ในงานทำตัวดีๆหละ”  เชสต้ายิ้มเหมือนคนมีแผน...ทำให้บอสเหงื่อตกสุดๆ...

      “โอเคครับ...ขอตัว(ด่วน)ครับ”  บอสขอตัวแล้วรีบเผ่นอย่างรวดเร็ว

      “หึหึ...แผนนี้...บอกให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด...”  เชสต้ายิ้มเหมือนได้ใจบางอย่าง...งานนี้ได้แกล้งคนเล่นแล้ว...

_________________________________________

ด้านของเบต้า

        ‘ทำไงดี...’  เบต้ายังคงสับสนในชีวิต...  และยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่กระดิกไปไหน= =”

      “เอ้า...ชุด”  อัลเซอุสที่เดินออกมาในชุดสูทสีดำเข้ากับตนก็ยื่นชุดสูทสีขาว...  แต่เบต้าก็ถามขึ้นมา

      “แล้วผมก็กลับเป็นมนุษย์ยังไงละครับ”

      “ลองคิดร่างมนุษย์ก่อน แล้วค่อยใช้พลัง...แล้วก็กลับร่างครั้งแรก... อย่าใช้ในที่กลางแจ้งด้วย”  อัลเซอุสกำชับสุดๆ... เบต้าก็ยังมึนๆแต่ก็พยักหน้า  สรุปแล้วใช้ในหัองนอนก็ได้สินะ...  แล้วกลับไงหว่า  อย่างนี้มั้ง

        เบต้าลองมั่วๆดูแล้วก็หายไปจากมิติแห่งเทพ  แล้วเชมี่ก็เดินมาหาอัลเซอุสในร่างเด็กผู้หญิงผมสีเขียว ใส่ชุดยาวถึงขาสีชมพูเข้ากับสีผม  ชุดบางที่พลิ้วไหวยามเดิน  ทำเอาอัลเซอุสเงียบไปซักพัก

        เบต้าที่เพิ่งใช้เทเลพอร์ทเป็นก็มาอยู่ในห้องของตน  แล้วก็ทำตามที่อัลเซอุสบอก  ตนก็กลับมาร่างมนุษย์เหมือนเดิม  แล้วก็เปลี่ยนชุดอย่างรวดเร็ว...

      “เฮ้อ... ใส่ได้พอดีแหะ”  เบต้าบ่นกับตัวเองเบาๆ  แต่เรื่องที่ไม่คิดก็เกิดขึ้นที่จู่มิวทูก็เดินออกมาจากห้องน้ำในสภาพ...

      “กรี๊ด~ เบต้า”  มิวทูร้องออกมาทำให้เบต้าหันไป  แต่มิวทูก็ห้ามไม่ทันซะแล้ว

      “ (o[]o”) ”  เบต้าเห็นแล้วรีบหันไปอีกทางเลย...  เพราะมิวทูที่ออกมามีสภาพที่ยังเปลือยกายอยู่

      “ขอโทษ ไม่รู้ว่าเธออยู่”  เบต้าพูดในขณะที่มิวทูก็รีบใส่ชุดไปงานเลี้ยง...

        ...

      “... ... ...”  มิวทูใส่ชุดเสร็จนานแล้ว  แต่ทั้งสองก็ยังนิ่งไม่ขยับไปไหน...

      “เอ่อ...”  เบต้าเหมือนจะรู้สึกผิด...  แต่มิวทูก็พูดขัด

      “ไม่เป็นไรหรอก”  มิวทูพูดอายๆ  พอหันไปหาเบต้าแล้วก็ตกใจ... เธอไม่เคยเห็นเบต้าในชุดแบบนี้...  ทำให้มิวทูหน้าแดงกว่าเดิมอีก  ส่วนเบต้าเองก็ตกใจเหมือนกัน...  มิวทูไม่เคยใส่ชุดแบบนี้ทำให้รู้สึก...อีกแล้ว...

      “มิวทู...”

      “เอ่อ... จะไปได้ยังครับ”  บอสที่โผล่จากไหนไม่รู้อยู่หน้าประตูพูดเหมือนกับว่าตนรอมานาน  ทำให้ทั้งเบต้ากับมิวทูตกใจ

      “บอส บอกกี่ทีว่าเคาะประตูก่อน”  มิวทูว่าบอสแก้เขิน

      “ผมเคาะประตูนาน(โครต)แล้ว แต่ไม่เห็นมีใครมาเปิดประตูเลยเปิดเข้ามาเอง”  บอสพูดทำให้มิวทูสะอึก...แล้วก็เงียบไป

      “สรุปจะไปได้ยังครับ งานจะเริ่มแล้ว”  บอสพูดเตือนสติทั้งสอง  ทำให้มิวทูกับเบต้าก็พยักหน้าแล้วบอสก็วาร์ปไปมิติแห่งเทพ...

Link to comment
Share on other sites

บอส...ฉันอยากเชือดนายจริงๆ จะขัดฉากโรแมนติกไปถึงไหนฟ่ะ  :pika03:

Link to comment
Share on other sites

หวานขึ้นทุกวั้น....ทุกวันคู่นี้ :pika01:

/Acnerくん น้ำตาลในเลือดสูงมาก เนื่องจากบริโภคฟิคนี้เกินขนาด

Link to comment
Share on other sites

ติดสอบแหะ... เลยไม่ค่อยได้แต่ง(ติดสอบแต่เล่นคอมนี่หมายความว่าไง : V.5)

บทที่ 62

        บอสวาร์ปตนเองกับมิลทูและเบต้ามาที่มิติแห่งเทพ...  ตอนแรกนึกว่าแขกรับเชิญจะเยอะจนบอสประหม่า...  ที่ไหนได้...  แขกรับเชิญไม่กี่คนเอง(ราวๆ 5 คน)  ซึ่งเบต้าเองก็แปลกใจเล็กน้อย

      “แขกรับเชิญมาที่นี่ได้ยังไง...ต้องใช้พลังพวกเคลื่อนย้ายไม่ใช่เหรอ...”  เบต้าถามกับมิวทู

      “มันมีประตูไว้สำหรับแขกเท่านั้นที่จะเข้ามาได้หนะ...แต่ต้องได้รับเชิญก่อน  เพราะไม่งั้น ถึงจะเข้าไปก็มีแต่ห้องโล่งๆ”  มิวทูอธิบาย  ในขณะที่บอสเดินตัวลอย(?)  เล็งเป้าไว้ที่ของหวาน= =”

      “บอสมานี่หน่อย มีเรื่องอยากจะถาม”  ไดอัลเกียตะโกนเรียกตรงแถวๆห้องข้างๆเวที  ทำให้บอสต้องละสายตาแล้วเดินไปหา

      “ทำไมหรอครับ”

      “เข้ามานี่หน่อย”  ไดอัลเกียพา(ลาก)บอสมาในห้อง  ซึ่งเป็นห้องเหมือนห้องแต่งตัว

      “คือ...ช่วยดูชุดฝ่ายชายให้หน่อย”  ไดอัลเกียบอกแล้วทำให้บอสเอ๋อกินไปชั่วขณะ  ทำให้ไดอัลเกียต้องอธิบายเพิ่ม

      “ก็ (ไอ้)คุณมิสซิ่งโนดันไปโชว์รูปภาพงานแต่งงานของดาวที่บอสอยู่(เอิร์ธ)แล้วเรซิรั่มก็อยากจัดให้เป็นแบบนั้นบ้าง เลยต้องมาถามไงว่าชุดเจ้าบ่าวแบบนี้ใช้ได้เปล่า”  บอสฟังแล้วแทบจะบ้า...แต่วันนี้ถือเป็นวันมงคล... จะไม่บ้าวันนึง  เลยพยักหน้าแต่โดยดี...

      “แล้วพี่เซคร่อมอยู่ไหนละครับ”  บอสมองซ้ายมองขวาก็ไม่เจอ...  ซึ่งจู่ๆกำแพงก็เปิดออกมาเหมือนเป็นประตูลับ  เซคร่อมเดินออกมาทำให้บอสดูแล้วก็อึ้งไปซักพักใหญ่... o[]o”

      “...ดูดีสุดๆ... แบบนี้ดีแล้วครับ...”  บอสพูดออกมาใจจริง  แต่ในใจคิดอย่างอื่น(หมายความว่าไง : V.5)

        ‘นี่เราหลงอยู่ในโลกอนิเมะหรอ... โครตเหมือนอนิเมะเลย...เท่สุดๆ...’

      “ขอบใจมากๆ...”  ไดอัลเกียบอกทำให้บอสกำลังจะไปเล็งของหวานต่อ...แต่บอสเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาได้

      “พี่เซคร่อมลองกางปีกหน่อยครับ”  บอสคิดแผนนี้ขึ้น... เวลาที่ทั้งสองอยู่บนเวทีก็ให้กางปีก...  เพราะจินตนาการออกมาแล้วคงจะสุดยอดสุดๆ

      “...”  เซคร่อมไม่ตอบแต่ก็กางปีกสีดำออกมาที่แผ่นหลัง  ทำให้จากเดิมที่ชุดเข้ากับเซคร่อมอยู่แล้วกลับเข้ากันยิ่งกว่าเดิม...

      “ใช้ได้หนิ”  ไดอัลเกียแสดงความคิดเห็น  ซึ่งเหมือนบอสจะดีใจมากที่เป็นไปตามที่หวังไว้...  งานนี้ต้องเตรียมถ่ายรูปเก็บไว้...แต่ไดอัลเกียก็กระซิบกับบอสไม่ให้เซคร่อมได้ยิน

      “ฝากไปดูทางด้านเรซิรั่มให้ด้วยนะ...”  บอสฟังแล้วอึ้งอีกรอบ...

      “นั่นมันห้องผู้หญิงนะครับ...ขืนเข้าไปผิดจังหวะผมก็ซวยดิ= =” ”  บอสกระซิบตอบกลับ

      “ไม่เป็นไรหรอก ในห้องนั้นมีห้องสำหรับแต่งตัว เข้าไปก็ไม่เสียหาย”  ไดอัลเกียบอกทำให้บอสเดินไปออกจากห้อง  ไปยังห้องอีกฟากด้านเวที

        ก่อนที่บอสเข้าไปก็ชั่งใจครั้งใหญ่...  จะเข้าตอนนี้ดีไหม...  ถ้าเข้าตอนนี้แล้วไปจ๊ะเอ๋เรื่องแปลกๆ...โดนเกลียดแหงมๆ...

        แต่พอดูเวลาแล้วก็ต้องรีบเข้าไป  เพราะเวลาเริ่มจะเข้ามาแล้ว

      “อ้าว มาพอดีเลย มาดูชุดเรซิรั่มให้หน่อย”  ฟรีซเซียร์ดีใจว่าในที่สุดก็มีคนที่รู้จริง(?)เรื่องงานแต่ง(?) มาซะที  แล้วเรซิรั่มก็ออกมาจากห้อง...

        เมื่อเรซิรั่มออกมาแค่ก้าวแรก  บอสก็ยืนอึ้งเป็นการใหญ่...

      “สวยสุดๆเลยครับ...”  บอสพูดอย่างใจจริง...

        ‘นี่มัน...โลกอนิเมะอีกแล้ว... โมเอะหงะ...’

      “ขอบใจนะ”  เรซิรั่มยิ้มขอบคุณ  ทำให้ความโมเอะที่เดิมก็มากอยู่แล้วก็พุ่งกระฉูดจนพวกโอตาคุทั้งหลายกำเดาไหลแหงมๆ...

      “มะ...ไม่เป็นไรครับ...” 

      “พี่เรซิรั่ม ลองกางปีกหน่อยครับ...”  บอสลองเสนอความคิดดู  เรซิรั่มก็กางปีกในร่างมนุษย์...

      “...เป็นไงบ้าง”  เรซิรั่มพูดอายๆ  เพราะไม่เคยกางปีกในร่างมนุษย์เลย

      “...โอเคแล้วครับ”  บอสเห็นแล้วอึ้งไปพักใหญ่...  ปีกสวยอะ...อยากลองจับปีกจัง...ปีกนุ่มแหงมๆ...ค่อยวันหลังละกัน  คิดไปซักพัก  บอสก็ออกมาจากห้อง

      “ไดอัลเกียเรียกบอสไปทำไมนะ... อ๊ะ บอสมาแล้ว”  มิวทูถามกับเบต้าแต่บอสกำลังเดินมาหาพอดี

      “บอส ไดอัลเกียเรียกไปทำไมเหรอ”  มิวทูถาม  ทำให้บอสยิ้ม

      “รองานเปิดเดี๋ยวก็รู้เองครับ”  บอสพูดให้รอลุ้น  ว่าผลงานของตนเองจะอลังการแค่ไหน

        ผ่านไปซักพัก...  เสียงเพลงเหมือนจะเป็นเพลงเปิดงานก็ดังขึ้น  จากนั้นวิคตินี่ในร่างเด็กผู้ชายใส่ชุดทักซิโด้ก็ออกมาทำหน้าที่พิธีกรเปิดงาน

        เมื่อวิคตินี่พูดเสร็จก็เชิญเจ้าบ่าว เจ้าสาวมายังเวที  เสียงดนตรีก็บรรเลงเพลง  ส่วนบอสก็แอบใช้เวทย์ให้มีสีสันมากขึ้น(ใช้มากไม่ได้ เพราะมีแขกอยู่)

      “ว้าว เรซิรั่มสวยจังเลย”  มิวทูเปรยขึ้น  หลังจากที่เห็นเซคร่อมและเรซิรั่มเดินขึ้นมาบนเวที  สิ่งที่หลายคนและหลายตนคิดไม่ถึงว่าจะออกมาในรูปแบบนี้...เบต้าก็คิดเช่นกัน...  แต่ก็แอบไปมองมิวทูนิดนึง(???)

        เพราะสิ่งที่บอสคิดว่า เรซิรั่มอยากจัดงานแบบดาวเอิร์ธ  แต่ก็น่าจะคงความเป็นโปเกมอนไว้ด้วยเลยเสนอให้กางปีก  และดูเหมือนว่าได้ผลเกินคาด...

      “ต่อจากนี้ขอเชิญผู้ทำหน้าที่ต่อไป... ขอเชิญตัวแทนจากดาวเอิร์ธครับ”  วิคตินี่พูดยิ้มๆ  ทำให้บอสสะดุ้ง  ส่วนมิวทูกับเบต้าก็มองบอสว่าไปทำอะไรมาถึงได้หน้าที่แบบนี้

      “อย่าบอกนะ... พี่เชสต้า...”  บอสหน้าซีด  เพราะต้องออกไปทำหน้าที่...แล้วตนเองทำเป็นรึเปล่าก็ไม่รู้...  แถมยังเด่นอีกต่างหาก...  ถ้าในห้องนี้มีแต่เหล่าเทพก็ไม่เป็นไรหรอก...  แต่นี่มีแขกรับเชิญด้วย  แถมตนเองก็ยังออกหนังสือพิมพ์...  แขกรับเชิญก็สงสัยว่าไอ้นี่(บอส)มาที่นี่ได้ไงและทำไม

        แต่เค้าเรียกแล้วก็ต้องออก  เพราะไม่อยากให้งานเสียหาย(เพื่อพี่เซคร่อม, พี่เรซิรั่ม และอาหาร)  จึงต้องใช้ท่าไม้ตายหน้าด้านออกไปทั้งๆที่ในใจประหม่าแบบสุดๆ...

      “จะไหวเปล่าเนี่ย”  เบต้าเห็นท่าทางของบอสแล้วรู้สึกสงสารหรือหัวเราะดี...

      “ไม่รู้สิ...ดูท่าแล้วน่าจะร่วงนะ”  มิวทูเห็นด้วย...  แต่รู้สึกสงสารมากกว่า

...

        แต่พอบอสออกไปยืน  ก็เห็นบอสยิ้มแบบเจ้าเล่ห์จนมิวทูชักจะเสียวว่าบอสจะทำอะไรแผลงๆหรือเปล่า...  แต่เบต้ากลับคิดว่างานนี้คงมีคนโดนแกล้งต่อซะแล้ว...

      “นี่บอส มารับหน้าที่นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”  เรซิรั่มกระซิบ  เพราะจากที่วางแผนลับๆไว้กับเชสต้า  จะให้เซเลบี้เป็นคนทำหน้าที่นี้

      “พี่เชสต้าคงปั่นหัวผมเล่นอยู่ครับ”  บอสกระซิบแบบเจื่อนๆตอบกลับ  ทำให้เรซิรั่มก็รู้สึกสนุกขึ้นมานิดนึง

      “เนื่องจากว่าหน้าที่นี้มีงานเยอะมาก ผมขอให้พี่เชสต้ากับไลท์นอสขึ้นมาเป็นเจ้าภาพ(?)ในการเปิดงานด้วยครับ”  บอสพูดแล้วทำให้เบต้าคิดว่า  ศึกนี้ไม่จบง่ายแหงมๆ ว่าแต่ จะลากแฝดตัวเองมาซวยด้วยนี่หมายความว่าไง

        ส่วนเชสต้านั้นก็จุกเหมือนกัน...ไม่คิดว่าบอสจะแก้ทางกลับด้วยวิธีนี้...  อย่างนี้ต้องให้คนอื่นโดนเหมือนกันบ้าง...(หา?)

        เชสต้าเดินขึ้นมาบนเวทีอย่างสง่างามจนบอสคิดว่า...งานนี้คงมีเฮแหงมๆ  แล้วเชสต้าก็พูดแบบทิ้งระเบิดทั้งวง(เทพ)

      “ต่อจากนี้ขอเชิญเพื่อนของ ‘เจ้าบ่าว’ และ ‘เจ้าสาว’ ด้วยคะ”  บอสฟังแล้วอ้าปากค้าง...  เพราะไอ้คำว่า ‘เพื่อน’  นี่มันหมายถึง เทพทั้งหมด เลยนะ...  จี๊ดแล้วไง...  งานแต่งงานครั้งนี้...มีหวังถล่มแหงมๆ

Link to comment
Share on other sites

เจ๊เชสเค้าคิดจะทำอะไรเนี่ย? :pika02:

อยากเห็นเรชิรั่มกับเซครอมง่ะ

Link to comment
Share on other sites

ก้โปเกม่อนมันอยู่ในโลกอนิเมะแล้วไม่ถูกตรงไหนรึบอส บ่นซะโดนแกล้งเลยเห็นไหม แล้วงานแต่งของขาวกับดำจะไปรอดไหมเนี้ย =w="

me/ รอฉากห้องหอ...

Link to comment
Share on other sites

จริงๆตอนนี้แต่งเสร็จนานแล้ว...แต่ไม่ค่อยกล้าเอามาลงเท่าไหร่... มันเป็นตอนแรก...และอาจจะเป็นตอนสุดท้ายที่ผมลงอะไรแบบนี้- -"

บทที่ 63

        เหล่าคนในงานได้แต่อึ้ง...กับสิ่งที่เชสต้าพูดออกไป...  แม้แต่เรซิรั่มกับเซคร่อมยังอึ้งด้วยเหมือนกัน...  จนในที่สุดบอสก็ยอมแพ้

      “โอเคครับ ขอโทษครับ... พี่เชสต้าลงไปเถอะครับ”  บอสพูดแล้วเชสต้าก็ยิ้มด้วยท่าทางที่สดใส(กับการแกล้งคน)  บอสได้แต่ถอนหายใจแต่ก็ต้องทำหน้าที่นี้ต่อไป...

        ...

        พิธียังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ  เหมือนกลับกลายเป็นว่าบอสทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด(= =”)  พอหมดหน้าที่บอสก็ลงไปยืนอยู่ที่เดิมแล้ววิคตินี่ก็ทำหน้าที่พิธีกรต่อ...  งานจึงเป็นไปได้ด้วยดีจนถึงฉากสุดท้ายของงาน

        “...!!!”  เนื่องจากงานแต่งงานของโลกชินวะกับดาวเอิร์ธไม่เหมือนกัน  ทำให้ทุกคน(ยกเว้นบอส)  อึ้งไปพักใหญ่...  เซคร่อมจูบเรซิรั่มในที่สาธารณะ...

      “เซคร่อมกล้าจริงๆ...”  มิวทูหน้าแดงเพราะเห็นฉากจูบ(หน้าแดงไมเนี่ย= =”)

      “นะ...นั่นสิ...”  เบต้าตอนแรกก็ตกใจที่เห็นแบบนี้  แต่ก็ยังปรับตีวไวกว่ามิวทู  ส่วนบอสที่รู้แล้วก็ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อย...

      “เดี๋ยวเอารูปลงกรอบให้นะครับ”  บอสเดินไปหาเรซิรั่มแล้วกระซิบเบาๆ

      “ขอบใจนะ”  เรซิรั่มยิ้มตอบกลับ  บอสเลยพยักหน้าประมาณว่าไม่เป็นไร  แล้วก็กลับไปที่เดิม

      “นี่นายน่ะ...”  เสียงจากคนกลุ่มหนึ่งดังขึ้น  ทำให้เบต้าหันไปดู

      “ทำไมหรอครับ”

      “ฉันจำได้ว่าพวกนายลงหนังสือพิมพ์หนิ”  เสียงเด็กผู้หญิงอายุน่าจะเด็กกว่าบอสดังขึ้น

      “แล้วยังไง”  บอสถามกลับ

      “ก็ไม่มีไร จะบอกเฉยๆว่ายิม17 รอนายอยู่นะ เบต้า”  เด็กหญิงพูดขึ้นเหมือนรับเชิญให้มาสู้  แต่บอสก็ขัดขึ้น

      “พูดแบบนี้... หัวหน้ายิม17 สินะ...”

      “...”  เด็กหญิงไม่ตอบ  ทำให้บอสมั่นใจว่าเป็นหัวหน้ายิม17 แน่ๆ...  แต่...  อายุขนาดนี้เป็นถึงหัวหน้ายิมได้ก็เก่งแล้ว...  แถมยังเป็นยิม17 อีก...  พี่เบต้าคงเจอศึกหนัก...

      “จะไม่แนะนำชื่อหน่อยหรอ...”  เหมือนกับว่าบอสจะเก็บกดหลังจากทำพิธีกรที่ไม่เต็มใจแบบสุดๆ...  มิวทูจึงคิดว่าคงจะคลายเครียดด้วยการกวนโอ้ยคนอื่น(???)

      “...ฟิน...”  ฟินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่เต็มใจ  แล้วก็เดินจากไป  บอสก็ไม่สนใจใครอีกแล้ว หันมาตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเดียว

      “พวกเราก็รออยู่นะ พยายามเข้าหละ”  เสียงผู้หญิงผมแดงแปร๊ดดังขึ้นเหมือนจะท้าทายเชิงให้กำลังใจแล้วก็เดินตามหลังฟิน  ทำให้เบต้ารู้ได้ทันทีว่า  เป็นหนึ่งในสี่จตุรเทพแน่นอน...  ส่วนคนที่เหลือส่วนใหญ่ก็ขอกลับก่อนเนื่องจากติดงาน  (ทำไมพวกเทพไม่ทำงานฟระ : V.5)

      “งั้นเราก็ไปกินอาหารกันเถอะ”  เบต้าชวนมิวทูแล้วก็จูงมือมิวทูให้มาทานด้วยโดยไม่ได้คิดอะไร...  แต่มิวทูกลับคิดกันไปใหญ่เลยหน้าแดงจางๆ

        หลังจากที่ตักอาหารเสร็จ  เบต้าก็หาโต๊ะนั่ง...  แต่เหมือนมีใครรู้ดีเกินคาดเลยตั้งโต๊ะสำหรับสองต่อสองมาล่วงหน้าไว้  แล้วสายตาเบต้าก็ดันเห็นพอดี  มิวทูจึงรู้สึกอายๆที่นั่งแบบสองต่อสอง (อายทำไม...คนอยู่ตั้งเยอะ ‘ ^ ‘)

      “เบต้า...ดีหรอที่นั่งตรงนี้...”  มิวทูรู้สึกอายขึ้นมาเล็กน้อย...แต่เบต้ากลับไม่ได้คิดมากอะไรเลย

      “ไม่เป็นไรหรอก...”  เบต้าพูดขึ้นมาปลอบ...  แต่ตอนนี้บอสเห็นพอดีจึงแอบช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นมาอีกนิดนึง  ด้วยการแอบเรียกตะเกียงให้อยู่ข้างๆโต๊ะ  ทำแสงไฟแถวนั้นให้มืดอีกหน่อย  แล้วก็จุดไฟในตะเกียงให้ดูโรแมนติกขึ้น

....................................................

        หลังจากงานเลิก...  ดูเหมือนบอสจะดูพอใจที่สุด(เล่นกินช็อคโกแลตซะหมดเลย...)  ส่วนไลท์นอสก็เหมือนกัน  แต่บอสต้องส่งไลท์นอสจึงใช้เวทย์ข้ามมิติให้  โดยที่ไม่ลืมให้ไลท์นอสเอาผลไม้ที่นี่ไปฝากที่บ้าน  ส่วนตนเองก็กลับห้อง...

        ด้านเบต้าเองก็มาถึงห้องแล้ว  และขอเรซิรั่มด้วยว่า ขอเอากลับไปให้พวกลีเฟียกินด้วย  เรซิรั่มก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ยิ้มตอบกลับ  พวกลีเฟียจึงได้กินอย่างเอร็ดอร่อย...

      “ลีเฟีย กราเซีย อีฟี่ แบล็คกี้... วันนี้ไปนอนห้องของบอสไปก่อนนะ”  เบต้าบอก  ทำให้ลีเฟียหูลู่ลงเล็กน้อย  แต่ซักพักก็ดีใจ  ที่ได้เข้าห้องของบอสอีกแล้ว (ห้องตรูมีดีอะไร แคบก็แคบ= =” : บอส)

_______________________________________

ห้องของบอส

        หลังจากที่บอสอาบน้ำเสร็จก็เตรียมตัวจะเล่นคอมที่อุตส่าห์ใช้เวทย์ยกมา  แถมยังใช้เวทย์เพื่อเชื่อมเน็ตที่ดาวเอิร์ธอีก (ทุ่มมาก...)  แต่ได้ยินเสียงเคาะประตูจึงเดินไปเปิดประตู  แต่ไม่เห็นใคร...เลยมองไปด้านล่าง  เห็นพวกลีเฟียยืนอยู่  บอสจึงบอกให้เข้ามาก่อน

      “เอ้า... เคาะประตูห้องพี่ไมเหรอ”  บอสถามขึ้น...  เพราะนานๆพวกลีเฟียจะเคาะประตูเรียก

      “คือ...พี่เบต้าบอกให้มานอนห้องนี้น่ะคะ...”  ลีเฟียตอบ  ทำให้บอสสงสัยยิ่งขึ้น...

        ‘เป็นไปไม่ได้น่า... พี่เบต้าบอกให้พวกลีเฟียมานอนห้องนี้...’

        แต่ก็คิดไม่ได้มาก...  วันนี้จึงต้องงดเล่นคอมเนื่องจากคงต้องนอนเร็ว  พวกลีเฟียเลยนอนบนเตียง(ที่แคบอยู่แล้ว)  ทำให้เหมือนบอสต้องนอนเบียดๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร

        แต่ซักพัก  ก็มีคนมาเคาะประตูอีก...  ทำให้บอสลุกขึ้นมาเปิดประตู

      “อ้าว... พี่ฟรีซเซียร์... มีธุระอะไรหรอครับ”  บอสถามขึ้นอีก

      “คือ...ขอนอนด้วยได้ไหม...”  ฟรีซเซียร์อายที่จะบอก  แต่พอบอสได้ยินถึงกับเหวอ...

      “เอ่อ... พี่ฟรีซเซียร์คิดไรอยู่เปล่าเนี่ย”

      “คือ...ปกตินอนในห้องเดลต้า...แต่วันนี้คงนอนไม่ได้... ตอนแรกก็คิดว่าจะไปนอนในมิติแห่งเทพ...แต่มัน...”  ยิ่งพูด  ใบหน้านกน้ำแข็งก็ยิ่งแดงโดยไร้สาเหตุ  บอสก็งงๆว่าเกิดอะไรขึ้น

      “เอาเป็นว่า...ถ้าอยากรู้จริงๆ ลองไปที่มิติแห่งเทพ แล้วเปิดประสาทการได้ยินให้ชัดๆเลย... แล้วจะรู้ว่าทำไม”  ฟรีซเซียร์บอก  ทำให้บอสก็เกิดการอยากรู้อยากเห็น... ลองทำตามที่บอกซะเลย

_________________________

        บอสเคลื่อนย้ายตนมาที่นี่ตามที่ฟรีซเซียร์บอก  แล้วก็เปิดประสาทการได้ยินให้สุดขีด...  จนไปได้ยินเสียงบางเสียงเข้า

   

...จะอ่านจริงนะ... อย่าเลย...(ป๋มอาย= =)

  “อะ...อัลเซอุส...แฮ่ก...”  เสียงที่บอสได้ยินเหมือนจะเป็นเสียงของเชมี่แล้ว...บอสรีบกลับมาที่ห้องของตนอย่างเร่งด่วน...

      “เป็นไง”  ฟรีซเซียร์ยังไม่เลิกหน้าแดง  เพราะคิดมากไปหน่อย??

      “ลึกซึ้งสุดๆเลยครับ...”  บอสตอบกลับในสภาพที่หน้าเหยเกสุดๆ...  ทำให้พวกลีเฟียก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร

      “...ถ้างั้นมานอนห้องผมก็ได้นะครับ... แต่ถ้าอยากนอนบนเตียงก็ลดขนาดตัวลงหน่อยนะครับ”  บอสพูดทำให้ฟรีซเซียร์ถึงกับโล่งอก...  แต่แล้ว...

      “ก็อกๆๆ...”  เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก  ทำให้บอสต้องเดินไปเปิดประตูเป็นรอบที่สามของวัน...  เปิดมาเจอไดอัลเกียกับพัลเกียที่ลดขนาดตัวลงจนสูงเกือบถึงเอว...

      “บอส...วันนี้ขอนอนห้องนี้ได้เปล่า...”  ไดอัลเกียถาม  แล้วสายตาก็ดันไปเห็นฟรีซเซียร์ที่นอนบนเตียงเข้า  ทำให้ตกใจยกใหญ่...

      “บอส...นายไปทำอะไรฟรีซเซียร์”  ไดอัลเกียถามขู่...  ทำให้บอสหันไปดู...

      “ไม่ได้ทำไรนิ...”

      “แล้วทำไมฟรีซเซียร์ถึงมาอยู่นี่หละ”  คราวนี้พัลเกียถาม

      “ก็พี่ฟรีซเซียร์เค้าขอนอนห้องผมหนิ…แล้วพี่ไดอัลเกียกับพี่พัลเกียมาไมละ”  บอสตอบแล้วถามต่อ

      “ถ้าฟรีซเซียร์นอนห้องนี้...เหตุผลน่าจะเหตุผลเดียวกัน”  ไดอัลเกียใช้ลางสังหรณ์เดาว่าฟรีซเซียร์มานอนห้องบอสทำไม...ซึ่งก็ตรงเป๊ะ...

      “โอเคครับ...ผมเข้าใจ...นอนห้องนี่ก็ได้...แต่ผมไปหาฟูกแปปนึงนะครับ สงสัยที่บนเตียงไม่พอนอน”  บอสพูดเสร็จก็เดินกลับเข้าห้องไปหาฟูกนุ่มๆเผื่อจะมี...  ส่วนไดอัลเกียกับพัลเกียก็เข้ามาในห้อง  เห็นพวกลีเฟียหลับไปแล้วเลยไม่ค่อยกล้าส่งเสียงดังเพราะเดี๋ยวปลุกพวกลีเฟียเข้า

      “ก็อกๆๆ...”  เสียงเคาะประตูดังอีกแล้ว...  บอสจึงเดินไปเปิดประตู  คราวนี้เป็นคิวของพวกอุซี่

      “ว่ามาครับ” 

      “นอนด้วย...”  อุซี่ในสภาพงัวเงียบอกกลับ

      “โอเคครับ”  บอสเห็นสภาพแต่ละตนแล้วก็ไม่ต่างกันเลย  สภาพงัวเงียแบบสุดๆเหมือนทนฟังอะไรบางอย่างจนนอนไม่หลับ...

      “อ้าว เบาะเลื่อนให้กว้างขึ้นได้แหะ”  บอสลองจับเบาะแล้วเลื่อน  ปรากฏว่าเบาะมันกว้างกว่าที่คิด...  จึงได้นอนบนเบาะทุกคน(แน่นอน เทพต้องขนาดมินิไซส์)

_______________________________________

อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่นเลย...มันไม่ดีนะ...

ด้านเบต้า

      “มิวทู...”  เบต้าพูดขึ้นมา

      “เบต้า...”  เสียงมิวทูที่คืนร่างแล้วบอกอย่างอายๆ

      “ไม่เป็นไรแน่นะ”  เบต้าพูดเหมือนเป็นห่วง

      “ไม่เป็นไรหรอก...”  มิวทูยิ้ม  แต่เบต้าก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี

      “สวบ..”

      “อ๊า...”  เสียงมิวทูร้องด้วยความเจ็บ

      “เจ็บหรอ...พอก่อนเปล่า”  เบต้าหอบเล็กน้อยบอก

      “มะ...ไม่เป็นไร...ต่อเลย...”  มิวทูพูดเสียงสั่นเล็กน้อย  เบต้าก็เริ่มต่อ...

      “อ๊า~~”

      “อึก...”  เบต้าเหมือนจะ...

      “เบ...เบต้า...เร็วอีกนิด...”  มิวทูขอร้อง  ทำให้เบต้าอึ้งไปชั่วครู่...

______________________________________________

ในห้องของอัลเซอุส

      “...แฮ่ก...ต่อไหม...”  เสียงหอบของอัลเซอุสถามขึ้น

      “อะ...อืม...”  เสียงเชมี่ในร่างสกายฟอร์มตอบกลับอย่างอายๆ

      “...อ๊า”  เสียงเชมี่ร้องออกมา

      “อุ๊บ...”  เสียงอัลเซอุสหอบถี่ขึ้น

_______________________________________________

ในห้องของเดลต้า

      “อ๊า~~มาสเตอร์”  เสียงลูคาจังร้องออกมา

      “แฮ่ก...ลูคา...”  เสียงเดลต้าหอบเล็กน้อย

      “มาสเตอร์...ฉัน...อ๊า~~”

        ........

______________________________________________

ในมิติแห่งเทพ ห้องของดาร์ไคร

      “เครซเซอเรีย...ต่อเหมือนวันนั้นนะ...”  ดาร์ไครพูดขึ้น

      “...///…”  เครซเซอเรียไม่ตอบ  แต่ก็พยักหน้า...

      “อ๊า~~”  เสียงเครซเซอเรียร้องออกมา

_____________________________________________

ณ ห้องของคู่แต่งงาน

      “วันนี้สนุกจังเลย...”  เรซิรั่มที่คืนร่างแล้วยังคงยิ้มหัวเราะกับงานแต่งของตน

      “นั่นสิ...”  เซคร่อมที่นานๆทีจะยิ้มก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

      “...”  เรซิรั่มหันไปหอมแก้มเซคร่อม  ทำให้เซคร่อมนิ่งไปซักพัก

      “...นะ”  เรซิรั่มพูดเสียงอายๆ  เหมือนทั้งสองจะรู้ความหมาย

      “...”  เซคร่อมค่อยๆนอนคร่อมตัวเรซิรั่ม

      “จะเอาจริงๆหรอ”  เซคร่อมถามเพื่อความแน่ใจ

      “อื้ม”  เรซิรั่มพยักหน้ารับ

      “...ถ้างั้น”  เซคร่อมเริ่มรุกเล็กน้อย

      “อ๊ะ...”  เรซิรั่มครางออกมาเบาๆ

      “เจ็บไหม...”

      “ไม่เป็นไรหรอก...”  เรซอรั่มพูดยิ้มๆ  เซคร่อมจึงรุกต่อจนสุด...

      “อ๊า...”  เรซิรั่มเริ่มเอามือ(ปีก) มากอดเซคร่อมเอาไว้  เซคร่อมจึงจูบอีกครั้ง

___________________________________________________

ในมิติแห่งเทพ ห้องที่ลึกที่สุด...

      “โอย...นอนที่อื่นดีกว่า ที่นี่ไม่ไหวละ”  มิสซิ่งโนบ่น  แล้วก็หายไปจากในห้อง

____________________________________________________

ณ ห้องบอส

      “นอนๆๆ”  บอสบอกกับทุกคน  แต่จู่ๆมิสซิ่งจากไหนก็ไม่รู้โผล่มาทำให้บอสสะดุ้งแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นเลย

      “บอส ขอนอนห้องนี้หน่อย...ไม่ไหวละ”  มิสซิ่งโนพูดเสร็จก็ฟุ่บนอนไปเลย...

        บอสปิดไฟ  ด้านซ้ายบอสมีพวกลีเฟียที่เข้าสู่ห้วงนิทรา  ด้านขวาก็เป็นฟรีซเซียร์ มีหมอนข้างกั้นระหว่างพวกอุซี่กับฟรีซเซียร์ไว้  แล้วถัดจากพวกอุซี่ก็พวกไดอัลเกีย ปิดท้ายด้วยมิสซิ่งโน(โหมดพรางตัว)  ซึ่งเตียงที่เหมือนจะใหญ่  พอนอนกันเยอะขนาดนี้ก็เล็กไปเลย  เลยนอนเบียดๆ  แต่ความรู้สึกที่บอสได้รับมันอบอุ่นยิ่งกว่าวันไหนๆ...  ทุกคืนบอสนอนคนเดียว...  จนบอสคิดบางอย่างได้...

        ‘พรุ่งนี้ไปหาโปเกมอนมาเลี้ยงดีกว่า...’

_____________________________________________________

ณ ห้องของเชสต้า

      “นายท่านทำแบบนี้จะดีหรอขอรับ”  เรควาซ่าที่นอนอยู่ใต้เท้าเชสต้าพูดขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง (พวกบอส)

      “ไม่เป็นไรหรอก แก้แค้นบอสภายในตัว”  เชสต้านอนสบายใจเฉิบในห้องเก็บเสียง  ที่ไม่ได้ยินเสียงข้างนอกเลย

      “ขอรับ”  เรควาซ่าตอบรับแล้วก็นอน

[me="[V]ersion_[5]]เผ่นแล้วไม่กลับมาอีกจนกว่าจะทำใจ...[/me]

Link to comment
Share on other sites

:pika07: ..............................

ไม่มีอะไรจะพูดล่ะครับ

*Acnerくん หาไม้ถูพื้นมาจัดการคราบกำเดาที่ท่วมห้อง

Link to comment
Share on other sites

ไม่เป็นไร ชินแล้วและชอบด้วย คุๆๆ แต่ยังไงรังสี Erotic ของกระทู้นี้ก็รุนแรงน้อยที่สุดละนะ ^w^

แทนที่จะแยกตอน แต่นี้จับทั้งหมดมายัดไว้ในตอนเดียวกันเลยหรือ..โอ้...อะไรมันจะช่างบังเอิญเอาเป็นวันแต่งงานของคู่ BW กันละนี้...(หรือเรชิกับรอมจูบกันจะทำให้ทุกคนมีอารมณ์หว่า) =w="

แล้วเชสต้าจะแกล้งอะไรบอสรึ?....รึจะจับบอสกับพวกเทพสวิงกิ้..*ผั๊วะ*

me/ โดนพลังปริศนาตายก่อนพูดจบ...

Link to comment
Share on other sites

บทที่ 64...

        เช้าต่อมาก็ยังคงเป็นเช้าที่สดใสสำหรับทุกคน  แต่คำว่าทุกคนนั้นคงไม่มี บอส อยู่ด้วย  เพราะเจ้าตัวตื่นมาด้วยสภาพที่อิดโรย...  ขอบตาคล้ำสุดๆ...  เหตุผลน่ะหรอ...  ห้องข้างๆดันส่งเสียงดังกว่าที่บอสคิดไว้มาก...  จึงต้องใช้เวทย์ไม่ให้โปเกมอนในห้องของตนได้ยิน  แต่มีผลข้างเคียงคือ...  ต้องฟังแทนคนในนั้น  ซึ่งบอสต้องฟังแทนทั้งหมด 11 คน รวมตนเองด้วย(ไม่รวมมิสซิ่งโน รายนั้นช่างมันเถอะ)  สภาพจึงเป็นอย่างที่เห็น...

        แต่ในห้องเบต้า...  คนที่ตื่นคนแรกเป็นมิวทู...  ซึ่งตื่นมา  มิวทูก็งัวเงียเล็กน้อย  แต่ดูรู้ว่าตัวเองนอนแบบไหน...  หน้าก็แทบจะแดงตั้งแต่เช้า...

      ‘ทำไมเรามานอนทับตัวเบต้าหละ... อ๊ะ...’  มิวทูที่ตื่นมาก็งงเล็กน้อย  แต่พอเริ่มจะจำได้ว่าเมื่อคืนทำอะไรกัน  หน้าก็แดงเต็มสูบ

      ‘ไปทำอาหารเช้าดีกว่า...จะได้ไม่คิดมาก...’  มิวทูคิดได้ดังนี้ก็ค่อยๆลุกไม่ให้เบต้าตื่น...  แล้วก็ไปทำอาหารเช้า…ที่ห้องครัวในมิติแห่งเทพนะ...

        บอสตื่นขึ้นมาก็พบว่า  บรรดาเทพที่ขอมานอนด้วยก็หายไป  เหลือแค่ฟรีซเซียร์ที่ยังคงหลับต่อ  บอสเลยกะว่าจะไปหาโปเกมอนจับตามที่คิดไว้  แต่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

      “ก็อกๆๆ...”  บอสที่ได้ยินจึงเดินไปเปิดประตู

      “บอส...ตอนนี้พวกลีเฟียตื่นอยู่รึเปล่า”  มิวทูถามขึ้น  ถ้าไม่สังเกตุดีๆ  หน้าจะแดงจางๆ

      “ยังเลยครับ ทำไมหรอครับ”  บอสปรับตัวไม่ทัน...เพราะเมื่อคืนได้ยินเสียงของมิวทูสลับกับเบต้านาน  ทำให้บอสแทบจะไม่รู้ว่าจะวางตัวยังไง

      “คือ...ทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว...จะมากินด้วยไหม”  มิวทูชวน  ซึ่งแน่นอนว่าบอสก็ไม่ปฏิเสธ...จึงตามมิวทูไปที่มิติแห่งเทพ

        หลังจากที่บอสกินข้าวเสร็จ  บอสก็ขอตัวไปจับโปเกมอน  ส่วนมิวทูก็กลับไปยังห้องของตน...  บอสก็เทเลพอร์ทตนเองไปยังในป่า...

        บอสที่โผล่มาในป่าที่ตนเองก็งงเหมือนกันว่าโผล่มาได้ไง...  ตนเองแค่เทเลพอร์ทแบบมั่วๆ สุ่มสถานที่เอง...

        แต่บอสก็ไม่ใส่ใจมากนัก...  เดินไปตามสัญชาตญาณของตนเองไปเรื่อยๆ  แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งเข้าไปลึก...  จนเห็นโปเกมอนสองตัววิ่งผ่านหน้าตนเอง...  กับ... โปเกมอนอีกเป็นโขยง

      “เห้ยๆ โปเกมอนยกทัพมาเพื่อล่าโปเกมอนสองตัวนั้นเนี่ยนะ...”  บอสเห็นแล้วแปลกใจ  จึงตามไปดู...  แต่ยังไม่ช่วยโปเกมอนที่โดนตามล่า...

        เมื่อโปเกมอนสองตัววิ่งหนีไปจนเจอทางตัน...  โปเกมอนสุนัขที่บอสรู้สึกคุ้นตา...แต่ไม่คุ้นสีก็หันมาขู่  แน่นอนว่าโปเกมอนที่ยกทัพมาไม่เกรงกลัวเลยซักนิด...

        โปเกมอนที่หนีจนทางตัน...  ถ้าบอสจำไม่ผิดน่าจะเป็นอีวุย...  แต่สีแปลกกว่าที่เคยเห็นมาก...  ตัวหนึ่งสีดำ  อีกตัวสีขาว...  ทำให้บอสนึกถึงเรซิรั่มกับเซคร่อมขึ้นมาเลย...

        บอสยังคงแอบอยู่ในพุ่มไม้เพื่อสังเกตุเหตุผลว่า  ทำไมถึงโดนยกทัพ...  แต่จู่ๆ  อีวุยทั้งสองตัวก็มีแสงเหมือนจะเปลี่ยนร่างขึ้นมาดื้อๆ...

      ‘เห้ย... กลายเป็นซันเดอร์(Jolteon) กับบูสเตอร์(Flareon) ได้ไง... ต้องใช้หินธาตุไม่ใช่เรอะ’  บอสคิดในใจกับความแปลกประหลาด...

        แต่สังเกตุไปซักพัก  กูเรน่า(Mightyena)  ที่เหมือนจะเป็นจ่าฝูงก็หอนไปรอบหนึ่ง  แล้วทั้งผูงก็กรูกันเข้ามา  ซันดาสสีดำกับบูสเตอร์สีขาวก็ใช้ Thunderbolt กับ Flamethrower  เข้ากลางฝูงจังๆ  แต่ทั้งสองตัวก็เปล่งแสงขึ้นมาอีกครั้ง...  คราวนี้กลายเป็นชาวเวอร์ส(Vaporean) สีขาว กับ แบล็คกี้สีดำ(ดำอยู่แล้วหนิ= =”)

        เหมือนการต่อสู้แบบ 2 ต่อ 200 ยังคงดำเนินต่อไปโดยที่บอสไม่เข้าไปยุ่ง  เนื่องจากกลัวหาว่าไป ส. (กลัวไมฟระ ไม่มีใครอยู่แถวนี้ซะหน่อย= =”)

        การต่อสู้ของอีวุยสองตัวเหมือนจะเปลี่ยนร่างได้เรื่อยๆ...  แต่บอสสังเกตุแล้วมันต้องกลับร่างอีวุยก่อน  ถึงจะเปลี่ยนเป็นร่างอื่นได้...  ทำให้หลายครั้งอยากจะเข้าไปช่วย  แต่เพราะไม่อยากจะฆ่าโปเกมอนจึงทำได้แค่ดู...

       

        แต่โปเกมอนที่เยอะกว่าก็ย่อมได้เปรียบ...  เหมือนอีวุยสีแปลกสองตัวเริ่มที่จะเหนื่อยแล้วจึงคลายร่างกลับเป็นอีวุย...  ในขณะที่อีกฝูงยังคงมีโปเกมอนเหลือมากมาย...  แต่แล้ว...  มารูเมียน(Electrode)  ที่เร็วที่สุดในฝูงของกูเรน่าก็โผล่มาหน้าอีวุยทั้งสอง  ทำให้บอสเดาต่อไปเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงรีบเทเลพอร์ทไปช่วย

      “...ตู้ม!!!”  เสียงระเบิดตัวเองของมารูเมียนดังขึ้น  แรงระเบิดก็ทำให้สะเก็ดไฟไปโดนต้นไม้เข้า...  แล้วก็เกิดไฟไหม้โหมกระหน่ำ...  ฝูงของกูเรน่าที่เหลืออยู่ก็หนีไปเพราะไฟลามป่า...

        อีวุยสองที่หลับตาตัวนึกว่าโดนระเบิดแต่เหมือนว่าไม่รู้สึกเจ็บจึงลืมตาขึ้นมาดู...  เห็นมนุษย์ยืนบังเอาไว้  จากนั้นมนุษย์คนนั้นก็ยกมือขึ้น  แสงในมือของมนุษย์เปล่งแสงสีฟ้า...  ฝนก็ตกลงมา...

      “...นี่บอสมาล้างป่านี้เหรอ”  เสียงที่บอสคุ้นเล็กน้อยดังขึ้น...  บอสจึงหันไปดูต้นเสียง...  ก็เห็นเซเลบี้บินทำหน้าเหมือนจะโกรธ...

      “ผมไม่ได้ทำครับ... สาบานได้เลย”  บอสพูดขึ้นแต่เหมือนกับเซเลบี้ไม่สนใจ  แต่สายตาเหลือบไปเห็นอีวุยสองตัวพอดี  จึงพูดกับบอส

      “อีวุยสองตัวนั้น...รู้สึกว่าจะโดนตามล่าบ่อยนะ...”

      “ทำไมหรอครับ”  บอสถามเหตุผล

      “เหมือนกับสองตัวนี้สามารถแปลงร่างและกลับคืนร่างเดิมได้ตลอดเวลา... เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม... แต่เพราะแปลงร่างเป็นร่างพัฒนาได้เจ็ดร่าง จึงโดนจ่าฝูงหลายกลุ่มหมายหัวเอาไว้น่ะ...สงสัยเพราะแข็งแกร่งเกินไปมั้ง  โจมตีได้ถึงหกธาตุ”  เซเลบี้พูดขึ้นมา  เพราะเธอประจำอยู่ในป่านี้...  จึงรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในป่านี้เยอะกว่าคนอื่น

      “แล้วปกติสองตัวนี้อยู่ในป่านี้หรอครับ”  บอสที่จะสนใจขึ้นมา...  เลยถามต่อไป

      “เปล่าหรอก  ทั้งสองโดนเรนเนอร์คนเก่าทิ้ง... เพราะก่อนหน้านี้เจ้าของใช้หินธาตุเพื่อเปลี่ยนร่างพวกอีวุย พอผ่านไปซักพักมันก็ดันกลับเป็นอีวุยใหม่ เจ้าของไม่พอใจจึงทิ้งไปนะ”  เซเลบี้ทำเสียงเศร้า...  ช่างเป็นเทรนเนอร์ที่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ...

      “หรอ...”  บอสเดินไปหาอีวุยทั้งสองตัว  เหมือนอีวุยสีดำจะขู่บอสไม่ให้เข้ามาเพราะกลัว  แต่บอสไม่สนใจแล้วก็ลูบหัวอีวุยทั้งสองอย่างเอ็นดู

      “แล้วพวกเจ้าจะทำยังไงต่อหละ”  บอสถามเจ้าสองตัว  ซึ่งอีวุยทั้งสองเหมือนจะแปลกใจมาก  ที่มนุษย์สามารถพูดกับโปเกมอนรู้เรื่อง  อีวุยสีดำจะถามกลับ

      “ก็คงอยู่แต่ในป่าต่อไปครับ...”  อีวุยสีดำพูดขึ้นมา  เหมือนอีวุยทั้งสองจะคอตก...  บอสจึงเสนอความคิดดีๆ

      “แล้วถ้าฉันจะเลี้ยงพวกเจ้าได้ไหมหละ...”  บอสพูดเสร็จ  อีวุยสีดำก็ส่งเสียงขู่ขึ้นมา

      “อย่าจับพวกเราไว้ในแคปซูลนะ!!!”  บอสฟังแล้วก็ยิ้มเล็กน้อย

      “ไม่ต้องห่วงหรอก... ไม่ยัดเข้าแคปซูลแน่…”  บอสพูดเสร็จก็วาร์ปตนเองกับอีวุยทั้งสองทันทีโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น  เซเลบี้เห็นแล้วเหมือนจะขัดใจเล็กน้อย

      “ทำตามใจตัวเองอีกละ... เฮ้อ...”

________________________________________________

ณ ห้องของบอส

        บอสพาอีวุยทั้งสองมาที่ห้องของตน  ทำไมทั้งสองค่อนข้างสับสนเล็กน้อยที่เมื่อสักครู่ยังอยู่ในป่า...  แต่ตอนนี้อยู่ในห้องแล้ว...

      “ก็อกๆๆ...”  เสียงเคาะประตูดังขึ้น  ทำให้บอสเดินไปเปิด

      “บอส อาหารกลางวันเสร็จแล้วนะ... อ้าว ไปจับโปเกมอนมาหรอ”  มิวทูเข้ามาทักแล้วก็เดินมาลูบหัวอีวุยทั้งสอง...  แต่ก็เห็นความผิดปกติที่สี...

      ‘ไชนี่อีวุยเพศเมียกับอีวุยสีดำเพศผู้หรอ... แล้วทำไมอีกตัวถึงเป็นสีดำหละ...’  มิวทูแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็คิดในใจ...

      “ไม่ได้จับมาครับ แค่เก็บมาเลี้ยงเฉยๆ”  บอสพูดเสร็จ  มิวทูก็รู้สึกแปลกๆกับอีวุยทั้งสอง  จึงใช้พลังจิตตรวจจับร่างกายทั้งสอง...

      “อ้าว... เผลอกินผงของหินยับยั้งวิวัฒนาการมาหรอ... ใช้หินสายฟ้า หินไฟ หินน้ำมาด้วย... ดูเหมือนจะแปลงร่างได้ 5 ร่างนะ...”  มิวทูอธิบายทำให้บอสเหวอ...  ไปกินของแบบนี้ได้ไง...

      “ช่างเถอะ... กินข้าวกินดีกว่า”  มิวทูพูดแล้วก็เดินออกจากห้อง  บอสก็กำลังจะเดินตามแต่ก็ไม่ลืม...

      “เอ้า มากินข้าวด้วยกันสิ...”  บอสเรียกอีวุยทั้งสองตัว  ทำให้ทั้งสองตัวเริ่มจะคุ้นกับที่นี่เล็กน้อย(จริงๆ)  และก็วิ่งตามไป

Link to comment
Share on other sites

ในที่สุดบอสก็มีโปเกม่อนของตนเองจนได้ กลายเป็นสอง Guardian Beat ที่จะคอยปกป้องบอสตอนกำลังร่ายเวทย์ได้พอดีเลย

เพศตรงข้ามกันอีกสองตัวนี้ จับคู่กันเองสินะ...ทำไมไม่ตัวเมียทั้งสองตัวเลย บอสจะไ..*ผัวะ*

[me=The Adventurer_Vava]ถูกโซร่าลากกลับไปหลังจากถูกตีหัวสลบ[/me]

โซร่า : เอ๊ะ...ฉันว่าฉันเคยพบพวกเจ้ามาก่อนนะ...Yin Yang Eevee.....

QMq6f4a6.jpg

Link to comment
Share on other sites

Please sign in to comment

You will be able to leave a comment after signing in



Sign In Now
  • Recently Browsing   0 members

    • No registered users viewing this page.

×
×
  • Create New...

Important Information

By using this site, you agree to our Terms of Use and Privacy Policy. We have placed cookies on your device to help make this website better. You can adjust your cookie settings, otherwise we'll assume you're okay to continue.